query_id
stringlengths
1
4
query
stringlengths
14
176
positive_passages
listlengths
1
9
negative_passages
listlengths
0
14
1594
พรรคเพื่อไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด ?
[ { "docid": "190952#0", "text": "พรรคเพื่อไทย (ย่อว่า: พท. ) จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 โดยมี นายบัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และ นายโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก", "title": "พรรคเพื่อไทย" } ]
[ { "docid": "4946#2", "text": "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เดิมเรียก พรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยโฮจิมินห์ ชาวเวียดนาม ใช้นามแฝงว่า \"สหายซุง\" โดยประชุมครั้งแรกแบบลับๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก และมีตัวแทนสองคนคือ ตัง หรือ เจิ่นวันเจิ๋น และ เหล่าโหงว หรือ อู่จื้อจือ จนก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2485 หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นพรรคแนวอุดมการณ์ ยึดมั่นในลัทธิมากซ์-เลนินและลัทธิเหมา โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างความเสมอภาคทางชนชั้น ชี้นำสังคมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และต่อสู้เอาชนะระบบทุนนิยมด้วยวิธี \"ป่าล้อมเมือง\"", "title": "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย" }, { "docid": "654145#0", "text": "พรรคประชาชน พรรคการเมืองไทยที่จดทะเบียนจัดตั้งตาม พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2511 โดยจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2511 มีนาย เลียง ไชยกาล หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหัวหน้าพรรคและนาย เขมชาติ บุณยรัตพันธุ์ เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งก่อนหน้านั้นพรรคประชาชนได้เคยก่อตั้งมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2490 โดยนายเลียง ไชยกาล และอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อีก 16 คน", "title": "พรรคประชาชน (พ.ศ. 2511)" }, { "docid": "35117#1", "text": "พรรคชาติไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 โดยกลุ่มนักการเมืองซอยราชครู (พหลโยธินซอย 5) ที่เป็นเครือญาติกัน และเคยมีความใกล้ชิดกับพรรคเสรีมนังคศิลาในอดีต นำโดย พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร, พล.ต.ศิริ สิริโยธิน และพล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่การเมืองไทยอยู่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ตรงกับช่วงที่มีพรรคการเมืองต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยที่พรรคชาติไทยมีหัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 คน คือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และนายบรรหาร ศิลปอาชา", "title": "พรรคชาติไทย" }, { "docid": "458069#2", "text": "ผลของการเลือกตั้ง ปรากฏว่า พรรคประชากรไทยที่เพิ่งมีการก่อตั้งขึ้นมา โดย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของพรรค โดยสามารถได้รับเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ได้ถึง 29 ที่นั่ง จากทั้งหมด 32 ที่นั่ง โดยเหลือให้แก่ พันเอก ถนัด คอมันตร์ จากพรรคประชาธิปัตย์, หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และนายเกษม ศิริสัมพันธ์ จากพรรคกิจสังคม เพียง 3 ที่นั่งเท่านั้น ในขณะที่ภาพรวมทั้งประเทศ พรรคกิจสังคม ได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่ง คือ 88 ที่นั่ง ขณะที่ผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใด ได้ทั้งสิ้น 63 ที่นั่ง จากทั้งเสียงหมดในสภาผู้แทนราษฎร 301 เสียง จึงไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงเกินครึ่ง ทุกพรรคจึงมีมติสนับสนุนให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ ซึ่งต่อมาในวันที่ 12 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนับเป็นสมัยที่ 2", "title": "การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2522" }, { "docid": "374628#2", "text": "ในช่วงแรกของการก่อตั้งนั้นเป็นการรวมตัวกันของผู้ความสนใจการเมือง จึงมีการก่อตั้งพรรคขึ้นในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553 โดยมี นายวิบูลย์ แสงกาญจนวนิช เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และมีคณะกรรมการบริหารพรรครวม 11 คน จำนวนสมาชิก 18 คน หลังจากนั้นในวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553 หัวหน้าพรรค พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค จำนวน 5 คน ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง โดยในปัจจุบันมีคณะกรรมการทำหน้าที่รักษาการคณะกรรมการบริหารพรรค คือ", "title": "พรรคไทยสร้างสรรค์" }, { "docid": "4944#0", "text": "พรรคประชาธิปัตย์ (, ย่อ: ปชป.) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2489 เป็นพรรคการเมืองจดทะเบียนที่เก่าแก่ที่สุดของไทยที่ยังดำเนินการอยู่ พรรคมีสมาชิกที่ได้แจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ จำนวน 2,895,933 คน นับเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกมากที่สุดในประเทศไทย และมีสาขาพรรคจำนวน 175 สาขา นายควง อภัยวงศ์ ได้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2489 โดยการประชุมรวมตัวกันของนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่บริษัทของนายควง ที่ย่านเยาวราช แต่ทางพรรคถือเอาวันที่ 6 เมษายน เป็นวันก่อตั้งพรรค เพื่อให้ตรงกับวันจักรี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นฝ่ายค้านคานอำนาจของ นายปรีดี พนมยงค์ ต่อมานายปรีดีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังถูกกดดันจากกรณีสวรรคต ร.8 และรัฐสภาลงคะแนนให้ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้ใกล้ชิดนายปรีดี ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสืบต่อ", "title": "พรรคประชาธิปัตย์" }, { "docid": "371428#0", "text": "พรรคเอกภาพ () เป็นพรรคการเมืองของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2526 ในนาม พรรคประชาไทย โดยมีนายทวี ไกรคุปต์ เป็นหัวหน้าพรรค ต่อมาในวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 พรรคประชาไทยได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรครวมไทย และได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น พรรคเอกภาพ โดยได้ยุบรวมพรรคการเมืองขนาดเล็ก จำนวน 3 พรรค คือ พรรคกิจประชาคม ของนายบุญชู โรจนเสถียร พรรคก้าวหน้า ของนายอุทัย พิมพ์ใจชน และพรรคประชาชน ของนายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เข้ามารวมกับพรรครวมไทยและมี ส.ส.จากการรวมตัวในครั้งนี้จำนวน 61 คน และถือเป็นพรรคใหญ่อันดับ 2 ในสภาผู้แทนราษฎรขณะนั้น", "title": "พรรคเอกภาพ" }, { "docid": "101630#0", "text": "พรรคก้าวหน้า เป็นพรรคการเมืองแรกของประเทศไทยที่กำเนิดขึ้นมาภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ที่ให้สิทธิเสรีภาพในการตั้งพรรคการเมือง โดยที่ยังมิได้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองแต่อย่างใด จึงมิได้เป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากแต่มีรัฐธรรมนูญให้การรับรอง มีหัวหน้าพรรค คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และสมาชิกคนสำคัญ เช่น นายสุวิชช พันธเศรษฐ, นายสอ เศรษฐบุตร, พระยาสุรพันธุ์เสนี, ดร.โชติ คุ้มพันธ์, ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน, พระยาโทณวณิกมนตรี, นายเลียง ไชยกาล, นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็นตรงข้ามกับคณะราษฎรหลายประการ และหลายคนได้เข้าร่วมกับกบฏบวรเดช และถูกจับกุม เมื่อพ้นโทษออกมาจึงได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคขึ้น ต่อมาใน ปี พ.ศ. 2489 ได้มีการตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมา พรรคก้าวหน้าจึงยุบเข้ารวมเป็นพรรคเดียวกัน", "title": "พรรคก้าวหน้า (พ.ศ. 2488)" }, { "docid": "775636#0", "text": "พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคการเมืองของไทยในอดีตที่จดทะเบียนก่อตั้งตาม พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2498 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2498 โดยมีนาย เมธ รัตนประสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค มีร้อยโท จารุบุตร เรืองสุวรรณ บิดาของนาย จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอดีตหัวหน้า พรรคเพื่อไทย เป็นเลขาธิการพรรค ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 ได้มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งเลขาธิการพรรค เมื่อร้อยโท จารุบุตร ได้ลาออกจากตำแหน่ง และได้แต่งตั้งให้ บุญคุ้ม จันทรศรีสุริยวงศ์ ดำรงตำแหน่งแทน", "title": "พรรคเสรีประชาธิปไตย (พ.ศ. 2498)" }, { "docid": "651103#0", "text": "พรรคประชาชน (ชื่อเดิม พรรครักไทย) พรรคการเมืองไทยที่จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2526 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 พรรครักไทยได้เปลี่ยนแปลงชื่อพรรคเป็น พรรคประชาชน และในปี พ.ศ. 2531 ได้เปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่นำโดยกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ย้ายเข้ามาสังกัดพรรคประชาชนและได้ให้คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ เป็นรักษาการหัวหน้าพรรคและนางสาวนิตยา ภูมิดิษฐ์ เป็นรักษาการเลขาธิการพรรค ต่อมาอีกเพียง 15 วัน ที่ประชุมใหญ่ได้มีมติเลือกให้นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็นหัวหน้าพรรค และนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรคแทน และมีแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายเดโช สวนานนท์, นายไกรสร ตันติพงศ์, นายเลิศ หงษ์ภักดี, นายอนันต์ ฉายแสง, นายสุรใจ ศิรินุพงศ์, นายถวิล ไพรสณฑ์, นายพีรพันธุ์ พาลุสุข, นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์, นายกริช กงเพชร", "title": "พรรคประชาชน (พ.ศ. 2531)" } ]
1603
แชคิล ราชอน โอนีลมีบิดาชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "22214#1", "text": "แชคิล ราชอน (Shaquille Rashaun มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า นักรบน้อย) เป็นชื่อที่บิดาแท้ ๆ คือ โจเซฟ โทนี (Joseph Toney) เป็นคนตั้งให้ แต่โอนีลก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อมากนัก มารดาของเขา ชื่อ ลูซีลล์ โอนีล แฮริสัน (Lucille O'Neal Harrison) แต่งงานใหม่กับทหารอเมริกันชื่อ ฟิลิป แฮริสัน (Phillip Harrison) ซึ่งแชคเห็นเขาเป็นบิดาที่แท้จริง แชคได้ใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนหนึ่งในประเทศเยอรมนี ที่ที่พ่อ (ฟิลิป) ของเขาประจำการอยู่ และได้เรียนรู้วิธีการเล่นบาสเกตบอลที่นั่น", "title": "แชคิล โอนีล" } ]
[ { "docid": "22214#0", "text": "แชคิล ราชอน โอนีล () (เกิด 6 มีนาคม พ.ศ. 2515 ในเมืองนีวอร์ค รัฐนิวเจอร์ซีย์) เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า แชค (Shaq) เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง โอนีลเริ่มเล่นให้กับออร์แลนโด แมจิก ต่อมาเซ็นสัญญากับลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ก่อนจะถูกเทรดย้ายไปไมอามี ฮีท, ฟีนิกส์ ซันส์ และ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ ตามลำดับ มีชื่อเสียงเรื่องตัวใหญ่ด้วยความสูง 7 ฟุต 1 นิ้ว (2.16 ม.) หนัก 340 ปอนด์ (154 กก.) และใส่รองเท้าเบอร์ 22 (ของทางสหรัฐ) มีชื่อเล่นหลายชื่อ เช่น ดีเซล (Diesel) บิ๊กอริสโตเติล (Big Aristotle) ซูเปอร์แมน (Superman) และล่าสุดเมื่อได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจคือ ดอกเตอร์แชค (Doctor Shaq) ซึ่งส่วนใหญ่แชคเป็นคนตั้งเอง เขาเริ่มเล่นในเอ็นบีเอตั้งแต่อายุ 20 ปี และตลอดเวลาการเล่น 13 ปี สร้างผลงานที่เยี่ยมยอดและหลายคนถือว่าเขาเป็นเซ็นเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาทีเดียว", "title": "แชคิล โอนีล" }, { "docid": "677657#3", "text": "แอ็กเซิล โรส มีชื่อเกิดว่า วิลเลียม บรูซ โรส จูเนียร์ ในลาฟาแยต , อินเดียน่า เป็นลูกคนแรกของ ชารอน อี (née Lintner), ขณะนั้นชารอนอียังอายุสิบหก ซึ่งเธอกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษา และพ่อของเขา วิลเลียม บรูซ โรสขณะนั้นอายุยี่สิบ . พ่อของแอกโซลกล่าวว่า \"เธอเป็นตัวปัญหาในชุมชน\" และการตั้งครรภ์โดยไม่วางแผน. พ่อแม่ของเขาแยกทางกันเมื่อเขาอายุได้เพียงสองขวบ , พ่อของเขายังถูกกล่าวหาว่า ลักพาตัวและทำร้ายร่างกาย ก่อนที่จะหนีไปจากเมืองลาฟาแยต แม่ของเขาแต่งงานใหม่กับ สตีเฟ่น เอล เบลีย์ และเปลี่ยนชื่อลูกชายเป็น วิลเลียม บรูซ เบลีย์. เขามีสองพี่น้องที่อายุน้อยกว่า - น้องสาว เอมี่ และลูกพี่ลูกน้อง , จวร์ตส จนอายุได้ 17 , โรสเชื่อว่าไบลีย์เป็นพ่อแม่บุญธรรม เขายังไม่เคยพบพ่อแม่แท้ๆจนโตเป็นผู้ใหญ่ , วิลเลียม บรูซ , ซีเนียร์ เขายังไม่เคยพบพ่อแม่แท้ๆจนโตเป็นผู้ใหญ่ , วิลเลียม บรูซ ซีเนียร์พ่อแท้ๆของแอกแซล โรสถูกฆาตกรรมที่เมืองมาริออน , รัฐอิลลินอยส์ ในปี 1984 โดยถูกฆาตกรรมจากคนใกล้ตัวเองและถูกตัดสินลงโทษ โรซยังไม่ได้ทราบเรื่องคดีฆาตกรรมจนกระทั่งปีถัดมา", "title": "แอกเซล โรส" }, { "docid": "232329#0", "text": "นิโคล ริชชี () เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1981 เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน นักเขียน สาวสังคม นักร้องและพิธีกรรายการโทรทัศน์ เธอเป็นบุตรสาวของนักร้องแนวอาร์แอนด์บี/ป็อป ไลโอเนล ริชชี เธอโด่งดังจากผลงานในรายการเรียลลิตี้ ทางช่องฟ็อกซ์ ที่ชื่อ \"The Simple Life\" ที่ร่วมกับสาวสังคมอีกคน ปารีส ฮิลตัน เพื่อนสนิทของเธอ เธอมีบุตรสาวชื่อ ฮาร์โลว์ วินเทอร์ เคต แมดเดน กับแฟนหนุ่มโจเอล แมดเดน แห่งวงกู้ด ชาร์ล็อตต์", "title": "นิโคล ริชชี" }, { "docid": "92879#2", "text": "ไลโอเนล บร็อคแมน ริชชี จูเนียร์ เกิดและเติบโตใน ทัชกีซี , แอละแบมา เป็นลูกชายกของ อัลบาต้า อาร์ (ฟอร์เตอร์) และ ไลโอเนล บร็อคแมน ริชชี เขาเรียนที่มหาวิทยาลัยทัชกีซี บ้านของปู่ของเขาอยู่ฝั่งของบ้านผู้อำนวยการในมหาวิทยาลัย ครอบครัวของเขาย้ายไปยัง โจเลียต , อิลลินอยส์ แม่ของเขาอัลบาต้าเป็นผู้อำนวยการที่โรงเรียนประถม Eliza Kelly Elementary School พ่อของเขาทำงานอยู่ที่ Armcom แต่หมดสัญญาแล้วปัจจุบันทำงานอยู่ที่ Joliet Arsenal ริชชีจบการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียน Joliet Township High School และเป็นนักเทนนิสในเมืองโจลีต เขาได้รับการทุนศึกษาที่จะเรียนในสถานบัน Tuskegee Institute และออกจากสถาบัน Tuskegee Institute หลังจากเขาเรียนได้ในระดับปีที่สอง ริชชีมุ่งมั่นศึกษาเรื่องศาสนาจักรในโบสถ์ Episcopalian Church เหตุเพราะเขาอยากเป็นพระสงฆ์ แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เป็นพระสงฆ์และเขาก็ตัดสินใจที่จะมุ่งมันไปเอาดีด้านเพลงแทน เขายังเป็นสมาชิกของ Kappa Kappa Psi และเป็นสมาชิก Alpha Phi Alpha", "title": "ไลโอเนล ริชชี" }, { "docid": "519839#0", "text": "พระคุณานันทะเถระ เป็นพระชาวศรีลังกา ในปฐมวัยมีชื่อว่า ไมเคิล มารดาชื่อ มัลโด สิลวา บิดาชื่อ ไอเนริส แมนดิส บิดาเสียชีวิตปัจจุบันทันด่วนเมื่อไมเคิลยังเล็ก เด็กชายไมเคิลบวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ 12 ขวบที่วัดกุมารมหาวิหาร โดยความอุปถัมภ์ของดาเนียล วิชัยสุริยะ ในวัยบอกหนังสือ ร่ำเรียนทั้งหนังสือไบเบิล และวิชาพุทธศาสนา ผลงานของท่านเป็นที่แพร่หลายโดย พันเอกเฮนรี สตีล โอลกอตต์และจากหนังสือพิมพ์ Times of Ceylon ในขณะนั้น", "title": "พระคุณานันทเถระ" }, { "docid": "419231#1", "text": "ไบรอัน โอนีล ซึ่งเป็นพ่อของ ปีเตอร์ โอนีล เป็นผู้พิพากษาชาวออสเตรเลียเชื้อสายไอริช ส่วน อะแวมโบ ยารี ผู้เป็นแม่ของเขานั้น เป็นชาวปาปัวนิวกินี ซึ่งมาจากจังหวัดไฮแลนด์ใต้ และพ่อของเขาได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศปาปัวนิวกินีใน ค.ศ. 1949 ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่เขตรัฐบาลออสเตรเลีย มีความรู้ในภาษาทอกพิซินในฐานะตำแหน่งเจ้าหน้าที่อำเภอ ในภายหลังเขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาในโกโรกา จนกระทั่งเขาเสียชีวิตใน ค.ศ. 1982", "title": "ปีเตอร์ โอนีล" }, { "docid": "347458#5", "text": "เมื่อแรกเกิด นางตามารา โรโตโล ผู้เป็นมารดาได้ให้ข้อมูลในใบสูติบัตรของเธอ \"แจซมิน เกรซ กรีมัลดี\" และเขียนว่าบิดาของเด็กคือ \"อัลแบร์ อาแล็กซองดร์ หลุยส์ ปิแยร์ กรีมัลดี\" และเด็กที่เกิดใช้นามสกุลกรีมัลดี เรื่องนี้จึงมีการขึ้นศาลและยื่นฟ้องเจ้าชายอัลแบร์ให้รับผิดชอบในฐานะผู้เป็นพ่อต่อศาลแคลิฟอร์เนียครั้งหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1993 ผู้พิพากษาอาวุโสแกรเฮม แอนเดอร์สัน คริบบส์ได้ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปเนื่องจาก \"\"การขาดการติดต่อระหว่างอัลแบร์กับรัฐแคลิฟอร์เนียที่จะพิสูจน์คำร้องครั้งนี้\"\" และได้รับการยืนยันจากนายสแตนด์ลีย์ อาร์คิน ทนายส่วนพระองค์ของเจ้าชาย เนื่องจากเกินขอบเขตอำนาจศาลและกฎหมายของแคลิฟอร์เนีย", "title": "แจซมิน เกรซ กรีมัลดี" }, { "docid": "982264#4", "text": "เลวี เอชโคล (สโคลนิค) เกิดในชเทลของโอราทอฟ จังหวัดเคียฟ จักรวรรดิรัสเซีย (ปัจจุบันคือ\"โอราทีฟ\" แคว้นวินนีตเซีย ประเทศยูเครน) มารดาของเขาชื่อดโวรา (ชื่อเกิด ดโวรา คราสเนียนสกายา) มีภูมิหลังมาจากศาสนายูดาห์นิกายฮาซิด และบิดาของเขา (โจเซฟ โสโคลนิค) มาจากครอบครัวของมิสนักดิม ทั้งสองครอบครัวมีความมุ่งมั่นทางธุรกิจ และเป็นเจ้าของธุรกิจการเกษตร รวมทั้งโรงงานแป้ง, โรงงานอุตสาหกรรม และธุรกิจเกี่ยวกับป่าไม้", "title": "เลวี เอชโคล" }, { "docid": "775024#1", "text": "เอ็ดเวิร์ดเกิดในหมู่บ้านในชนบทที่ชื่อรีเซ็มบูล เขาอาศัยอยู่กับน้องชายพร้อมกับมารดา \"ทริชา\" และบิดา \"โฮเฮ็นไฮม์\" ต่อมาหลังจากเมื่อบิดาของเขาทอดทิ้งครอบครัวและออกจากบ้านไปตั้งแต่สองพี่น้องยังเล็กและมารดาก็เสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรัง ทั้งสองก็มุ่งมั่นศึกษาวิชาเล่นแร่แปรธาตุเพื่อหวังจะชุบชีวิตมารดาขึ้นมา โดยการไปฝึกฝนกับอาจารย์ที่ชื่อ \"อิซูมิ เคอร์ทิส\" ภายหลังจากการชุบชีวิตมารดาล้มเหลวและน้องชายกลายเป็นชุดเกราะ เอ็ดได้รับออโต้เมลล์จากครอบครัวร็อกเบล ซึ่งเป็นครอบครัวที่สนิทที่สุด และสองพี่น้องก็กลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับการคัดเลือกจากทางการให้บรรจุเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และได้รับฉายา \"นักเล่นแร่แปรธาตุเหล็กไหล\" จาก\"คิง แบร็ดลี\" ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพ และจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ทำให้เอ็ดเป็นคนที่เชื่อในกฎ \"การแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเที่ยม\" อย่างหนักแน่น", "title": "เอ็ดเวิร์ด เอลริค" } ]
1607
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองเกิดขึ้นในพ.ศ.อะไร?
[ { "docid": "44328#0", "text": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองหรือ สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งที่สองระหว่างราชวงศ์โกนบองแห่งพม่า กับราชวงศ์บ้านพลูหลวงแห่งอยุธยา ในการทัพครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีคนไทยเกือบสี่ศตวรรษได้เสียแก่พม่าและถึงกาลสิ้นสุดลงไปด้วย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "288334#8", "text": "ย่างเข้าปี พ.ศ. 2310 ในกรุงเกิดความระส่ำระสายกันดารอาหารอย่างหนัก พม่าตีค่ายป้องกันพระนครนอกกรุงได้ทั้งหมดและยิงปืนเข้ามาในกรุงทุกวัน กรุงศรีอยุธยาส่งทูตขอเลิกรบก็ไม่ยอม ทหารอยุธยาก็ทำการรบอย่างแข็งขันด้วยจวนตัว พม่าจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีขุดรากกำแพงทางตะวันออกเฉียงเหนือ กระทำการสองครั้ง จึงตีกรุงศรีอยุธยาแตก เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310", "title": "ข้อวินิจฉัยการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ" }, { "docid": "22602#14", "text": "โดยชุมนุมเจ้าพระฝาง เป็นชุมนุมอิสระสุดท้ายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝางได้นั้น นับเป็นการพระราชสงครามสุดท้ายที่ ทำให้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงบรรลุพระราชภารกิจสำคัญ ในการรวบรวมพระราชอาณาเขตให้เป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวดังเดิมหลังภาวะจลาจลเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 และทำให้สิ้นสุดสภาพจลาจลการแยกชุมนุมอิสระภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และนับเป็นการสถาปนากรุงธนบุรีได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ เมื่อสำเร็จศึกปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝาง ในปี พ.ศ. 2313", "title": "สภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "22602#0", "text": "สภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นการอธิบายถึงความแตกแยกระหว่างกลุ่มการเมืองน้อยใหญ่ในอาณาจักรอยุธยาเดิม ภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2310 โดยในทัศนะของนิธิ เอียวศรีวงศ์ สภาวะดังกล่าวแทบจะทำให้รัฐไทยล่มสลายลงไปตามเจตนาของพม่าในการรุกรานอาณาจักรอยุธยาเลยทีเดียว สภาวะดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ก่อนที่บ้านเมืองอันเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริงจะถูกสถาปนาขึ้นอีกครั้งหลังจากการปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก", "title": "สภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "44328#72", "text": "เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2497 อู นุ นายกรัฐมนตรีคนแรกของสหภาพพม่า ได้กล่าวขอโทษต่อสาธารณะถึงการกระทำผิดศีลธรรมในอดีตของพม่าระหว่างการเดินทางเยือนกรุงเทพมหานครอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ชาวพม่าส่วนใหญ่ในปัจจุบันทราบถึงรายละเอียดการขยายอาณาเขตของพระมหากษัตริย์ในอดีตเพียงผิวเผิน ทำให้หลายคนไม่ทราบถึงเหตุผลทางประวัติศาสตร์เบื้องหลังความเป็นปรปักษ์ของไทย และนโยบายพื้นที่กันชนของไทย ชาวพม่าจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ทหาร ไม่เชื่อในการรับประกันของรัฐบาลไทยที่ว่าไทยจะไม่ยินยอมให้มีกิจกรรมใด ๆ อัน \"บั่นทอนเสถียรภาพของประเทศเพื่อนบ้าน\". ในหลักฐานของทั้งสองฝ่ายพบว่ามีเวลาที่เสียกรุงแตกต่างกัน หลักฐานไทยกล่าวว่า การเสียกรุงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 (เมื่อเทียบกับการนับเวลาทางจันทรคติ) ในพงศาวดารพม่าระบุว่า ทัพพม่าตีเข้าพระนครศรีอยุธยาได้ในเวลาตี 4 กว่า ของวันพฤหัสบดี ขึ้น 11 ค่ำ เดือนเมษายน พุทธศักราช 2310 ตรงกับจุลศักราช 1129 นอกจากนี้ ยังมีบันทึกอีกว่า พม่าสามารถเข้ากรุงศรีอยุธยาได้ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2310 ซึ่งสาเหตุที่นับวันแตกต่างกันนี้ อาจเนื่องมาจากนับวันที่ต่างกัน หรือใช้หลักเกณฑ์แตกต่างกันก็เป็นได้", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "44328#1", "text": "ยุทธนาการนี้เป็นผลพวงของสงครามพระเจ้าอลองพญาเมื่อ พ.ศ. 2303 และอุบัติขึ้นใน พ.ศ. 2308 เมื่อพม่าส่งกองทัพเข้าบุกครองอยุธยาเป็นสองทางแบบคีม ทัพพม่าพิชิตการป้องกันของฝ่ายอยุธยาที่ประกอบด้วยกำลังอันเหนือกว่าแต่ขาดการประสานงานกันได้ และเริ่มล้อมกรุงศรีอยุธยานาน 14 เดือน กระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2310 พระเจ้าเอกทัศทรงยอมเป็นประเทศราชของพม่า แต่พม่าประสงค์ให้ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในที่สุด กองทัพพม่าหักเข้าพระนครได้เป็นครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ แล้วทำลายล้างพระนคร ทำให้ความสัมพันธ์ไทย-พม่าเสื่อมลงจนถึงปัจจุบัน", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
[ { "docid": "44328#67", "text": "หากแต่ประเด็นที่โดดเด่นกว่า คือ ความแตกต่างในจุดประสงค์ของสงครามคราวเสียกรุงทั้งสองครั้งมากกว่า เพราะในสมัยพระเจ้าบุเรงนอง เมื่อปี พ.ศ. 2112 เป้าหมายในการทัพครั้งนั้นเป็นเพียงการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาจักรตองอู โดยประสงค์เพียงจะตีเอากรุงศรีอยุธยาเป็นประเทศราชเท่านั้น แต่เป้าหมายในการทัพครั้งนี้ เป็นการสร้างความแตกแยกให้กับกลุ่มการเมืองทั้งหลายในอาณาจักรอยุธยา หรือไม่ก็ทำลายลักษณะทางกายภาพ ทรัพยากรมนุษย์ ทรัพย์ทางคติความเชื่อศิลปะ และทรัพย์ทางปัญญาจนไม่อาจฟื้นฟูได้", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "44328#51", "text": "ผลกระทบโดยตรงของสงครามคราวเสียกรุงครั้งนี้ คือ การเกิดทุพภิกขภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ทหารพม่าได้ทำลายไร่นาสวนในภาคกลาง ราษฎรไม่มีโอกาสทำมาหากินอย่างปกติ ซ้ำยังทำให้เศรษฐกิจของรัฐไทยตกต่ำอย่างหนักด้วยการปล้นท้องพระคลัง เผาบ้านเรือน วัด และสถานที่ราชการทั้งหลาย ทั้งนี้ ในระหว่างการทัพเองก็มีเรือต่างประเทศจะนำเสบียงและยุทธภัณฑ์มาช่วยเหลืออยุธยา แต่ทัพเรือพม่าก็ขัดขวางจนมิอาจให้ความช่วยเหลือได้", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "44328#15", "text": "ฝ่ายทัพมังมหานรธา ราว พ.ศ. 2307 มีราชการต้องปราบกบฏที่ทวาย ต่อมาโจมตีลึกเข้าไปถึงเพชรบุรี แต่ถูกขัดขวางจากทัพอยุธยาต้องยกทัพกลับ ศึกครั้งนี่อยุธยาเสียทวาย และตะนาวศรีเป็นการถาวร หลังจากที่ได้พักค้างฝนที่ทวายใน พ.ศ. 2308 พร้อมกะเกณฑ์ไพร่พลจากหงสาวดี เมาะตะมะ มะริด ทวาย และตะนาวศรี เข้าสมทบในกองทัพ จนย่างเข้าฤดูแล้ง พ.ศ. 2307 จึงได้เคลื่อนทัพเข้าสู่อาณาจักรอยุธยาตามนัดหมายในเวลาใกล้เคียงกับทัพของเนเมียวสีหบดี", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" }, { "docid": "44328#38", "text": "พงศาวดารไทยและพม่าไม่ค่อยจะกล่าวถึงชาวบ้านบางกระจันมากนัก โดยเป็นการกล่าวถึงแบบรวบรัด เนื่องจากพงศาวดารมักจะกล่าวถึงความขัดแย้งในระดับรัฐต่อรัฐเท่านั้นหรือเพราะชาวบ้านบางระจันทำการรบเพื่อป้องกันตนเอง หรือมิฉะนั้นก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเลยก็เป็นได้ ในพงศาวดารพม่ากล่าวถึง \"ผู้นำเล็กน้อย\" ที่หยุดการรุกกองทัพฝ่ายเหนือ แต่ระบุไว้ว่า เกิดขึ้นในช่วงต้นของการทัพตามแม่น้ำวัง ช่วงฤดูฝน (สิงหาคม-ตุลาคม) แม่ทัพพม่าผู้ประจำอยู่ใกล้กับอยุธยาเวลานั้น มิใช่เนเมียวสีหบดี แต่เป็นมังมหานรธา ซึ่งกองทัพฝ่ายใต้ได้ตั้งรอกองทัพฝ่ายเหนือนานนับเดือน ดูเหมือนว่าการบรรยายทั้งสอง ผู้นำเล็กน้อยที่ต้านทานเนเมียวสีหบดีในทางเหนือ และมังมหานรธาที่รั้งทัพไว้ที่กรุงศรีอยุธยา ผสมกันจนเกิดเป็นตำนานดังกล่าวขึ้น", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
1609
อาณาจักรล้านช้าง ตั้งอยู่ที่ไหน?
[ { "docid": "72960#0", "text": "อาณาจักรล้านช้าง () เป็นอาณาจักรของชนชาติลาวซึ่งตั้งอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง มีอาณาเขตอยู่ในบริเวณประเทศลาวทั้งหมด ตลอดจนพื้นที่บางส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย โดยมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งการเมืองการปกครอง ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนพระพุทธศาสนา ที่มีพัฒนาการเคียงคู่มาพร้อมกันอาณาจักรอื่น ๆ ใกล้เคียง ทั้งล้านนา สยาม พม่า และเขมร", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "158684#0", "text": "ราชอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ คืออาณาจักรลาวล้านช้างที่ตั้งอยู่ทางต้นใต้ของประเทศลาวในปัจจุบัน ดำรงอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2256 ถึง พ.ศ. 2489 เป็นเวลา 236 ปี อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ตกเป็นประเทศราชของไทยจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อฝรั่งเศสเข้ามาครอบครองบริเวณประเทศลาวทั้งหมด จำปาศักดิ์ถูกยุบรวมเข้ากับอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง กลายมาเป็นราชอาณาจักรลาว เมื่อปี พ.ศ. 2489", "title": "อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์" }, { "docid": "75432#9", "text": "อาณาจักรลาวล้านช้าง หรือ \"แผ่นดินแห่งช้างล้านตัว\" เริ่มในปี ค.ศ. 1354 เมื่อพระยาฟ้างุ้ม () (ค.ศ. 1354 - 1373) กลับมายังเมืองซวา (, เปลี่ยนชื่อเป็น \"เซียงทอง\" หรือ \"เชียงทอง\" () ปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ หลวงพระบาง จากเมืองนี้ล้านช้างขยายอาณาเขตไปถึงบริเวณของประเทศลาวทั้งหมดและบริเวณที่ราบสูงโคราชของประเทศไทย รวมทั้งบางส่วนของสิบสองปันนาในภาคใต้ของประเทศจีน สิบสองจุไทย ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม และ เชียงแตง บริเวณจังหวัดสตึงแตรง ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน", "title": "ลาว (กลุ่มชาติพันธุ์)" } ]
[ { "docid": "480013#0", "text": "อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ เป็นอาณาจักรทางตอนกลางของประเทศลาว และ ภาคอีสานตอนบนของประเทศไทยในปัจจุบัน อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ครอบคลุม ภาคอีสานตอนบน แขวงเวียงจันทน์ นครหลวงเวียงจันทน์ กรุงเวียงจันทน์ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศและบริเวณใกล้เคียง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ติดกับอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง และอาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ เมื่อถึง พ.ศ. 2436 อาณาจักรล้านช้างทั้ง 3 ส่วนจึงได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเป็นพระราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2496 รวมลาวอยู่ภายใต้อาณานิคมของฝรั่งเศสเป็นเวลา 60 ปี", "title": "อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์" }, { "docid": "75432#12", "text": "อาณาจักรล้านช้างถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักร ได้แก่ อาณาจักรจำปาศักดิ์ อาณาจักรเวียงจันทน์และอาณาจักรหลวงพระบาง ซึ่งต่อมาทั้งสามอาณาจักรก็ได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยาม ส่วนที่เหลือของกลุ่มล้านช้างได้รวบรวมผู้คนของพวกเขาขึ้นในศตวรรษที่ 18 และ 19 นำไปสู่การก่อกบฏในลาวของเจ้าอนุวงศ์ () ต่อต้านอิทธิพลของสยามขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่ก็ถูกปราบปรามจนพ่ายแพ้ไป", "title": "ลาว (กลุ่มชาติพันธุ์)" }, { "docid": "72960#27", "text": "อาณาจักรนี้คืออาณาจักรที่สืบทอดจากอาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคนหุตเดิม มีอาณาปกครองดินแดนลาวภาคกลางในปัจจุบัน มีพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 2 เป็นปฐมกษัตริย์ พระไชยเชษฐาองค์นี้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ที่จักรวรรดิเวียดนาม ซึ่งมีราชธานีในขณะนั้นอยู่ที่เมืองเว้ คนทั้งหลายจึงขนานพระนามอีกอย่างว่าพระไชยองค์เว้หรือพระไชยองค์เวียด พระองค์ได้นำกำลังจากเวียดนามเข้ายึดกรุงเวียงจันทน์จับเจ้านันทราชสำเร็จโทษ แล้วราชาภิเษกพระองค์เองเป็นกษัตริย์ในปี พ.ศ. 2241 จากนั้นจึงทรงตั้งท้าวลองเป็นเจ้าอุปราชครองเมืองหลวงพระบางแต่ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวลาวทั้งมวล เพราะพระองค์มีความใกล้ชิดกับจักรวรรดิเวียดนาม", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "572345#3", "text": "เมื่อถึงรัชสมัยพระเจ้าฟ้างุ้ม ได้ทรงรวบรวมเมืองต่าง ๆ ของลาวเข้ามาเป็นอาณาจักรเดียวกันชื่อว่าอาณาจักรล้านช้าง มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง แต่เมื่อพระเจ้าฟ้างุ้มสิ้นพระชนม์ อาณาจักรล้านช้างเริ่มตกต่ำลงเพราะสงครามแย่งชิงอำนาจและการก่อกบฏต่าง ๆ นานนับร้อยปี จนถึง พ.ศ. 2063 พระเจ้าโพธิสารราชขึ้นครองราชย์และได้รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ต่อมาพระโอรสคือพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างมาอยู่ที่กรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) เพื่อหลีกเลี่ยงอิทธิพลของอาณาจักรตองอู อาณาจักรล้านช้างมีความเจริญมา 200 ปีเศษก็เริ่มอ่อนแอลง หัวเมืองต่างๆ แตกออกเป็น 3 ฝ่าย คือ อาณาจักรหลวงพระบาง อาณาจักรเวียงจันทน์ และอาณาจักรจำปาศักดิ์ ตรงกับสมัยกรุงธนบุรีของสยาม ขณะนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชระแวงว่าลาวจะร่วมมือกับพม่ายกทัพมาตี จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ 1) ยกทัพไปตีลาวทั้ง 3 อาณาจักรตกเป็นเมืองขึ้นของสยามนานถึง 114 ปี จนถึงปี พ.ศ. 2436 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ภายหลังวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ดินแดนลาวฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงรวมทั้งแขวงจำปาศักดิ์บางส่วนตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ขณะที่ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงบริเวณเมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งเดิมขึ้นอยู่กับมณฑลอุบลตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในเวลาต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2447", "title": "แขวงจำปาศักดิ์" }, { "docid": "72960#9", "text": "หลังพระยาล้านคำแดงเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 1971 แล้ว อาณาจักรล้านช้างกลับตกอยู่ในสภาพระส่ำระสาย เพราะอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอย่างแท้จริงได้ตกอยู่ในมือของพระนางมหาเทวีอามพัน (หรือนางแก้วพิมพา) ซึ่งเป็นพระขนิษฐาของพระยาล้านคำแดง พระองค์ได้ทรงใช้อำนาจที่ทรงมีอยู่แต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองราชอาณาจักรตามอำเภอใจ หากไม่พอใจพระเจ้าแผ่นดินองค์ไหนก็ปลดออกจากตำแหน่งหรือลอบปลงพระชนม์เสีย กษัตริย์ล้านช้างในช่วงนี้จึงไม่มีองค์ใดอยู่ในราชสมบัติได้นานนัก ส่วนมากทรงครองราชย์อยู่ได้ไม่ถึงปี สร้างความปั่นป่วนแก่ราชสำนักและยังความเสียหายต่อการบริหารราชการแผ่นดินเป็นอย่างยิ่ง ในปี พ.ศ. 1981 บรรดาขุนนางทั้งหลายจึงปรีกษากันว่าจะเอาพระนางมหาเทวีไว้ไม่ได้จึงพร้อมในกันจับตัวพระนางสำเร็จโทษ แล้วเชิญพระราชโอรสของพระยาล้านคำแดงขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว อาณาจักรล้านช้างจึงกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เป็นการยุติความยุ่งเหยิงซึ่งกินเวลานานถึงสิบกว่าปี", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "72960#29", "text": "อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางถือกำเนิดจากความแตกแยกระหว่างเวียงจันทน์และหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2250 ดังได้กล่าวมาแล้ว มีอาณาปกครองดินแดนลาวภาคเหนือในปัจจุบัน มีพระเจ้ากิ่งกิสราชเป็นปฐมกษัตริย์ (พ.ศ. 2249 - 2256) และมีเชื้อสายกษัตริย์สืบราชสมบัติต่อมาจนกระทั่งประเทศลาวเป็นเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2492 และเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรลาวต่อมาจนถึงปี พ.ศ. 2518 ในยุคแรกอาณาจักรนี้เกิดการแย่งชิงอำนาจภายในของตนเองเป็นระยะ และมีการจะขอกำลังจากรัฐที่ใหญ่กว่าอย่างพม่ามาช่วยเหลือเสมอ แน่นอนว่าฝ่ายหลวงพระบางก็ไม่ไว้ใจและหาทางทำลายฝ่ายเวียงจันทน์เช่นกัน", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" }, { "docid": "72960#2", "text": "นักประวัติศาสตร์ลาวเชื่อว่า ชาวลาวเดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหกับแม่น้ำแยงซีเกียงแถบมณฑลเสฉวนในประเทศจีนปัจจุบัน ต่อมาได้ถูกจีนรุกรานจึงได้อพยพมาทางตอนใต้ของเสฉวนจนถึงยูนนาน ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหนองแสหรืออาณาจักรน่านเจ้าโดยได้มีความเจริญรุ่งเรืองและดำรงเอกราชมากว่าร้อยปี (ปัจจุบันมีการพิสูจน์ว่าอาณาจักรน่านเจ้าเป็นอาณาจักรของชนชาติต้าหลี่ ไม่ใช่ของชนชาติไท-ลาว) จนถึงสมัยของขุนบรมราชาธิราชพระองค์ได้ทรงสถาปนาเมืองใหม่ที่นาน้อยอ้อยหนู โดยให้ชื่อว่า \"เมืองแถน\" หรือ \"เมืองกาหลง\" (มหาสิลา วีระวงส์ เชื่อว่าคือเมืองแถงหรือเดียนเบียนฟูในดินแดนสิบสองจุไท ประเทศเวียดนามปัจจุบัน", "title": "อาณาจักรล้านช้าง" } ]
1617
โดราเอมอน ชอบกินอะไร?
[ { "docid": "768#11", "text": "โดราเอมอนหรือโดเรมอน เป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคตกลับมาช่วยเหลือโนบิตะ โดยเซวาชิผู้เป็นเหลนของโนบิตะเป็นผู้ส่งมา โดเรมอนกลัวหนูมากเพราะเคยโดนหนูกัดหูจนต้องตัดหูทิ้ง ชอบกินโดรายากิเนื่องจากตอนที่อยู่โลกอนาคตยังไม่มาหาโนบิตะ โดเรมอนได้รับโดรายากิกับแมวผู้หญิงตัวหนึ่งซึ่งน่ารักมาก โดเรมอนจึงชอบเป็นพิเศษและเขาจะมีอารมณ์โกรธทันทีเมื่อมีใครเรียกเขาว่า \"แรคคูน\" หรือ \"ทานุกิ\"", "title": "โดราเอมอน" } ]
[ { "docid": "13714#0", "text": "โดราเอมอน (Doraemon) เป็นตัวละครจากการ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน หรือ โดเรม่อน เป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคตในยุค คริสต์ศตวรรษที่ 21\n เกิดวันที่ 3 กันยายน ลักษณะตัวอ้วนกลมสีฟ้า (เมื่อแรกเกิดมามีสีเหลือง) ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูแทะ มีหน้าที่เป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงซึ่งคนที่ซื้อโดราเอมอนมาคือ เซวาชิ เหลนของ โนบิตะ วันหนึ่งเซวาชิเกิดอยากรู้สาเหตุที่ฐานะทางบ้านยากจนจึงได้กลับไปในอดีตด้วยไทม์แมชชีนจึงได้รู้ว่าโนบิตะ (ผู้เป็นเทียด) เป็นตัวต้นเหตุ เซวาชิจึงได้ตัดสินใจให้โดราเอมอนย้อนเวลาไปคอยช่วยเหลือดูแลเวลาโนบิตะโดนแกล้งโดยใช้ของวิเศษที่หยิบจากกระเป๋า 4 มิติ", "title": "โดราเอมอน (ตัวละคร)" }, { "docid": "768573#2", "text": "เมื่อโดราเอมอนเล่นเกมเสร็จก็ออกมาจากฮีโร่แมชชีน และเมื่อโนบิตะกลับมาก็จะชวนเล่นเกมด้วย เมื่อโนบิตะกลับมาก็ไปบอกทุกคนว่าหงอคงมีตัวตนอยู่จริง และพาทุกคนรวมถึงโดราเอมอนไปดูด้วย ทว่าเพราะไทม์แมชชีนที่ไปเมื่อกี้เป็นการคาดเดาเวลาและสถานที่ ดังนั้นที่ที่ออกมาเลยต่างจากเมื่อกี้นี้ แต่ทว่า ทุกคนถูกโจรภูเขาไล่ตามมา เมื่อหลบได้แล้วโนบิตะบอกความจริงโดราเอมอนว่าโนบิตะเห็นหงอคงจริงๆ และไปเจอเด็กผู้ชายคนนั้นซึ่งเขาเรียกโนบิตะว่าหงอคงด้วย ทั้งๆ ที่ไม่มีวุ้นแปลภาษา โดราเอมอนเริ่มสงสัยแล้วว่าใช้ของวิเศษของเขาไปหรือเปล่า ต่อมาไจแอนท์เริ่มยัวะที่ไม่เห็นหงอคง แต่เห็นกลุ่มคนจากระยะไกลโดราเอมอนเลยใช้ดาวเทียมสอดแนมเพื่อดูว่าเป็นใคร แล้วก็พบว่าเป็นพระถังซำจั๋ง ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง แต่ผู้ติดตามตัวอื่นๆ (หงอคง, โป๊ยก่าย, และซัวเจ๋ง) ไม่มีตัวตนอยู่จริง โนบิตะต้องรักษาสัญญาที่ไว้ให้กับไจแอนท์โดราเอมอนเลยพาโนบิตะไปหลบแล้วเอาฮีโร่แมชชีนออกมาเพื่อให้โนบิตะแต่งกายเป็นหงอคง เมื่อเกมเริ่มแล้วโดราเอมอนให้โนบิตะออกมาจากเกมแล้วให้เพื่อนๆ ได้เห็น แต่ระหว่างนั้นราชาปีศาจวัวและลูกสมุนต่างๆ ในฮีโร่แมชชีนได้ออกมาจากเกมแล้ว! และหงอคงโนบิตะก็หลุดปากไปตอนที่ไจแอนท์เรียกโนบิตะ ทำให้ต้องเปิดเผยความลับ ซึ่งก็คือฮีโร่แมชชีน จากนั้นทุกคนกลับไปยังปัจจุบันแล้วไจแอนท์ให้โดราเอมอนเอาฮีโร่แมชชีนออกมาให้เล่นเพื่อเล่นไซอิ๋ว ไจแอนท์และซึเนะโอะอยากเป็นหงอคง โดราเอมอนเลยบอกให้ทำตามที่คอมพิวเตอร์สั่ง เมื่อทุกคนเข้าไปแล้วโดราเอมอนเห็นท้องฟ้าผิดปกติและน่ากลัว ในฮีโร่แมชชีนคอมพิวเตอร์เลือกบทให้โดยไจแอนท์เป็นโป๊ยก่าย ซึเนะโอะเป็นซัวเจ๋ง ชิซุกะเป็นพระถังซำจั๋ง และโนบิตะเป็นหงอคง ไจแอนท์โมโหที่ไม่ได้เล่นเป็นหงอคง จากนั้นเกมก็เริ่มขึ้น แต่มันก็จบลงอย่างง่ายดายโดยที่ไม่มีปีศาจออกมาสักตนเดียว ทุกคนรู้สึกไม่สนุกเลยเลยบอกว่าไม่มีปีศาจเลย โดราเอมอนก็รู้สึกแปลกๆ ว่าทำไม จากนั้นทุกคนก็กลับบ้าน โดราเอมอนและโนบิตะโกรธกัน คืนนั้นคุณแม่เรียกทั้งสองลงมากินข้าว โนบิตะรู้สึกแปลกๆ เพราะเงาคุณพ่อเหมือนปีศาจเปี๊ยบเลย แต่ตัวจริงยังเหมือนเดิม และที่อาหารวันนี้อร่ิยผิดปกติเพราะเป็นงูชุบแป้งทอด โดราเอมอนและโนบิตะช็อกที่กินอะไรไป และคุณแม่ก็เอาซุบตุ๊กแกมาเสิร์ฟ ทั้งสองเลยขอตัวขึ้นไปนอนก่อน ระหว่างที่ทั้งสองนอนอยู่ก็รู้สึกผิดปกติ และมาหงุดหงิดใส่กัน ส่วนนอกบ้านมีค้างคาวเกาะอยู่เต็มไปหมด", "title": "โดราเอมอน ตอน ตำนานเทพนิยายไซอิ๋ว" }, { "docid": "13714#3", "text": "ฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ 1 ในนักวาดการ์ตูน ได้เผอิญเห็นแมวจรจัดที่มักแอบเข้ามาเล่นที่บ้านของตนเองเป็นประจำ เขามักจะชอบจับแมวตัวนี้มาหาหมัด จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4.00 น. ก็ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องใหม่ ทำให้ฮิโรชิโมโหตัวเองเป็นอย่างมาก และคิดเลยเถิดไปว่าโลกนี้น่าจะมีไทม์แมชชีน เพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต หลังจากนั้นฮิโรชิได้เผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้เขาตกใจว่าตนเองเผลอหลับไป จึงรีบวิ่งลงจากบันไดบ้านไปสะดุดกับตุ๊กตาล้มลุกญี่ปุ่นของลูกสาวที่ตกอยู่บนพื้น", "title": "โดราเอมอน (ตัวละคร)" }, { "docid": "768#48", "text": "การ์ตูนเรื่อง โดราเอมอน เป็นการ์ตูนที่ไม่สมบูรณ์คือไม่มีตอนจบ เนื่องจากผู้เขียนได้เสียชีวิตไปก่อน แต่ก็มีหลายกระแสที่ออกมาบอกว่าผู้แต่งได้วางโครงเรื่องไว้ในตอนจบ ซึ่งต่างกันหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่ที่นักอ่านชาวไทยรู้กันดีคือ โดราเอมอนและตัวละครเสริมอื่นๆ นั้นไม่มีจริง มีแค่ โนบิ โนบิตะ เพียงคนเดียว ซึ่งโนบิตะในตอนจบนั้นที่จริงแล้วเป็นเด็กที่ไม่สบายใกล้เสียชีวิต อยู่ใน โรงพยาบาล และเพื่อนๆ ยืนอยู่ข้างเตียงของโนบิตะที่ใกล้ตายอยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งตอนจบนี้มีความสะเทือนใจอย่างมาก ผิดไปจากการ์ตูนหลายๆ เรื่องที่ผู้เขียนเคยแต่งมา ซึ่งส่วนใหญ่จะจบลงด้วยดีมาตลอด", "title": "โดราเอมอน" }, { "docid": "478190#2", "text": "ที่พิพิธภัณฑ์ของวิเศษในโลกอนาคตแห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งเก็บรวบรวมของวิเคษตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันไว้หมดทุกอย่างและจอมโจรดีลักซ์ก็หมายตาของวิเศษของที่นี่อยู่เหมือนกัน พวกโนบิตะจึงได้ร่วมมือกับ สารวัตมัสตาร์ด เพื่อค้นหากระดิ่งห้อยคอของโดราเอมอนโดยมี เคิร์ต เด็กหนุ่มผู้มีความมุ่งมั่นอยากเป็นช่างฝีมือทำของวิเศษ เป็นคนนำทางสำรวจตรวจสอบดูในพิพิธภัณฑ์ พวกโนบิตะจะได้กระดิ่งห้อยคอของโดราเอมอนกลับคืนมาหรือไม่ และตัวจริงของจอมโจรดีลักซ์เป็นใคร แล้วเขามีจุดประสงค์อะไรถึงได้ขโมยกระดิ่งห้อยคอของโดราเอมอนกันแน่", "title": "โดราเอมอน ตอน โนบิตะล่าโจรปริศนาในพิพิธภัณฑ์ของวิเศษ" }, { "docid": "13714#8", "text": "นอกจากนั้น โดราเอมอนยังมีน้องสาวชื่อโดเรมี ที่จริงก็แค่ใช้เศษเหล็กแบบเดียวกันในการผลิตแต่โดเรมีใช้น้ำมันรุ่นใหม่ ขณะที่ผลิตโดราเอมอนอยู่ถูกฟ้าผ่าทำให้ตื่นก่อนกำหนดกับเผลอทำชิปควบคุมหลักหล่นหายไป 1 ส่วนจึงทำให้ประสิทธิภาพของโดราเอมอนนั้นต่ำกว่าหุ่นยนต์รุ่นเดียวกันมากจึงหยิบของวิเศษผิดพลาดบ่อยๆ กับกายภาพอ่อนแอ และกินจุมากกว่าด้วย", "title": "โดราเอมอน (ตัวละคร)" }, { "docid": "460615#0", "text": "โดราเอมอน ตอน โนบิตะผจญภัยในเกาะมหัศจรรย์ () เป็นโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว ผลงานของ ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ ภาพยนตร์ชุดนี้ถือเป็นตอนที่ 32 ของโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ โดยได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์เมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) และถือเป็นการครบ 100 ปีก่อนวันเกิดของโดราเอมอน ซึ่งเกิดในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2112 (พ.ศ. 2655) รวมถึงได้รับการผลิตเป็นวิดีโอเกมสำหรับระบบ นินเทนโด ทรีดีเอส เข้าฉายในประเทศไทยในวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555 \nโดยฉายไปได้ 5 สัปดาห์ รายได้รวมที่ฉายในประเทศไทย $354,767 (ซึ่งเป็นรายได้ที่มากกว่าของ 2 ตอนที่ผ่านมา)", "title": "โดราเอมอน ตอน โนบิตะผจญภัยในเกาะมหัศจรรย์" }, { "docid": "13714#9", "text": "โดราเอมอนมีหุ่นผู้ช่วยคือมินิโดรา เป็นหุ่นโดราเอมอนขนาดเล็กจำนวนมาก โดยทุกตัวจะไม่มีหูกับมีสีที่แตกต่างกันไป จะพูดแต่คำว่า \"โดราโดรา\" เท่านั้น เป็นภาษาที่มีแต่หุ่นยนต์รุ่นโดรา อย่างโดราเอมอน,โดเรเท่านั้นที่เข้าใจ มินิโดราจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแทนตอนโดราเอมอนไม่อยู่หรือมาช่วยซ่อมโดราเอมอนพัง จะมาช่วยซ่อมให้ เพราะถูกสร้างขึ้นมาโดยใช้โดราเอมอนเป็นต้นแบบ จึงถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าพร้อมกับของวิเศษ ในโหมดปิดตัวตลอด", "title": "โดราเอมอน (ตัวละคร)" }, { "docid": "126988#0", "text": "โดราเอมอน ตอน โนบิตะนักบุกเบิกอวกาศ () เป็นโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยาว ผลงานของ ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ สร้างโดยชินเอโดงะ โชงะกุกัง และทีวีอาซาฮี มีความยาวทั้งสิ้น 90 นาที ภาพยนตร์ชุดนี้ถือเป็นตอนที่ 2 ของโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์ ออกฉายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1981 โดยฉายควบกับเรื่อง \"ไคบุทสึคุง ตอน ขอเชิญชวนสู่ไคบุทสึแลนด์\" (怪物くん 怪物ランドへの招待) และเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525) ซึ่งใช้ชื่อตอนว่า \" โดเรม่อนบุกพิภพอวกาศ\" ส่วนฉบับหนังสือการ์ตูน ได้ลิขสิทธิ์จัดพิมพ์โดยเนชั่นเอ็ดดูเทนเมนท์", "title": "โดราเอมอน ตอน โนบิตะนักบุกเบิกอวกาศ" } ]
1619
สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3มีคำขวัญประจำสถานีฯ ว่าอะไร?
[ { "docid": "43460#26", "text": "เมื่อปี พ.ศ. 2524 ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยอนุมัติของ นายวิชัย มาลีนนท์ และผู้บริหารสถานีฯ ได้จัดกิจกรรมให้ผู้ชมร่วมเสนอคำขวัญประจำสถานีฯ ทว่าไม่มีคำขวัญใดที่ได้รับการคัดเลือก ทั้งนี้ ในอีกสามปีต่อมา นายวิชัย พร้อมด้วยผู้บริหารไทยทีวีสีช่อง 3 นำคำขวัญ ซึ่งได้มาจากการเสนอของผู้ชมในครั้งแรก มารวมเข้ากับแนวคิดของพนักงานเจ้าหน้าที่ของสถานีฯ จนกระทั่งได้คำขวัญว่า \"คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่อง 3\" โดยนำมาเผยแพร่ออกอากาศครั้งแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2527 เนื่องในโอกาสที่สถานีฯ มีอายุครบ 15 ปี ในวันที่ 26 มีนาคม ปีเดียวกันนั้น", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "43460#0", "text": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อ.ส.ม.ท. เป็นสถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน (Terrestrial Television) แห่งที่ 4 ของประเทศไทย ดำเนินกิจการโดย\"บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด\" ภายใต้สัญญาสัมปทานกับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เริ่มแพร่ภาพเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2513 เวลา 10:00 น. ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ออกอากาศด้วยระบบวีเอชเอฟ ความถี่ต่ำ ทางช่องสัญญาณที่ 3 จนถึงปี พ.ศ. 2550 หลังจากนั้น จึงเปลี่ยนมาออกอากาศในระบบยูเอชเอฟ ทางช่องสัญญาณที่ 32 โดยที่เริ่มแพร่ภาพคู่ขนาน (simulcast) กับโทรทัศน์ระบบดิจิทัล ช่องหมายเลข 33 ภาพคมชัดสูง ของ\"บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด\" ตามคำสั่งของศาลปกครอง ตั้งแต่เวลา 21:19 น. ของวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557 มีคำขวัญประจำสถานีฯ ว่า \"คุ้มค่าทุกนาที ดูทีวีสีช่อง 3\" โดยมีประสาร มาลีนนท์ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555 แทนประวิทย์ มาลีนนท์ ที่ขอลาออกเนื่องจากมีปัญหาเรื่องสุขภาพ", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" } ]
[ { "docid": "43460#33", "text": "หลังจากนั้นไม่นาน ภาพสัญญาณก็ดับไปอีก แต่หากรับชมผ่านระบบยูเอชเอฟ ช่อง 32 ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง จะมีภาพตราสัญลักษณ์ของสถานีฯ ส่วนล่างของจอ ระบุข้อความ \"สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3\" และมีเสียงดังปี๊บอยู่ตลอดเวลา แต่หากชมผ่านดาวเทียมไทยคม ระบบซี-แบนด์ ซึ่งไทยทีวีสีช่อง 3 ออกอากาศอยู่ในสองความถี่คือ ดาวเทียมไทยคม 2 ที่ความถี่ 3967/H/4550 ซึ่งปรากฏภาพเช่นเดียวกับการรับชมผ่านระบบยูเอชเอฟ และดาวเทียมไทยคม 5 ที่ความถี่ 3803/V/4551 ซึ่งไม่มีสัญญาณ ปรากฏเป็นสีดำ จากนั้นในเวลา 21.15 น. สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส (สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ในขณะนั้น) รายงานข่าวว่า ในวันที่ 20 พฤษภาคม ไทยทีวีสีช่อง 3 จะงดการออกอากาศชั่วคราว เป็นเวลา 1 วัน", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "43460#10", "text": "นอกจากนี้ ภายในอาคารที่ทำการสถานีฯ ยังมีเครื่องส่งวิทยุกระจายเสียง ด้วยระบบเอฟเอ็ม มัลติเพล็กซ์ ผ่านคลื่นความถี่ 105.50 เมกะเฮิร์ตซ์ ที่ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้รับสัมปทานมาพร้อมกับช่องสัญญาณโทรทัศน์ ตามรายละเอียดในสัญญาดำเนินกิจการกับ บจก.ไทยโทรทัศน์ อีกช่องทางหนึ่งด้วย ซึ่งในระยะแรกใช้ส่งกระจายเสียงภาษาต่างประเทศในฟิล์ม ขณะเดียวกับที่กำลังออกอากาศ ภาพยนตร์ต่างประเทศทางโทรทัศน์ ซึ่งออกเสียงบรรยายเป็นภาษาไทย ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีแบ่งช่องเสียงในการส่งโทรทัศน์ สามารถใช้การได้กับเครื่องรับโทรทัศน์โดยทั่วไปแล้ว จึงเปลี่ยนไปดำเนินรายการดนตรีสากล โดยใช้ชื่อว่า \"อีซีเอฟเอ็ม วันโอไฟว์พอยต์ไฟว์\" (Eazy FM 105.5) จนถึงปัจจุบัน", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "43460#35", "text": "เมื่อเวลา 10.15 น. ของวันที่ 21 พฤษภาคม เสียงปี๊บที่ดังอยู่ตลอดหยุดไป โดยทางสถานีฯ เปิดเพลงบรรเลงเพื่อทดสอบเสียง และเวลา 10.24 น.สถานีฯ เปลี่ยนไปส่งภาพทดสอบ พีเอ็ม 5544 พร้อมบอกเวลาถอยหลัง เพื่อเริ่มทดสอบสัญญาณออกอากาศ โดยมีตราสัญลักษณ์ของช่อง พร้อมข้อความ อ.ส.ม.ท.และโดเมนเนมของไทยทีวีสีช่อง 3 ลักษณะเดียวกับการออกอากาศตามปกติ ปรากฏอยู่ที่มุมขวาบนของจอ ก่อนที่ในเวลา 11.30 น.สถานีฯ จึงเริ่มทดสอบสัญญาณออกอากาศ โดยเริ่ม Ident เปิดสถานีฯ ตามด้วยเพลงสรรเสริญพระบารมี ต่อด้วยสารคดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ชุด \"เพราะพ่อเหนื่อยหนักหนามามากแล้ว\" รวมระยะเวลายุติการออกอากาศทั้งหมด 2 วัน 11 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นจึงเปลี่ยนภาพ เข้าสู่ห้องส่งข่าว เพื่อให้ นางสาวกรุณา บัวคำศรี ผู้รายงานข่าว ไทยทีวีสีช่อง 3 ในขณะนั้น ประกาศเปิดสถานีฯ อย่างเป็นทางการ ด้วยข้อความดังต่อไปนี้ \"สวัสดีค่ะ ท่านผู้ชมคะ ขณะนี้สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จะเริ่มทดลองระบบการออกอากาศของสถานีฯ ขอเชิญท่านผู้ชม ติดตามรายการต่าง ๆ ของเราได้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปค่ะ\" จากนั้นจึงเริ่ม ภาพยนตร์ชุดตำนานรักดอกเหมย เสนอภาพยนตร์เกาหลีชุด สวรรค์ลิขิตรัก และมีข้อความปรากฏ ที่มุมซ้ายล่างของจอภาพว่า \"ทดสอบระบบออกอากาศ\" เมื่อภาพยนตร์เกาหลีชุด สวรรค์ลิขิตรัก จบลงในเวลาประมาณ 13.45 น. สถานีฯ ก็นำข้อความดังกล่าวออกไป", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "43460#40", "text": "ไทยทีวีสีช่อง 3 ถือเป็นผู้นำด้านละครโทรทัศน์ของประเทศไทย เนื่องจากเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชน เข้าเสนอผลงานผลิตละครโทรทัศน์หลากหลายแนว ในเวลาไพรม์ไทม์ ช่วงเย็นและหัวค่ำ นอกจากนี้ ยังเป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีจำนวนผู้ประกาศข่าวมากที่สุด และมีการนำเสนอข่าวถึงครึ่งหนึ่ง (12 ชั่วโมง) ของเวลาการออกอากาศทั้งหมด รวมถึงสถานีฯ ได้จัดซื้อระบบดิจิตอลนิวส์รูม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีทันสมัย ที่ได้รับการพัฒนาระดับสูง มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท จากบริษัท โซนี่ ไทย จำกัด มาใช้ในการผลิต และนำเสนอข่าวของสถานีฯ อย่างเต็มระบบ เป็นแห่งแรกในภาคพื้นเอเชีย เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ ยังมีรายการโทรทัศน์หลากหลายประเภท ที่สร้างชื่อเสียงแก่สถานีอีกหลายรายการ ดังจะได้กล่าวถึงต่อไปนี้", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "43460#5", "text": "อนึ่ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2540 ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง เป็นแห่งที่สองของประเทศไทย แล้วกลับมาเปิดสถานีฯ เวลา 05:00 น. และปิดสถานีฯ เวลา 02:00 น.อีกครั้ง ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2548 จึงกลับมาออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมงอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน", "title": "สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "242922#6", "text": "ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2546 บริษัท บีอีซี-เทโร เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในนาม \"บางกอกการละคอน\" เริ่มผลิตรายการข่าวให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 โดยร่วมมือกับฝ่ายข่าวของสถานีฯ ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนด้านเนื้อหาข่าว โดยมีรายการ \"เรื่องเล่าเช้านี้\" (06.30-07.00 น.) และ \"โลกยามเช้า\" (ประมาณ 05.30-06.00 น.) ในช่วงใกล้เคียงกัน ฝ่ายข่าวของสถานีฯ ได้ผลิตรายการเองเพิ่มคือ \"เช้าวันใหม่\" (04.00-04.30 น.)", "title": "ฝ่ายข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "242922#1", "text": "ฝ่ายข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เริ่มดำเนินงานเป็นครั้งแรก เมื่อวันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2529 หลังจากที่ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) อนุมัติให้ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินการผลิตรายการข่าวได้ด้วยตนเอง โดยก่อนหน้านั้น อ.ส.ม.ท.ผลิตรายการข่าวประจำวัน เพื่อออกอากาศทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 และไทยทีวีสีช่อง 3 ไปพร้อมกัน ในเวลา 20:00-20:45 น. ภายใต้ชื่อ \"ข่าวร่วม 3-9 อ.ส.ม.ท.\" ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524", "title": "ฝ่ายข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" }, { "docid": "242922#2", "text": "ทั้งนี้ ผู้บริหารสถานีฯ ได้เปิดรับสมัครบุคลากรจำนวนมาก เพื่อรองรับการเปิดแผนกใหม่ จนกระทั่งได้ทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรงกว่า 100 คน ภายในเวลาไม่กี่เดือน สำหรับผู้ประกาศข่าวซึ่งเป็นที่รู้จักในอดีต ได้แก่ อาคม มกรานนท์ ,สิทธิชาติ บุญมานนท์ (ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ราวปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553), อภิญญา เจริญวงศ์ (สมรสกับ ประสาร มาลีนนท์ ผู้บริหารสถานีฯ), ชุติมา รอดอยู่สุข, รัตติยากร ริมสินธุ, อภิชาติ หาลำเจียก, จักรพันธุ์ ยมจินดา, สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล, นัจนันท์ พฤกษ์ไพบูลย์, สาธิต ยุวนันทการุณ เป็นต้น โดยกำหนดคำขวัญว่า \"เที่ยงตรง กระชับ ฉับไว\"", "title": "ฝ่ายข่าว สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3" } ]
1626
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ มีมารดาชื่อว่าอะไร?
[ { "docid": "53263#1", "text": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาเอม เมื่อวันพฤหัสบดี แรม 2 คำ เดือน 10 ตรงกับวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2381 เมื่อแรกประสูติพระองค์มีพระอิสริยยศที่หม่อมเจ้า โดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระนามว่า ยอร์ชวอชิงตัน ตามชื่อของจอร์จ วอชิงตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนแรก คนทั่วไปออกพระนามว่ายอด ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระนามให้ใหม่ว่า พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ บวรราโชรสรัตนราชกุมาร และได้รับการสถาปนาเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมที่ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เมื่อ พ.ศ. 2404 และได้รับพระราชทานอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" } ]
[ { "docid": "874029#2", "text": "ต่อมาบิดาได้พาเข้าถวายตัวเป็นหม่อมในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ขณะยังทรงดำรงพระยศเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ ต่อมาเมื่อกรมหมื่นบวรวิไชยชาญได้รับพระราชทานอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หม่อมหลวงปริก จึงได้เลื่อเป็นจอมมารดาหม่อมหลวงปริก จอมมารดาหม่อมหลวงปริกมีพระราชโอรสกับกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ 2 พระองค์คือ\nซึ่งเป็นเจ้านายแฝดคู่ที่สามในราชวงศ์จักรี ก่อนหน้าพระองค์ มีเจ้านายแฝดเพียงสามคู่ที่มีพระประสูติกาลก่อนหน้า คือ", "title": "จอมมารดาหม่อมหลวงปริก" }, { "docid": "191597#0", "text": "นายพันเอก พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชาญไชยบวรยศ (25 กรกฎาคม พ.ศ. 2413 — 29 สิงหาคม พ.ศ. 2463) ประสูติเมื่อวันจันทร์ เดือน 8 แรม 13 ค่ำ ปีมะเมีย โทศก จุลศักราช 1232 ตรงกับวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2413 เป็นพระราชโอรสในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญและจอมมารดาปริกเล็ก ทรงเป็นต้นราชสกุลกาญจนะวิชัย ออกพระนามโดยทั่วไปว่า พระองค์ชายกลาง", "title": "พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชาญไชยบวรยศ" }, { "docid": "53263#3", "text": "ก่อนหน้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต 1 วัน ได้มีการประชุมพระญาติวงศ์และขุนนาง ที่ประชุมอันมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นประธาน ตกลงที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลตามคำเสนอของพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นมติเอกฉันท์ของที่ประชุม เพราะพระองค์เจ้าปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ทรงคัดค้านว่า การแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลนั้น ตามโบราณราชประเพณีเป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของที่ประชุม ซึ่งทำความไม่พอใจให้แก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ท่านจึงได้ย้อนถามว่า \"\"ที่ไม่ยอมนั้น อยากจะเป็นเองหรือ\"\" กรมขุนวรจักรธรานุภาพ จึงตอบว่า \"\"ถ้าจะให้ยอมก็ต้องยอม\"\" จึงเป็นอันว่าที่ประชุมเห็นสมควรที่จะแต่งตั้งกรมหมื่นบวรวิไชยชาญเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 เป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ วังหน้าองค์สุดท้ายในสมัยรัตนโกสินทร์", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" }, { "docid": "53263#0", "text": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ (6 กันยายน พ.ศ. 2381 — 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428) เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์สุดท้ายในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" }, { "docid": "875299#1", "text": "อึ่งเป็นธิดาของหม่อมหลวงชม อภัยกุล ต่อมาได้เข้ามาเป็นตัวละครในเจ้าคุณจอมมารดาเอม ซึ่งคณะละครนั้นได้ตกทอดไปถึงกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญพระราชโอรสในเจ้าคุณจอมมารดาเอม ต่อมาได้ถวายตัวเป็นพระสนมในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญมีบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าจอมอึ่ง", "title": "อึ่ง หสิตะเสน" }, { "docid": "53263#4", "text": "เนื่องจากเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สนับสนุนให้ได้เป็นแต่งตั้งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ จึงทรงเกรงใจเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นอันมาก", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" }, { "docid": "875299#0", "text": "อึ่ง หสิตะเสน เดิมคือ เจ้าจอมอึ่ง เป็นอดีตพระสนมในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เป็นนางละครในเจ้าคุณจอมมารดาเอม หม่อมครูอึ่งเป็นผู้วางรากฐาน และเป็นผู้ถ่ายทอดท่ารำละครตัวพระ ทั้งหมดของคณะละครวังสวนกุหลาบ ภายหลังจากกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญทิวงคตแล้วได้กราบบังคมทูลลาออกจากพระราชวังบวรสถานมงคล", "title": "อึ่ง หสิตะเสน" }, { "docid": "53263#6", "text": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และเข้าไปคบค้าสนิทสนมกับนายโทมัส น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยาม ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสามส่วนคือ ทางเหนือถึงนครเชียงใหม่ (หรืออาจจะเป็นพื้นที่ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางฝั่งตะวันออกของประเทศ) ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปกครอง พื้นที่ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำแม่กลองไปจนถึงฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ปกครอง ทางใต้ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลองลงไป ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้วจะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" }, { "docid": "53263#8", "text": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงเป็นเจ้านายที่มีความสามารถหลายด้าน ด้านนาฏกรรม ทรงพระปรีชา เล่นหุ่นไทย หุ่นจีน เชิดหนัง และงิ้ว ด้านการช่าง ทรงชำนาญเครื่องจักรกล ทรงต่อเรือกำปั่น ทรงทำแผนที่แบบสากล ทรงสนพระทัยในแร่ธาตุ ถึงกับทรงสร้างโรงถลุงแร่ไว้ในพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อ พ.ศ. 2426 ทรงได้รับประกาศนียบัตรจากฝรั่งเศส ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาช่าง", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" }, { "docid": "53263#2", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งผู้ใดขึ้นดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เพราะในขณะนั้นพระราชโอรสพระองค์โต คือ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ยังทรงพระเยาว์เพียง 12 พรรษา ทำให้เสี่ยงต่อการถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ ฝ่ายเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งถูกสงสัยมาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงพระชนม์ว่าคิดจะชิงราชสมบัติจึงได้เสนอให้ทรงแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่ง เป็น กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ เมื่อ พ.ศ. 2410 แต่ไม่ได้ตั้งให้เป็นวังหน้า", "title": "กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ" } ]
1634
รามายณะ แบ่งออกเป็นที่ภาค?
[ { "docid": "28423#0", "text": "รามายณะ () เป็นวรรณคดีประเภทมหากาพย์ของอินเดีย เชื่อว่าเป็นนิทานที่เล่าสืบต่อกันมายาวนานในหลากหลายพื้นที่ของชมพูทวีป แต่ผู้ได้รวบรวมแต่งให้เป็นระเบียบครั้งแรกคือฤๅษีวาลมีกิ เมื่อกว่า 2,400 ปีมาแล้ว โดยประพันธ์ไว้เป็นบทร้อยกรองประเภทฉันท์ภาษาสันสกฤต เรียกว่า โศลก จำนวน 24,000 โศลกด้วยกัน โดยแบ่งเป็น 7 ภาค (กาณฑ์ หรือ กัณฑ์) ดังนี้รามายณะเป็นวรรณคดีที่มีการดัดแปลง เล่าใหม่ และแพร่หลายไปในหลายภูมิภาคของเอเชีย โดยมีเนื้อหาแตกต่างกันไป และอาจเรียกชื่อแตกต่างกันไปด้วย\nเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำศึกสงครามระหว่างฝ่ายพระรามกับฝ่ายทศกัณฐ์ (อสูร) โดยพระรามจะมาชิงตัวนางสีดา (มเหสีของพระราม) ซึ่งถูกทศกัณฑ์ลักพาตัวมา ทางฝ่ายพระรามมีน้องชาย ชื่อพระลักษมณ์และหนุมาน (ลิงเผือก) เป็นทหารเอกช่วยในการทำศึก รบกันอยู่นานท้ายที่สุดฝ่ายอสูรก็ปราชัย", "title": "รามายณะ" } ]
[ { "docid": "884223#0", "text": "มหากาพย์รามเกียรติ์ () เป็นภาพยนตร์อินเดียขนาดยาวที่ถ่ายทำเมื่อปี ค.ศ. 1997 เนื้อเรื่องกล่าวถึงวรรณกรรมชิ้นเอก และยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก รามายณะ โดยในประเทศอินเดียจะฉายภาคเดียว 3 ชั่วโมงจบ แต่ในประเทศไทยจะฉายแยกเป็น 2 ภาค โดยแบ่งเป็นตอนๆ ตอนแรกใช้ชื่อว่า มหากาพย์รามเกียรติ์ ตอน ทศกัณฐ์ลักนางสีดา และตอนที่สองใช้ชื่อว่า มหากาพย์รามเกียรติ์ ตอน พระรามครองเมือง โดยชื่อภาษาอังกฤษ (Lav Kush) นี้มีความหมายที่ตรงตามคำๆนั้นว่า พระลบ พระมงกุฎ", "title": "มหากาพย์รามเกียรติ์" }, { "docid": "209780#5", "text": "สมันตปาสาทิกา แบ่งเป็น 3 ภาค คือ ภาคที่ 1 อธิบายความในเวรัญชกัณฑ์ถึงปาราชิกกัณฑ์แห่งมหาวิภังค์ภาค 1 ว่าด้วยวินัยที่เป็นหลักใหญ่ของภิกษุ, ภาคที่ 2 อธิบายความในเตรสกัณฑ์ถึงอนิยตกัณฑ์แห่งมหาวิภังค์ภาค 1 และในนิสสัคคีย์กัณฑ์ถึงอธิกรณสมถะแห่งมหาวิภังค์ภาค 2 รวมทั้งอธิบายความในภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยวินัยที่เป็นหลักใหญ่ของภิกษุณี และภาคที่ 3 อธิบายความในมหาวรรค (ภาค 1-2) จุลลวรรค (ภาค 1-2) และปริวาร ซึ่งว่าด้วยกำเนิดภิกษุสงฆ์และระเบียบความเป็นอยู่และกิจการของภิกษุสงฆ์ และว่าด้วยระเบียบความเป็นอยู่และกิจการของภิกษุสงฆ์ เรื่องภิกษุณี และสังคายนา รวมถึงหมวดที่ว่าด้วยคู่มือถามตอบซักซ้อมความรู้พระวินัย", "title": "สมันตปาสาทิกา" }, { "docid": "563492#5", "text": "กรมอุตุนิยมวิทยาได้แบ่งภูมิภาคออกเป็น 7 ภูมิภาค เพื่อวัตถุประสงค์ทางอุตุนิยมวิทยา แตกต่างจากการแบ่งแบบ 4 ภาค คือ มีการแยกภาคตะวันออกออกจากภาคกลาง ภาคใต้จะแบ่งเป็นภาคใต้ฝั่งตะวันตกและภาคใต้ฝั่งตะวันออก จังหวัดนครสวรรค์กับจังหวัดอุทัยธานีจัดให้อยู่ในภาคกลาง และจังหวัดเพชรบุรีกับจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จัดให้อยู่ในภาคใต้ฝั่งตะวันออก", "title": "ภูมิภาคของประเทศไทย" }, { "docid": "3116#18", "text": "เพลโตเชื่อว่า มนุษย์เรามีธรรมชาติเป็นจิตกับร่างกาย เรียกทัศนะนี้ว่า ทวินิยม เพลโตแบ่งจิตออกเป็น 3 ภาค 3 หน้าที่ จิตภาคไหนแข็งแรงกว่า ร่างกายก็จะทำตามจิตภาคนั้นออกคำสั่ง ได้แก่\nมนุษย์ทุกคนมีจิตทั้ง 3 ภาคเหมือนกัน แตกต่างที่อัตราส่วนของจิตในแต่ละภาคนั้นไม่เท่ากัน ใครคนหนึ่งจะแสดงพฤติกรรมอะไรออกมา ก็แล้วแต่ว่ามีจิตภาคไหนเข้มแข็งที่สุด จิตที่ดีที่สุด คือ จิตที่มีภาค 3 ภาค สมดุลกัน แต่ขอให้ภาคปัญญานำภาคอื่น ๆ ก็เป็นอันใช้ได้\nปรัชญาอินเดียแบ่งเป็น 2 พวก โดยแบ่งตามการนับถือเกี่ยวกับคัมภีร์พระเวท", "title": "ปรัชญา" }, { "docid": "28423#2", "text": "ตัวละครเอกของมหากาพย์รามายณะ ผู้ถูกกล่าวถึงในฐานะอวตารชาติที่ 7 ของพระวิษณุ พระรามเป็นพระราชโอรสลำดับหัวปีและเป็นราชโอรสองค์โปรดของท้าวทศรถ กษัตริย์แห่งกรุงอโยธา และพระนางเกาศัลยา มีพระอุปนิสัยที่ยึดมั่นในคุณธรรมอย่างยิ่ง พระองค์ต้องออกเดินดงก่อนขึ้นครองราชสมบัติเป็นเวลา 14 ปี เพื่อรักษาสัจจวาจาของพระราชบิดาซึ่งได้ประทานพรแก่นางไกยเกยี ผู้เป็นมเหสีองค์กลาง ว่าจะประทานพรตามที่นางปรารถนา", "title": "รามายณะ" }, { "docid": "28360#12", "text": "เพชรพระอุมาเป็นนวนิยายที่มีความยาวทั้งสิ้น 48 เล่ม 12 ตอน แบ่งออกเป็นสองภาคคือภาคแรกและภาคสมบูรณ์ ภาคละ 24 เล่ม จำนวน 6 ตอน ซึ่งภาคแรกของเพชรพระอุมาได้แก่ ไพรมหากาฬ, ดงมรณะ, จอมผีดิบมันตรัย, อาถรรพณ์นิทรานคร, ป่าโลกล้านปีและแงซายจอมจักรา สำหรับภาคสมบูรณ์ได้แก่ จอมพราน, ไอ้งาดำ, จิตรางคนางค์, นาคเทวี, แต่ปางบรรพ์และมงกุฎไพร ซึ่งเค้าโครงเรื่องในภาคแรกและภาคสมบูรณ์ของเพชรพระอุมามีดังนี้", "title": "เพชรพระอุมา" }, { "docid": "28423#8", "text": "โอรสของท้าวทศรถกับนางไกยเกยี (มเหสีองค์กลาง) ในรามายณะกล่าวว่าเป็นอวตารอีกภาคหนึ่งของพระวิษณุที่แบ่งภาคลงมาเกิดพร้อมกับพระราม ในระหว่างที่พระรามออกเดินดงนั้น พระภรตไม่ยอมขึ้นครองราชสมบัติแทนพระราม โดยยอมรับเป็นแต่เพียงผู้สำเร็จราชการกรุงอโยธยา เพื่อรอการกลับมาของพระรามอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น", "title": "รามายณะ" }, { "docid": "17604#3", "text": "การแบ่งจังหวัดเป็นภูมิภาคด้วยระบบ 6 ภาค เป็นการแบ่งที่เป็นทางการโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติ และประกาศใช้โดยราชบัณฑิตยสภา โดยภาคตะวันออกของระบบ 6 ภาคนี้ ประกอบไปด้วยเขตการปกครอง 7 จังหวัด ดังตารางข้างล่าง นอกจากนี้ ยังมีการจัดแบ่งภูมิภาคตามคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กำหนดให้ภาคตะวันออกมีทั้งหมด 9 จังหวัด ประกอบด้วย 7 จังหวัดข้างต้น รวมกับจังหวัดนครนายก และจังหวัดสมุทรปราการ", "title": "ภาคตะวันออก (ประเทศไทย)" }, { "docid": "32367#3", "text": "คัมภีร์ฤคเวท มักแบ่งเนื้อหาเป็น 2 ลักษณะ ลักษณะที่ 1 คือ แบ่งเป็นมัณฑละ มีด้วยกันทั้งหมด 10 มัณฑละ หรือมณฑล แต่ละมณฑลประกอบด้วยบทสวด หรือสูกตะต่าง ๆ แต่ละมัณฑละมีจำนวนสูกตะไม่เท่ากัน ตั้งแต่ประมาณ 50 ถึง 200 สูกตะ ในแต่ละสูกตะประกอบด้วยคาถาหรือมันตระจำนวนมากน้อยต่างกันไป นอกจากนี้อาจแบ่งฤคเวทในลักษณะที่ 2 เป็นอัษฎก โดยแบ่งได้เป็น 8 อัษฏก แต่ละอัษฏกประกอบด้วยมันตระ แต่ละมันตระประกอบด้วยวรรค แต่ละวรรคประกอบด้วยฤจะ (หรือคำ) แต่ละฤจนับแยกเป็นอักษระ (หรือ ตัวอักษร) อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปนิยมแบ่งเป็นมัณฑละ โดยมีรายละเอียดดังนี้การอ้างถึงฤคเวทนิยมใช้ตัวเลขระบุลำดับที่ของหมวดนั้นๆ เช่น 1.1.1 หมายถึง มัณฑละที่ 1 สูกตะที่ 1 มันตระที่ 1 เป็นต้น,", "title": "พระเวท" } ]
1637
พายุหมุนเขตร้อนเกิดจากอะไรเป็นขั้นตอนแรก?
[ { "docid": "32365#20", "text": "แหล่งพลังงานหลักของพายุหมุนเขตร้อน คือ การระเหยของน้ำจากพื้นผิวมหาสมุทร ซึ่งท้ายที่สุดการควบแน่นอีกครั้ง จะก่อให้เกิดเมฆและฝนตก เมื่ออากาศชื้นอบอุ่นขึ้นและเย็นตัวลงจะนำไปสู่การอิ่มตัว การพลังงานของระบบอาจจะเป็นอุดมคติดั่งเครื่องจักรความร้อนการ์โนต์ในชั้นบรรยากาศ ขั้นแรก กระแสอากาศไหลเข้าที่อยู่ใกล้พื้นผิวจะได้รับความร้อนส่วนใหญ่จากการระเหยของน้ำ (กล่าวคือ ความร้อนแฝงจำเพาะ) ที่อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรที่อบอุ่น (ในระหว่างการระเหย มหาสมุทรจะเย็นส่วนอากาศจะอบอุ่น) ขั้นสอง อากาศที่อุ่นไหลขึ้นและที่เย็นลงภายในกำแพงตา ขณะที่การอนุรักษ์ความร้อน (ความร้อนแฝงจำเพาะจะถูกแปลงอย่างง่ายให้เป็นความร้อนที่เหมาะสมระหว่างการควบแน่น) ขั้นสาม กระแสอากาศไหลออกจะสูญเสียความร้อนไป ด้วยการแผ่รังสีความร้อนสู่ที่ว่างที่มีอากาศหนาวของโทรโพพอส ขั้นสุดท้าย การทรุดตัวของอากาศและความอบอุ่นด้านนอกของพายุขณะที่มีการอนุรักษ์เนื้อหาความร้อน โดยขาแรกและสามจะอยู่ใกล้ไอโซเทอร์มัล ขณะที่ขาสองและสี่จะอยู่ใกล้กระบวนการไอเซนโทรปิก นี่คือ เข้า-ขึ้น-ออก-ลง ของกระแสอากาศไหลออกเป็นที่รู้จักกันดีในการไหลเวียนทุติยภูมิ ในมุมมองของการ์โนต์แสดงให้เห็นถึงขอบบนสุดของความเร็วลมสูงสุดที่พายุสามารถบรรลุได้", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" } ]
[ { "docid": "495372#5", "text": "พายุหมุนเขตร้อนที่เกิดขึ้นภายในซีกโลกเหนือ ด้านตะวันออกของเส้นเมริเดียนที่ 180 องศา จะถูกติดตามอย่างเป็นทางการโดยศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติหรือศูนย์เฮอร์ริเคนแปซิฟิกกลาง ภายในภูมิภาคนี้ พายุหมุนเขตร้อนถูกนิยามว่าเป็นแกนอากาศที่อบอุ่น (Warm cored), การแปรปรวนแบบซีนอพติกไร้ส่วนหน้า (Non-frontal synoptic disturbance) ที่ก่อตัวขึ้นเหนือทะเลในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน โดยการจัดระบบการพาความร้อนในชั้นบรรยากาศ และมีศูนย์กลางการหมุนเวียนที่เหมาะสม ในภูมิภาคนี้ยังนิยามพายุหมุนกึ่งเขตร้อนด้วยว่าเป็น การแปรปรวนของหย่อมความกดอากาศต่ำแบบไร้ส่วนหน้า (Non-frontal low pressure disturbance) ซึ่งมีคุณลักษณะแบบทั้งพายุหมุนเขตร้อนและพายุหมุนนอกเขตร้อน เมื่อใดก็ตามที่พายุควรที่จะได้รับการจัดความรุนแรงตามหมวดเหล่านี้ จะมีการริเริ่มออกคำแนะนำ และศูนย์เตือนภัยจะจัดความรุนแรงระบบในฐานะพายุดีเปรสชันเขตร้อน หรือพายุดีเปรสชันกึ่งเขตร้อนอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อความเร็วลมต่อเนื่องในหนึ่งนาทีอยู่ที่ประมาณหรืออย่างน้อย 33 นอต (62 กม./ชม. หรือ 38 ไมล์/ชม)", "title": "มาตราพายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "32365#43", "text": "ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2547 พายุไซโคลนคาตารินา ก่อตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ซึ่งเป็นที่โดดเด่นในบราซิล ด้วยความเร็วลมเทียบเท่าประเภทที่ 2 ในมาตราเฮอร์ริเคนแซฟเฟอร์–ซิมป์สัน ในฐานะที่พายุลูกนี้เป็นพายุหมุนที่เกิดขึ้นนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของศูนย์เตือนภัย ทำให้อุตุนิยมวิทยาบราซิลเป็นผู้ตรวจสอบเป็นครั้งแรกกับระบบที่เป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนอย่างเต็มตัว แต่ภายหลังถูกจัดให้อยู่ในประเภทพายุหมุนเขตร้อน", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "495372#13", "text": "พายุหมุนเขตร้อนที่เกิดขึ้นภายในซีกโลกเหนือ ระหว่างเส้นเมริเดียนที่ 180 องศาถึงเส้นเมริเดียนที่ 100 องศาตะวันออก จะถูกติดตามอย่างเป็นทางการโดยกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA, RSMC โตเกียว) ภายในภูมิภาคนี้พายุหมุนเขตร้อนจะถูกนิยามเป็น การเริ่มขึ้นของพายุหมุนในระดับซีนอพติกแบบไร้ส่วนหน้าเหนือทะเลเขตร้อน (Non-frontal synoptic scale cyclone originating over tropical waters) หรือกึ่งเขตร้อน (sub-tropical waters) ซึ่งมีการจัดระบบการพาความร้อนและมีการไหลเวียนลมพื้นผิวแบบพายุหมุนอย่างแน่นอน การจัดความรุนแรงขั้นต่ำที่สุดที่ใช้โดยคณะกรรมการไต้ฝุ่น คือ พายุดีเปรสชันเขตร้อน ด้วยความเร็วลมต่อเนื่อง 10 นาทีอย่างน้อย 33 นอต (61 กม./ชม. หรือ 17 ม./ว. หรือ 38 ไมล์/ชม.) ถ้าหากพายุดีเปรสชันเขตร้อนนั้นทวีกำลังแรงขึ้น โดยมีความเร็วลมอยู่ระหว่าง 33–47 นอต (61–87 กม./ชม. หรือ 17–24 ม./ว. หรือ 38–54 ไมล์/ชม.) พายุนั้นจะได้รับการตั้งชื่อและถูกจัดความรุนแรงเป็นเป็นพายุโซนร้อน ถ้าหากระบบยังทวีกำลังแรงต่อไปอีก โดยมีความเร็วลมอยู่ระหว่าง 48–63 นอต (89–117 กม./ชม. หรือ 25–32 ม./ว. หรือ 55–72 ไมล์/ชม.) พายุนั้นจะถูกจัดความรุนแรงเป็นพายุโซนร้อนกำลังแรง ส่วนการจัดระดับความรุนแรงที่สูงที่สุดตามมาตราของคณะกรรมการไต้ฝุ่น คือ พายุไต้ฝุ่น โดยพายุจะต้องมีความเร็วลมมากกว่า 64 นอต (119 กม./ชม. หรือ 33 ม./ว. หรือ 74 ไมล์/ชม.)", "title": "มาตราพายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "732437#9", "text": "พายุเฮอร์ริเคนในมหาสมุทรแปซิฟิกกลางเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5 ลูก เกิดหรือเคลื่อนตัวมาในแอ่งนี้ในทุกปี เนื่องจากไม่มีแผ่นดินขนาดใหญ่อยู่ในแอ่งนี้หรือติดกับแอ่งนี้ การที่พายุจะเข้าโจมตีหรือพัดขึ้นฝั่งจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก อย่างไรก็ตาม บางครั้งมันก็เกิดขึ้นได้ อย่างเช่น พายุเฮอร์ริเคนอินิกิ ในปี พ.ศ. 2535 ได้พัดเข้าบนแผ่นดินของฮาวาย และ พายุเฮอร์ริเคนโอก ในปี พ.ศ. 2549 ได้พัดเข้าโจมตีจอห์นสตันอะทอลล์โดยตรง", "title": "แอ่งพายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "988314#3", "text": "ในการประชุมเชิงปฏิบัติการสากลครั้งที่หกขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลกในเรื่องพายุหมุนเขตร้อน (IWTC-VI) เมื่อปี พ.ศ. 2549 มีการตั้งคำถามว่ามีพายุหมุนเขตร้อนหรือนอกเขตร้อนก่อตัวขึ้นภายในแอตแลนติกใต้ก่อนพายุกาตารีนาหรือไม่ พบว่าระบบพายุที่อาจเกิดขึ้นจริงนั้น ก่อตัวขึ้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2513, มีนาคม พ.ศ. 2537, มกราคม พ.ศ. 2547, มีนาคม พ.ศ. 2547, พฤษภาคม พ.ศ. 2547, กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 และมีนาคม พ.ศ. 2549 และมีข้อเสนอแนะว่าควรพยายามค้นหาระบบพายุผ่านทางภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลใจความสำคัญ อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่าความพยายามนี้อาจมีอุปสรรค เนื่องจากขาดภาพถ่ายดาวเทียมเหนือแอ่งนี้ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2509 การศึกษาได้รับการดำเนินการและถูกเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2555 ซึ่งสรุปว่ามีพายุหมุนกึ่งเขตร้อนในแอตแลนติกใต้จำนวน 63 ลูก ระหว่าง พ.ศ. 2500 ถึง 2550 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 มีพายุกึ่งโซนร้อนก่อตัวขึ้นภายในแอ่ง และในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 ก็มีพายุโซนร้อนก่อตัวขึ้น และได้รับชื่อว่า อะนีตา โดยศูนย์ลมฟ้าอากาศเอกชนและสาธารณะบราซิล ในปี พ.ศ. 2554 ศูนย์อุทกศาสตร์ กองทัพเรือบราซิลได้ริเริ่มการกำหนดชื่อให้กับพายุหมุนเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ที่ก่อตัวภายในพื้นที่รับผิดชอบไปจนถึงด้านตะวันตกของเส้นเมริเดียนที่ 20 องศาตะวันตก เมื่อพายุมีความเร็วลมต่อเนื่องอย่างน้อย 65 กม./ชม.", "title": "พายุหมุนเขตร้อนในแอตแลนติกใต้" }, { "docid": "32365#56", "text": "พายุหมุนเขตร้อนมีรูปแบบลักษณะการสลายตัวที่แตกต่างกัน ลักษณะแรกคือ หากพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนตัวขึ้นฝั่งบนแผ่นดิน เหตุนี้จึงทำให้มันต้องการน้ำอุ่นเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจต่อไป เมื่อพายุขึ้นฝั่งมันจะอ่อนกำลังลงอย่างรวดเร็ว พายุที่มีความรุนแรงส่วนมากจะสูญเสียความรุนแรงอย่างมากและรวดเร็ว หลังจากที่มันเคลื่อนขึ้นฝั่ง และทำให้ระบบของความกดอากาศต่ำไม่เป็นระเบียบภายในหนึ่งวันหรือสองวัน หรืออีกลักษณะหนึ่ง คือการวิวัฒนาการไปเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อน มีโอกาสที่พายุหมุนเขตร้อนจะงอกใหม่ถ้าระบบได้รับการบริหารจัดการเมื่อกลับเข้าสู่น้ำอุ่นในที่เปิดอีกครั้ง ตัวอย่างเช่น พายุเฮอร์ริเคนอีวาน ถ้าระบบปกคลุมอยู่เหนือภูเขา แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้น ๆ จะเป็นการเร่งการอ่อนกำลังลงไปได้อีก พายุจำนวนมากอ่อนกำลังลงหรือสลายตัวลงจำนวนมาก ในพื้นที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขา โดยพายุหมุนเขตร้อนปลดปล่อยความชื้นออกมา ในรูปของฝนตกกระหน่ำ ซึ่งอาจนำมาซึ่งการเกิดน้ำท่วม ดินโคลนถล่มที่ร้ายแรง เช่น กรณีของพายุเฮอร์ริเคนมิทซ์ พ.ศ. 2541 เมื่อปราศจากพื้นผิวน้ำทะเลที่อบอุ่น พายุก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "732437#10", "text": "มหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตก คือพื้นที่ที่มีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อนมากที่สุดบนดาวเคราะห์โลก ในทุกปีจะมีพายุหมุนเขตร้อนก่อตัวประมาณ 25.7 ลูกโดยเฉลี่ย ซึ่งบางครั้งกลายเป็นพายุโซนร้อนหรือรุนแรงกว่านั้น ซึ่งมีพายุไต้ฝุ่นเฉลี่ย 16 ลูกในแต่ละปี ระหว่างปี พ.ศ. 2511 ถึง 2532 แอ่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดทางเหนือของเส้นศูนย์สูตร และทางตะวันตกของเส้นแบ่งเขตวันสากล รวมถึงทะเลจีนใต้ด้วย ซึ่งเราอาจเห็นกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนในแอ่งนี้ได้ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม ช่วงที่มีกิจกรรมของพายุหมุนเขตร้อนน้อยที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนมีนาคม", "title": "แอ่งพายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "32365#4", "text": "พายุหมุนเขตร้อนเป็นพื้นที่ของหย่อมความกดอากาศต่ำในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ ด้วยความกดอากาศขนาดใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในละติจูดต่ำใกล้พื้นผิว บนโลก ความกดอากาศจะถูกบันทึกไว้ที่ศูนย์กลางของพายุหมุนเขตร้อน โดยให้ที่ต่ำที่สุดที่สังเกตได้บริเวณเหนือระดับน้ำทะเล สภาพแวดล้อมใกล้กับศูนย์กลางของพายุหมุนเขตร้อนจะอุ่นกว่าโดยรอบในทุกละติจูด ทำให้พวกมันมีลักษณะเป็น ระบบ\"แกนอบอุ่น\"", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "732437#19", "text": "พายุหมุนเขตร้อนก่อตัวในแอ่งนี้ได้ยาก และแอ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นแอ่งพายุหมุนเขตร้อนอย่างเป็นทางการ โดยพายุดีเปรสชันเขตร้อนและพายุโซนร้อนสามารถก่อตัวได้เป็นครั้งคราวได้ในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ และพายุที่กลายเป็นพายุหมุนเขตร้อนอย่างเต็มตัวคือ พายุไซโคลนคาตารินา เมื่อปี พ.ศ. 2547 และพัดเข้าถล่มบราซิล ต่อมาคือพายุโซนร้อนแอนิตา พ.ศ. 2553 ที่เกิดขึ้นนอกชายฝั่งของริโอแกรนด์โดซูล", "title": "แอ่งพายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "32365#0", "text": "พายุหมุนเขตร้อน คือ ระบบพายุที่พัฒนามาจากศูนย์กลางของหย่อมความกดอากาศต่ำ, ลมแรง และการจัดเกลียวของพายุฝนฟ้าคะนอง ทั้งนี้ขึ้นกับสถานที่และความรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณเขตร้อนของโลก ซึ่งมีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น พายุเฮอร์ริเคน, พายุโซนร้อน, พายุไซโคลน, พายุดีเปรสชันเขตร้อน และพายุไซโคลนอย่างง่าย", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "32365#57", "text": "พายุหมุนเขตร้อนสามารถสลายตัว เมื่อมันเคลื่อนตัวอยู่เหนือผิวน้ำที่มีนัยสำคัญ ที่อุณหภูมิ 26.5°ซ (79.7°ฟ) เนื่องจากพายุจะสูญเสียคุณลักษณะทางเขตร้อนไป เช่น แกนอบอุ่นพร้อมด้วยพายุฝนฟ้าคะนองใกล้กับศูนย์กลาง และจะเริ่มกลายเป็นส่วนที่เหลือของหย่อมความกดอากาศต่ำ ส่วนที่เหลือของระบบอาจจะยังคงอยู่ต่อไปในอีกไม่กี่วันก่อนจะสูญหายไป กลไกการสลายตัวลักษณะนี้พบมากที่สุดในแอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออกเฉียงเหนือ การอ่อนกำลังลงหรือสลายตัวอาจเกิดขึ้นได้ถ้าระบบเผชิญกับลมเฉือน ซึ่งจะทำให้การพาความร้อนและเครื่องจักรความร้อนเคลื่อนออกจากจุดศูนย์กลางไป ซึ่งลักษณะนี้จะทำให้พายุหมุนเขตร้อนสิ้นสุดการพัฒนาลง นอกจากนี้ การมีปฏิสัมพันธ์กับแถบหลักของลมตะวันตก โดยวิธีการควบรวมกับพื้นที่ด้านหน้า สามารถทำให้พายุหมุนเขตร้อนวิวัฒนาการเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนได้ โดยการเปลี่ยนผ่านนี้จะใช้เวลา 1–3 วัน แม้ว่าในท้ายที่สุด พายุหมุนเขตร้อนจะกลายเป็นพายุหมุนนอกเขตร้อนหรือสลายตัวไป มันก็ยังคงสามารถมีแรงลมอยู่ในระดับพายุโซนร้อน (หรือในบางครั้งมีแรงลมในระดับพายุไต้ฝุ่น/พายุเฮอร์ริเคน) ได้ และยังสามารถทำให้มีปริมาณน้ำฝนตกสะสมได้หลายนิ้ว ในมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรแอตแลนติก พายุหมุนเขตร้อนที่อยู่ในละติจูดสูงดังกล่าวในบางครั้งอาจมีความรุนแรงมาก และอาจมีความแรงของลมในระดับพายุไต้ฝุ่น หรือ พายุเฮอร์ริเคน เมื่อพวกมันเคลื่อนอยู่ทางชายฝั่งด้านตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้ยังสามารถส่งผลกระทบต่อทวีปยุโรป ซึ่งรู้จักในนาม 'พายุลมทวีปยุโรป' ตัวอย่างเช่น ส่วนที่เหลือของพายุเฮอร์ริเคนไอริสที่กลายเป็นพายุลมในปี พ.ศ. 2538 ตัวของพายุหมุนเองยังสามารถควบรวมกับหย่อมความกดอากาศต่ำอื่น ๆ กลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำขนาดใหญ่ได้ ซึ่งนี่สามารถสร้างเสริมให้ระบบได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสถานะพายุหมุนเขตร้อนอีกต่อไป จากการศึกษาในยุค พ.ศ. 2543 ได้ให้สมมติฐานว่าฝุ่นละอองจำนวนมากสามารถช่วยลดความรุนแรงของพายุหมุนเขตร้อนลงได้", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "32365#66", "text": "พายุหมุนเขตร้อนถูกจำแนกประเภทออกเป็นสามกลุ่มหลัก ตามระดับความรุนแรง ได้แก่ พายุดีเปรสชันเขตร้อน, พายุโซนร้อน และกลุ่มที่สามจะมีความรุนแรงที่สุดซึ่งจะมีชื่อเรียกต่างกันไปตามแต่ภูมิภาค ตัวอย่างเช่น พายุโซนร้อน ในแอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือที่ทวีกำลังแรงสูงสุดในระดับพายุหมุนเขตร้อนในมาตราโบฟอร์ต จะถูกเรียกว่า \"พายุไต้ฝุ่น (typhoon)\" ในขณะที่บริเวณแอ่งแปซิฟิกตะวันออกหรือแอ่งแอตแลนติกเหนือจะเรียกพายุดังกล่าวว่า \"พายุเฮอร์ริเคน (hurricane)\" ทั้งคำว่า \"พายุไต้ฝุ่น\" และ \"พายุเฮอร์ริเคน\" ไม่ได้ถูกนำมาใช้ในซีกโลกใต้หรือแอ่งมหาสมุทรอินเดียแต่อย่างใด ในแอ่งเหล่านั้น จะเรียกพายุดังกล่าวว่า พายุไซโคลน พายุไซโคลนเขตร้อน พายุไซโคลนกำลังแรง หรือ พายุไซโคลนอันมีความรุนแรงมาก", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "32365#70", "text": "พายุไต้ฝุ่น หรือ พายุเฮอร์ริเคน (บางครั้งก็ถูกเรียกว่าพายุหมุนเขตร้อน เมื่อเทียบกับพายุดีเปรสชันหรือพายุโซนร้อน) คือระบบที่มีความเร็วลมอย่างน้อย 34 \nเมตรต่อวินาที (66 นอต) หรือ 119 กม./ชม. (74 ไมล์/ชม.) ที่ระดับความรุนแรงนี้จะมีการพัฒนาของตาพายุ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ลมสงบ (และความกดอากาศต่ำที่สุด) อันเป็นศูนย์กลางของการไหลเวียน ภาพถ่ายดาวเทียมจะปรากฏให้เห็นตาพายุขนาดเล็ก ลักษณะกลม และไร้เมฆ รายรอบด้วยกำแพงตาพายุ มีขนาดประมาณ 16 กิโลเมตร (9.9 ไมล์) ถึง 80 กิโลเมตร (50 ไมล์) ซึ่งพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงและกระแสลมไหลเวียนจะหมุนโดยรอบศูนย์กลางนี้ของพายุ ความเร็วลมสูงสุดโดยเฉลี่ยที่เคยบันทึกได้สูงที่สุดอยู่ที่ 85 เมตรต่อวินาที (165 นอต) หรือ 314 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (195 ไมล์/ชม.)", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" }, { "docid": "32365#13", "text": "ในบางโอกาส พายุหมุนเขตร้อนอาจประสบกับเงื่อนไขทางอุตุนิยมวิทยา ที่เรียกว่า การทวีกำลังแรงขึ้นอย่างกะทันหัน หรือ ช่วงเวลาที่ความเร็วลมเฉลี่ยของพายุเพิ่มขึ้นอย่างมากและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยศูนย์เฮอร์ริเคนแห่งชาติสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำนิยามเกี่ยวกับการทวีกำลังแรงขึ้นอย่างกะทันหัน ว่า การที่ความเร็วลมเฉลี่ยใน 1 นาทีของพายุหมุนเขตร้อน เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 30 นอต (35 ไมล์/ชม.; 55 กม./ชม.) ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง การที่การทวีกำลังแรงขึ้นอย่างกะทันหัน จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องประกอบขึ้นจากหลายเงื่อนไขในพื้นที่นั้น คือ อุณหภูมิของน้ำจะต้องอุ่นอย่างมาก (ใกล้เคียงหรือมากกว่า 30 °ซ, 86 °ฟ), และอุณหภูมิของน้ำนี้ จะต้องมีช่วงที่ลึกมากพอที่คลื่นของน้ำที่เย็นกว่าจะไม่เข้ามาอยู่บนผิวน้ำ, ลมเฉือนจะต้องมีกำลังน้อย; เมื่อลมเฉือนมีกำลังมาก การพาความร้อน และการหมุนเวียนในพายุหมุนจะถูกทำให้กระจาย โดยปกติ แอนไทไซโคลน ในชั้นที่สูงกว่าของโทรโพสเฟียร์ เหนือพายุจะช่วยพายุให้ดีขึ้น —สำหรับหย่อมความกดอากาศที่ต่ำมากพอจะพัฒนา อากาศจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในกำแพงตาของพายุ และแอนไทโซโคลนที่อยู่เหนือขึ้นไปจะช่วยให้ช่องของอากาศนี้ออกห่างไปจากการพัฒนาของพายุ ทำให้พายุหมุนมีประสิทธิภาพ", "title": "พายุหมุนเขตร้อน" } ]
1655
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงสวรรคตเมื่อใด ?
[ { "docid": "825262#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 นาฬิกา ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช หลังการสวรรคต มีประเทศต่างๆและองค์การระดับนานาชาติส่งสาส์นแสดงความเสียใจเป็นจำนวนมาก“ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นการสูญเสียพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งและศูนย์รวมจิตใจของประชาชน ที่ทรงทุ่มเทพระวรกายปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมายแก่ประเทศชาติ\nในสถานการณ์ที่เจ็บปวดและเศร้าโศกนี้ ข้าพเจ้าขอร่วมถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งขอแสดงความเสียใจไปยังสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถด้วย รวมทั้งพระราชวงศ์ไทยทั้งมวล – พระนามาภิไธย มุนีนาถ สีหนุ.”รวมทั้งสมเด็จพระอนุชนโรดม อรุณรัศมีแห่งกัมพูชา พระขนิษฐา (น้องสาว) ในพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี เสด็จไปทรงถวายสักการะและทรงลงพระนามถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา.", "title": "ปฏิกิริยาต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15.52 นาฬิกา ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช รัฐบาลประกาศไว้ทุกข์ถวายความอาลัยเป็นเวลา 1 ปี สำนักพระราชวังมีหมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึง 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง คณะรัฐมนตรีมีมติประกาศให้วันที่ 13 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตและวันหยุดราชการเพื่อให้ประชาชนน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และได้กำหนดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพขึ้นในวันที่ 25 - 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 รวมถึงได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ\nวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 สำนักพระราชวังแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ ชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบบังคมทูลเชิญเพื่อมาตรวจพระวรกายของคณะแพทย์ ผลการตรวจพบว่าพระโลหิต อุณหภูมิพระวรกาย ความดันพระโลหิตพระหทัย และระบบการหายพระทัยเป็นปกติ", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "1901#50", "text": "ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระปรอทต่ำ หายพระทัยเร็ว มีพระเสมหะ พระปับผาสะซ้ายอักเสบ มีพระโลหิตเป็นกรด และพบว่ามีน้ำคั่งในช่องเยื่อหุ้มพระปัปผาสะเล็กน้อย คณะแพทย์จึงทำการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะ และใช้สายสวนเข้าหลอดพระโลหิตดำเพื่อฟอกพระโลหิต แต่มีพระความดันพระโลหิตต่ำจึงใช้เครื่องช่วยหายพระทัย พระอาการไม่คงที่ ก่อนที่พระอาการจะทรุดลงไปอีก มีการติดเชื้อในกระแสพระโลหิต จนเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ และสวรรคตเมื่อเวลา 15.52 น. รวมพระชนมายุ 88 พรรษา ทรงครองราชสมบัติได้ 70 ปี 4 เดือน 4 วัน", "title": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" } ]
[ { "docid": "814997#33", "text": "นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ใช้ชื่อว่า \"เย็นศิระ เพราะพระบริบาล\" จัดขึ้น ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จไปทรงเปิดนิทรรศการด้วยพระองค์เอง ภายในนิทรรศการมีการจัดนิทรรศการทั้งหมด 5 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 บุญของแผ่นดินไทย โซนที่ 2 พระราชาผู้ทรงธรรม (ทำ) โซนที่ 3 กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ โซนที่ 4 พระมิ่งขวัญชาวไทย และโซนที่ 5 ร้อยใจไทย นอกจากนั้นในบริเวณจัดแสดงนิทรรศการยังมีการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตด้วย", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#6", "text": "วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเคลื่อนพระบรมศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปพระบรมมหาราชวัง เพื่อประกอบพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพ ณ พระที่นั่งพิมานรัตยา โดยขบวนเคลื่อนออกจากโรงพยาบาลศิริราชทางถนนอรุณอมรินทร์ ผ่านไปยังแยกอรุณอมรินทร์ขึ้นสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เคลื่อนต่อไปถนนราชดำเนินในสู่พระบรมมหาราชวังทางถนนหน้าพระลานที่ประตูพิมานไชยศรีและประตูเทวาภิรมย์", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#36", "text": "และภายหลังจากที่รัฐบาลได้จัดนิทรรศการนี้บริเวณท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา เพื่อเฉลิมพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ล่าสุดมีจำนวนผู้เข้าชม 395,050 คน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย และหลังจากนี้กรมศิลปากรจะใช้พื้นที่ภายในท้องสนามหลวงเป็นเส้นทางขนส่งวัสดุอุปกรณ์ เพื่อเร่งก่อสร้างพระเมรุมาศพร้อมสิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศให้แล้วเสร็จตามกำหนด รัฐบาลจึงได้ปิดให้เข้าชมนิทรรศการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยมีการจัดทำนิทรรศการในรูปแบบเสมือนจริง ผ่านทางเว็บไซต์ เย็นศิระ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน เพื่อจำลองบรรยากาศของนิทรรศการที่จัดแสดง ณ ท้องสนามหลวง รวมทั้งผู้เข้าชมและประมวลภาพกิจกรรมต่าง ๆ จนถึงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ให้ประชาชนได้เข้าชมและเรียนรู้เรื่องราวของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้ทุกที่ ทุกเวลา รวมทั้งเก็บบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้แก่คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#51", "text": "ทางรัฐบาลและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงาน องค์กรในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ร่วมกันจัดทำหนังสือเพื่อเทิดพระเกียรติเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ในวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2560 คณะกรรมการฝ่ายจัดทำหนังสือที่ระลึกและจดหมายเหตุงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เห็นชอบให้จัดทำหนังสือจดหมายเหตุและหนังสือที่ระลึกงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจำนวน 11 รายการ ดังนี้จดหมายเหตุทั้ง 4 เล่มนี้จัดพิมพ์โดย กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร\nหนังสือทั้ง 4 เล่มนี้จัดพิมพ์โดย กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากรสปริงกรุ๊ป ได้จัดทำสมุดภาพเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ชุดสรรเสริญพระบารมี จำนวน 2 เล่ม เล่มแรกมีตอนเดียวคือ \"นพพระภูมิบาล\" ส่วนเล่มที่ 2 มี 4 ตอน คือ \"เอกบรมจักริน\" \"พระสยามินทร์\" \"พระยศยิ่งยง\" ซึ่งในสมุดภาพทั้งสองเล่มรวมสี่ตอนนี้จะเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และตอนพิเศษ \"ยงยศยงศักดา มหาวชิราลงกรณ\" ซึ่งเป็นการถ่ายทอดพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รวมถึงยังได้รวบรวมเพลงสรรเสริญพระบารมีจำนวน 9 รูปแบบ มาไว้ในสมุดภาพเล่มที่ 2 ด้วย โดยผ่านการคัดสรรจากหน่วยงาน องค์กร และบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชแล้ว", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#30", "text": "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราชสกุล องคมนตรี คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม องค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ หลังจากการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร (50 วัน)", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#22", "text": "วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 17.00 นาฬิกาโดยประมาณ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินยังพระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระบรมมหาราชวังในการถวายสรงน้ำพระบรมศพ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จเข้าสู่ภายในพระฉาก ซึ่งพระบรมศพบรรทมอยู่บนพระแท่น", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#27", "text": "ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯ ในการถวายภัตตาหารเช้าและเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ ระหว่างการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระศพ ครบทั้ง 100 วัน ถึง วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เวลา 7 นาฬิกา และเวลา 11 นาฬิกา", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#37", "text": "พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดเพื่อถวายความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยรัฐบาลกำหนดวันพระราชพิธีระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 และได้ประกาศให้วันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#39", "text": "คณะรัฐมนตรีได้กำหนดการพระราชพิธีถวายเพลิงพระบรมศพ โดยมีพระราชพิธีสำคัญ ได้แก่ พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ในวันที่ 25 ตุลาคม, พระราชพิธีเชิญพระบรมโกศออกพระเมรุมาศ และถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในวันที่ 26 ตุลาคม ซึ่งคณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษด้วย, พระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิและเชิญพระบรมอัฐิและพระบรมราชสรีรางคารกลับเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง ในวันที่ 27 ตุลาคม, พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระบรมอัฐิ ในวันที่ 28 ตุลาคม, พระราชพิธีเลี้ยงพระ และเชิญพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระราชพิธีบรรจุพระบรมราชสรีรางคาร ในวันที่ 29 ตุลาคม", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#28", "text": "ตั้งแต่คืนวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพฯ ในการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพตลอด 100 วัน ถึงวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2560 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในเวลา 15 นาฬิกา เวลา 19 นาฬิกา และเวลา 21 นาฬิกา", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" }, { "docid": "814997#9", "text": "สำนักพระราชวังได้รับพระราชานุญาต ให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เวลา 05.00–21.00 น. และร่วมบริจาคเงินสมทบทุน ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559 จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ยกเว้นกรณีต่อไปนี้ ซึ่งมีประกาศให้งดการถวายสักการะพระบรมศพจากสำนักพระราชวัง", "title": "การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" } ]
1656
ใครเป็นผู้คิดค้นเหล็กกล้าไร้สนิม?
[ { "docid": "387138#0", "text": "แฮร์รี เบรียร์ลีย์ (, 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1871 — 12 สิงหาคม ค.ศ. 1948) มักมีชื่อเสียงจากการคิดค้น เหล็กกล้าไร้สนิม (หรือสเตนเลส) แม้ว่าครุพพ์จะจดสิทธิบัตรเครื่องหมายการค้า นิรอสตา ไม่กี่เดือนก่อนการค้นพบของเบรียร์ลีย์", "title": "แฮร์รี เบรียร์ลีย์" }, { "docid": "34256#3", "text": "ปี 1872 หลังการค้นพบของ ปิแอร์ เบอร์แทร์ (Pierre Berthier) กว่า 50 ปี มีชาวอังกฤษสองคนคือ วูดส์และคลาร์ค (Woods and Clark) ได้จดสิทธิบัตรโลหะที่ทนต่อการกัดกร่อนจากสภาพอากาศและกรดเป็นครั้งแรก โดยประกอบด้วย โครเมียม 30-35 % และทังสเตน 1.5-2.0 %", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" } ]
[ { "docid": "34256#0", "text": "เหล็กกล้าไร้สนิม () นั้น ในทางโลหกรรมถือว่าเป็นโลหะผสมเหล็ก ที่มีโครเมียมอย่างน้อยที่สุด 10.5% ชื่อในภาษาไทย แปลจากภาษาอังกฤษว่า stainless steel เนื่องจากโลหะผสมดังกล่าวไม่เป็นสนิมที่มีสาเหตุจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง ออกซิเจนในอากาศกับโครเมียมในเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิม เกิดเป็นฟิล์มบางๆเคลือบผิวไว้ ทำหน้าที่ปกป้องการเกิดความเสียหายให้กับตัวเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิมได้เป็นอย่างดี ปกป้องการกัดกร่อน และไม่ชำรุดหรือสึกกร่อนง่ายอย่างโลหะทั่วไป สำหรับในสหรัฐอเมริกาและในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการบิน นิยมเรียกโลหะนี้ว่า corrosion resistant steel เมื่อไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นโลหะผสมชนิดใด และคุณภาพระดับใด แต่ในท้องตลาดเราสามารถพบเห็น เหล็กกล้าไร้สนิมเกรด 18-8 มากที่สุด ซึ่งเป็นการระบุถึง ธาตุที่เจือลงในในเนื้อเหล็กคือ โครเมียมและนิเกิล ตามลำดับ สแตนเลสประเภทนี้จัดเป็น Commercial Grade คือมีใช้ทั่วไปหาซื้อได้ง่าย มักใช้ทำเครื่องใช้ทั่วไป ซึ่งเราสามารถจำแนกประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิมได้จากเลขรหัสที่กำหนดขึ้นตามมาตรฐาน AISI เช่น 304 304L 316 316L เป็นต้น ซึ่งส่วนผสมจะเป็นตัวกำหนดเกรดของเหล็กกล้าไร้สนิม ซึ่งมีความต้องการในการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เหล็กกล้าไร้สนิมกับการเกิดสนิม ปกติ Stainless steel จะไม่เป็นสนิมเพราะที่ผิวของมันจะมีฟิล์มโครเมียมออกไซด์ บางๆเคลือบผิวอยู่อันเนื่องมาจากการทำปฏิกิริยากันระหว่าง Cr ใน Stainless steel กับ ออกซิเจนในอากาศ การทำให้ Stainless steel เป็นสนิมคือการถูกทำลายฟิล์มโครเมียมออกไซด์ ที่เคลือบผิวออกไปในสภาวะที่ Stainless steel สามารถเกิดสนิมได้ ก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเช่น ถ้าเหล็กกล้าไร้สนิมถูกทำให้เกิดรอยขีดข่วน แล้วบริเวณรอยนั้นมีความชื้น ซึ่งสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยากับธาตุเหล็กก่อนที่ฟิล์มโครเมียมออกไซด์จะก่อตัวขึ้นมา ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดสนิมขึ้นได้", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#8", "text": "คนโดยทั่วไปจะไม่ทราบว่าเหล็กกล้าไร้สนิมมีกี่ประเภท และมักจะมีการเข้าใจผิดว่าเหล็กกล้าไร้สนิมแท้ต้องแม่เหล็กดูดไม่ติด แต่จริงๆแล้วการที่แม่เหล็กจะดูดติดหรือไม่ติดนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กกล้าไร้สนิม เหล็กกล้าไร้สนิมแบ่งออกเป็นกลุ่มพื้นฐาน ได้ 5 กลุ่มคือ ออสเทนนิติค, เฟอริติค, ดูเพล็กซ์, มาร์เทนซิติก และ กลุ่มเพิ่มความแข็งโดยวิธีการตกผลึก", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#1", "text": "ประวัติเรื่องราวการคิดค้นผลิตเหล็กกล้าไร้สนิม (History of Stainless Steel)", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#16", "text": "เหล็กกล้าไร้สนิมเป็นวัสดุที่ทนและต้านทานการกัดกร่อน อย่างไรก็ตามมีเหล็กกล้าไร้สนิมหลายตระกูลที่สามารถต้านทานการกัดกร่อนได้ดีเลิศ ในประเด็นการใช้งานที่ต่างกัน ซึ่งต้องเลือกไปใช้ในงานผลิตหรืองานประกอบโครงสร้าง ในงานอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างระมัดระวัง", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#18", "text": "เป็นการกัดกร่อนที่เกิดจากโลหะ 2 ชนิดที่มีศักย์ทางไฟฟ้าแตกต่างกันมาอยู่ติดกัน จุ่มอยู่ในสารละลายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเดียวกัน เหล็กกล้าไร้สนิมจะเป็นโลหะที่มีศักย์สูงกว่า ดังนั้นอัตราการกัดกร่อนแบบกัลวานิคมักจะไม่ค่อยเพิ่มขึ้นในเหล็กกล้าไร้สนิม", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#6", "text": "ในระหว่างปี 1904-1908 มีการศึกษาและเสนอผลงานวิจัยคิดค้นมากมาย ทั้งในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอมนี โดยผลงานที่โดดเด่นได้แก่การตีพิมพ์ผลงานรายละเอียดของเหล็กกล้าผสมโครเมียม – นิกเกิลของ จิเซน (Giesen) ชาวอังกฤษ ผลงานการพัฒนาเหล็กกล้าผสมโครเมียมของปอร์ตแว็ง (Portevin) ชาวฝรั่งเศส และที่สำคัญที่สุดก็คือ ผลงานของชาวเยอรมันสองท่าน พี มอนนาร์ท และ ดับบิว บอร์เชอร์ส (P. Monnartz and W. Borchers) ที่ได้ค้นพบว่าเหล็กกล้าที่ทนต่อการกัดกร่อนต้องมีโครเมียมผสมอย่างน้อย 1.5 %", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#27", "text": "เหล็กกล้าไร้สนิมจะมีฟิล์มบางๆ ต้านทานการกัดกร่อน จำเป็นต้องรักษาความสมบูรณ์ของฟิล์มป้องกัน ดังนี้", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#26", "text": "เหล็กกล้าไร้สนิมเกรดที่มีส่วนผสมโครเมียมอย่างเดียวมีสัมประสิทธิ์การขยายตัวคล้ายกับเหล็กกล้าคาร์บอน แต่เกรดออสเทนนิติกจะมีสัมประสิทธ์การขยายตัวสูงกว่าเหล็กกล้าคาร์บอน 1½ เท่า การที่เหล็กกล้าไร้สนิมมีการขยายตัวสูงแต่มีค่าการนำความร้อนต่ำทำให้ต้องหามาตรการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงผลเสียหายที่ตามมาเช่น ใช้ปริมาณความร้อนในการเชื่อมต่ำ, กระจายความร้อนออกโดยใช้แท่งทองแดงรองหลัง, การจับยึดป้องกันการบิดงอ ปัจจัยเหล่านี้ต้องพิจารณาการใช้งานร่วมกันของวัสดุ เช่นท่อแลกเปลี่ยนความร้อน (heat exchanger) ระหว่างเปลือกโครงสร้างเหล็กกล้าคาร์บอน และท่อออสเทนนิติคเป็นต้น", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" }, { "docid": "34256#23", "text": "การกัดกร่อนที่เป็นผลมาจากจุลชีพ เกิดจากแบคทีเรียที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมเกาะติดที่ผิวหน้าของเหล็กกล้าไร้สนิมทำให้บริเวณนั้น ปิดกั้นออกซิเจน ดังนั้นเงื่อนไขในการกัดกร่อนจึงคล้ายกับแบบ Crevice แบคทีเรียจึงทำให้สถานการณ์ การกัดกร่อนเลวร้ายลง", "title": "เหล็กกล้าไร้สนิม" } ]
1662
โสเภณี คืออะไร?
[ { "docid": "15219#20", "text": "ลักษณะสำคัญของหญิงโสเภณีคือ ประพฤติตนสำส่อนในทางประเวณี ด้วยการรับจ้างกระทำชำเรากับชายหลายคนเพื่อผลประโยชน์ตอบแทน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นหญิงที่ค้าประเวณีกับชายทั่วไป เพราะฉะนั้น ถ้าหญิงร่วมประเวณีกับชายทั่วไปเป็นประจำไม่สำส่อน แม้จะได้รับค่าตอบแทนก็ตาม ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหญิงโสเภณี", "title": "การค้าประเวณี" }, { "docid": "15219#1", "text": "หญิงค้าประเวณีนั้นเรียก นครโสเภณี () แปลว่า \"หญิงงามเมือง\" (โสเภณี แปลว่า หญิงงาม) และมักตัดไปเรียกว่า \"โสเภณี\" เฉย ๆ ส่วนภาษาถิ่นอีสานเรียก \"หญิงแม่จ้าง\" และภาษาปากเรียก \"กะหรี่\", \"หญิงหากิน\" หรือ \"อีตัว\" เป็นต้น", "title": "การค้าประเวณี" } ]
[ { "docid": "333326#0", "text": "ดิฉันไม่ใช่โสเภณี เป็นนวนิยาย ประพันธ์โดยผกามาศ ปรีชา มีเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงไทยที่เสี่ยงชีวิตไปประเทศเยอรมนี โดยหวังจะแต่งงานกับชาวเยอรมัน เพื่อให้ได้สิทธิ ในการอยู่ในประเทศเยอรมนีต่อ โดยตีแผ่การทำงานของบริษัทจัดหาคู่ รวมถึงชะตากรรมของผู้หญิงต่างแดนหลาย ๆ คน", "title": "ดิฉันไม่ใช่โสเภณี" }, { "docid": "14811#6", "text": "เกอิชาไม่ใช่โสเภณี แม้ว่าในอดีตจะมีการขายพรหมจารีอย่างถูกต้อง และเกอิชาก็ไม่จำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์กับลูกค้า แม้ว่าลูกค้าจะจ่ายเงินซื้อเพื่อการนี้ก็ตาม เกอิชากับโสเภณีมีความแตกต่างพอสมควร โดยสังเกตอย่างง่ายจากการแต่งตัว โดยที่โสเภณีจะมีสายโอบิผูกชุดที่สามารถแกะได้จากข้างหน้า เพื่อความสะดวกในถอดชุดออกออก เครื่องประดับของเหล่าหญิงโสเภณีมีความงดงาม หรูหรา ฟู่ฟ่า ในขณะที่เกอิชามีผ้าโอบิผูกจากข้างหลังตามชุดกิโมโนทั่วไป เครื่องประดับนั้นจะเรียบง่ายแต่แสดงออกถึงความสวยงามตามธรรมชาติ ในรูปแบบของศิลปะได้อย่างดีทีเดียว", "title": "เกอิชา" }, { "docid": "15219#17", "text": "ต่อมาเกิดมีธรรมเนียมใหม่คือ หญิงสาวหันมาเป็นโสเภณีเพื่อสะสมทุนทรัพย์สำหรับสมรส ชายที่สมสู่ไม่ต้องวางเงินบนแท่นบูชาแต่ให้ใส่ลงในเสื้อของหญิง ภายหลังหาเงินได้สองสามปีก็จะกลับบ้านเพื่อแต่งงาน และถือกันว่าหญิงที่ได้ผ่านการเป็นโสเภณีมาแล้วเป็นแบบอย่างของเมียและแม่ที่ดี การปฏิบัติของหญิงโสเภณีประเภทหลังนี้ บางคนก็กระทำไปโดยมิได้เกี่ยวข้องกับพิธีทางศาสนาเลย", "title": "การค้าประเวณี" }, { "docid": "15219#5", "text": "ที่มีชื่อว่า \"นครโสเภณี\" นั้น ราชบัณฑิตยสถานว่าเห็นจะเป็นเพราะว่า หญิงพวกนี้อาศัยเมืองหรือนครเป็นที่หาเลี้ยงชีพ หญิงโสเภณีตามชนบทนั้นไม่มี เพราะการเป็นโสเภณีนั้นเป็นที่รังเกียจของสังคม ผู้หญิงพวกนี้จึงอาศัยที่ชุมชนเป็นที่หากิน อีกประการหนึ่ง ในเมืองหรือนครนั้นมีผู้คนลูกค้ามากมาย เป็นการสะดวกแก่การค้าประเวณี", "title": "การค้าประเวณี" }, { "docid": "15219#13", "text": "ในสมัยดึกดำบรรพ์ หญิงโสเภณีไม่มีราคาหรือไม่ถือว่าต่ำช้า เพราะในสมัยนั้นไม่ถือธรรมเนียมหรือคุณค่าทางพรหมจารี การสมสู่เป็นไปโดยเสรีและสะดวก ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่า ชาวสลาฟโบราณถือว่า หญิงดีมีค่านั้นจะต้องมีชายรักใคร่เสน่หาร่วมประเวณีมาก่อนสมรส ถ้าสามีตรวจพบว่าภริยาของตนมีพรหมจารีที่ยังไม่ถูกทำลายก็มักไม่พอใจ บางรายถึงขนาดขับไล่ไสส่งภริยาไปก็มี เนื่องจากอุดมคติในเรื่องพรหมจารีมีอยู่เช่นนี้ จึงทำให้ผู้หญิงบางหมู่แสวงหาเครื่องหมายจากการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของชายคู่รักเพื่อเก็บไว้อวดชายที่มาเป็นสามี เมื่อเสรีภาพในการร่วมประเวณีมีอยู่เช่นนั้น หญิงโสเภณีในยุคแรกเริ่มเดิมทีก็นับว่าไม่มี", "title": "การค้าประเวณี" }, { "docid": "516978#0", "text": "โพรมีเทียส หรือ โพรมีทีอูส (, แปลว่า มองการณ์ไกล) เป็นเทพไททันองค์หนึ่งที่มีความเฉลียวฉลาด เป็นผู้ขโมยไฟจากเฮสเทีย เทพีแห่งเตาไฟ ลงไปให้มนุษย์ จึงทำให้มนุษย์รู้จักใช้ไฟในการหุงหาอาหารและใช้เพื่อแสงสว่างจนสามารถสร้างอารยธรรมต่างๆ ได้ จึงทำให้ซูสโกรธและลงโทษโพรมีเทียสด้วยการขังไว้ในถ้ำบนคอคาซัส และมีนกอินทรียักษ์มาจิกกินตับของโพรมีเทียสทุกวันโดยที่ไม่ตาย และทุกคืนตับของโพรมีเทียสจะงอกใหม่เพื่อให้นกอินทรียักษ์จิกกินในวันรุ่งขึ้น", "title": "โพรมีเทียส" }, { "docid": "484675#3", "text": "จากการที่ใช้ชีวิตสมถะแบบศิลปินอันไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม และจากการที่ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้จิตใจของศิลปินไม่มั่นคงและตึงเครียด ผลงานของเขาจึงสะท้อนชีวิตของคนกลุ่มหนึ่งคือ โสเภณี ซึ่งเป็นอาชีพที่ถูกสังคมทั่วไปดูแคลนเช่นเดียวกันกับตัวเขาเอง", "title": "แอ็นสท์ ลูทวิช เคียร์ชเนอร์" }, { "docid": "540084#0", "text": "สะใภ้ไม่ไร้ศักดินา เป็นบทประพันธ์ของ ปิ่นเพชร เป็นภาคต่อของละครเรื่อง สะใภ้ไร้ศักดินา บทโทรทัศน์โดย ภควดี แสงเพชร กำกับการแสดงโดย อดุลย์ บุญบุตร ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด \nปลิวลม และ อาชา หลังจากที่ได้แต่งงานเธอก็มีลูกสาวหนึ่งคนชื่อ ปลาณี / น้ำแข็ง เธอเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่ความรักโดยเฉพาะ คุณนายศรีสอางค์ ผู้เป็นย่า ที่รักเธอมากกว่าใคร น้ำแข็งเธอเป็นสาวสวยเปรี้ยวซ่ามีเพื่อนร่วมกลุ่ม 2 คนคือ พลอย และ แป๋ม กลุ่มสาวสวย รวยเปรี้ยวซ่า", "title": "สะใภ้ไม่ไร้ศักดินา" }, { "docid": "197986#1", "text": "โสภิตนภาเป็นบุตรของอมรพิชญ์ ทัพพะรังสี กับมารดาชื่อเพ็ญนิภา ทัพพะรังสี (สกุลเดิม เอี่ยมเอกดุลย์) มีน้องชายชื่อคณธร (ชื่อเล่น กุ๊ก) แต่ทั้งบิดาและน้องชายเสียชีวิตตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงอยู่ในการดูแลของมารดา โดยมีปู่และย่าคืออรุณ ทัพพะรังสี และพร้อม ชุณหะวัณ คอยดูแลแบบไทยโบราณอย่างใกล้ชิด", "title": "โสภิตนภา ชุ่มภาณี" } ]
1678
ในเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน หัวหน้าคณะก่อการคือใคร?
[ { "docid": "56281#0", "text": "กบฏแมนฮัตตัน หรือ กรณีแมนฮัตตัน ชื่อเรียกเหตุการณ์การกบฏในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า \"คณะกู้ชาติ\" นำโดย น.ต.มนัส จารุภา ร.น.ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์ พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกาภา ผู้บังคับการกองสำรองเรือรบ นาวาตรี ประกาย พุทธารี สังกัดกรมนาวิกโยธิน และ นาวาตรี สุภัทร ตันตยาภรณ์ สังกัดกรมนาวิกโยธิน ทำการกบฏจี้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ระหว่างเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกัน ชื่อ \"แมนฮัตตัน\" ที่ท่าราชวรดิฐ โดยนำไปกักขังไว้ในเรือรบหลวงชื่อ \"ศรีอยุธยา\" ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" } ]
[ { "docid": "56281#3", "text": "ในเหตุการณ์กบฏ หัวหน้าคณะก่อการ คือ น.อ.อานนท์ ปุณฑริกกาภา ร.น. สั่งการให้ทหารเรือกลุ่มที่สนับสนุนการก่อการมุ่งหน้าและตรึงกำลังไว้ที่พระนคร และประกาศตั้ง พระยาสารสาสน์ประพันธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม กระจายเสียงในฐานะนายกรัฐมนตรีจากในเรือ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ยอม ได้กระจายเสียงตอบโต้ไปโดยใช้วิทยุของกรมการรักษาดินแดน (ร.ด.) โดยได้ให้นายวรการบัญชา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รักษาการนายกรัฐมนตรีแทน และตั้งกองบัญชาการขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล (ในขณะนั้นคือ พระที่นั่งอนันตสมาคม) จึงเกิดการต่อสู้ยิงกันอย่างหนักระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายก่อการ ซึ่งตามแผนการของผู้ก่อการแล้ว ฝ่ายก่อการต้องยึดโรงไฟฟ้าและสถานีโทรศัพท์กลาง ที่หน้าวัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) ให้ได้ โดยเรือรบหลวงศรีอยุธยาจะต้องแล่นผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งเปิดรอ เพื่อไปตั้งกองบัญชาการที่ฝั่งพระนคร และมีกำลังทหารจากต่างจังหวัดยกเข้ามาสมทบทั้งทหารเรือและทหารบก แต่เมื่อลงมือจริง ๆ แล้วกลับไม่เป็นไปตามนั้น สะพานพระพุทธยอดฟ้าก็ไม่เปิด และในที่สุดเครื่องยนต์เรือก็เสียจากการถูกโจมตีหนัก โดยในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ใช้อำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ใช้กำลังทหารเพื่อปราบจลาจล และในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เวลา 10.00 น. ต่อมาพระบรมราชโองการประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีโดยผ่านพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร นับว่าเป็นการใช้กฎอัยการศึกครั้งแรกในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีวรการบัญชาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "56281#9", "text": "การดำเนินคดีมีการจับกุมผู้ต้องหาร่วม 1,000 คน ซึ่งควบคุมตัวไว้ที่สนามกีฬาแห่งชาติ เนื่องจากมีจำนวนมาก ในที่สุดก็ต้องปล่อยตัวเพราะหาหลักฐานไม่เพียงพอจนเหลือฟ้องศาลประมาณ 100 คน ภายหลังนักโทษคดีนี้ส่วนใหญ่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ ในส่วนของกองทัพเรือ แม้ทหารที่ก่อการจะไม่ใช่ทหารระดับสูงและทหารเรือส่วนใหญ่ก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย กระนั้น พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายทหารเรือระดับสูงหลายคน ก็ยังต้องโทษตัดสินจำคุกนานถึง 3 ปี โดยที่ไม่มีความผิด และได้มีการปรับลดอัตรากำลังพลของกองทัพเรือลงไปมาก เพราะถือเป็นความพยายามก่อรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันของทหารเรือ ต่อจากกบฏวังหลวง ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นเพียง 2 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เช่น ยุบกรมนาวิกโยธินกรุงเทพ, ยุบกองการบินกองทัพเรือไปรวมกับกองทัพอากาศ, ย้ายกองสัญญาณทหารเรือที่ถนนวิทยุ ที่ต่อมากลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งในปัจจุบันคือที่ตั้งของ วัน แบงค็อก นั่นเอง", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "56281#1", "text": "ซึ่งก่อนหน้านี้ คณะผู้ก่อการคิดจะก่อการในลักษณะเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่สบจังหวะที่เหมาะสม จึงได้แต่เลื่อนออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเวลาลงมือจริง หลายฝ่ายที่ถูกชักชวนให้ลงมือก็คาดว่าจะต้องมีการเลื่อนอีกแน่นอน จึงมิได้ปฏิบัติการตามแผนที่วางไว้", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "535078#4", "text": "ในเหตุการณ์กบฏวังหลวง ในปี พ.ศ. 2492 ที่มี นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีและทหารเรือบางส่วนเป็นแกนนำ พล.ร.ต.ทหาร ได้เข้าร่วมกับกบฏ โดยเป็นผู้นำกองกำลังทหารเรือและนาวิกโยธินจากชลบุรีเข้าสู่พระนคร แต่ทว่าการก่อการไม่สำเร็จ และต่อมายังเป็นผู้ริเริ่มให้มีกบฏแมนฮัตตัน เหตุการณ์กบฏอีกครั้งโดยทหารเรือ ในปี พ.ศ. 2494 อีกด้วย", "title": "ทหาร ขำหิรัญ" }, { "docid": "10106#16", "text": "ในขณะนั้นเมื่อมีใครเอ่ยถึงออพเพนไฮเมอร์ ทุกคนจะนึกถึงชายวัย 38 ปี ผู้เป็นหัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ในโครงการแมนฮัตตัน ที่ได้รวบรวมนักฟิสิกส์ นักเคมี และวิศวกรระดับสุดยอดนับ 6,000 คน มาสร้างระเบิดปรมาณู เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยให้มาทำงานร่วมกันที่ลอสอาลาโมสในรัฐนิวเม็กซิโก อย่างลับสุดยอด คือ ไม่ให้ฝ่ายเยอรมนีรู้อย่างเด็ดขาด ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังสร้างระเบิดมหาประลัย และให้กองทัพนักวิทยาศาสตร์ทำงานร่วมกับกองทัพทหารอย่างใกล้ชิด อย่างหนัก และอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็ประจักษ์ว่าเขาคือ บุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถประคับประคองและประสานความแตกต่างระหว่างความคิดเห็น อย่างเสรีของบรรดานักการเมืองและนักวิชาการกับความลับของทหารได้ เช่น เวลา ฮันส์ เบเทอ ขัดแย้งกับเออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ และEdward Teller (บิดาของระเบิดไฮโดรเจน) เขาต้องเก่งพอที่จะตัดสินได้ว่า เทคนิคใดเหมาะสม และเป็นไปได้ หรือเวลาประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนขัดแย้งกับ J. Edgar Hoover แห่งเอฟบีไอ และนายพล Leslie Groves ผู้เป็นหัวหน้าโครงการแมนฮัตตัน เขาต้องถูกมะรุมมะตุ้มด้วยกระสุนวาจาจากบุคคลเหล่านี้ตลอดเวลาทำงาน และเขาก็ตระหนักว่า ถึงจะเป็นนักวิชาการที่เก่ง แต่อำนาจทางการเมืองก็เหนือกว่า ฉะนั้นเมื่อใดที่ทั้งสองข้างปะทะกัน นักวิชาการก็ต้องถอย", "title": "โครงการแมนฮัตตัน" }, { "docid": "306540#6", "text": "เหตุการณ์กบฏเมษาฮาวาย ระหว่างวันที่ 1 เมษายน-3 เมษายน พ.ศ. 2524 และเหตุการณ์กบฏ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 โดยเฉพาะในเหตุการณ์กบฏ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 ได้ถูกคณะผู้ก่อการประกาศชื่อให้เป็นหัวหน้าด้วย", "title": "เสริม ณ นคร" }, { "docid": "71595#8", "text": "ภายหลังเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ในปี พ.ศ. 2494 หลวงสินธุสงครามชัย เป็นผู้บัญชาการทหารเรือในขณะนั้น ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากคณะรัฐบาลโดย จอมพลป. พิบูลสงคราม เคลือบแคลงว่าอาจจะมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นในการก่อกบฏ ซึ่งหลวงสินธุสงครามชัยได้รับโทษจำคุกเป็นเวลานานถึง 3 ปี ทั้งที่ไม่มีความผิด", "title": "หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน)" }, { "docid": "869733#1", "text": "ผู้ก่อการรัฐประหารในประเทศไทยเป็นผลสำเร็จ ส่วนใหญ่เกิดจากฝ่ายกองทัพบก ส่วนทหารเรือเคยพยายามก่อรัฐประหารมาแล้ว ในกรณีกบฏวังหลวง เมื่อปี พ.ศ. 2492 และกบฏแมนฮัตตัน เมื่อปี พ.ศ. 2494 แต่กระทำการไม่สำเร็จ แล้วหลังจากนั้น ทหารเรือก็เสียอำนาจในการเมืองไทยไปทั้งนี้ บางตำราระบุว่า การปิดสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 เป็นรัฐประหารครั้งแรกของไทย และมิได้แยกเหตุการณ์วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 เป็นรัฐประหารอีกครั้ง", "title": "รัฐประหารในประเทศไทย" }, { "docid": "10106#15", "text": "ทั้งแฟร์มีและออพพีมาถึงลอสอาลาโมสโดยมีผู้คุ้มกันส่วนตัวอย่างดี หลังจากที่นายพลโกรฟส์ได้รับคำสั่งให้เป็นหัวหน้าโครงการแมนแฮนตัน ดิสทริกส์เพียงไม่นาน เขาได้ส่งผู้คุ้มกันไปประจำตัวนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงประมาณ 6 คน ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่เขาจะป้องกันนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทางด้านพลังงานอะตอม ผู้คุ้มกันจะติดตามนักวิทยาศาสตร์ไปทุกหนทุกแห่งเมื่ออยู่นอกลอสอาลาโมส โดยเฉพาะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ให้นักวิทยาศาสตร์เดินทางคนเดียวหรือเดินคนเดียวในเวลากลางคืน ในลอสอาลาโมส เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแรง แฟร์มีและออพพีสามารถเดินไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องมีผู้คุ้มกัน แต่เมื่อเขาเดินทางไปที่อื่นผู้คุ้มกันจะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง", "title": "โครงการแมนฮัตตัน" } ]
1685
แม่นากพระโขนงเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ?
[ { "docid": "59063#7", "text": "เอนก นาวิกมูล ผู้ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์ไทยได้ค้นคว้าเอกสารร่วมสมัยเกี่ยวกับเรื่องแม่นากพระโขนงนี้ พบว่า จากหนังสือพิมพ์สยามประเภทฉบับวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2442 ของ ก.ศ.ร. กุหลาบ น่าจะมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ของ อำแดงนาก ลูกสาวกำนันตำบลพระโขนงชื่อ ขุนศรี ที่ตายลงขณะยังตั้งท้อง และทางฝ่ายลูก ๆ ของอำแดงนากก็เกรงว่าบิดาของตน (สามีแม่นาก) จะไปแต่งงานมีภรรยาใหม่ และต้องถูกแบ่งทรัพย์สิน จึงรวมตัวกันแสร้งทำเป็นผีหลอกผู้คนที่ผ่านไปมาด้วยการขว้างหินใส่เรือผู้ที่สัญจรไปมาในเวลากลางคืนบ้าง หรือทำวิธีต่าง ๆ นานา เพื่อให้คนเชื่อว่าผีของมารดาตนเองเฮี้ยน และพบว่าสามีของอำแดงนาก ไม่ใช่ชื่อ มาก แต่มีชื่อว่า นายชุ่ม ทศกัณฐ์ (เพราะเป็นนักแสดงในบท ทศกัณฐ์) และพบว่า คำว่า แม่นาก เขียนด้วยตัวสะกด ก ไก่ (ไม่ใช่ ค ควาย) แต่การที่สามีแม่นากได้ชื่อเป็น มาก เกิดขึ้นครั้งแรกจากบทประพันธ์เรื่อง \"\"อีนากพระโขนง\"\" ซึ่งเป็นบทละครร้อง ในปี พ.ศ. 2454 โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์", "title": "แม่นากพระโขนง" }, { "docid": "59063#0", "text": "แม่นากโขนง หรือมักเรียกสั้น ๆ ว่า แม่นาก (โดยมากสะกดด้วย ค.ควาย) เป็นผีตายทั้งกลมที่เป็นที่รู้จักกันดีของไทย เชื่อกันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันมีศาลแม่นากตั้งอยู่ที่วัดมหาบุศย์ ซอยสุขุมวิท 77 (ถนนอ่อนนุช) เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร", "title": "แม่นากพระโขนง" } ]
[ { "docid": "59063#9", "text": "เรื่องราวของแม่นากพระโขนงปรากฏอยู่ทั่วไปตามความเชื่อของคนไทยร่วมสมัยและตราบจนปัจจุบัน เช่น เชื่อว่าชื่อสี่แยกมหานาค ที่เขตดุสิตในปัจจุบัน มาจากการที่แม่นากอาละวาดขยายตัวให้ใหญ่ และล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ก็ยังเคยเสด็จทอดพระเนตรด้วย หรือ เชื่อว่าพระรูปที่มาปราบแม่นากได้นั้นคือสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นต้น อีกทั้งยังเชื่อว่าท่านเป็นคนเจาะกะโหลกที่หน้าผากของแม่นากทำเป็นปั้นเหน่ง เพื่อสะกดวิญญาณแม่นาก และได้สร้างห้องเพื่อเก็บปั้นเหน่งชิ้นนี้ไว้ต่างหาก หรือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยังได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อ พ.ศ. 2468 ซึ่งเป็นสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านเคยเห็นเรือนของแม่นากด้วย เป็นเรือนลักษณะเหมือนเรือนไทยภาคกลางทั่วไปอยู่ติดริมคลองพระโขนง มีเสาเรือนสูง มีห้องครัวอยู่ด้านหลัง ซึ่งปัจจุบันนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว และยังเคยขึ้นไปบนศาลาการเปรียญของวัดมหาบุศย์ด้วย ในขณะนั้นศาลาการเปรียญหลังใหม่ บนฝ้าเพดานมีรอยเท้าเปื้อนโคลนคล้ายรอยเท้าคนเหยียบย่ำไปมาหลายรอย สมภารบอกว่าเป็นรอยเท้าของแม่นาก", "title": "แม่นากพระโขนง" }, { "docid": "480554#12", "text": "ในด้านเสียงวิจารณ์ อำนาจ เกิดเทพจากผู้จัดการออนไลน์ กล่าวว่า หากนำโจทย์ที่ตั้งไว้ว่าจะทำหนังเรื่องนี้โดยใช้ \"ตลก\" นำหน้านั้นถือเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย นันทขว้าง สิรสุนทร มองเห็นจุดแข็งของ \"พี่มาก..พระโขนง\" มาจากผู้กำกับที่เป็นคนกำหนดทิศทางของหนัง ทั้งบท การแสดง การคัดเลือกนักแสดง การออกแบบการผลิต ฯลฯ ทำให้เข้าใจคนดูหนังยุคนี้อย่างลึก ซึ่งทำให้การวางจังหวะของหนัง การวางมุกต่าง ๆ น่าจะโดนใจคนดู อภินันท์ บุญเรืองพะเนา มองว่าสิ่งที่ยอดเยี่ยมของภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของตำนานแม่นาก พระโขนง เรื่องนี้คือการกล้าที่จะริเริ่มอะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนมุมมองจากตัวนากมาเป็นมาก ซึ่งผู้สร้างก็กล้าฉีกขนบตั้งแต่การตั้งชื่อเรื่องเลยทีเดียว อัญชลี ชัยวรพร กล่าวว่า \"พี่มาก..พระโขนง\" น่าจะอยู่ในลักษณะของการเขียนใหม่ขยายและเน้นจุดเก่าบางเรื่อง พร้อมทั้งเสนอมุมมองพี่มากในตอนจบ", "title": "พี่มาก..พระโขนง" }, { "docid": "480554#0", "text": "พี่มาก..พระโขนง เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556 แนวโรแมนติก สยองขวัญ และตลก ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องแม่นากพระโขนง ผีพื้นบ้านไทย กำกับโดย บรรจง ปิสัญธนะกุล ผู้มีชื่อเสียงจากผลงาน \"สี่แพร่ง\" ตอน คนกลาง, \"ห้าแพร่ง\" ตอน คนกอง และ \"กวน มึน โฮ\" กับทั้งนำแสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ เป็นพี่มาก กับดาวิกา โฮร์เน่ เป็นแม่นาก พร้อมด้วย ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์, พงศธร จงวิลาส, อัฒรุต คงราศรี และกันตพัฒน์ สีดา ซึ่งเคยร่วมแสดงใน \"สี่แพร่ง\" และ \"ห้าแพร่ง\" มาแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มฉายตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556 ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือได้ว่าประสบความสำเร็จทั้งรายได้ เป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทย และเป็นภาพยนตร์ทำรายได้มากที่สุดของจีทีเอช แทนที่ ATM เออรัก เออเร่อ (2555) ที่ทำสถิติเดิมไว้\nบรรจง ปิสัญธนะกูล ผู้กำกับภาพยนตร์ มีแนวคิดที่จะนำนักแสดงจากผลงานที่เขาเคยกำกับ ที่แสดงโดย ฟรอย เผือก เชน บอมบ์ จาก “คนกลาง” ใน \"สี่แพร่ง\" และ “คนกอง” ใน\"ห้าแพร่ง\" มาร่วมแสดงในผลงานภาพยนตร์ให้น่าสนใจ เต๋อ ฉันทวิชช์ ที่มาร่วมเขียนบท เสนอแนวคิดให้ทำเป็นนางนาก บรรจงก็เห็นด้วย เพราะคิดว่าน่าสนใจ คนดูคงประหลาดใจ โดยเขาจะนำตำนานแม่นากมาทำเป็นหนังย้อนยุคในมุมมองใหม่ ตีความใหม่ และสร้างภาพยนตร์ย้อนยุคที่ไม่จำเป็นต้องถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ ผนวกกับเสื้อผ้า ทรงผมออกแนวแฟชั่น และบรรยากาศ อารมณ์ ให้รู้สึก สนุก ตลก ปนสยอง", "title": "พี่มาก..พระโขนง" }, { "docid": "59063#14", "text": "ในทางบันเทิง เรื่องราวของแม่นากพระโขนงได้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ และภาพยนตร์หลายครั้ง โดยเรื่องราวของแม่นากพระโขนงได้นำมาสร้างภาพยนตร์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2470 โดยหม่อมราชวงศ์อนุศักดิ์ หัสดินทร์ แต่พอสร้างแล้วฉายจนฟิล์มเปื่อย ฟิล์มก็หล่นหายสาบสูญไปอย่างน่าเสียดาย อีกทั้งยังสร้างเป็นละครหรือภาพยนตร์ตลกล้อเลียนก็เคยมาแล้ว เช่น ละครเวทีโอเปร่าอำนวยการแสดงโดย สมเถา สุจริตกุล ในปี พ.ศ. 2545", "title": "แม่นากพระโขนง" }, { "docid": "59063#13", "text": "เรื่องราวของแม่นากพระโขนงได้กลายเป็นบทประพันธ์ในรูปแบบการแสดงเป็นครั้งแรก เป็นบทละครร้องในปี พ.ศ. 2454 ในชื่อ \"\"อีนากพระโขนง\"\" โดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ แสดงที่โรงละครปรีดาลัย (โรงเรียนตะละภัฏศึกษาในปัจจุบัน) ได้รับความนิยมอย่างมากจนต้องเปิดการแสดงติดต่อกันถึง 24 คืน", "title": "แม่นากพระโขนง" }, { "docid": "99304#41", "text": "ในปี พ.ศ. 2556 ภาพยนตร์เรื่อง \"พี่มาก..พระโขนง\" ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวของแม่นากพระโขนง ผีพื้นบ้านไทย ทีมีเนื้อหาผี รักใคร่ และตลก สร้างโดย จีทีเอช ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ สามารถทำรายได้ถึง 568.55 ล้านบาท มีรายได้สะสมมากกว่าภาพยนตร์เรื่อง \"ATM เออรัก เออเร่อ\" (152.5 ล้านบาท) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ค่ายเดียวกัน จึงนับเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดของจีทีเอช และเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ในประเทศสูงสุด", "title": "ภาพยนตร์ไทย" }, { "docid": "59063#10", "text": "ถึงอย่างไร ความเชื่อเรื่องแม่นากพระโขนง ก็ยังปรากฏอยู่ในความเชื่อของคนไทย ณ วัดมหาบุศย์ ภายในซอยสุขุมวิท 77 (ถนนอ่อนนุช) เขตสวนหลวง ปัจจุบันนี้ มีศาลแม่นากตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่สักการบูชาอย่างมากของบุคคลในและนอกพื้นที่ โดยบุคคลเหล่านี้จะเรียกแม่นากด้วยความเคารพว่า \"ย่านาก\" บ้างก็เชื่อว่าร่างของแม่นากถูกฝังอยู่ระหว่างต้นตะเคียนคู่ภายในศาล โดยมีผู้มาบนบานขอในสิ่งที่ตนต้องการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องความรัก", "title": "แม่นากพระโขนง" }, { "docid": "514983#3", "text": "ในวัฒนธรรมร่วมสมัยต่าง ๆ มีผีไทยได้ปรากฏตามสื่อเป็นจำนวนมาก แม่นากพระโขนง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของผีตายทั้งกลมที่เชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในต้นยุครัตนโกสินทร์ นับว่าเป็นผีไทยที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง มีศาลบูชา อยู่ที่วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง ในปัจจุบัน แม่นากพระโขนง ได้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์, ละครเวที ภาพยนตร์ แม้กระทั่งการ์ตูน หรืออะนิเมะชั่นต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ยุคภาพยนตร์เงียบ ในปี พ.ศ. 2479 ทั้งให้ความรู้สึกน่ากลัว หรือแม้กระทั่งขบขันหรือล้อเลียน หรือ กระสือ ผีผู้หญิงที่ถอดหัวเหลือแต่ไส้กับอวัยวะต่าง ๆ เรืองแสงได้ ล่องลอยหาของสดของคาว และมูตรคูถต่าง ๆ ในเวลากลางคืน กินเป็นอาหาร ก็เป็นผีอีกประเภทหนึ่งเช่นกันที่มักถูกถ่ายออดออกมาในสื่อประเภทนี้ ร่วมกับผีปอบ ที่ \"บ้านผีปอบ\" กลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่มีจำนวนภาคต่อมากที่สุด (จนถึงปัจจุบัน พ.ศ. 2556-14 ภาค)", "title": "ผีในวัฒนธรรมไทย" } ]
1688
ประวัติวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ในอเมริกาเริ่มจากแต่เดิมเป็นสาขาวิชาเฉพาะทางใด?
[ { "docid": "688#4", "text": "ประวัติวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ในอเมริกาเริ่มจากแต่เดิมเป็นสาขาวิชาเฉพาะทางในวิศวกรรมไฟฟ้า ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการวิศวกรรมฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ แต่ต่อมาช่วงหลังปี ค.ศ. 1990 จึงมีการเพิ่มเติมเนื้อหาการศึกษาทางด้านซอฟต์แวร์ หรืออาจมองได้ว่าเกิดจากการรวมกันของวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ ถ้าพิจารณาจากสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าแล้ว วิศวกรคอมพิวเตอร์คือวิศวกรไฟฟ้าที่มุ่งเน้นไปที่ระบบฮาร์ดแวร์เชิงดิจิทัล และไม่เน้นทางด้านความถี่วิทยุ หรือไฟฟ้ากำลัง และถ้ามองจากทางวิทยาการคอมพิวเตอร์แล้ว วิศวกรคอมพิวเตอร์จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อประสานระหว่างซอฟต์แวร์และระบบฮาร์ดแวร์ ในยุคหลังมีทฤษฏีหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบเครือข่าย การรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ หรือ การรู้จำด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น", "title": "วิศวกรรมคอมพิวเตอร์" }, { "docid": "688#5", "text": "ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในอเมริกาส่วนมาก เริ่มก่อตั้งขึ้นภายใต้หรือควบคู่กับภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 บางมหาวิทยาลัยเลือกที่จะผนวกสาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมซอฟต์แวร์เข้ากับภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ในขณะที่บางที่เช่น สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เลือกที่จะรวมภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเข้ากับภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์แทน", "title": "วิศวกรรมคอมพิวเตอร์" } ]
[ { "docid": "520024#0", "text": "ในประเทศไทย มีหลักสูตรทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ขึ้นครั้งแรก ในภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย \nโดยได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2518 เพื่อจัดดำเนินการด้านการเรียน และการสอนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อันจะช่วยให้การสอนของอาจารย์ และการวิจัยของข้าราชการของมหาวิทยาลัย มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ตลอดจนสร้างโปรแกรม ทำโครงการพัฒนาระบบการใช้งานภาษาไทย และสร้างระบบคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ รวมถึงจัดอบรมวิชาการด้านคอมพิวเตอร์ในระดับทั่วไป โดยมีรากฐานจาก\"หน่วยคอมพิวเตอร์ไซแอนส์\" (Computer Science หรือหลักสูตรวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน) ซึ่งทำการสอนวิชาด้านคอมพิวเตอร์ให้แก่นิสิตปริญญาตรีในคณะต่าง ๆ นอกจากนี้ยังได้เปิดหลักสูตรการศึกษาชั้นประกาศนียบัตรทางด้านคอมพิวเตอร์ไซแอนส์ (ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน หรือ กพ. ให้การรับรอง) ขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ซึ่งก็มีผู้สนใจเข้าเรียนจนจบ และได้ประกาศนียบัตรไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมา เนื่องจากสังกัดอยู่กับบัณฑิตวิทยาลัย หน่วยคอมพิวเตอร์ไซแอนส์จึงได้เปิดหลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาคอมพิวเตอร์ศาสตร์ (วท.ม) ขึ้นในปี พ.ศ. 2514 โดยรับนิสิตปริญญาโทจากผู้ที่จบปริญญาตรีสาขาวิชาต่าง ๆ เกือบทุกสาขาวิชา และยังพิจารณาที่จะช่วยเหลือการศึกษาด้านนี้แก่มหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีกด้วย", "title": "วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย" }, { "docid": "688#2", "text": "ปัจจุบันสาขาวิชาที่สำคัญในด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์คือ ระบบฝังตัว การพัฒนาอุปกรณ์ที่มีซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ฝังตัวภายใน เช่น อุปกรณ์สื่อสารอย่าง โทรศัพท์มือถือ เครื่องเล่นวิทยุระบบดิจิทัล เครื่องบันทึกวีดิทัศน์ระบบดิจิทัล ระบบเตือนภัย เครื่องถ่ายรังสีเอกซ์ และ เครื่องมือผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องการการผนวกรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ฝังตัวหรือของอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการวิศวกรรมคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน", "title": "วิศวกรรมคอมพิวเตอร์" }, { "docid": "520024#2", "text": "จากการจัดอันดับเมื่อปี 2553 โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย สำหรับภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้จัดอันดับในกลุ่มดีเยี่ยม และ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการจัดอันดับในระดับ ดีมาก ดูเพิ่มเติมได้ที่ อันดับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย\nประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2552", "title": "วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทย" }, { "docid": "60473#5", "text": "ภาควิชาเทคนิคอุตสาหกรรม เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2517 เริ่มแรกภาควิชานี้ตั้งอยู่ที่ศูนย์นนทบุรี และตึกโทรคมนาคมที่ลาดกระบัง โดยเปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีอุตสาหกรรมศาสตรบัณฑิต (อส.บ) สาขาวิชาเทคโนโลยีโทรทัศน์เพียงสาขาเดียว โดย รับนักศึกษาที่จบ ป.ว.ส. สาขาไฟฟ้าโทรคมนาคม สาขาอิเล็กทรอนิกส์และสาขาวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งมีการเรียนรอบค่ำเป็นระยะเวลา 3 ปี หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2539 ได้เปิดสอนสาขาเทคโนโลยีโทรคมนาคม และสาขาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นอีก และได้ย้ายภาควิชาจากตึกโทรคมนาคมมาอยู่ที่อาคาร 12 ชั้นคณะวิศวกรรมศาสตร์", "title": "วิศวกรรมสารสนเทศ" }, { "docid": "670#14", "text": "ในปี ค.ศ. 1998 มหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแห่งนาวาล (Naval Postgraduate School) ในสหรัฐอเมริกา ได้ริเริ่มหลักสูตรปริญญาเอกสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์เป็นครั้งแรกในโลก Steve McConnell ได้ให้ความเห็นว่า เป็นเพราะมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีการเรียนการสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์มากกว่าวิศวกรรมซอฟต์แวร์ จึงทำให้ขาดแคลนวิศวกรซอฟต์แวร์ที่แท้จริง ในปี ค.ศ. 2004 สมาคมคอมพิวเตอร์แห่ง IEEE ได้พัฒนา องค์ความรู้ สำหรับสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ หรือเรียกว่า Software Engineering Body of Knowledge จนได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO (ISO/IEC TR 19759:2005)", "title": "วิศวกรรมซอฟต์แวร์" }, { "docid": "5895#20", "text": "วิศวกรรมคอมพิวเตอร์เกี่ยวข้องกับการออกแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์ เช่นการออกแบบของฮาร์ดแวร์, การออกแบบของพีดีเอ, หรือการใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุมโรงงานอุตสาหกรรม, การพัฒนาระบบฝังตัว (ระบบทำงานที่เฉพาะเจาะจง เช่นโทรศัพท์มือถือ) สาขานี้จะรวมถึงไมโครคอนโทรลเลอร์และการประยุกต์ใช้ วิศวกรคอมพิวเตอร์อาจจะทำงานกับซอฟต์แวร์ของระบบ แต่การออกแบบระบบซอฟต์แวร์ที่ซับซ้อนมักจะเป็นงานหลักของวิศวกรรมซอฟต์แวร์ซึ่งมักจะถือว่าเป็นสาขาที่แยกต่างหาก", "title": "วิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์" }, { "docid": "4783#2", "text": "ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์นั้นนับเป็นแขนงวิชาแรกเริ่มของปัญญาประดิษฐ์แขนงหนึ่ง ซึ่งเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 (พ.ศ. 2493 ถึง พ.ศ. 2503) เพื่อที่จะแปลเอกสารภาษาต่างประเทศไปเป็นภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะการแปลวารสารวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียต ในสมัยนั้นคอมพิวเตอร์ได้พิสูจน์ความสามารถแล้วว่า สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนได้เร็วกว่าและแม่นยำกว่ามนุษย์มาก แต่ถึงกระนั้น เทคนิคต่าง ๆ ก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากพอที่จะประมวลผลภาษาได้", "title": "ภาษาศาสตร์คอมพิวเตอร์" }, { "docid": "667284#3", "text": "อาชีพนี้ได้เริ่มต้นในปี 1914 ภายในสถาบันอเมริกันทำเหมืองแร่, โลหะ, และวิศวกรปิโตรเลียม (AIME) ปริญญาแรกของวิศวกรรมปิโตรเลียมได้ประสิทธ์ประศาสน์ในปี 1915 จากมหาวิทยาลัยแห่งพิตส์เบิร์ก ตั้งแต่นั้นมา, อาชีพนี้มีวิวัฒนาการเพื่อแก้สถานการณ์ที่ยากลำบากมากขึ้น, มากเท่ากับของ \"ผลไม้ที่แขวนต่ำ\" ของแหล่งน้ำมันของโลกที่มีการตรวจพบและหมดไป การปรับปรุงในแบบจำลองคอมพิวเตอร์, วัสดุและการใช้สถิติ, การวิเคราะห์ความน่าจะเป็น, และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่นการขุดเจาะในแนวนอนและการกู้คืนน้ำมันแบบเพิ่มสมรรถนะ (เทคนิคในการเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบที่จะสามารถสกัดได้จากแหล่งน้ำมัน), มีการปรับปรุงอย่างมากในกล่องเครื่องมือของวิศวกรปิโตรเลียมในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา", "title": "วิศวกรรมปิโตรเลียม" } ]
1695
ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เกิดเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "27916#0", "text": "ศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช (26 พฤษภาคม พ.ศ. 2448 — 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2540) อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 4 สมัย ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนเข้าสู่วงการเมือง เคยเป็นผู้พิพากษา และเคยดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ประจำสหรัฐอเมริกา มาก่อน", "title": "หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช" } ]
[ { "docid": "25191#0", "text": "ศาสตราจารย์พิเศษ พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช (20 เมษายน พ.ศ. 2454 – 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538) เป็นนักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง และศิลปินแห่งชาติ นับเป็นปูชนียบุคคลท่านหนึ่งของไทย เป็นน้องชายแท้ ๆ ของ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี 4 สมัย สื่อมวลชนจึงนิยมเรียกทั้งคู่ว่า \"หม่อมพี่ หม่อมน้อง\" นอกจากนี้ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์และหม่อมราชวงศ์เสนีย์ยังมีพี่สาว คือ หม่อมราชวงศ์บุญรับ พินิจชนคดี ซึ่งสมรสกับ พลตำรวจเอก พระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต)", "title": "หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช" }, { "docid": "27916#8", "text": "ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2503 และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขามนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไทเป พ.ศ. 2525เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ในฐานะ หัวหน้าเสรีไทย สายสหรัฐอเมริกา ได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อจาก ทวี บุณยเกตุ เพื่อเจรจากับประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับสถานะของประเทศไทย ที่เป็นฝ่ายเดียวกับสัมพันธมิตร ภายหลังการประกาศสันติภาพ โดยรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ให้การประกาศสงคราม กับฝ่ายสัมพันธมิตร ของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นโมฆะ โดยเดินทางกลับมารับตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2488", "title": "หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช" }, { "docid": "59639#1", "text": "หม่อมหลวงเสรี ปราโมช เกิดในปี พ.ศ. 2476 มีชื่อเล่นว่า \"ต้อย\" เป็นบุตรชายคนโต ของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช และท่านผู้หญิงอุศนา ปราโมช (นามสกุลเดิม ศาลิคุปต์) ในจำนวนพี่น้องทั้งสิ้น 3 คน \nชีวิตส่วนตัวสมรสกับคุณหญิงทิพยวดี ปราโมช ณ อยุธยา (นามสกุลเดิม มาลากุล ณ อยุธยา บุตรสาวหม่อมหลวงปีกทิพย์ มาลากุล) ในปี พ.ศ. 2507 มีบุตรทั้งหมด 3 คน ซึ่งบุตรชายคนกลางเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดี คือ อชิตะ ปราโมช ณ อยุธยา เป็นนักร้อง นักดนตรีในสังกัดแกรมมี่ และมีบุตรชายอีกคนหนึ่งที่มิได้เกิดจากคุณหญิงทิพยวดี คือ คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการนิตยสารอิมเมจ", "title": "หม่อมหลวงเสรี ปราโมช" }, { "docid": "487832#28", "text": "หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2488 และพลันฟื้นฟูชื่อ \"สยาม\" เป็นสัญลักษณ์แห่งการยุติระบอบชาตินิยมของจอมพลแปลก ทว่า เขาพบว่าตำแหน่งหัวหน้าคณะรัฐมนตรีที่มีแต่ผู้ภักดีต่อปรีดีนั้นค่อนข้างไม่สุขสบาย นักการเมืองประชานิยมภาคอีสานอย่างเตียง ศิริขันธ์และผู้เลื่อนฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว (upstart) ชาวกรุงเทพมหานคร เช่น สงวน ตุลารักษ์ ไม่ใช่คนแบบที่อภิชนหม่อมราชวงศ์เสนีย์ชอบร่วมงานด้วย พวกเขาจึงมองว่าหม่อมราชวงศ์เสนีย์เป็นอภิชนที่ไม่เคยสัมผัสความเป็นจริงทางการเมืองของประเทศไทยเลย", "title": "ประวัติศาสตร์ไทย (พ.ศ. 2475–2516)" }, { "docid": "40396#0", "text": "ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์ ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์ (25 กันยายน 2490 - ) เกิดที่กรุงเทพมหานคร นักวิจัยไทยที่มีผลงานดีเด่นในสาขาชีวเคมี และชีวเคมีศึกษา มีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับโปรตีนและเอนไซม์ และเน้นการสอนและการวิจัยทางด้านนี้มาตลอดระยะเวลากว่า 35 ปี เป็นผู้ก่อตั้งชมรมวิจัยโปรตีนแห่งประเทศไทยขึ้น เมื่อ ปี พ.ศ. 2548 ศาสตราจารย์ ดร. หม่อมราชวงศ์ชิษณุสรร เป็นโอรสในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจันทรกานต์มณี (บริพัตร) และหม่อมเจ้าอรชุนชิษณุ สวัสดิวัตน์ และยังเป็นพระภาติยะใน สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ต่อมาสมรสกับหม่อมราชวงศ์พร้อมฉัตร วุฒิชัย ธิดาในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิมลฉัตรและหม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย มีบุตรสาวสองคน คือ ม.ล. ศศิภา สวัสดิวัตน์ โลว์ และ ม.ล. จันทราภา สวัสดิวัตน์", "title": "หม่อมราชวงศ์ชิษณุสรร สวัสดิวัตน์" }, { "docid": "27916#18", "text": "หลังจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 แล้ว คณะปฏิรูปการปกครองที่นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ต้องการจะให้ท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ท่านได้ปฏิเสธ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จึงได้วางมือจากการรับตำแหน่งทางการเมืองอย่างถาวร แต่ยังรักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปอีกระยะ จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2522 จึงได้หัวหน้าคนใหม่ (พ.อ.ดร.ถนัด คอมันตร์) ชีวิตหลังจากนี้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเอกมัย ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ และรวบรวมงานประพันธ์ต่าง ๆ ที่เคยแต่งไว้ก่อนหน้านี้และแต่งเพิ่มเติม เช่น ประชุมสารนิพนธ์, แปลกวีนิพนธ์, ชีวลิขิต เป็นต้น รวมทั้งการวาดรูป ทั้งรูปสีน้ำ สีน้ำมัน รูปสเก็ตซ์ เล่นดนตรี แต่งเพลงและปลูกไม้ดอก โดยเฉพาะกุหลาบ ซึ่งล้วนเป็นงานอดิเรกที่ทำเป็นประจำ และยังคงให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์บ้านเมืองเป็นระยะ ๆ รวมทั้งยังให้คำปรึกษากับพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะที่เป็นปูชนียบุคคลสำคัญในพรรคด้วย ซึ่งในปี พ.ศ. 2548 อันเป็นวาระครบรอบ 100 ปี ของท่าน ทางพรรคได้ก่อตั้ง มูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ขึ้นตามเจตนารมณ์ของท่านและทายาท และให้ชื่ออาคารที่ทำการของพรรคหลังที่สองว่า อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ได้รับพระราชทานยศกองอาสารักษาดินแดนเป็น นายกองใหญ่", "title": "หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช" }, { "docid": "27916#1", "text": "ม.ร.ว.เสนีย์ เกิดที่ค่ายทหาร ในจังหวัดนครสวรรค์ เวลาใกล้รุ่ง เป็นโอรสใน พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง (บุนนาค) ชื่อ \"เสนีย์\" หมายถึง ทหาร หรือ เสนาบดี ได้รับพระราชทานนามนี้จากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สันนิษฐานว่า เนื่องจากเสด็จพ่อ (พระองค์เจ้าคำรบ) เป็นทหาร", "title": "หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช" }, { "docid": "27916#17", "text": "ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์สืบต่อจากนายควง อภัยวงศ์ ที่ถึงแก่อสัญกรรมไปในปี พ.ศ. 2511 หลังจากได้ยุติบทบาททางการเมืองของตนเองไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 หลังจากที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ยึดอำนาจตนเองเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 โดยไม่ลงเลือกตั้งในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 และการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ระหว่างการเป็นหัวหน้าพรรคนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่เป็นสุภาพบุรุษ เล่นการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ โปร่งใส มาตลอด แต่ ม.ร.ว.เสนีย์ มักประสบปัญหาความวุ่นวายในพรรค เนื่องจากสมาชิกพรรคมักสร้างปัญหาโดยการต่อรองขอตำแหน่งทางการเมือง และบางส่วนก็จะออกจากพรรคไปตั้งพรรคใหม่ จนเกิดความวุ่นวาย ไม่สามารถควบคุมพรรคได้ จึงได้ฉายาจากสื่อมวลชนว่า \"\"ฤๅษีเลี้ยงลิง\"\" หรือ \"\"พระเจ้าตา\"\" เพราะถูกมองว่าอ่อนแอ ไม่สามารถควบคุมบริหารพรรคและรัฐบาลได้ จนเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา", "title": "หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช" }, { "docid": "27916#13", "text": "ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 4 ครั้ง โดยในครั้งสุดท้ายได้เกิด เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่ตำรวจและกองกำลังติดอาวุธ เข้าปิดล้อม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีนักศึกษา และประชาชนหลายพันคนชุมนุมประท้วง การกลับประเทศไทยของ จอมพลถนอม กิตติขจร ที่ถูกประชาชนขับไล่ ออกจากประเทศไปเมื่อ 3 ปีก่อน ในวันเดียวกัน พลเรือเอก สงัด ชลออยู่ ได้จัดตั้ง คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน เข้ายึดอำนาจจาก รัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์", "title": "หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช" } ]
1697
สืบ นาคะเสถียร เป็นคนจังหวัดอะไร?
[ { "docid": "3981#1", "text": "สืบมีชื่อเดิมว่า \"สืบยศ\" มีชื่อเล่นว่า \"แดง\" เกิดที่ตำบลท่างาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบุตรของนายสลับ นาคะเสถียร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี กับนางบุญเยี่ยม นาคะเสถียร มีพี่น้องทั้งหมดสามคน ตนเองเป็นคนโต ได้แก่ กอบกิจ นาคะเสถียร เป็นน้องชายคนกลาง และกัลยา รักษาสิริกุล เป็นน้องสาวคนสุดท้อง", "title": "สืบ นาคะเสถียร" } ]
[ { "docid": "3981#0", "text": "สืบ นาคะเสถียร (31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 - 1 กันยายน พ.ศ. 2533) เป็นนักอนุรักษ์และนักวิชาการด้านทรัพยากรธรรมชาติชาวไทย มีชื่อเสียงจาการพยายามปกป้องแก่งเชี่ยวหลานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง และฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องให้สังคมเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ", "title": "สืบ นาคะเสถียร" }, { "docid": "3981#8", "text": "ในปี พ.ศ. 2528 สืบได้ติดตามนักวิจัยชาวต่างชาติซึ่งได้รับทุนจากนิตยสาร \"เนชั่นแนล จีโอกราฟิก\" พร้อมด้วยอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าไปสำรวจกวางผา สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ในดอยม่อนจอง จังหวัดเชียงใหม่ เวลานั้น ชาวบ้านจุดไฟล่าสัตว์จนเกิดไฟป่า คณะของสืบหนีไฟป่าเป็นโกลาหล และคำนึง ณ สงขลา เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ตกหน้าผาถึงแก่ความตาย", "title": "สืบ นาคะเสถียร" }, { "docid": "3981#9", "text": "ในปี พ.ศ. 2529 สืบได้เป็นหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) บริเวณแก่งเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี สืบได้ช่วยอพยพสัตว์ป่าที่ตกค้างอยู่ในแก่งเพราะปัญหาการสร้างเขื่อนจนเกิดน้ำท่วม ช่วยเหลือสัตว์ได้ 1,364 ตัว ส่วนมากที่เหลือถึงแก่ความตาย สืบจึงเข้าใจว่า งานวิชาการเพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยพิทักษ์ป่าซึ่งเป็นปัญหาระดับชาติได้ ในภายหลังจึงได้ร่วมกิจกรรมหลายอย่าง เช่น คัดค้านรัฐบาลในการที่จะสร้างเขื่อนน้ำโจน ในบริเวณทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี สืบยังได้รายงานผลการอพยพสัตว์ต่อสาธารณชนเพื่อกระตุ้นให้สังคมตระหนักภัยป่า โดยยืนยันว่าการสร้างเขื่อนมีโทษมากกว่าคุณ เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติชนิดที่ชดเชยภายหลังมิได้ แต่ความพยายามของสืบนั้นไร้ผล จนกระทั่งนักอนุรักษ์ได้รวมกลุ่มสนับสนุนสืบ โครงการสร้างเขื่อนน้ำโจนจึงระงับไป", "title": "สืบ นาคะเสถียร" }, { "docid": "596783#0", "text": "พงศา ชูแนม (เกิด 9 เมษายน 2507) หรือที่รู้จักกันในนาม นายหัวพงศา หรือ สืบ นาคะเสถียร แห่งต้นน้ำพะโต๊ะ เกิดที่ ตำบลป่าเว อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายพงศา ชูแนม เป็นบุตร คนที่ 3 ของนางบุญเฝ้า ศรีสุวรรณ(ทองเพชร)กับนายครัน ชูแนม มีพี่น้องร่วมสายโลหิตทั้งสิ้น 6 คนพี่น้อง เป็นข้าราชการป่าไม้ หัวหน้าหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ อำเภอพะโต๊ะ (จังหวัดชุมพร) ส่วนจัดการทรัพยากรต้นน้ำ สำนักอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม \nพงศา ชูแนมเคยต้องต่อสู้กับอิทธิพลในท้องที่พะโต๊ะในปี 2543 เคยโดนย้ายไปจากพะโต๊ะ แต่เนื่องด้วยการทำงานในพื้นที่มานานจึงเป็นที่รู้จักในพื้นที่ ประชาชนในท้องที่และเครือข่ายอนุรักษ์จึงออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพงศา ชูแนม จนส่งผลให้ข้าราชการระดับสูงในจังหวัดชุมพรหลายคนถูกโยกย้าย ทำ", "title": "พงศา ชูแนม" }, { "docid": "3981#2", "text": "สืบ สมรสกับนิสา นาคะเสถียร มีบุตรสาวหนึ่งคน คือ ชินรัตน์ นาคะเสถียร", "title": "สืบ นาคะเสถียร" }, { "docid": "3981#13", "text": "ความพยายามของสืบนั้นประสบผลสำเร็จน้อย เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ให้ความสนใจ ชาวบ้านท้องถิ่นก็สนใจปากท้องมากกว่า จึงรับจ้างผู้มีอิทธิพลเข้ารุกรานป่าเสมอมา สืบเสนอให้สร้างแนวป่ากันชนเพื่อกันชาวบ้านออกนอกแนวกันชน และพัฒนาพื้นที่ในแนวกันชนให้เป็นป่าชุมชนที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ได้ แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเช่นกัน", "title": "สืบ นาคะเสถียร" }, { "docid": "3981#4", "text": "เมื่อสำเร็จปริญญาโท สืบเข้ารับราชการเป็นพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ขณะนั้นกองอนุรักษ์สัตว์ป่าเพิ่งก่อตั้งขึ้น และสืบเลือกหน่วยงานนี้เพราะต้องการงานเกี่ยวกับสัตว์ป่า งานแรกของสืบคือการประจำอยู่ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว-เขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี ณ ที่นั้น สืบได้ทราบว่ามีผู้ทรงอิทธิพลบุกรุกทำลายป่าเป็นจำนวนมาก", "title": "สืบ นาคะเสถียร" }, { "docid": "309991#21", "text": "หลังจากเกิดเหตุ ชาวบ้านในพื้นที่ อ.บันนังสตา ได้แจ้งข้อมูลข่าวสารมายัง สายด่วน 1880 ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าชุดที่ก่อเหตุลอบวางระเบิดรถ ผกก.สมเพียร คือ กลุ่มของนายมุตา อาลีมามะ แกนนำคนสำคัญที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ต.บาเจาะ ต.ตลิ่งชัน และ ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังตา และ ชุดสืบสวนสอบสวนของ สภ.บันนังสตา ทราบตัวผู้ก่อเหตุ และได้ขออนุญาตศาลออกหมายจับ นายมะตอแฮ สิแล อายุ 31 ปี อยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 9 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา หมายจับเลขที่ 160/50 มีคดีความมั่นคงในการร่วมก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่หลายคดี และนายยูกีบือลี เจ๊ะดีแม อายุ 31 ปี อยู่ หมู่ที่ 4 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา หมายจับเลขที่ 121/51 ในคดีร่วมกันฆ่าเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บันนังสตาได้ออกติดตามไล่ล่าบุคคลทั้งสอง ซึ่งคาดว่ายังคงเคลื่อนไหว หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ ต.ตลิ่งชัน ต.ตาเนาะปูเต๊ะ และเขตร่อยต่อ อ.กรงปินัง จ.ยะลา", "title": "สมเพียร เอกสมญา" }, { "docid": "3981#17", "text": "วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2533 สืบยังคงปฏิบัติงานตามปกติ และได้เตรียมจัดการทรัพย์สินที่หยิบยืมและทรัพย์สินส่วนตัว และอุทิศเครื่องมือเครื่องใช้ในการศึกษาวิจัยด้านสัตว์ป่าให้แก่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเขานางรำ สั่งให้ตั้งศาลเคารพดวงวิญญาณเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตในการรักษาป่าห้วยขาแข้ง ในช่วงหัวค่ำของสืบยังคงปฏิบัติตัวพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตามปกติดั่งเช่นเคยทำ ครั้นช่วงดึกสืบขอลากลับไปบ้านพัก โดยกลับไปเตรียมจัดการทรัพย์สินที่เหลือและได้เขียนจดหมายหกฉบับ มีเนื้อหาสั้น ๆ ชี้แจงการฆ่าตัวตาย จนกระทั่งเช้ามืดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2533 มีเสียงปืนดังขึ้นจากบ้านพักของสืบหนึ่งนัด จนกระทั่งช่วงก่อนเที่ยงของวันจึงได้มีเจ้าหน้าที่ของกรมฯ เข้าไปดู ซึ่งก่อนหน้าเข้าใจว่าสืบไม่สบาย และเมื่อเข้าไปพบร่างของสืบนอนตะแคงข้างห่มผ้าเรียบร้อย พอเข้าไปใกล้จึงได้เห็นอาวุธปืนตกอยู่ข้าง ๆ และเห็นบาดแผลที่ศีรษะด้านขวา สืบได้จบชีวิตลงอย่างเตรียมตัวและพร้อมอย่างสงบ", "title": "สืบ นาคะเสถียร" } ]
1698
อัตกาม ทำได้ในผู้หญิงหรือไม่ ?
[ { "docid": "38305#0", "text": "การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง หรือ อัตกาม () หรือที่มักเรียกว่าการช่วยตัวเอง คือการกระตุ้นอวัยวะเพศของตนเองเพื่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศหรือความพอใจอื่น ๆ ปกติจะทำจนถึงความเสียวสุดยอดทางเพศ การกระตุ้นอาจใช้มือ นิ้วมือ วัตถุในชีวิตประจำวัน เซ็กซ์ทอย หรือหลายอย่างร่วมกัน การสำเร็จความใคร่ร่วมกัน (กระตุ้นทางเพศด้วยตนเองร่วมกับผู้อื่น) สามารถแทนการสอดใส่ได้ จากการศึกษาพบว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองพบมากในมนุษย์ทุกเพศ และทุกวัย กิจกรรมการสำเร็จความใคร่นับว่ามีประโยชน์ทางการแพทย์และจิตวิทยา ยังไม่มีความสัมพันธ์เหตุภาพระหว่างการสำเร็จความใคร่กับความผิดปกติทางจิตหรือทางร่างกายใด ๆ", "title": "การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง" }, { "docid": "38305#6", "text": "การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองของผู้หญิงนั้นมีหลายวิธีและหลากหลายกว่าผู้ชาย แตกต่างกันไปตามปัจจัยและรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน วิธีสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองทำได้โดยการลูบหรือคลึงที่แคมโดยเฉพาะที่ปุ่มกระสัน ด้วยนิ้วกลางหรือนิ้วชี้ ที่เรียกกันว่า ตกเบ็ด หรืออาจใช้หลายๆนิ้วสอดใส่เข้าไปในช่องคลอดและลูบบริเวณผนังด้านหน้าซ้ำๆ ซึ่งอาจเป็นที่ตั้งของจุดจีสปอต งานวิจัยพบว่าผู้หญิงประมาณ 75% ไม่เคยถึงจุดสุดยอดโดยการร่วมเพศอย่างเดียว อาจมีการใช้เครื่องช่วยอย่างไวเบรเตอร์, ดิลโด้ หรือวัตถุอื่นเพื่อช่วยกระตุ้น ผู้หญิงบางคนจะใช้มือข้างที่ว่างลูบเต้านมหรือหัวนมของตนไปด้วย การกระตุ้นทางรูทวารก็ทำให้มีความสุขได้เช่นกันเพราะมีปลายประสาทอยู่บริเวณนั้นหลายพันเส้น", "title": "การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง" } ]
[ { "docid": "479716#31", "text": "สาวห้าววัย 25 ปี แต่ก่อนอยู่เชียงใหม่ แต่ย้ายมากรุงเทพเพื่อมาช่วยน้าดูแลร้านมินิมาร์ท นิสัยห้าวๆกวนๆ แต่จริงใจ เป็นคนทำอะไรได้หลายอย่างที่ผู้ชายทำได้ ทั้งซ่อมรถ ซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆแต่กับเรื่องที่ผู้หญิงทำได้กลับไม่เอาอ่าวซะเลย เป็นคู่หูของลูกแก้ว ถูกมองว่าเป็นทอมดี้กัน หารู้ไม่ว่าเวลามีเรื่อง ลูกแก้วต่างหากที่เป็นฝ่ายปกป้องม่อน", "title": "เพื่อนรักนักล่าฝัน" }, { "docid": "108381#4", "text": "ขณะนี้เป็นที่ถกเถียงกันว่าเขาผู้นี้เป็นย่ำค่ำของวันเสาร์จริงหรือไม่ เพราะใน\"ศุกร์รัตติกาล\" ปรากฏว่าย่ำค่ำในเรื่องมีเลือดสีฟ้าคือส่วนแรกของพินัยกรรม ที่อยู่ในรูปของหญิงสาว ปัจจุบันเธอดำรงตำแหน่งรักษาการณ์ตามที่อาเธอร์มอบหมายอำนาจให้ ส่วนในตอนท้ายของเรื่อง เธอก็ได้รวมเอาพินัยกรรมส่วนที่สองเข้าไปด้วย เนื่องจากเป้าหมายสูงสุดของพินัยกรรม ก็คือ การรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน", "title": "อังคารอหังการ" }, { "docid": "219264#5", "text": "แต่นิยายเรื่องนี้ได้ผลตอบรับที่แย่ในหมู่ผู้ชายวัยรุ่นและผู้ใหญ่ชายหญิง เนื่องจากในหนังสือไม่มีหลักการสอนให้ผู้อ่านทำตามหรือให้คิดได้ มีแต่เรื่องความรักที่รุนแรงและการให้ความสำคัญกับคนรักมากกว่าพ่อแม่หลายเท่าตัว นอกจากนั้นยังกล่าวว่าเมเยอร์ยังเขียนแบบการชุนผ้าที่กล่าวถึงการมีเพศสัมพันธ์แบบอ้อม ๆ และทำให้ผู้อ่านตื่นเต้นว่าทั้งสองจะทำอะไรกันต่อไป นอกจากนั้นตัวหนังสือยังมีการสอดแทรกเรื่องความกระหายทางเพศ การให้ความสำคัญกับคนที่ตนรักมากเกินกว่าสิ่งใด และเรื่องการเอาชนะความตาย ทำให้หนังสือเล่มนี้ตกเป็นที่วิจารณ์ในทางลบอย่างมาก สตีเฟน คิงเป็นหนึ่งในผู้ต่อว่านิยายเล่มนี้อย่างรุนแรง คิงยังกล่าวอีกว่า \"เมเยอร์และเจ. เค. โรว์ลิ่งพยายามเขียนหนังสือให้เด็กวัยรุ่นชื่นชอบ แต่ทั้งคู่ต่างกันก็คือโรว์ลิ่งเป็นนักเขียนที่เก่งมาก เธอสามารถแทรกข้อคิดที่ดีไว้อย่างมากมายพร้อมกับความสนุกตื่นเต้น ส่วนเมเยอร์เธอเป็นนักเขียนที่ไม่ได้เรื่องเลย หนังสือของเธอมีการแฝงเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ทางอ้อมและมีข้อคิดในทางแย่ ๆ อีกด้วย เช่น การให้ความสำคัญกับคนรักมากกว่าพ่อมากมายหลายเท่าตัว และการเอาชนะความตาย ซึ่งต่างกับโรว์ลิ่งที่พยายามให้รู้จักยอมรับความตาย\"", "title": "ทไวไลท์ (ชุดนวนิยาย)" }, { "docid": "943706#1", "text": "รายการก็กูทำไม่เป็นจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่พิธีกร ป๋อมแป๋ม (นิติ ชัยชิตาทร) ทำไม่เป็น ซึ่งจะต้องฝึกฝนและทำเรื่องนั้นให้เป็นให้ได้ โดยแต่ละเรื่องที่ทำไม่เป็นจะแบ่งเป็น \"ซีรีส์\" (จำนวน 2-4 ตอน) ในแต่ละตอนของซีรีส์จะมีด่านภารกิจให้เรียนรู้หรือให้ทำ โดยผลตัดสินจะขึ้นอยู่กับว่าพิธีกรทำได้สำเร็จหรือไม่ และอาจมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นคนตัดสินด้วยส่วนใหญ่เป็นพนักงานในจีเอ็มเอ็มทีวีผลตัดสิน  หมายถึง ผ่าน  หมายถึง ไม่ผ่าน", "title": "ก็กูทําไม่เป็น" }, { "docid": "740756#2", "text": "น้องสาวของอัทธ์ ทำงานเป็นวิศวกรประจำบริษัทของครอบครัว เป็นผู้หญิงเก่ง มั่นใจ ถือตัวนิดๆ เอาแต่ใจตัวเองบ้างเป็นบางครั้ง ทำให้บัวกลายเป็นคนที่ข่มคนรักไปโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว บัวอยากแต่งงานกับคนรัก แต่แม่ไม่ให้แต่งจนกว่าพี่ชายจะแต่ง ทำให้บัวต้องมาขอความช่วยเหลือจากบริษัทคิวปิดฮัตหาคู่ให้พี่ชาย แต่สุดท้ายสวรรค์ก็เข้าข้างช่วยให้บัวไม่ต้องแต่งงานกับผู้ชายไม่จริงใจอย่างมารุต ทำให้บัวแทบจะเกลียดความรัก แต่แล้วก็ไปพบความรักที่ดีจากชาร์ลี ผู้ชายที่เธอไม่เคยมอง", "title": "ซ่อนรักกามเทพ" }, { "docid": "52175#11", "text": "ปัจจุบันผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้านในบริเวณพระธาตุ ซึ่งดูแลโดยพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเฝ้าประตูรั้วรอบขอบชิด ผู้หญิงสามารถเข้าออกได้ที่ระเบียงด้านนอกและลานด้านล่างของก้อนหิน ความเชื่อเกิดขึ้นจากข้อปฏิบัติที่ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อทางกายกับพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งพระธาตุเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนศีรษะพระภิกษุสงฆ์", "title": "พระธาตุไจทีโย" }, { "docid": "266325#29", "text": "ท่านหญิงอัตสึถามอิเอะซาดะว่า ทำไมต้องแสร้งทำเป็นคนสติไม่สมประกอบ แต่อิเอะซาดะทำเป็นไม่สนใจ อีกทั้งยังบอกอีกว่าไม่คิดที่จะมีลูกเป็นของตนเอง ทำให้ท่านหญิงอัตสึสะเทือนใจไม่น้อย ท่านหญิงอัตสึเอ่ยถามโอชิงะภรรยารองว่า คิดยังไงกับท่าทางของอิเอะซาดะแต่ โอชิงะบอกเพียงว่า ขอให้ได้อยู่เคียงข้างอิเอะซาดะก็พอใจแล้ว ท่านหญิงอัตสึรู้สึกอิจฉาที่โอชิงะทำใจได้", "title": "เจ้าหญิงอัตสึ (ละครโทรทัศน์)" }, { "docid": "705750#31", "text": "หลังจากที่แกรนด์เธฟต์ออโต V วางจำหน่ายก็เกิดการโต้เถียงเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เหมาะสมต่อผู้หญิงภายในเกม โดยมีบางภารกิจที่ต้องใช้ผู้หญิงเป็นตัวประกันเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ มีภารกิจที่เกี่ยวกับการดูหมิ่นตัวละครที่ไม่ใช่ผู้เล่นภายในเกมที่เป็นนักการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้แกรนด์เธฟต์ออโต V นั้นถูกตำหนิจากกลุ่มสิทธิสตรีและนักการเมืองบางส่วน นอกจากนั้นแกรนด์เธฟต์ออโต V ยังกลายเป็นที่โต้เถียงบนอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิง เนื่องมาจากการที่ผู้ทำการวิจารณ์แกรนด์เธฟต์ออโต V จาก GameSpot ซึ่งก็คือ Carolyn Petit ได้ตัดคะแนนรีวิวของเกมเนื่องมาจากเธอเห็นว่าในแกรนด์เธฟต์ออโต V นั้นผู้หญิงไม่มีบทบาทมากพอสมควร โดยหลังจากที่บทวิจารณ์ของเธอได้รับความเห็นทางลบมากกว่า 20,000 ความเห็น นักวิจารณ์หลายคนก็ออกมาปกป้องเธอจากความเห็นเหล่านั้น โดยเห็นว่ามุ่งทำลายตัวเธอมากกว่าวิจารณ์บทความของเธอ นอกจากนี้แกรนด์เธฟต์ออโต V ยังทำให้เกิดการฟ้องร้องจากผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ คาเรน กราเวโนและนักแสดงสาวลินด์ซีย์ โลแฮน เนื่องจากทั้งคู่พบว่าตัวละครหญิงที่ปรากฏในเกมนั้นมีความคล้ายกับพวกเธอและถูกนำไปใช้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ทาร์กเก็ต ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อในออสเตรเลียนำเกมลงจากชั้นวางจำหน่ายหลังจากเกิดการลงชื่อใน Change.org อันเนื่องมาจากการกระทำอันไม่เหมาะสมกับผู้หญิงในเกม", "title": "แกรนด์เธฟต์ออโต V" }, { "docid": "279874#2", "text": "การ์ตูนสำหรับเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่มักอยู่ในแนวสาวน้อยเวทมนตร์ กล่าวคือเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งซึ่งมักอยู่ ป.4-ม.3 ได้รับพลังวิเศษอย่างหนึ่งมาและต้องใช้พลังนั้นต่อสู้กับผู้ร้าย หรือไม่ก็ช่วยเหลือเพื่อนและคนที่อยู่รอบข้าง สาวน้อยเวทมนตร์ทุกคนมักจะมีคฑาหรือตลับวิเศษใช้สำหรับแปลงร่างและเสกคาภา และผู้ช่วยเป็นสัตว์ประหลาดผู้ได้ตัวเล็กน่ารัก", "title": "อนิเมะและมังงะเด็ก" } ]
1704
นกอินทรีเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกาหรือไม่ ?
[ { "docid": "50496#3", "text": "เนื่องจากเป็นนกขนาดใหญ่ น่าเกรงขาม และบินได้สูงและกว้างไกล ทำให้มีความสง่างาม ในเชิงของการเป็นสัญลักษณ์แล้ว อินทรีถูกมนุษย์ใช้ในเชิงสัญลักษณ์เป็นระยะเวลายาวนาน ในหลายวัฒนธรรมของทุกมุมโลก เช่น เป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ชนิดหนึ่งของไทย หรือ สหรัฐอเมริกาได้ใช้อินทรีหัวขาว (\"Haliaeetus leucocephalus\") เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ เป็นต้น", "title": "อินทรี" } ]
[ { "docid": "320998#27", "text": "ในมุทราศาสตร์ เหยี่ยวออสเปรวาดแสดงในรูปนกอินทรีสีขาว และเมื่อไม่นานมานี้ นกได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการตอบสนองในเชิงบวกต่อธรรมชาติ และเป็นรูปที่ปรากฏบนแสตมป์มากกว่า 50 ดวง ถูกใช้เป็นชื่อตราสินค้าหลายชนิด ชื่อทีมกีฬา (เช่น ทีมออสเปร (Ospreys) กีฬารักบี้ ทีมมิสซูลา ออสเปร (Missoula Osprey) กีฬาเบสบอล ทีมซีแอตเทิล ซีฮอว์ก (Seattle Seahawks) กีฬาอเมริกันฟุตบอล และ นอร์ท ฟลอริดา ออสเปร (North Florida Ospreys) ทีมกีฬามหาวิทยาลัย) หรือเป็นตัวนำโชค (เช่น ทีมสกีเมืองเจอราลด์ตัน (Geraldton) ในประเทศออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยนอร์ท ฟลอริดา (University of North Florida) มหาวิทยาลัย ซาลี เรกกินา (Salve Regina University) วิทยาลัยวากเนอร์ (Wagner College) มหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา (University of North Carolina) ที่วิลมิงตัน และวิทยาลัยริชาร์ด สตอกตัน (Richard Stockton College)", "title": "เหยี่ยวออสเปร" }, { "docid": "265893#3", "text": "อินทรีประคองตราทางด้านซ้ายของโล่และสิงโตทางด้านขวา อินทรีเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์อาร์แท็กเซียดและต่อมาปรากฏบนตราของราชวงศ์อาร์ซาซิดแห่งอาร์มีเนีย ขณะที่สิงโตเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์บากราทูนิและต่อมาของราชวงศ์รูเบนิด สัตว์ทั้งสองได้รับเลือกให้เป็นสัญลักษณ์เพราะคุณสมบัติของความมีอำนาจ ความกล้าหาญ ความอดทน ความมีสติปัญญา และความมีศักดิ์ในอาณาจักรสัตว์", "title": "ตราแผ่นดินของอาร์มีเนีย" }, { "docid": "637431#0", "text": "นกอินทรีฮาร์ปี (; ) คือสายพันธุ์อินทรีที่อยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกา นกชนิดนี้เป็นที่รู้จักในฐานะอินทรีฮาร์ปีอเมริกา โดยแตกต่างจากอินทรีปาปัวซึ่งบางครั้งเป็นที่รู้จักในชื่ออินทรีฮาร์ปีนิวกินีหรืออินทรีฮาร์ปีปาปัว นกอินทรีฮาร์ปีเป็นนกล่าเหยื่อ ที่มีขนาดใหญ่และมีพลังมากที่สุดในทวีปอเมริกาและมีขนาดใหญ่ที่สุดท่ามกลางสายพันธุ์อินทรีที่ยังมีอยู่ในโลก โดยปกติแล้วอาศัยอยู่ในป่าฝนเขตร้อนทางตอนใต้ ในระดับที่สูงกว่าชั้นของร่มไม้ (canopy layer) การทำลายที่อยู่อาศัยทางธรรมชาติทำให้เห็นการสูญหายของนกชนิดนี้ในหลายๆ ส่วนของขอบเขตที่อยู่เดิมของมัน และเกือบที่จะถูกทำลายจนหมดสิ้นในทวีปอเมริกากลาง ในประเทศบราซิล นกอินทรีฮาร์ปียังเป็นที่รู้จักในฐานะเหยี่ยวหลวง (Royal-Hawk) และเป็นนกประจำชาติของประเทศปานามาอย่างเป็นทางการ", "title": "นกอินทรีฮาร์ปี" }, { "docid": "532193#1", "text": "\"นกอินทรีแห่งศอลาฮุดดีน\" เริ่มแรกใช้เป็นตราสัญลักษณ์ในสมัย การปฏิวัติอียิปต์ ค.ศ. 1952. แบบตราแผ่นดินที่ใช้ในปัจจบันนี้ ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ ในสมัยของประธานาธิบดี มุบาร็อก ระหว่างการปฏิวัติอียิปต์ พ.ศ. 2554 นกอินทรีแห่งศอลาฮุดดีนเป็นสัญญลักษณ์ของระบอบเผด็จการมุบาร็อก เมเรซ (ค.ศ. 2012) รอยขูดขีดเขียนที่ได้มีการล้อเลียนตราแผ่นดินเป็นรูป \"นกอินทรีคอตก\" โดยสื่อถึงการสิ้นสุดอำนาจเผด็จการ.", "title": "ตราแผ่นดินของอียิปต์" }, { "docid": "171240#1", "text": "ดวงตราแผ่นดินนี้ มีต้นแบบมาจากตราแผ่นดินของสหพันธ์สาธารณรัฐอเมริกากลาง โดยสัญลักษณ์ที่ปรากฏในตรานั้น ประกอบด้วยรูปภูเขาไฟ 5 ลูกเหนือท้องทะเล หมายถึง 5 รัฐสมาชิกเดิมของสหพันธ์สาธารณรัฐอเมริกากลาง หมวกเฟรเจียงสีแดง หมายถึงเสรีภาพ รัศมีดวงอาทิตย์และรุ้งกินน้ำหมายถึงอนาคตอันสดใส รูปเหล่านี้บรรจุในกรอบสามเหลี่ยมสีฟ้า ตอนบนรูปดังกล่าวมีแถบอักษรโค้งเป็นข้อความภาษาสเปนว่า \"República de Nicaragua\" (สาธารณรัฐนิการากัว) ส่วนตอนล่างมีแถบโค้งข้อความ \"América Central\"(อเมริกากลาง)", "title": "ธงชาตินิการากัว" }, { "docid": "595236#1", "text": "โดยสัญลักษณ์ที่ปรากฏในตรานั้น ประกอบด้วยรูปภูเขาไฟ 5 ลูกเหนือท้องทะเล หมายถึง 5 รัฐสมาชิกเดิมของสหพันธ์สาธารณรัฐอเมริกากลาง หมวกเฟรเจียงสีแดง ('gorro frigio\") หมายถึง เสรีภาพ รัศมีดวงอาทิตย์และรุ้งกินน้ำ หมายถึง อนาคตอันสดใส รูปเหล่านี้บรรจุในกรอบสามเหลี่ยมสีฟ้า ตอนบนรูปดังกล่าวมีแถบอักษรโค้งเป็นข้อความภาษาสเปนว่า \"República de Nicaragua\" (สาธารณรัฐนิการากัว) ส่วนตอนล่างมีแถบโค้งข้อความ \"América Central\"(อเมริกากลาง)", "title": "ตราแผ่นดินของนิการากัว" }, { "docid": "254810#1", "text": "ปกติคาดว่าจูปิเตอร์กำเนิดขึ้นเป็นเทพเจ้าท้องฟ้า สิ่งที่บอก คือ ฟ้าผ่า และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หลักของพระองค์ คือ นกอินทรี ซึ่งถือว่าดีกว่านกอื่นในการยึดลาง (augury) และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้บ่อยที่สุดอันหนึ่งของกองทัพโรมัน สองสัญลักษณ์นี้มักรวมกันเพื่อแสดงจูปิเตอร์ในรูปอินทรีกำฟ้าผ่าในกรงเล็บ ซึ่งเห็นได้บ่อยในเหรียญกรีกและโรมัน ในฐานะเทพเจ้าท้องฟ้า พระองค์ทรงเป็นพยานศักดิ์สิทธิ์ของคำสาบาน ความไว้วางใจศักดิ์สิทธิ์ซึ่งความยุติธรรมและธรรมาภิบาลยึดถือ หลายหน้าที่ของพระองค์ได้รับความสนใจบนเนินแคพิทะไลน์ (\"เนินรัฐสภา\") อันเป็นที่ตั้งของป้อม พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าหลักในสามแคพิทะไลน์ (Capitoline Triad) ช่วงต้นร่วมกับมาร์สและควิไรนัส ในสามแคพิทะไลน์ช่วงหลัง พระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์กลางของรัฐร่วมกับจูโนและมิเนอร์วา ไม้ต้นศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ คือ โอ๊ก", "title": "จูปิเตอร์ (เทพปกรณัม)" }, { "docid": "703003#0", "text": "ในจินตนิยายของเจ. อาร์. อาร์. โทลคีนที่เกี่ยวกับมิดเดิลเอิร์ธนั้น นกอินทรี คือ สัตว์ปีกขนาดมหึมาที่มีความเฉลียวฉลาดและสามารถพูดได้ ในบางครั้งก็ถูกเรียกว่า พญาอินทรี พวกเขามักจะปรากฏตัวในฐานะตัวแทนของ เดวส์เอกส์มาคีนา หรือ \"ผู้ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆลงเอยด้วยดี\" ในหลายๆตำนานของพวกเขา ทั้งจากเรื่องราวของ\"ตำนานแห่งซิลมาริล\"และเรื่องราวของนูเมนอร์ จนไปถึงเรื่องราวของ\"เดอะฮอบบิท\"และ\"เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์\" ก็เหมือนกับเอนท์ที่เป็นผู้พิทักษ์แห่งป่าไม้ พญาอินทรีก็เป็นผู้พิทักษ์แห่งเหล่าสรรพสัตว์", "title": "นกอินทรี (มิดเดิลเอิร์ธ)" }, { "docid": "703003#4", "text": "เจ้าแห่งพญาอินทรีในยุคที่หนึ่ง ถูกกล่าวไว้ใน\"ตำนานแห่งซิลมาริล\"ว่าเป็น \"สัตว์ปีกที่มีความเกรียงไกรที่สุดเท่าที่เคยมีมา\" ด้วยความกว้างของปีกเมื่อขยายออกประมาณ 55 เมตร และมีจะงอยปากสีทอง ชื่อของเขาแปลมาจากภาษาซินดาริน (ซึ่งเป็นภาษาของเอลฟ์ที่สร้างขึ้นโดยโทลคีน) มีความหมายว่า \"ราชาแห่งอินทรี\" มันยังคล้ายคลึงกับภาษาเควนยา (อีกภาษาหนึ่งของเอลฟ์) ว่า โซรอนตาร์ เขาเป็นผู้นำของเหล่าอินทรีที่ส่วนใหญ่ปรากฏใน\"ตำนานแห่งซิลมาริล\" และเขายังมีบทบาทที่สำคัญเป็นของตัวเอง", "title": "นกอินทรี (มิดเดิลเอิร์ธ)" } ]
1705
สงครามอิตาลี ยุติลงเมื่อใด?
[ { "docid": "276451#0", "text": "สงครามอิตาลี (ค.ศ. 1521-1526) หรือ สงครามสี่ปี () เป็นส่วนหนึ่งของมหาสงครามอิตาลี (ค.ศ. 1494-1559) ที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1521 จนถึง ค.ศ. 1526 สงครามอิตาลีครั้งนี้เป็นสงครามระหว่างพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 แห่งฝรั่งเศสและสาธารณรัฐเวนิสฝ่ายหนึ่ง กับ สมเด็จพระจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8 แห่งอังกฤษ และ รัฐในอาณาจักรพระสันตะปาปาอีกฝ่ายหนึ่ง ความขัดแย้างเริ่มขึ้นจากความเป็นปรปักษ์ที่เกิดจากการเลือกตั้งคาร์ลเป็นจักรพรรดิระหว่างปี ค.ศ. 1519 ถึงปี ค.ศ. 1520 และจากการที่สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ 10ทรงต้องการที่จะเป็นพันธมิตรกับคาร์ลเพื่อต่อต้านมาร์ติน ลูเทอร์", "title": "สงครามอิตาลี (ค.ศ. 1521-1526)" } ]
[ { "docid": "192295#91", "text": "ลุถึงปี ค.ศ. 1943 อิตาลีประสบความล้มเหลวในทุกแนวรบ เริ่มตั้งแต่ในเดือนมกราคม กองทัพอิตาลีต้องสูญเสียรถถังที่ปฏิบัติการในแนวรบด้านตะวันออกถึงกี่งหนึ่ง ของทั้งหมด การทำสงครามทวีปแอฟริกาประสบกับความพินาศ สถานการณ์ในคาบสมุทรบอลข่านยังคงไร้เสถียรภาพ และชาวอิตาลีเองก็ต้องการยุติสงครามลงเสียที พระเจ้าวิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 ถึงกับต้องทรงร้องขอให้เคานท์ชิอาโนเข้าเจรจากับมุสโสลินีเพื่อให้มุสโสลินีเริ่มเปิดการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร ถึงกลางปี ค.ศ. 1943 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เริ่มการบุกเกาะซิชิลี เพื่อขจัดอิตาลีออกไปจากสงครามและเริ่มยาตราทัพสู่ทวีปยุโรป โดยสามารถยกพลขึ้นบกได้โดยง่ายเนื่องจากมีกำลังของอิตาลีต้านทานอยู่เพียง เล็กน้อย สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรมุ่งตรงเข้าโจมตีทัพ ของเยอรมนีซึ่งยังคงกำลังในอิตาลีไว้บางส่วนก่อนที่เกาะซิซีลีจะตกเป็น ของฝ่ายสัมพันธมิตร การรุกรานของสัมพันธมิตรได้ทำให้ความอยู่รอดของมุสโสลินี และระบอบของเขาต้องขึ้นอยู่กับกำลังของกองทัพเยอรมนีซึ่งปกป้องเข้าอยู่ใน เวลานั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รุกคืบต่อไปอย่างรวดเร็วทั่วอิตาลี โดยพบการต่อต้านเพียงเล็กน้อยจากทหารอิตาลีที่กำลังขวัญเสีย ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับการต้านทานอย่างหนักจากกองทัพนาซีเยอรมนี", "title": "ราชอาณาจักรอิตาลี" }, { "docid": "165970#49", "text": "สงครามดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าฝ่ายอิตาลีจะมีกำลังคนและอาวุธที่ดีกว่า (รวมไปถึง ก๊าซมัสตาร์ด) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1936 กองทัพอิตาลีได้รับชัยชนะเด็ดขาดในสงครามที่ ยุทธการเมย์ชิว จักรพรรดิฮาลี เซลาสซี ได้หลบหนีออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ต่อมา สามารถยึดเมืองหลวง เอดิส อบาบา ได้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม และอิตาลีสามารถยึดครองได้ทั้งประเทศเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม และรวมเอาเอริเทรีย เอธิโอเปียและโซมาลีแลนด์เข้าด้วยกันเป็นรัฐเดี่ยว เรียกว่า แอฟริกาตะวันออกของอิตาลี", "title": "สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สอง" }, { "docid": "192295#31", "text": "ในปี ค.ศ. 1911 รัฐบาลของโจลิตตีได้ส่งกำลังทหารเข้าไปยึดครองลิเบีย ในขณะที่ความสำเร็จในสงครามลิเบียได้ยกสถานะของลัทธิชาตินิยมให้สูงขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยเกิดความสำเร็จในการบริหารงานของรัฐบาลโจลิตตีแต่อย่างใด รัฐบาลได้พยายามขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยการพูดถึงความสำเร็จและความสร้างสรรค์ของกองทัพอิตาลีในการสงครามว่า อิตาลีเป็นชาติแรกที่ได้มีการใช้พโยมยาน (เรือเหาะ) ในวัตถุประสงค์ทางการทหาร และได้ลงมือทำการทิ้งระเบิดทางอากาศใส่กองกำลังของจักรวรรดิออตโตมัน สงครามได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานของพรรคสังคมนิยมอิตาลี กล่าวคือ กลุ่มนักปฏิวัติต่อต้านสงครามในพรรค ซึ่งนำโดยเบนิโต มุสโสลีนี ผู้ซึ่งจะกลายเป็นเผด็จการฟาสซิสต์ในอนาคต ได้เรียกร้องให้มีการใช้กำลังในการโค่นล้มรัฐบาล หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ โจลิตตีได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งในเวลาอันสั้น แต่เมื่อถึงตอนนั้น ยุคเสรีนิยมก็ได้จบลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว", "title": "ราชอาณาจักรอิตาลี" }, { "docid": "223340#2", "text": "การต่อสู้ส่วนใหญ่ในสงครามสามสิบปีเป็นการต่อสู้โดยกองทัพทหารรับจ้างที่ทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่บริเวณที่มีการต่อสู้ และก่อให้เกิดความอดอยากและโรคระบาดจนส่งผลให้จำนวนประชากรของรัฐต่าง ๆ ในเยอรมนี กลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ และอิตาลีลดลงไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังก่อให้เกิดการสูญเสียอำนาจในหลายบริเวณ ความขัดแย้งที่เป็นสาเหตุของการต่อสู้ก็ไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากนี้การที่สงครามมีค่าจ่ายทางการทหารเป็นจำนวนมาก ส่งผลทำให้รัฐที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ต้องล้มละลายในช่วงท้ายของสงคราม สงครามสามสิบปียุติลงด้วยสนธิสัญญามึนสเตอร์ (Treaty of Münster) ที่เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย", "title": "สงครามสามสิบปี" }, { "docid": "110167#34", "text": "แม้ว่าในทางการทหาร อิตาลีจะมีความเหนือกว่าด้านกำลังพลก็ตาม แต่ข้อได้เปรียบดังกล่าวเสียไป ไม่เพียงแต่มีสาเหตุจากลักษณะภูมิประเทศสลับซับซ้อนที่เกิดการสู้รบขึ้นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่ใช้ด้วย จอมพลลุยจิ คาดอร์นา ผู้เสนอการโจมตีทางด้านหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ใฝ่ฝันว่าจะตีเข้าไปสู่ที่ราบสูงสโลวีเนีย ตีเมืองลูบลิยานา และคุกคามกรุงเวียนนา มันเป็นแผนการสมัยนโปเลียน ซึ่งไม่มีโอกาสสำเร็จแท้จริงเลยในยุคของลวดหนาม ปืนกลและการยิงปืนใหญ่ทางอ้อม ประกอบกับภูมิประเทศที่เป็นเนินและภูเขา", "title": "สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง" }, { "docid": "327885#6", "text": "ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1934 กองกำลังรักษาดินแดนของเอธิโอเปียซึ่งคุ้มครองคณะกรรมการปักปันชายแดนแดนอังกฤษ-เอธิโอเปีย ได้ประท้วงการละเมิดอธิปไตยของอิตาลี สมาชิกคณะกรรมการฝ่ายอังกฤษได้ถอนตัวไปทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้อิตาลีเสียหน้า โดยที่กองกำลังทั้งฝ่ายอิตาลีและเอธิโอเปียยังคงตั้งค่ายเผชิญหน้ากันในระยะใกล้", "title": "สงครามอิตาลี-อะบิสซิเนียครั้งที่สอง" }, { "docid": "385044#1", "text": "ตามข้อความในสนธิสัญญา อิตาลีจะออกจากฝ่ายไตรพันธมิตรแล้วเข้าร่วมกับฝ่ายไตรภาคีแทน ซึ่งระบุไว้แล้วในความตกลงลับที่ลงนามในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน ค.ศ. 1914 ยิ่งไปกว่านั้น อิตาลีจะต้องประกาศสงครามต่อจักรวรรดิเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการีภายในหนึ่งเดือน (อิตาลีไม่สามารถประกาศสงครามกับเยอรมนีได้ทันเวลา โดยประกาศสงครามใน ค.ศ. 1916) อิตาลียังจะได้รับดินแดนเพิ่มเติมเมื่อสงครามยุติ", "title": "สนธิสัญญาลอนดอน (1915)" }, { "docid": "192295#35", "text": "อุปสรรคสำคัญของอิตาลีในการตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกสงครามก็คือความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศปี ค.ศ. 1914 ซึ่งภายหลังการจัดตั้งคณะรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอันโตนิโอ ซาลันดรา ในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน รัฐบาลพยายามจะเอาชนะแรงสนับสนุนของกลุ่มชาตินิยมและหันไปสนใจกับประเด็นสิทธิทางการเมือง ในขณะเดียวกันเองนักการเมืองฝ่ายซ้ายก็ถูกบีบคั้นอย่างหนักจากการที่รัฐบาลสังหารนักต่อต้านเผด็จการทหาร 3 คนในเดือนมิถุนายน ทำให้ฝ่ายซ้ายหลากหลายกลุ่มอันประกอบด้วย กลุ่มสังคมนิยม, กลุ่มสาธารณรัฐนิยม และกลุ่มอนาธิปไตยนิยม ต่างก่อการประท้วงและพรรคสังคมนิยมแห่งอิตาลีก็ประกาศนัดหยุดงานประท้วงขึ้นทั่วประเทศ การประท้วงซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ \"สัปดาห์แดง\" () ที่ฝ่ายซ้ายได้ต่างพากันก่อการดื้อแพ่งไปถึงเกิดเหตุจลาจลตามหัวเมืองน้อยใหญ่ทั่วอิตาลี เช่น การบุกยึดสถานีรถไฟ, การตัดสายโทรศัพท์ และการเผาทำลายสำนักทะเบียนจัดเก็บภาษี อย่างไรก็ดีสองวันถัดมาจึงมีการประกาศยุติการประท้วงอย่างเป็นทางการ แม้ว่าการจลาจลยังคงดำเนินไปก็ตาม กลุ่มเผด็จการทหารนิยม, กลุ่มชาตินิยม ยังคงต่อสู้กับกลุ่มฝ่ายซ้ายกันตามท้องถนน จนกระทั่งกองทัพบกได้เข้ารักษาความสงบด้วยการส่งกองกำลังนับพันนายเข้าควบคุมกลุ่มผู้ประท้วงหลากหลายฝ่าย ตามมาด้วยการรุกรานเซอร์เบียของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ได้ปะทุขึ้น แม้ว่าอิตาลีจะประกาศจนอย่างเป็๋นทางการถึงการเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันในฐานะประเทศสมาชิกกลุ่มไตรภาคี แต่ในช่วงเริ่มต้นกลับวางตัวเป็นกลางโดยอ้างว่ากลุ่มไตรภาคีมีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการป้องกันตนเองเท่านั้น \nในอิตาลี มุมมองของประชาชนต่อสงครามต่างแตกออกเป็นฝั่งเป็นฝ่าย ฝ่ายสังคมนิยมโดยมากแล้วต่างพากันต่อต้านสงครามและสนับสนุนแนวคิดการต่อต้านความรุนแรง ในขณะที่ฝ่ายชาตินิยมกลบสนับสนุนสงครามอย่างแข็งขัน ตัวอย่างของผู้สนับสนุนให้อิตาลีเข้าร่วมสงคราม เช่น นักชาตินิยม, กาเบรียล ดานันซิโอ และลุยจิ เฟเดร์โซนี รวมถึงนักข่าวผู้ปิดปังแนวคิดนิยมมาร์กซิสต์ของตน, ผู้ซึ่งเปลี่ยนมาเป็นนักชาตินิยมและผู้นำเผด็จการในอนาคต เบนิโต มุสโสลินี ก็เรียกร้องให้อิตาลีเข้าสู่สงคราม สำหรับเหล่านักชาตินิยมแล้ว อิตาลีจะต้องดำรงสัมพันธภาพกับกลุ่มมหาอำนาจกลางเอาไว้ เพื่อที่จะได้รับดินแดนในอาณานิคมของฝรั่งเศสในภายหลัง แต่สำหรับเหล่านักเสรี สงครามครั้งนี้คือโอกาสที่อิตาลีรอคอยมานานในการที่จะเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร และทวงคืนแผ่นดินที่มีชาวอิตาลีอาศัยอยู่มาจากออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชาตินิยมอันยาวนานมาตั้งแต่การรวมชาติอิตาลี ในปี ค.ศ. 1915 ญาติของนักปฏิวัติและวีรบุรุษสาธารณรัฐนิยม จูเซปเป กาลิบาลดิ เสียชีวิตในสมรภูมิที่ฝรั่งเศส ที่ซึ่งมีทหารอาสาช่วยในการรบ เฟแดร์โซนิจึงได้ใช้หน่วยรำลึกในการประกาศถึงความสำคัญของการเข้าร่วมสงคราม และเป็นคำเตือนไปยังสถาบันกษัตริย์ถึงความแตกแยกที่ยังคงดำเนินไปอยู่ภายในอิตาลี", "title": "ราชอาณาจักรอิตาลี" }, { "docid": "276427#4", "text": "สนธิสัญญาลิยงส์ที่ลงนามกันเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1504 ระหว่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 แห่งฝรั่งเศสทรงยกเนเปิลส์แก่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งสเปน ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาฝรั่งเศสยกเนเปิลส์แก่สเปน นอกจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ยังระบุดินแดนในการปกครองของแต่ละฝ่ายในอิตาลี ฝรั่งเศสได้ดินแดนทางตอนเหนือของอิตาลีตั้งแต่มิลาน ส่วนสเปนได้ซิซิลีและอิตาลีตอนใต้", "title": "สงครามอิตาลี (ค.ศ. 1499-1504)" }, { "docid": "327885#3", "text": "สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมุสโสลินีในการสร้างจักรวรรดิโรมันขึ้นมาใหม่ ซึ่งดินแดนของจักรวรรดิที่มุสโสลินีต้องการครอบครองนั้นคือบริเวณรอบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนเหนือของทวีปแอฟริกา สงครามครั้งนี้ยังเป็นความต้องการล้างอายที่อิตาลีพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ต่อเอธิโอเปียในยุทธการอัดวาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1896 ในช่วงสงครามอิตาลี-อะบิสซิเนียครั้งที่หนึ่งอันทำให้อิตาลีต้องเสื่อมเสียเกียรติภูมิเป็นอย่างยิ่ง การที่มุสโลลินีได้ใหคำสัญญาแก่ชาวอิตาลีว่าจะต้องได้ \"แผ่นดินภายใต้ดวงตะวัน\" (\"a place in the sun\") ก็เป็นช่วงที่สอดคล้องกับการขยายอาณานิคมครั้งใหม่ของสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3", "title": "สงครามอิตาลี-อะบิสซิเนียครั้งที่สอง" } ]
1706
ใครเป็นผู้ค้นพบ ดาวแคระขาว?
[ { "docid": "70244#1", "text": "ดาวแคระขาวที่รู้จักในบริเวณใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์มีประมาณคร่าว ๆ 6% ของดาวที่รู้จักในบริเวณใกล้เคียงกับดวงอาทิตย์ ในปี ค.ศ. 1910 เฮนรี นอร์ริส รัสเซลล์ เอ็ดเวิร์ด ชาลส์ พิกเคอริง และ วิลเลียมมินา เฟลมมิง ได้ค้นพบดาวแคระขาวเป็นครั้งแรกเนื่องจากเป็นวัตถุที่จางอย่างผิดปกติ ส่วนชื่อ \"ดาวแคระขาว\" ตั้งโดย วิลเลม ลุยเทน ในปี ค.ศ. 1922", "title": "ดาวแคระขาว" } ]
[ { "docid": "70244#9", "text": "ครั้นถึงปี ค.ศ. 1917 เอเดรียน แวน แมเนนได้ค้นพบดาวแวนแมเนน ซึ่งเป็นดาวแคระขาวเดี่ยว ดาวแคระขาวทั้งสามดวงที่ได้รับการค้นพบเป็นครั้งแรกนี้ เรียกชื่อกันต่อมาว่าเป็น \"ดาวแคระขาวดั้งเดิม (classical white dwarfs) \" ในเวลาต่อมามีการค้นพบดาวสีขาวจางแสงหลายดวงที่มีการเคลื่อนที่เฉพาะสูง บ่งชี้ว่ามันน่าจะเป็นดาวฤกษ์ใกล้โลกที่มีความส่องสว่างน้อย หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นดาวแคระขาวนั่นเอง วิลเลม ลุยเทน เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า \"ดาวแคระขาว (White dwarf) \" ในขณะที่เขากำลังพิจารณาชนิดสเปกตรัมของดาวในปี 1922 และอาเทอร์ สแตนลีย์ เอ็ดดิงตัน ได้นำมาใช้อย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ดี แม้จะมีข้อสมมุติฐานเช่นนี้อยู่ แต่กว่าจะสามารถพิสูจน์ยืนยันบรรดาดาวแคระขาวที่ค้นพบในยุคแรกซึ่งไม่ใช่ \"ดาวแคระขาวดั้งเดิม\" ก็ต้องล่วงไปจนถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 เมื่อดาวแคระขาว 18 ดวงถูกสำรวจในปี 1939 ลุยเทนและนักดาราศาสตร์คนอื่นพยายามจากหาดาวแคระขาวต่อไปในทศวรรษ 1940 ในปี 1950 ดาวแคระขาวมากกว่าร้อยดวงเป็นที่รู้จักและปี 1999 ดาวแคระขาวมากกว่า 2,000 ดวงเป็นที่รู้จัก ตั้งแต่นั้นมา Sloan Digital Sky Survey ก็ค้นพบมากกว่า 9,000 ดวง ส่วนใหญ่เป็นดาวใหม่", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "70244#31", "text": "ในการคำนวณในยุคแรก ถูกแนะนำว่าควรจะมีดาวแคระขาวที่มีกำลังส่องสว่างแปรไปโดยมีคาบประมาณ 10 วินาที แต่การค้นหาในทศวรรษที่ 1960 ล้มเหลวในการค้นหา ดาวแคระขาวแปรแสงที่ค้นพบครั้งแรกคือ HL Tau 76 ในปี 1965 และ 1966 Arlo U. Landlt ถูกค้นพบเมื่อมันแปรแสงโดยที่มีคาบประมาณ 12.5 นาที เหตุผลที่คาบยาวกว่าที่ทำนายไว้คือการแปรแสงของ HL Tau 76 เหมือนกับดาวแคระขาวที่สามารถแปรแสงเป็นจังหวะอื่น ๆ ที่รู้จัก เกิดจากการเต้นเป็นจังหวะ non-radial graity wave ชนิดที่รู้จักของดาวแคระขาวที่เต้นเป็นจังหวะมีดาว DAV หรือ ZZ Ceti และ HL Tau 76 มีบรรยากาศทึ่ไฮโดรเจนเด่น และมีสเปกตรัมชนิด DA DBV หรือดาว V777 Her มีบรรยากาศที่ฮีเลียม คาร์บอน ออกซิเจน เด่น GW Vir (บางครั้งถูกแบ่งย่อยเป็นสเปกตรัม DOV และดาว PNNV) ที่ชั้นบรรยากาศเด่นด้วยฮีเลียม คาร์บอนและออกซิเจน แต่ไม่ใช่ดาวแคระขาว ถ้าพูดตรง ๆ ดาวจะอยู่บนตำแหน่งระหว่าง asymptotic giant branch และพื้นที่ของดาวแคระขาวบนแผนภาพ HR diagram มันควรจะถูกเรียกว่า pre white dwarfs ดาวแคระขาวจะแปรแสงเพียงเล็กน้อยคือ 1%-30% ของแสงที่แผ่ออกมา เกิดจากการรวมกันของโหมดการสั่นของคาบร้อยถึงพันวินาที การสังเกตการณ์ของการแปรแสงเป็นหน้าที่ของ asteroseismological พิสูจน์เกี่ยวกับภายในของดาวแคระขาว", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "70244#6", "text": "ดาวแคระขาวที่ถูกค้นพบเป็นดวงแรกอยู่ในระบบดาวสามดวงใน 40 Eridani ซึ่งประกอบไปด้วยดาวสว่างในแถบลำดับหลัก 40 Eridani A ซึ่งโคจรอยู่ใกล้กับระบบดาวคู่ซึ่งมีดาวแคระขาว 40 Eridani B และดาวแคระแดงในแถบลำดับหลัก 40 Eridani C ฟรีดดริค วิลเฮล์ม เฮอร์เชล ได้ค้นพบคู่ดาว 40 Eridani B/C ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1783 ต่อมา Friedrich Georg Wilhelm Struve ได้เฝ้าสังเกตในปี 1825 และ Otto Wilhelm Struve เฝ้าสังเกตในปี 1815 ครั้นถึงปี ค.ศ. 1910 Henry Norris Russel, Edward Charles Pickering และ Williamina Fleming จึงได้ค้นพบว่า ทั้ง ๆ ที่มันเป็นดาวที่จางแสงมาก แต่ 40 Eridani B จัดเป็นดาวที่มี spectral type A หรือมีแสงสีขาว ในปี 1939 Russell มองย้อนไปในการสำรวจ", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "784404#0", "text": "ตี๋ใหญ่ ดับ ดาว โจร () เป็นละครโทรทัศน์แนวแอ็คชั่น, สืบสวน บทประพันธ์ของ นพชัย ชัยนาม บทโทรทัศน์โดย พิง ลำพระเพลิง, ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม, จิรสุดา แสงคำ กำกับการแสดงโดย นพชัย ชัยนาม ผลิตโดย บริษัท กลมกล่อม โปรดักชั่น จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์–อังคาร เวลา 20:30–21:30 น. ทาง ช่องโมโน 29 นำแสดงโดย สมชาย เข็มกลัด, รัชชานนท์ เรือนเพ็ชร์, กรกมล เจริญชัย, พชรณมน นนทภา, วริษา วาทยานนท์, กล้วยไม้ พิกุลแย้ม, ชญาณ์นันท์ พิพัฒน์ชยกุล และนักแสดงชั้นนำอีกมากมาย เริ่มตอนแรกวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559–7 มีนาคม พ.ศ. 2559 โดยในปี 2561 มีภาคต่อชื่อว่า ตี๋ใหญ่ 2 ดับ เครื่อง ชน โดยออกอากาศครั้งแรกในวันที่ 17 มิถุนายน 2561 จะเป็นเรื่องราวที่สานต่อจากภาคแรก", "title": "ตี๋ใหญ่ ดับ ดาว โจร" }, { "docid": "70244#30", "text": "สนามแม่เหล็กในดาวแคระขาวที่พื้นผิวมีความเข้ม ~1 ล้านเกาส์ (100 เทสลา) ซึ่งถูกทำนายโดย P.M.A Blackett ในปี 1947 ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของกฎฟิสิกส์ เขาเสนอว่าวัตถุที่ไม่มีประจุที่หมุนอยู่จะสร้างสนามแม่เหล็กเป็นสัดส่วนกับโมเมนตัมเชิงมุม กฎซึ่งเป็นคำล่ำลือนี้บางครั้งเรียกว่า Blackett effect ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่ยอมรับ และในทศวรรษที่ 1950 Blackett ก็ถูกหักล้าง ในทศวรรษ 1960 มีการเสนอว่าดาวแคระขาวควรมีสนามแม่เหล็กเพราะการอนุรักษ์ฟลักซ์แม่เหล็กรวมของพื้นผิวระหว่างการวิวัฒนาการของดาว non-degenerate ไปสู่ดาวแคระขาว สนามแม่เหล็กพื้นผิว ~100 เกาส์ (0.01 เทสลา) ในดาวต้นกำเนิดควรจะกลายเป็นสนามแม่เหล็กพื้นผิว ~100-100 = 1 ล้านเกาส์ (100 เทสลา) ครั้งหนึ่งที่ดาวมีรัศมีเล็กลงด้วยแฟคเตอร์ 100 สนามแม่เหล็กของดาวแคระขาวที่ถูกพบคือ GJ 742 ที่ตรวจจับได้ว่ามีสนามแม่เหล็กในปี 1970 โดยการแผ่รังสีของแสงcircularly polarized มันถูกคิดว่าสนามพื้นผิวประมาณ 300 ล้านเกาส์ (30 กิโลเทสลา) ตั้งแต่สนามแม่เหล็กถูกค้นพบในดาวแคระขาวมากกว่า 100 ดวง มีสนามแม่เหล็กตั้งแต่ 2×10 ถึง 10 เกาส์ (0.2 เทสลา ถึง 100 กิโลเทสลา) เฉพาะดาวแคระขาวจำนวนไม่มากที่ถูกตรวจสอบสนามของมัน และมีถูกประมาณว่ามีอย่างน้อย 10% ของดาวแคระขาวที่มีสนามแม่เหล็กเกิดกว่า 1 ล้านเกาส์ (100 เทสลา)", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "286434#12", "text": "ค้าวคาวกิตติค้นพบครั้งแรกปี พ.ศ. 2516 โดยกิตติ ทองลงยา นักสัตววิทยาของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย บริเวณถ้ำไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างทำการเก็บตัวอย่างค้างคาวในโครงการการสำรวจสัตว์ย้ายแหล่งทางพยาธิวิทยา กิตติพบค้างคาวที่มีขนาดเล็กมากซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้ส่งตัวอย่างค้างคาวให้กับจอห์น เอ็ดวาร์ด ฮิลล์ (John Edward Hill) แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ประเทศอังกฤษ เพื่อตรวจพิสูจน์และพบว่าค้างคาวชนิดนี้มีลักษณะหลายอย่างเป็นแบบฉบับของตนเอง สามารถที่จะตั้งเป็นสกุลและวงศ์ใหม่ได้ หลังจากกิตติเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ฮิลล์ได้จำแนกและตีพิมพ์ถึงค้างคาวชนิดนี้ และตั้งชื่อว่า \"Craseonycteris thonglongyai\" เพื่อเป็นเกียรติแก่กิตติ ทองลงยา ผู้ค้นพบค้างคาวชนิดนี้เป็นคนแรก", "title": "ค้างคาวคุณกิตติ" }, { "docid": "70244#8", "text": "เบสเซลประมาณคาบการโคจรคร่าว ๆ ของคู่ของดาวซิริอุสไว้ที่ครึ่งศตวรรษ C.H.F.Peter เป็นผู้คำนวณคาบโคจรได้ในปี ค.ศ. 1851 แต่ล่วงไปจนกระทั่ง 31 มกราคม ค.ศ. 1862 อัลแวน เกรแฮม คลาร์คจึงได้ค้นพบดาวอีกดวงหนึ่งใกล้ดาวซิริอุส ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน และต่อมาจึงสามารถระบุยืนยันได้ว่าเป็นดาวคู่ของมันนั่นเอง ในปี ค.ศ. 1915 วอลเตอร์ อดัมส์ จึงประกาศว่าสเปคตรัมของดาวซิริอุส บี มีลักษณะเหมือนกันกับดาวซิริอุส", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "70244#7", "text": "ดาวคู่ของดาวซิริอุส คือดาวซิริอุส บี ถูกค้นพบเป็นลำดับถัดมา ในระหว่างศตวรรษที่ 19 การวัดตำแหน่งของดาวบางดวงแม่นยำพอที่จะวัดการเปลี่ยนแปลงน้อย ๆ ได้ ฟรีดดริค เบสเซล ใช้เครื่องมือที่มีความแม่นยำในการระบุว่าดาวซิริอุสและดาวโปรซิออนเปลี่ยนแปลงตำแหน่งได้ ในปี 1844 เขาทำนายว่าทั้งคู่มีดาวคู่ที่เรามองไม่เห็น", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "70244#15", "text": "การมีอยู่ของขีดจำกัดมวลที่ไม่มีดาวแคระขาวใดสามารถเกินกว่านี้ได้คือผลสำคัญที่จะถูกค้ำยันโดย electron degeneracy pressure มวลทั้งหลายนี้ถูกเผยแพร่ในปี 1929 โดย วิลเฮล์ม แอนเดอร์สัน และปี 1930 โดย เอ็ดมอนด์ ซี. สโตนเนอร์ ค่าขีดจำกัดใหม่ถูกเผยแพร่ในปี 1931 โดยสุพรหมัณยัน จันทรเศขร ในงานวิจัยของเขา \"มวลมากที่สุดของดาวแคระขาวในอุดมคติ\" สำหรับดาวแคระขาวที่ไม่มีการหมุน ซึ่งเท่ากับค่าที่ได้จากการประมาณ 5.7/\"μ\" เท่าของดวงอาทิตย์ เมื่อ \"μ\"คือน้ำหนักโมเลกุลเฉลี่ยต่ออิเล็กตรอนของดาวคือคาร์บอน-12 และออกซิเจน-16 ที่ประกอบอยู่มากในดาวแคระขาวคาร์บอนออกซิเจน ทั้งคู่มีเลขอะตอมเท่ากับครึ่งหนึ่งของน้ำหนักอะตอมเมื่อแทน \"μ\" เท่ากับ 2 ก็จะได้ค่า 1.4 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ใกล้กับค่าที่ประมาณในเวลาเริ่มต้นศตวรรษที่ 20 นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่าดาวประกอบด้วยธาตุที่หนักมากเป็นองค์ประกอบสำคัญ และในงานวิจัยของจันทรสิกขาตั้งค่าเฉลี่ยโมเลกุลต่ออิเล็กตรอน \"μ\" เท่ากับ 2.5 จะทำให้ได้ขีดจำกัดเท่ากับ 0.91 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ เหมือนของ วิลเลียม อัลเฟรด ฟาวเลอร์ จันทรสิกขาได้รับรางวัลโนเบลจากผลงานนี้และงานอื่นของเขาในปี 1983 ขีดจำกัดมวลปัจจุบันเรียกว่า \"ขีดจำกัดจันทรสิกขา\"", "title": "ดาวแคระขาว" } ]
1709
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่เท่าไหร่ของไทย?
[ { "docid": "5133#0", "text": "ร้อยตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือชื่อเกิดว่า มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ละติน: Mark Abhisit Vejjajiva, เกิด 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507) เป็นนักการเมืองไทยผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ดำรงตำแหน่งระหว่าง พ.ศ. 2551−2554 เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 และ เป็นอดีตอาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์", "title": "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" }, { "docid": "60402#0", "text": "ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายกราชบัณฑิตยสถาน และ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบประสาทและระบบสมองของไทย บิดาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของประเทศไทย", "title": "อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ" } ]
[ { "docid": "206982#0", "text": "คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 59 (20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 - 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554) มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศ โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และในวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยมี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คณะรัฐมนตรีไทย คณะนี้ เป็นคณะที่ ประกาศใช้ พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยาวนานที่สุดตั้งแต่มีกฎหมายฉบับนี้ และนับว่าเป็นคณะรัฐมนตรีที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย", "title": "คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 59" }, { "docid": "362890#53", "text": "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธานการประชุม Latin Business Forum 2010 ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับ นายคาร์ลอส โพซาดา อูกาซ รัฐมนตรีช่วยว่าการการค้าต่างประเทศและการท่องเที่ยวประเทศเปรู เอกอัครราชทูตจากกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาประจำประเทศไทย \nนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปเยือนประเทศกาตาร์ นับเป็นการเยือนครั้งแรกในระดับนายกรัฐมนตรี นับตั้งแต่ทั้งสองประเทศได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 2523 และได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-กาตาร์ และ บันทึกความเข้าใจระหว่างสภาหอการค้าไทยและสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมกาตาร์", "title": "การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" }, { "docid": "207152#3", "text": "ภายหลังเสร็จสิ้นการลงคะแนน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศผลการนับคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรีว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความเห็นชอบ จำนวน 235 คะแนน ส่วนพลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดินได้รับความเห็นชอบ 198 คะแนน และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรงดออกเสียง 3 คะแนน (คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายชัย ชิดชอบ และ นายสมชัย ฉัตรพัฒนศิริ ส.ส. นครราชสีมา พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา) จึงถือได้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาแล้ว จึงถือได้ว่านายอภิสิทธิ์ได้รับความเห็นชอบตามมติของสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี", "title": "การลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย ธันวาคม พ.ศ. 2551" }, { "docid": "423491#1", "text": "นิสสัย เวชชาชีวะ เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2475 เป็นบุตรของนายโฆสิต เวชชาชีวะ น้องชายของพระบำราศนราดูร (หลง เวชชาชีวะ) อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเป็นพี่ชายของ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ของไทย ด้านชีวิตครอบครัวสมรสกับนางมารินา เวชชาชีวะ มีบุตรชายคือ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ", "title": "นิสสัย เวชชาชีวะ" }, { "docid": "362890#46", "text": "ระหว่างวันที่ 21-27 กันยนยน พ.ศ. 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางเข้าร่วมประชุมสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก และเข้าร่วมประชุม จี 20 ที่เมืองพิตส์เบิร์ก โดยในวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้รับเกียรติจาก นาย ดันแคน นีเดราเออร์ ผู้อำนวยการ NYSE Euronext เป็นผู้ลั่นระฆังปิดตลาดหุ้นนิวยอร์ก\nระหว่างวันที่ 20-26 กันยายน พ.ศ. 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปยังนครนิวยอร์กเพื่อประชุมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 65 และการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน - สหรัฐฯ (ASEAN-US Summit) ครั้งที่ 2\nสหรัฐอเมริกาได้มีคำสั่งย้ายเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยนาย Eric G. John ก่อนหน้านั้นนายกษิต ภิรมย์รัฐมนตรีต่างประเทศได้เชิญนาย Eric G. John เข้าพบเพื่อประท้วงอย่างเป็นทางการถึงกรณีผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศสหรัฐได้เข้าพบกับนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยแลประท้วงถึงการส่งตัวแทนเข้าร่วมการฟังบรรยายสรุปของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการส่งทูตไปฟังกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติทั้งนี้ นางคริสตี้ เคนนี่ย์ เดินทางเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554", "title": "การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" }, { "docid": "5133#2", "text": "อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีในห้วงวิกฤตการณ์การเงินโลก และความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะดำรงตำแหน่ง เขาเสนอ \"วาระประชาชน\" ซึ่งมุ่งสนใจนโยบายซึ่งมีผลต่อสภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองชนบทและผู้ใช้แรงงานของไทยเป็นหลัก เขาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสองประการสำคัญ คือ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสามปีมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการให้เงินอุดหนุนและแจกเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ยุคอภิสิทธิ์มีการปิดเว็บไซต์และสถานีวิทยุเป็นจำนวนมาก ตลอดจนจับกุมและปิดปากบุคลากรสื่อ ผู้ต่อต้านและหัวหน้าแรงงานจำนวนมาก โดยอ้างความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย จากรายงาน พ.ศ. 2553 ฮิวแมนไรตส์วอทส์เรียกยุคอภิสิทธิ์ว่า \"มีเซ็นเซอร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยล่าสุด\" และฟรีดอมเฮาส์ ลดระดับอันดับเสรีภาพสื่อของไทยลงเหลือ \"ไม่เสรี\"", "title": "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" }, { "docid": "362890#40", "text": "เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 นายเอบราฮิม อาซีซี เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมประชุมประจำปีเอสแคป สมัยที่ 67 โดยรองประธานาธิบดีอิหร่านกล่าวว่า อิหร่านพร้อมจะให้การสนับสนุนไทยในทุกเวทีพหุภาคี\nเมื่อวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554 ได้เกิดเหตุปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังกองกำลังสหพันธรัฐว้า (UWSA) ในบริเวณพื้นที่เขตตอนบนหมู่ 1 บ้านป่าแลวตำบลป่าแลวหลวงจังหวัดน่าน", "title": "การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" }, { "docid": "362890#70", "text": "หลังจากลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังคงดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีต่อไปจนกว่าจะมีการเปิดประชุมสภา และตลอดระยะเวลาที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี เขาก็ไม่เหน็ดเหนื่อย และได้จัดการพัฒนาเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่สามารถนำไปพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และนายอภิสิทธิ์ ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายอภิสิทธิ์ ก็ได้แถลงการณ์อำลาตำแหน่งและอำลาสถานที่และขอบคุณประชาชนและนักการเมืองที่ได้ช่วยสนับสนุนเขาตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่า ๆ", "title": "การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" } ]
1711
เลสลี มาร์ก ฮิวส์ เริ่มเข้าวงการฟุตบอลเมื่อไหร่?
[ { "docid": "202050#2", "text": "ฮิวส์ ได้เข้าร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หลังออกจากโรงเรียนในปี 1980 แต่ยังไม่ได้ลงเล่นในทีมชุดแรกเหมือนผู้เล่นคนอื่น จากนั้นเมื่อเขาได้รับโอกาสให้ลงสนามนัดแรกเขาก็ยิงประตูได้ทันทีและก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว และเขายังเป็นผู้เล่นคนสำคัญในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1985 ที่ทีมของเขาเอาชนะเอฟเวอร์ตันได้ 1-0 และคว้าแชมป์ในที่สุด", "title": "มาร์ก ฮิวส์" } ]
[ { "docid": "202050#0", "text": "เลสลี มาร์ก ฮิวส์ () มีชื่อเล่นในวงการฟุตบอลว่า \"สปาร์กี้\" เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติเวลส์ และปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมเซาแทมป์ตัน ผลงานในการรับใช้ชาติของเขาคือการลงเล่นให้ทีมชาติเวลส์ 72 นัด และยิงประตูได้ 16ประตู", "title": "มาร์ก ฮิวส์" }, { "docid": "202050#5", "text": "เขาได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในฤดูกาล 1988-1989 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขากลับมาอังกฤษอีกครั้ง แต่สโมสรยังมีผลงานไม่ดีนักเมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 11 ปีต่อมาเขายิงคนเดียว2ประตู ใส่คริสตัล พาเลซในเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศซึ่งเสมอกันไป3-3 ก่อนที่ลี มาร์ตินจะยิงประตูชัยในนัดแข่งใหม่ ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ5ปี และในฤดูกาล1990-1991เขายิงประตูใส่บาร์เซโลนาทีมเก่าของเขาส่งผลให้ทีมได้แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพ และเขายังพาทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศลีกคัพ แต่ทีมกลับพลิกล๊อคพลาดท่าให้กับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ในนัดชิงชนะเลิศ 1-0", "title": "มาร์ก ฮิวส์" }, { "docid": "589336#1", "text": "แลมเบิร์ตเริ่มตันการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับแบล็กพูล หลังจากนั้นก็ไปเล่นให้กับแมกเคิลส์ฟีลด์ทาวน์, สตอกพอร์ตเคาน์ตี, รอชเดล และบริสตอลโรเวอส์ และย้ายร่วมกับเซาแทมป์ตันในปี ค.ศ. 2009 และได้สร้างชื่อเสียงขึ้นมา ก่อนที่จะได้ย้ายไปร่วมกับลิเวอร์พูลในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งเป็นสโมสรเยาวชนที่เจ้าตัวเคยอยู่และเป็นสโมสรที่ใฝ่ฝันที่จะร่วมทีมมาตั้งแต่เด็ก", "title": "ริกกี แลมเบิร์ต" }, { "docid": "849124#1", "text": "เพสลีย์เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรฟุตบอลเล็ก ๆ อย่าง บิช็อป โอ๊คแลนด์ ใน ค.ศ. 1937 ด้วยวัยเพียง 18 ปีกระทั่งทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล ได้ซื้อตัวเข้ามาร่วมถิ่น แอนฟีลด์ เมื่อ ค.ศ. 1939 หรืออีก 2 ปีต่อมาและได้แชมป์ลีกดิวิชัน 1 (เดิม) 1 สมัยในฤดูกาล 1946 – 1947 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกที่ฟุตบอลลีกอังกฤษกลับมาแข่งขันหลังจาก สงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับทีมลิเวอร์พูลเมื่อ ค.ศ. 1954 ด้วยวัย 35 ปีโดยลงเล่นให้ทีมหงส์แดงทั้งสิ้น 253 นัดทำไปได้ 10 ประตู", "title": "บ๊อบ เพสลีย์" }, { "docid": "202050#16", "text": "มาร์ก ฮิวส์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติเวลส์ในปี 1999 ในขณะเป็นผู้เล่นของเซาแทมป์ตัน โดยเขารับงานต่อจากบ็อบบี้ กูลด์ และทำผลงานได้อย่างดีจนได้รับสัญญาระยะยาว ในช่วงเวลา5ปีของเขาในตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติ เขาเกือบพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2004 แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อทีมแพ้ต่อทีมชาติรัสเซียในรอบเพลย์ออฟ", "title": "มาร์ก ฮิวส์" }, { "docid": "343180#1", "text": "แคร์ริก เริ่มต้นเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรวอลล์เซนด์บอยส์คลับซึ่งเป็นสโมสรที่เคยสร้างนักเตะอย่างแอลัน เชียเรอร์ และปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ก่อนที่จะเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลอาชีพกับสถาบันเยาวชนอันเลื่องชื่อของเวสต์แฮมในปี ค.ศ. 1998 แคร์ริกลงเล่นร่วมกับโจ โคล ได้อย่างโดดเด่นในเกมที่เอาชนะคอเวนทรีซิตีไปอย่างถล่มทลาย 9-0 ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอยูทคัพ ในปี ค.ศ. 1999 โดยแคร์ริกทำได้ 2 ประตูในนัดนี้", "title": "ไมเคิล แคร์ริก" }, { "docid": "860969#1", "text": "มิตเชลล์เริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลที่ศูนย์ฝึกเยาวชนเฟลตเชอร์มอสเรนเจอร์สเช่นเดียวกับ แคเมอรอน บอร์ธวิก-แจ็กสัน และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ก่อนจะย้ายเข้ามาอยู่ที่ศูนย์ฝึกเยาวชนของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเมื่อ พ.ศ. 2556 ขณะอายุเพียง 16 ปีโดยในช่วงแรกมิตเชลล์เล่นในตำแหน่งกองหน้ากระทั่งบอร์ธวิก-แจ็กสันซึ่งเล่นในตำแหน่งกองหลังถูกยืมตัวไปเล่นกับทีม วูล์ฟแฮมป์ตันวันเดอเรอร์ส มิตเชลล์จึงสลับมาเล่นตำแหน่งกองหลังจนถึงปัจจุบัน", "title": "เดมีตรี มิตเชลล์" }, { "docid": "202050#13", "text": "เมื่อเกล็น ฮ็อดเดิ้ลกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของเซาแทมป์ตัน มาร์ก ฮิวส์ในวัย36ปี ก็กลายเป็นนักเตะที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม เขาจึงย้ายไปร่วมทีมเอฟเวอร์ตันและมีบทบาทในฐานะผู้เล่นน้อยลงตามวัย แต่ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมชาติเวลส์ต่อไป และเขาตัดสินใจย้ายมาเล่นในลีกระดับล่างเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2000-2001", "title": "มาร์ก ฮิวส์" }, { "docid": "644089#27", "text": "ศูนย์หน้าชาวเวลส์ มาร์ค ฮิวส์ ปรากฎตัวในนามนักเตะยูไนเต็ดครั้งแรกในเดือนตุลาคม 1983 และกลายเป็นนักเตะกำลังหลักของทีมในฤดูกาลถัดมา ด้วยการทำถึง 24 ประตู และได้รับเลือกให้เป็นนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี ของฤดูกาล1984–85 ด้วยวัยตอนนั้นเพียงแค่ 21 ปี นอกจากนั้นเค้ายังช่วยให้ทีมคว้านักเตะอลัน บราซิล เข้าทีมด้วยค่าตัว 500,000 ปอนด์ ซึ่งต่อมาสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของนอร์แมน ไวท์ไซด์ มาได้ในเวลาอันสั้น แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไวท์ไซด์ก็ได้ผันตัวเองไปเล่นมิดฟิล์ดตัวกลางแทนหลังจากการบาดเจ็บของเรมี่ มอสส์", "title": "ประวัติศาสตร์ของสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (ค.ศ. 1969–1986)" } ]
1712
ยาลดความอ้วนออกฤทธิ์อย่างไร?
[ { "docid": "644100#23", "text": "โปรแกรมการลดน้ำหนักที่ไม่ได้สั่งการรักษาโดยแพทย์ และไม่ใช่งานวิจัย แต่เป็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักซึ่งมีเป็นจำนวนมากโดยโฆษณาผ่านสื่อทางอินเทอร์เน็ต. องค์การอาหารและยา (FDA) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เสนอให้มีการระวังการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้, เนื่องจาก ทั้งความปลอดภัย และ ประสิทธิภาพยังไม่ปรากฏแน่ชัด.ในแต่ละคนที่เกิดภาวะกลัวอ้วน หรือโรค อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา และนักกีฬาบางคน พยายามที่จะควบคุมน้ำหนักโดยใช้ ยาระบาย ยาควบคุมน้ำหนัก หรือ ยาขับปัสสาวะ, ทั้ง ๆ ที่ถึงแม้ว่ายาเหล่านี้จะไม่มีผลต่อการลดไขมันในร่างกาย. ผลิตภัณฑ์ที่ทำหน้าที่คล้ายเป็นยาระบาย จะทำให้เกิดภาวะโปแตสเซี่ยมในเลือดลดต่ำลง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาที่กล้ามเนื้อและ/หรือที่หัวใจตามมาได้. ไพรูเวท เป็นผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันแพร่หลายในการนำมาใช้iลดน้ำหนักเพียงเล็กน้อย . อย่างไรก็ตาม, ไพรูเวท ซึ่งสามารถพบได้ในแอ๊ปเปิ้ลแดง, เนยแข็ง และไวน์แดง ยังไม่ถูกนำมาศึกษากันมากมายรวมทั้งผลที่ลดน้ำหนักได้ก็ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่.", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#1", "text": "มียาเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ใช้เป็นยาลดความอ้วน ได้แก่ ยาโอลิสแตท (เซนิคาล) ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์กร FDA ในการใช้ระยะยาว. ยาจะลดการดูดซึมไขมันที่บริเวณลำไส้โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ ไลเปซจากตับอ่อน ยาตัวที่ 2 คือ ยาไรโมนาแบนท์ (อะคอมเพลีย), จะออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของระบบเอ็นโดคานาบินอยด์. ยาตัวนี้พัฒนามาจากความรู้ที่ว่าผู้ที่สูบ กัญชา จะหิวบ่อย, ซึ่งจะต้องหาอาหารว่างรับประทานอยู่เรื่อย ๆ ยาตัวนี้ได้รับการรับรองให้ใช้รักษาภาวะโรคอ้วนในยุโรปแต่ไม่ได้รับการรับรองให้รักษาภาวะโรคอ้วนในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเนื่องจากยังเป็นกังวลเรื่องของความปลอดภัย. ในเดือนตุลาคม 2008 ตัวแทนจำหน่ายยาในประเทศทางยุโรป ได้เสนอว่าการขายยาไรโมนาแบนท์มีความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ. ยาไซบูทามีน (เมริเดีย), ซึ่งจะออกฤทธิ์โดยยับยั้งการเก็บกลับสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้มีสารสื่อประสาทเพิ่มขึ้นจึงมีผลทำให้ความอยากอาหารลดลง ได้ถูกถอนออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดาแล้วในเดือนตุลาคม 2010 เนื่องจากมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจ.", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#20", "text": "ยา อีเซนาไทด์ (ไบเอ็ทต้า) เป็นยาที่ออกฤทธิ์เนิ่น โดยเป็นยาที่มีโครงสร้างคล้าย ฮอร์โมน GLP-1 ซึ่งลำไส้เล็กจะสร้างขึ้นเมื่อมีอาหารผ่านเข้ามา. ฤทธิ์อื่น ๆ ของฮอร์โมน GLP-1 คือ จะขยายเวลาที่ลำไส้จะว่างจากอาหารยาวนานขึ้น และท้ำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น.ผู้ป่วยโรคอ้วนบางคนมีภาวะพร่องฮอร์โมน GLP-1, และควบคุมอาหารเพื่อลดฮอร์โมน GLP-1 . ไบเอ็ทตา เป็นยาที่เพิ่งมีการใช้ในการรักษา โรคเบาหวาน ชนิดที่ 2. ผู้ป่วยบางคน ไม่ทั้งหมด พบว่าพวกเขาน้ำหนักลดเมื่อใช้ยาไบเอ็ทต้า. ข้อเสียเปรียบของยาไบเอ็ทต้าคือจะต้องฉีดเข้าใต้ผิวหนัง วันละ 2 ครั้ง. และในผู้ป่วยบางคน ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้รุนแรง, โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการรักษาเริ่มต้นซึ่งไบเอ็ทต้าถูกกำหนดให้ใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน ชนิดที่ 2 ยาที่เหมือนกันอีกตัว คือ ไซมิน ซึงเป็นยาใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน และ ได้มีการนำมาทดลองใช้รักษาภาวะโรคอ้วนในผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน.", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#0", "text": "ยาลดความอ้วน หรือยาลดน้ำหนัก เป็นสารที่มีผลทางเภสัชวิทยา ซึ่งจะลด หรือ ควบคุมน้ำหนัก ยากลุ่มนี้จะเปลี่ยนแปลงหนึ่งในกระบวนการพื้นฐานของร่างกายมนุษย์, การควบคุมน้ำหนัก, โดยการเปลี่ยนแปลงทั้งความอยากอาหาร, หรือ การดูดซึมพลังงาน. รูปแบบการรักษาหลัก ๆ สำหรับผู้ที่มี น้ำหนักเกิน และ อ้วน เป็นเรื่องวเฉพาะบุคคล แต่จะยังคงเป็นการ ควบคุมอาหาร และ การออกกำลังกาย.", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#16", "text": "ไรโมนาแบนท์ (เอคอมเพลีย) เป็นยาที่เพิ่งนำมาใช้ในการเป็นยาลดความอ้วน. ยาตัวนี้คือ สาร แคนาบินอยด์ (CB1) รีเซ็บเตอร์ แอนตาโกนิสต์ ซึ่งออกฤทธิ์ที่สมองโดยจะลดความอยากอาหาร. และยาตัวนี้อาจมีผลเพิ่มอุณหภูมิในร่างการ ดังนั้นก็จะมีการเผาผลาญพลังงานเพิ่มมากขึ้นด้วย.", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#22", "text": "ยาลดน้ำหนักตัวอื่น ๆ จะทำให้เกดภาวะแทรกซ้อนซึ่งต้องพบแพทย์ ได้แก่ ความดันในหลอดเลือดแดงในปอดสูงร้ายแรง (fatal pulmonary hypertension) และ เกิดภาวะโรคลิ้นหัวใจซึ่งเกิดจากยา รีดั๊กซ์ และ ยา เฟน-เฟน, และภาวะเลือดออกจากโรคหลอดเลือดแตกในสมอง ซึ่งเกิดจาก ยา ฟีนิลโพรพาโนลามีน. ยาต่าง ๆ เหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มของแอมเฟตามีน.", "title": "ยาลดความอ้วน" } ]
[ { "docid": "644100#10", "text": "โอลิทสแตท (เซนิคาล) ลดการดูดซึมไขมันที่บริเวณลำไส้เล็กโดยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ไลเปซจากตับอ่อน. อาการข้างเคียงจากการใช้ยาโอลิทสแตทที่พบได้บ่อย ได้แก่ การเคลื่อนของไขมันผ่านทางลำไส้ทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นมัน (สะเทียทอเรีย).แต่ถ้ารับประทานอาหารที่มีไขมันน้อยลง อาการเหล่านี้จะดีขึ้น. เบื้องต้นยาตัวนี้จะสั่งได้เฉพาะแพทย์เท่านั้น ยาตัวนี้เคยได้รับการยอมรับจาก FDA และจัดให้เป็นยาที่หาซื้อได้ทั่วไป ในเดือนกุมภาพันธ์ 2007 . .ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2010, องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการทบทวน และ ให้เพิ่มข้อความบนเอกสารกำกับยาในเรื่องของความปลอดภัย เกี่ยวกับยาเซนิคาล ว่า มีการรายงานว่ามีการเกิดพิษและเป็นอันตรายอย่างรุนแรงกับตับ ซึ่งพบได้น้อย โดยพบการรายงานการเกิดพิษกับตับจำนวน 13 รายจากการใช้ยาเซนิคาลทั้งหมด 40 ล้านคน", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#30", "text": "เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกระบวนการเมตาลอลิสมที่เกิดจาการใช้ยาตัวเดี่ยวในการลดน้ำหนักซึ่งจะทำให้เกิดน้ำหนักกลับมาเพิ่มได้อีก และเพื่อให้ผลคงอยู่ตลอดไป มีสมมติฐานในการให้ใช้ยาร่วมกันเพื่อให้เกืดประสิทธิภาพมากขึ้น โดยออกฤทธิ์หลาย ๆ ทาง และยับยั้งไม่ให้เกิดการย้อนกลับของกระบวนการเมตาบอลิสม ซึ่งได้ผลมากในการลดน้ำหนัก มีหลักฐานยืนยันในการประสบความสำเร็จในการใช้ยาร่วมกันระหว่างยา ฟนเทอมีน และ ยาเฟนฟูรามีน หรือ ยาเด็กเฟนฟูรามีน, ซึ่งรู้จักกันในชื่อของยาเฟน-เฟน, ทำให้น้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยาเฟนฟูรามีน และยาเด็กเฟนฟูรามีน ถูกถอดจากตลาดเนื่องจากความปลอดภัย พราะเกรงว่าจะเกิดโรคลิ้นหัวใจ ซึ่งพบได้จากผลของยา เฟนฟูรามีน และ ยา เด็กเฟนฟูรามีน ที่มีผลต่อ 5-HT2B ซีโรโตนิน รีเซฟเตอร์ ที่อยู่บริเวณลิ้นหัวใจ. การใช้ยาร่วมกันของ SSRIs และยาเฟนเทอมีน, ที่รู้จักกันในชื่อของยา เฟนโปร, ซึ่งพบว่าใช้ได้ผลเทียบเท่ากับยาเฟน-เฟน แต่ไม่มีผลต่อลิ้นหัวใจเนื่องมาจากไม่ได้ออกฤทธิ์ที่ ซีโรโตนิน รีเซฟเตอร์ อันเนื่องมาจาก สาร SSRIs . ได้มีการพัฒนาการใช้ยาร่วมกันในการรักษาภาวะโรคอ้วน โดยได้ใช้ยาร่วมกัน 3 ชนิด : คิวซิมเนีย (โทพิราเมท + เฟนเทอมีน), เอ็มพาติค (บิวโพรไพโอน + โซนิซาไมิซาไมด์) และ คอนเทรฟ (บิวโพรไพโอน + นัลทรีโซล).", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#3", "text": "ยารักษาภาวะโรคอ้วน จะออกฤทธิ์ ตามกลไกข้อหนึ่งหรือหลายข้อต่อไปนี้ :", "title": "ยาลดความอ้วน" }, { "docid": "644100#2", "text": "เนื่องจากอาการ อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น, จึงแนะนำว่ายาที่ใช้รักษาภาวะโรคอ้วนนั้นจะต้อง สั่งโดยแพทย์ เพื่อจะใช้ในกลุ่มผู้มี ภาวะโรคอ้วน ซึ่งคาดว่าจะได้ประโยชน์จากการรักษามากกว่าที่จะให้เกิดความเสี่ยงจากการมีภาวะน่ำหนักเกิน.", "title": "ยาลดความอ้วน" } ]
1715
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ก่อตั้งเมื่อไหร่?
[ { "docid": "64140#2", "text": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ไม่มีหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัย และเป็นพระอารามหลวงมาแต่เดิม เพราะได้พบหลักฐานศิลาจารึกสุโขทัยมีความว่า \"พ่อขุนศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันตธาตุสุคนธเจดีย์\" ...", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" }, { "docid": "64140#1", "text": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และประติมากรรมที่งดงามยิ่ง ถือได้ว่าเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของเมืองพิษณุโลก", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" } ]
[ { "docid": "8841#3", "text": "วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรวิหาร เริ่มสร้างเมื่อปี พุทธศักราช 2483 ที่ริมถนนพหลโยธิน ตรงหลักกิโลเมตรที่ 18 แขวงอนุสาวรีย์ (เดิมชื่อตำบลกูบแดง) เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เปิดเป็นเสนาสนะแห่งพระภิกษุสงฆ์ เป็นรัฐพิธี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2485 โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว) วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นประธาน เชิญพระพุทธสิหิงค์ จากพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ไปประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถ", "title": "วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร" }, { "docid": "64140#0", "text": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือชื่อที่เรียกกันทั่วไปว่า \"วัดใหญ่\" ตั้งอยู่ที่ ถนนพุทธบูชา ริมฝั่งแม่น้ำน่านด้านทิศตะวันออก ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก เป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในฐานะสถานที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามที่สุดในประเทศไทย", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" }, { "docid": "52943#0", "text": "วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร สร้างตั้งแต่สมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งเขมร อายุราวพุทธศตวรรษที่ 18 ถนนเขางู ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองราชบุรี จ.ราชบุรี ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมืองราชบุรี ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง เดิมเรียกว่า \"วัดหน้าพระธาตุ\" \"วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ\" มีพระปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงสูง 12 วา ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังที่พระปรางค์ เป็นวัดที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ปัจจุบันมีพระธรรมปัญญาภรณ์ (ไพบูลย์ ชินวํโส ป.ธ.๗) เจ้าคณะจังหวัดราชบุรี เป็นเจ้าอาวาส", "title": "วัดมหาธาตุวรวิหาร (จังหวัดราชบุรี)" }, { "docid": "209267#1", "text": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ได้โอนมาขึ้นในปกครองคณะสงฆ์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑ \nวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองศรีสัชนาลัย ตรงช่วงแหลมโค้งข้อศอกของแม่น้ำยม หันหน้าวัดไปทางทิศตะวันออก และตั้งอยู่นอกกำแพงด้านใต้ของเมืองศรีสัชนาลัยระยะทาง ๑.๙ กิโลเมตร \nวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียงเป็นกลุ่มโบราณสถานขนาดใหญ่ประกอบด้วย", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง" }, { "docid": "64140#12", "text": "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหารไว้ว่า \"\" เป็นวัดใหญ่และเป็นวัดที่สำคัญกว่าวัดอื่นในเมืองพิษณุโลก มีพระมหาธาตุอยู่กลางเห็นจะสร้างตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี หากแต่ซ่อมแซมมาหลายครั้งหลายสมัย\"\"", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" }, { "docid": "64140#4", "text": "ต่อมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯให้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร เมื่อ พ.ศ. 2458 ปัจจุบันจึงมีชื่อเต็มว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" }, { "docid": "8841#0", "text": "วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร ได้รับอนุญาตให้ตั้งเป็นสำนักสงฆ์เมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2484 และเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหารเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2485 สร้างในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้สร้างวัดขึ้นบริเวณใกล้เคียงกับอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นอนุสรณ์การปกครองระบอบประชาธิปไตย และกำหนดให้แล้วเสร็จทันวันชาติ คือวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2484 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สร้างวัดขึ้นโดยให้ชื่อว่า วัดประชาธิปไตย ระหว่างการก่อสร้างพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ (ขณะมียศเป็นนาวาเอก หลวงธำรงค์นาวาสวัสดิ์) ได้เดินทางไปขอพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดีย รวมทั้งกิ่งพระศรีมหาโพธิ 5 กิ่ง จากต้นที่สืบเนื่องมาจากต้นที่พระโคตมพุทธเจ้าเสด็จประทับ และตรัสรู้ พร้อมดินจากสังเวชนียสถานคือสถานที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดงปฐมเทศนา และที่ปรินิพพาน รัฐบาลได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ กิ่งต้นพระศรีมหาโพธิ์และดินดังกล่าวมาประดิษฐานที่วัดซึ่งกำลังสร้างนี้ ได้มีการตั้งนามวัดว่า วัดพระศรีมหาธาตุ และถวายเป็นเสนาสนะเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2485", "title": "วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร" }, { "docid": "64140#3", "text": "ส่วนในพงศาวดารเหนือกล่าวไว้ว่า \" ในราวพุทธศักราช ๑๙๐๐ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก (พระมหาธรรมราชาลิไท) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังได้ทรงศึกษาพระไตรปิฎกและคัมภีร์ศาสนาอื่น ๆ จนช่ำชองแตกฉาน หาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก พระองค์ได้ทรงสร้างวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน มีพระปรางค์อยู่กลาง มีพระวิหาร ๔ ทิศ มีพระระเบียง ๒ ชั้นและทรงรับสั่งให้ปั้นหุ่นหล่อพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทั้ง ๓ หลัง\"", "title": "วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร" } ]
1731
ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมืองมีบุตรกี่คน?
[ { "docid": "52669#3", "text": "ชีวิตส่วนตัว ซิโก้สมรสกับอัสราภา (สกุลเดิม: วุฒิเวทย์) เมื่อปี พ.ศ. 2545 มีบุตรสาวทั้งหมด 3 คน คือ อธิชา, มุกตาภา และกฤตยา", "title": "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" } ]
[ { "docid": "52669#0", "text": "ร้อยตำรวจโท เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย ในตำแหน่งกองหน้า อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทย มีชื่อเล่นที่สื่อมวลชนสายกีฬาตั้งให้ว่า \"ซิโก้\" ตามชื่อของนักฟุตบอลชาวบราซิลที่มีชื่อเสียง อันมีที่มาจากชื่อเล่นของเขาเอง", "title": "เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง" }, { "docid": "276010#2", "text": "ภรรยาท่านที่ 1 - นางกิมเอ็ง เติมประยูร มีบุตรธิดา 4 ท่าน\n1 พันโท ศาสตราจารย์ ทันตแพทย์ สี สิริสิงห - สมรสกับ คุณหญิงอัมพร มีบุตรธิดา 3 ท่าน\n2 ท่านผู้หญิงแส สิริสิงห สมรสกับ ฯพณฯ ศาสตราจารย์ บุญชนะ อัตถากร มีบุตรธิดา 3 ท่าน\n3 นายฉาย สิริสิงห สมรสกับ นางสมร นางสุพัฒนา เทนสิทธิ์ และนางดวงตา มีบุตรธิดา 7 ท่าน\n4 นางสุแสน สิริสิงห สมรสกับ นายเทพ เติมประยูร มีบุตร 1 ท่าน\nหมายเหตุ ณ วันที่ 24 กพ.2558 นางสุพัฒนา และ นางดวงตา ยังมีชีวิตอยู่ นอกนั้นถึงแก่กรรม", "title": "พระสันธิวิทยาพัฒน์ (ไล่เฮียง สิริสิงห)" }, { "docid": "57369#2", "text": "สมรสกับลำเนา อยู่บำรุง ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชน มีบุตรด้วยกันทั้งสิ้น 3 คน เป็นชายล้วนคือ ร้อยตำรวจตรี อาจหาญ อยู่บำรุง, ร้อยตำรวจตรี วัน อยู่บำรุง และ พันตำรวจตรี ดวง อยู่บำรุง ลูกชายทั้งสามก็ถูกเรียกกันทั่วไปว่า \"ลูกเหลิม\" มีน้องชายที่เล่นการเมืองท้องถิ่น เป็น ส.ก.หลายสมัยคือ นวรัตน์ อยู่บำรุง ส.ก.เขตหนองแขม\nและน้องชายที่เป็นตำรวจ พ.ต.ท.จารึก อยู่บำรุง ซึ่งเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557\nจบการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก จาก คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ท่ามกลางความสงสัยว่าการจบปริญญาเอกนั้นไม่ได้มาตรฐาน", "title": "เฉลิม อยู่บำรุง" }, { "docid": "386285#1", "text": "วรรณีเป็นบุตรคนที่สี่จากทั้งหมดเจ็ดคนของพลตำรวจโท ฉัตร หนุนภักดี กับประยงค์ (สกุลเดิม: วิชิตกลชัย) มีพี่น้อง ได้แก่ ประยงค์ฉัตร ผุดผาด, พยอม เศรษฐบุตร, พลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี, ต้อย หนุนภักดี, ณรงค์ศักดิ์ หนุนภักดี และอัครฉัตร หนุนภักดี ตามลำดับ โดยเฉพาะพี่ชายคือพลเอก อิสระพงศ์ หนุนภักดี เป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และเป็นญาติกับพลเอก ชัยณรงค์ หนุนภักดี ลูกพี่น้องคนหนึ่งซึ่งเป็นนายทหารเช่นกัน และพลตรี ทวีศักดิ์ หนุนภักดี อดีตผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทางทหาร", "title": "วรรณี คราประยูร" }, { "docid": "129978#8", "text": "เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ สมรสกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตร 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ (ชื่อเล่น: กุ๊กกี้; เสียชีวิต 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558) ต่อมาหย่าขาดจากกัน แล้วใช้ชีวิตคู่กับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช 6 ปี ก่อนเป็นคู่ชีวิตเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บิสเนส เดย์ แต่ชีวิตคู่ครั้งหลังกับนายโรเมโรนี้เจ้ากอแก้วประกายกาวิลได้แท้งไปเสียสองครั้ง จึงไม่มีบุตรด้วยกัน", "title": "เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่" }, { "docid": "34460#1", "text": "พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ เป็นชาวอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของ นายเกษม วัฒนะ อดีตข้าราชการครู และนายอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับ นางสวง วัฒนะ สมรสกับ พ.ญ.วันทนีย์ (ศรีอุทารวงค์) วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร มีบุตร-ธิดา 2 คน คือ ร้อยโท พีรวิชญ์ วัฒนะ และ นางสาว พิชญ์สินี วัฒนะ ส่วนประวัติการศึกษา โกวิทเข้าศึกษาชั้นประถมที่ โรงเรียนเทพประสิทธิ์วิทยา โรงเรียนผักไห่สุทธาประมุข โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และจบจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 6 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 22", "title": "โกวิท วัฒนะ" }, { "docid": "713527#32", "text": "- นางสาวเทียบ ฤทธาคนี [ธิดานายพันโท พระยาทัพพสาธก์เสนา (นวม ฤทธาคนี) กับคุณหญิงเนย] มีบุตรธิดากับพลโท ม.ล.ขาบ กุญชร คือ ทวีวัฒน์ กุญชร ณ อยุธยา, พันตำรวจเอก (พิเศษ) วรวัฒน์ กุญชร ณ อยุธยา, อุรัชช์ ลอเรนส์, พลโท วิวัฒน์ กุญชร ณ อยุธยา, กนิษฐา วิลสัน และเทียมแข จรูญโรจน์ ณ อยุธยา", "title": "เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร)" }, { "docid": "212749#3", "text": "พล.ท.รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์ ได้สมรสกับคุณวิไล สุวารี มีบุตรธิดาทั้งสิ้น 5 คน เมื่อมีเวลาว่าง ท่านจะกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่เมืองกาญจนบุรีเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้นตอนที่มารดาได้รับการยกย่องจากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยให้เป็นแม่ตัวอย่างที่มีความกล้าหาญ เนื่องจากบุตรของท่านได้รับราชการเป็นทหารอากาศ ทหารบก ทหารเรือ ตำรวจและพลเรือน \nหลังจากเกษียณอายุราชการ ได้กลับมาทำไร่ที่บ้านเกิด ที่ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ชื่อ \"ไร่ห้าเหล่า\"", "title": "รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์" }, { "docid": "672807#1", "text": "ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์ เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 เป็นบุตรของหลวงเสนาณรงค์ สมรสกับท่านหญิงปัทมนรังษี เสนาณรงค์ (พระนามเดิม:หม่อมเจ้าปัทมนรังษี ยุคล) พระธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการกับหม่อมอุบล ยุคล ณ อยุธยา มีบุตรธิดา 3 คน คือ ปัทมศักดิ์ เสนาณรงค์ ปัทมนิฐิ เสนาณรงค์ และปัทมวดี เสนาณรงค์ทวีศักดิ์ เข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งนายช่างตรี กรมศิลปากร รับราชการจนได้เป็นผู้อำนวยการกองสังคีต รองอธิบดีกรมศิลปากร อธิบดีกรมศิลปากร รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน และตำแหน่งสุดท้ายคือปลัดกระทรวงศึกษาธิการ", "title": "ทวีศักดิ์ เสนาณรงค์" } ]
1732
ใครเป็นเจ้าของWWE?
[ { "docid": "196281#1", "text": "วินซ์ แม็กแมน มีฐานะเป็นเจ้าของสมาคม และยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัท และ สเตฟานี แม็กแมน ลาเวสค์ รองประธานกรรมการบริหารฝ่าย Creative Writing (ทีมเขียนบท). ใน WWE ตระกูลแมคแมน ถือหุ้นประมาณ 70% ในบริษัท และมีเปอร์เซนต์การออกเสียงในที่ประชุมใหญ่บริษัทถึง 96%", "title": "ดับเบิลยูดับเบิลยูอี" } ]
[ { "docid": "588854#1", "text": "ในศึกรอว์ (25 พฤศจิกายน 2013) แรนดี ออร์ตัน เจ้าของ แชมป์ WWE ออกมาเปิดรายการ บอกว่าพวกแกคงจะไม่คิดล่ะสิว่าชั้นคนนี้จะออกมาที่นี่ในฐานะแชมป์ WWE แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่คาใจ จึงขอให้ ทริปเปิล เอช ออกมา และออร์ตันบอกว่าทำไมต้องออกมาช่วยเขาด้วย? ก็ไหนบอกว่าไม่ต้องมีการก่อกวนไง เขาเอาชนะด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องให้ใครมาช่วย เพราะเขาคือผู้เป็นหน้าเป็นตาของ WWE เป็นแชมป์ WWE เป็นซูเปอร์สตาร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ WWE ตลอดกาลและไม่มีใครจะมาแย่งชิงอะไรไปจากเขาได้ จอห์น ซีนา เจ้าของ แชมป์โลกเฮฟวี่เวท ออกมา และก็บอกว่าเขานี่แหละที่จะทำได้ ขอท้าเจอออร์ตัน โดยเอาแชมป์ทั้งสองเส้นเป็นเดิมพัน ทริปเปิล เอชกับสเตฟานี ก็เห็นชอบด้วย และทริปเปิล เอชก็จัดแมตช์ในศึก TLC ให้ทั้งสองคนเจอกันและจะเอาแชมป์ทั้งสองเส้นแขวนไว้ในแมตช์ โต๊ะ, บันได และ เก้าอี้ ในคืนเดียวกัน ซีนาได้จับคู่กับบิ๊กโชว์ เจอกับออร์ตัน และอัลเบร์โต เดล รีโอ สุดท้าย ซีนาและบิ๊กโชว์ ก็เอาชนะไปได้สำเร็จ หลังแมตช์ เดล รีโอกระทืบซีนารัว ๆ แต่โดนซีนาจับ Attitude Adjustment จนหมดสภาพ ออร์ตันเอาเข็มขัดแชมป์ WWE ฟาดหัวซีนาจนหลับ ออร์ตันไปเอาเข็มขัดแชมป์โลกเฮฟวี่เวท ของซีนามา แล้วประกาศศักดาด้วยการชูเข็มขัดสองเส้นปิดรายการไป", "title": "ทีแอลซี: เทเบิล แลดเดอร์ แอนด์ แชร์ (2013)" }, { "docid": "600282#3", "text": "เจ้าของฉายา \"เดอะสเนก\" เปิดตัวกับ WWE ครั้งแรกเมื่อปี 1986 พร้อมกับงูหลามของเขาที่ชื่อเดเมี่ยน โดยหลังจากใส่ DDT จัดการคู่แข่งได้แล้ว เจ๊ค ก็มักจะปล่อยงูของเขาออกมาใส่บนตัวคู่ปล้ำที่นอนอยู่ ตลอดอาชีพก็มีการเปิดศึกกับคนอื่นๆ ไปเรื่อย ทั้ง ริคกี้ \"เดอะ ดรากอนส์\" สตีมโบท, ฮ็องกี้ ท็องค์ แมน, ริค มาร์เทล, \"มาโชแมน\" แรนดี้ ซาเวจ, \"ราวิชิ่ง\" ริค รู้ด หรือแม้แต่ ดิอันเดอร์เทเกอร์ แต่ก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเหมือนกันที่ เจ๊ค นั้นไม่เคยครองแชมป์อะไรเลยใน WWE", "title": "เจก โรเบิตส์" }, { "docid": "56844#32", "text": "เดิมมัจฉาให้หัวหน้ากองกำลังต่อต้าน GM กลุ่มที่ 1 เป็นผู้ครอบครองเสื้อ GAME OVER มาแล้วหลายคน แต่ด้วยผลข้างเคียงด้านสถานะของผู้สวมใส่ ทำให้บรรดาอดีตหัวหน้ากองกำลังฯ กลุ่มที่ 1 เกมโอเวอร์ทั้งหมด มัจฉาจึงคิดจะใช้เสื้อนี้เอง แต่เมื่อไวพจน์พากานดาเข้ากองกำลังต่อต้าน GM และให้กานดาเป็นหัวหน้ากลุ่มที่ 1 จึงทำให้กานดาได้ถือครองเสื้อตัวนี้มาตลอด จนในตอนที่ 101 มัจฉาได้ทำการปรับปรุงเสื้อ GAME OVER ให้แก่กานดา ซึ่งปัจจุบันยังไม่ปรากฏความสามารถใดๆ", "title": "นีโอยูนิเวิร์ส (เอ็กซีคิวชั่นแนล)" }, { "docid": "930980#1", "text": "เจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนกลาง จอห์น เคล เพิ่งถูกตอบปฏิเสธจากงานในฝันกับหน่วยสืบราชการลับ ที่จะได้คุ้มครองประธานาธิบดี เจมส์ ซอว์เยอร์ ด้วยความที่ไม่อยากจะทำให้ลูกสาวตัวน้อยของเขาผิดหวังกับข่าวนี้ เขาก็เลยพาเธอทัวร์ทำเนียบขาว แต่ตอนนั้นเองที่ทำเนียบขาวโดนยึดโดยกองกำลังกึ่งทหารติดอาวุธ บัดนี้ เมื่อรัฐบาลกำลังพบกับความโกลาหลและเวลาที่เหลือน้อยเต็มทน เป็นหน้าที่ของโคลที่จะต้องช่วยลูกสาวตัวเอง ท่านประธานาธิบดีและประเทศของเขาให้ได้", "title": "วินาทียึดโลก" }, { "docid": "648438#8", "text": "เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ทาง WWE ได้ประกาศบนเฟซบุ๊กว่า แบด นิวส์ บาร์เร็ตต์ เจ้าของตำแหน่งแชมป์ WWE Intercontinental Championship จะต้องป้องกันแชมป์ในแมตช์ไต่บันไดกับนักมวยปล้ำหลายคน ในรอว์ (2 มีนาคม 2015) อาร์-ทรูธ ได้ประกาศเข้าร่วมแมตช์ เมื่อวันที่ 4 มีนาคมได้มีการประกาศใน WWE.com ว่า ดีน แอมโบรส และ ลู้ก ฮาร์เปอร์ ได้เข้าร่วมในแมตช์ ในสแมคดาวน์ (5 มีนาคม 2015) ดอล์ฟ ซิกก์เลอร์ ได้ประกาศเข้าร่วมแมตช์ เมื่อวันที่ 10 มีนาคมได้มีการประกาศใน WWE.com ว่า สตาร์ดัสต์ ได้เข้าร่วมแมตช์ ในสแมคดาวน์ (12 มีนาคม 2015) แดเนียล ไบรอัน ได้ประกาศเข้าร่วมแมตช์", "title": "เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 31" }, { "docid": "494668#12", "text": "ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โวลเดอมอร์ต้องการเป็นเจ้าของไม้กายสิทธิ์ จึงไปที่หลุมศพของดัมเบิลดอร์และยึดไม้กายสิทธิ์มาแต่ก็ไม่สามารถใช้มันได้เท่าที่ควร โวลเดอมอร์จึงเข้าใจว่าสเนปเป็นเจ้าของไม้เพราะสเนปเป็นคนฆ่าดัมเบิลดอร์ จึงเรียกมาสังหารทิ้ง แต่ความจริง เดรโก มัลฟอยเป็นเจ้าของไม้กายสิทธิ์เพราะเสกคาถาปลดอาวุธใส่ดัมเบิลดอร์ในคืนที่เขาเสียชีวิต และแฮร์รี่เป็นผู้ปลดอาวุธเดรโก มัลฟอย แฮร์รี่จึงเป็นเจ้าของไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ โวลเดอมอร์ตายเพราะถูกคำสาปพิฆาตที่เสกโดยไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์เพื่อฆ่าแฮร์รี่สะท้อนกลับ(ไม้กายสิทธิ์จะไม่ทำร้ายนายตัวเอง) หลังสงครามยุติ แฮร์รี่ตัดสินใจใช้ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ซ่อมไม้กายสิทธิ์เก่าของตัวเองและนำไม้เอลเดอร์ไปคืนที่หลุมศพของดัมเบิลดอร์ และปกปิดเป็นความลับเพราะเชื่อว่าถ้าไม่มีใครมาแย่งไม้ไปจากแฮร์รี่อีก ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ก็จะหมดพลังไปหลังจากที่เขาตายตามธรรมชาติ", "title": "วัตถุเวทมนตร์ในแฮร์รี่ พอตเตอร์" }, { "docid": "791145#0", "text": "รอนัลด์ วิลเลียม \"รอนนี\" แอร์นีล (Ronald William \"Ronnie\" Arneill) เกิด 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1981 นักมวยปล้ำอาชีพชาวแคนาดา ปัจจุบันเซ็นสัญญากับWWE อดีตสังกัดค่ายNXT ภายใต้ชื่อ ไท ดิลลิงเจอร์ (Tye Dillinger) เจ้าของวลี 10 (เท็น) นอกจากนี้ยังเคยใช้ชื่อ ชอว์น สเปียส์ (Shawn Spears) ในสมาคมอิสระ และยังเคยร่วมงานกับWWE เมื่อปี 2006 และ 2008 ในชื่อ แกวิน สเปียส์ (Gavin Spears) สังกัดFCWและECW", "title": "ไท ดิลลิงเจอร์" }, { "docid": "246123#6", "text": "อีกหนึ่งคู่ที่มีการปล้ำเพื่อชิงเข็มขัด แชมป์ WWE ในศึก เรสเซิลเมเนีย คือ จอห์น ซีนา พบ บาทิสตา โดยเริ่มจากที่ จอห์น ซีนา กับ เบรต ฮาร์ต มีปัญหากับ เจ้าของ WWE วินซ์ แม็กแมน ต่อมา ในศึกรอว์ ในเดือนกุมภาพันธ์ บาทิสตา มาช่วย วินซ์ และทำร้ายเบรต หลังจากที่การปล้ำจบลง ซีนาได้ออกมาช่วยเบรต และ โจมตี บาทิสตา ต่อจากนั้นใน รายการ อิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ (2010) ในแมทช์เปิดรายการ ซีนา ชนะ เชมัส คว้าแชมป์ WWE มาครอง ในแมตท์ อิลิมิเนชั่น แชมเบอร์ เพื่อการชิงแชมป์ WWE แต่หลังจากที่จบแมชท์ วินซ์ได้ประกาศให้ บาทิสตา ชิงแชมป์ WWE กับ ซีนา ต่อจากนั้นโดยทันที โดยที่ ซีนา พึ่งปล้ำเสร็จ ยังไม่ได้รับการพักผ่อน ทำให้ ซีนา แพ้ บาทิสตา พร้อมกับเสียแชมป์โลก WWEไปอีกด้วย ในศึกรอว์ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ ซีนา แค้นมากจึงขอท้าเจอ บาทิสตา รีแมตช์ ในศึก เรสเซิลเมเนีย แต่วินซ์ให้ ซีนา รีแมตช์ กับ บาทิสตา ในรายการวันนั้น ให้ชนะ จึงจะได้รีแมตช์ ในศึก เรสเซิลเมเนีย และในคืนนั้น จอห์น ซีนา ชนะ ฟาล์ว จึงได้ ไปปล้ำชิงแชมป์ WWE ในศึก เรสเซิลเมเนีย", "title": "เรสเซิลเมเนีย ครั้งที่ 26" }, { "docid": "615071#2", "text": "ในรอว์ วันที่ 22 เมษายน แดเนียล ไบรอัน เจ้าของ แชมป์ WWE World Heavyweight Championship ออกมาฉลอง หลังแต่งงานกับ บรี เบลลา สเตฟานี แม็กแมน ออกมายินดี และประกาศว่าไบรอันจะต้องป้องกันแชมป์กับ เคน ในเอ็กซ์ตรีมรูลส์ ก่อนที่ เคน (กลับมาสวมหน้ากากอีกครั้ง) ออกมาลอบทำร้ายไบรอันไม่หยุด จนไบรอันจะถูกหามออกจากสนาม", "title": "เอ็กซ์ตรีมรูลส์ (2014)" } ]
1734
Diva คืออะไร ?
[ { "docid": "356762#0", "text": "ดีวา () คือนักร้องหญิงที่มีชื่อเสียง เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงผู้หญิงที่มีความสามารถอันโดดเด่นในวงการเพลงอุปรากร นอกจากนั้นอาจรวมถึงในด้านละครเวที ภาพยนตร์ ดนตรีป็อป", "title": "ดีวา" } ]
[ { "docid": "239363#0", "text": "รัดเกล้า อามระดิษ (เกิด 16 ตุลาคม พ.ศ. 2512) เป็นนักร้องเสียง Diva แนวหน้าของประเทศไทยและนักแสดงชาวไทย ด้านการร้องเพลง รัดเกล้าเป็นศิลปินหญิงสุดยอดคุณภาพระดับแนวหน้าของประเทศไทย และเป็น 1 ใน 3 นักร้องสมัครเล่นยอดเยี่ยมแห่งเอเซีย (อีกสองท่านคือ นันทิดา แก้วบัวสาย และมณีนุช เสมรสุต) มีผลงานเพลงเป็นที่รู้จัก เช่น \"\"ลมหายใจ\"\", \"\"โปรดเถอะ\"\" และ\"\"บีบมือ\"\" ด้านการแสดงรัดเกล้าได้รับรางวัลนาฏราชสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากละครสุดแค้นแสนรักใน พ.ศ. 2558 และได้รับรางวัลนักแสดงประกอบหญิงยอดเยี่ยม รางวัลภาพยนตร์ไทยชมรมวิจารณ์บันเทิง จากภาพยนตร์เรื่อง ‘อุโมงค์ผาเมือง’ ในปี พ.ศ. 2554 นอกจากนั้นรัดเกล้ายังทำหน้าที่เป็นโค้ชในรายการเดอะวอยซ์คิดส์ ซีซั่น 4 และ 5 อีกด้วย และเป็นเจ้าของเสียงประกาศบนรถไฟฟ้า BTS รุ่นปัจจุบัน", "title": "รัดเกล้า อามระดิษ" }, { "docid": "144045#0", "text": "มาลีวัลย์ เจมีน่า (20 ตุลาคม พ.ศ. 2505) ชื่อเล่น มิล่า หรือ มิ้นท์ เป็นนักร้อง Diva แนวหน้าของประเทศไทย สังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มีผลงานเพลงตั้งแต่ พ.ศ. 2528 และมีเพลงที่ได้รับความนิยมคือ \"ขอเพียงที่พักใจ\", \"สงสารกันหน่อย\", \"บัลลังก์เมฆ\", \"ขอแค่ได้รู้\", \"ไม่ผิดใช่ไหม\", \"รู้ไหมทำไม\" และ \"คิดถึงเหลือเกิน\" เป็นต้น", "title": "มาลีวัลย์ เจมีน่า" }, { "docid": "477717#6", "text": "ไดอาน่า หรือ แอนนี่ (แสดงโดย มิ้ม-อัมราภัสร์ จุลกะเศียน)\nหญิงสาวสวยเซ็กซี่ นักร้องชื่อดัง ภายนอกดูเข้มแข็ง อดทน แต่ภายใน แอนนี่เป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร เก็บกด เพราะมารดาใช้ความเป็นศิลปินโด่งดังบังคับเธอให้ขายตัวกับเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่ จนแอนนี่ต้องหันเข้าหายาเสพติดเพื่อระบายความเครียด แอนนี่รักน้องสาว คือ จิลลี่ มาก เสียสละได้ทุกสิ่งเพื่อน้อง และอดทนกับความรักที่ให้กับ \"ทรงต้น\" อย่างมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอกลับต้องพบกับจุดจบที่น่าเศร้า ความตาย...ที่กระทั่งวินาทีที่หมดลมหายใจ เธอยังไม่อาจเข้าใจได้ว่า เหตุใดสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นกับเธอ", "title": "แกะรอยรัก" }, { "docid": "298241#7", "text": "ในช่วงเดือนเมษายน ยูอี ได้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของวง ทำให้อาฟเตอร์สกูลมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน พร้อมกับได้ปล่อยดิจิตอลซิงเกิลใหม่ \"Diva\" ในวันที่ 9 เมษายน 2009 และขึ้นแสดงครั้งแรกในรายการเอ็ม! เคาต์ดาวน์ (M!Countdown) ของช่องเอ็มเน็ตในวันเดียวกัน ซิงเกิลใหม่ \"Diva\" นี้ทำให้อาฟเตอร์สกูลได้รับรางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำเดือนเมษายน 2009 ของ Cyworld Digital Music Awards อีกด้วย", "title": "อาฟเตอร์สกูล (วงดนตรีเกาหลี)" }, { "docid": "827364#1", "text": "เจรมัย (เจ) - นักร้องหนุ่มที่กำลังโด่งดัง มีความสามารถในการร้องเพลง และเป็นขวัญใจของประชาชน อยู่กับแม่แค่ 2 คน เจรมัยจึงติดนิสัยอ่อนโยนแบบผู้หญิงมา แต่ก็เป็นคนกล้าหาญ และกตัญญู จริงๆ แล้วต้นตระกูลของเจรมัยเป็นคณะหนังตะลุง และเจรมัยต้องทำหน้าที่สืบทอดมรดกนี้ แต่จรรยา ผู้เป็นมารดาปกปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้เจรมัยรู้เจรมัยไม่ชอบให้ใครมาตัดสินตัวเองแบบผิดๆ และรักแม่มาก เขาจึงยอมสัญญาว่าจะดูแลมรดกของตระกูลแทนคุณตาที่เสียชีวิตไป และต้องการพิสูจน์หาความจริงของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตทั้งหมด", "title": "เงาอาถรรพ์" }, { "docid": "362417#0", "text": "มณีนุช เสมรสุต เป็นนักร้องชาวไทย Diva แนวหน้าของประเทศไทย ผู้อำนวยการโรงเรียนสอนศิลปะการใช้เสียงและลีลา กรรมการบริษัทแอนเจิลไมนด์ กรรมการผู้จัดการและผู้ถือลิขสิทธิ์ในบริษัทสตาร์เมเกอร์ กรรมการในการประกวดความสามารถช่วงดันดาราของรายการตีสิบ และเป็น 1 ใน 3 ศิลปินหญิงสุดยอดคุณภาพระดับแนวหน้าของประเทศไทย", "title": "มณีนุช เสมรสุต" }, { "docid": "265921#0", "text": "รักคืออะไร เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวงดิ อินโนเซ็นท์ออกวางแผงครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527ซึ่งในอัลบั้มนี้ได้ต้อนรับ 2 สมาชิกใหม่ของวงคือไก่ เกียรติศักดิ์ ยันตะระประกรณ์ ในตำแหน่งมือกลองที่เข้ามาแทนโหนก เกรียงศักดิ์ที่ได้ลาออกไปและไชยรัตน์ ปฏิมาปกรณ์ จากวงฟอร์เอฟเวอร์ ในตำแหน่งมือคีย์บอร์ดและมือกีตาร์ซึ่งก่อนหน้านั้นไชยรัตน์ได้เข้ามาเป็นนักดนตรีรับเชิญระหว่างออกทัวร์คอนเสิร์ตและแสดงทางโทรทัศน์ในอัลบั้ม เพียงกระซิบ และอัลบั้ม อยู่หอ ก่อนจะเข้ามาเป็นสมาชิกหลักของวงในอัลบั้มชุดนี้", "title": "รักคืออะไร" }, { "docid": "51656#0", "text": "ใหม่ เจริญปุระ (เกิด 5 มกราคม พ.ศ. 2512) เป็นนักร้อง Diva และนักแสดงชาวไทยระดับซุปเปอร์สตาร์หญิงแถวหน้าของเมืองไทย มีผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกคือ ขอแค่คิดถึง ในปี พ.ศ. 2527 โดยใช้ชื่อว่า \"ใหม่ สิริวิมล\" และประเดิมละครเรื่องแรก คนเริงเมือง พ.ศ. 2531 ให้กับไทยทีวีสีช่อง 3 อัลบั้มชุดแรก ไม้ม้วน ในปี พ.ศ. 2532 ประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลนักร้องหน้าใหม่จากเวทีสีสันอะวอดส์ และในปี พ.ศ. 2535 อัลบั้ม ความลับสุดขอบฟ้า สามารถทำสถิติ นักร้องหญิงของแกรมมี่คนแรกที่สร้างยอดขายเทปทะลุ 2 ล้านตลับ เธอยังสามารถคว้ารางวัลจากสีสันอะวอดส์อีกครั้งในฐานะศิลปินหญิงยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม \"แผลงฤทธิ์\" ในปี พ.ศ. 2541 และใหม่ยังได้รับฉายา Queen of poprock ยุค 90 อีกด้วย", "title": "ใหม่ เจริญปุระ" }, { "docid": "243822#0", "text": "อาลียาห์ เดนา ฮอจตัน () (16 มกราคม ค.ศ. 1979 - 25 สิงหาคม ค.ศ. 2001) หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ อาลียาห์ ( Aaliyah ออกเสียง /əˈliːə/) เป็นศิลปินนักร้องชาวอเมริกัน นักแสดง นางแบบ เธอเกิดในบรู๊กลิน นิวยอร์ก และโตในดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน เมื่อตอนเป็นเด็ก เธอออกรายการสตาร์เสิร์ช และแสดงในคอนเสิร์ตร่วมกับแกลดีส์ ไนต์ พออายุได้ 12 ปีได้เซ็นสัญญากับไจฟ์เรคคอร์ดและแบล็กกราวด์เรคคอร์ด กับลุงของเธอเอง แบร์รี แฮงเกอร์สัน ซึ่งเขาก็แนะนำให้รู้จักกับอาร์. เคลลี ที่ต่อมาเป็นที่ปรึกษาและยังเป็นนักเขียนหลักและโปรดิวเซอร์ให้กับอัลบั้มชุดแรกของเธอ \"Age Ain't Nothing But a Number\" มียอดขายมากกว่า 2 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกาและยังได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวสองแผ่น จากอาร์ไอเอเอ หลังจากอาลียาห์และอาร์. เคลลีแต่งงานกันเมื่อเธออายุได้ 15 ปี แต่ก็ถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถือเป็นโมฆะโดยผู้ปกครองของเธอ หลังจากนั้นอาลียาห์หมดสัญญากับไจฟ์และเซ็นสัญญากับแอตแลนติกเรคคอร์ด", "title": "อาลียาห์" }, { "docid": "452475#0", "text": "ไอรดา ศิริวุฒิ ชื่อเล่น ไอด้า (5 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) เป็นนักแสดงและนางแบบชาวไทย เข้าวงการจากการถ่ายนิตยสารวัยรุ่น โฆษณาและมิวสิกวีดิโอ ก่อนที่จะเป็นนักแสดงจากภาพยนตร์เรื่อง \"สามมิติ\" และ \"เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก\" ปัจจุบันเป็นนางแบบ ดีเจ และพิธีกรรายการไนซ์แชนเนล (Nice Channel)", "title": "ไอรดา ศิริวุฒิ" } ]
1737
ดาวแคระขาวอยู่ในทางช้างเผือกใช่หรือไม่?
[ { "docid": "70244#2", "text": "ดาวแคระขาวเป็นดาวที่อยู่ในช่วงสุดท้ายของวิวัฒนาการของดาวทุกดวงที่มีมวลไม่มากซึ่งมีปริมาณ 97% ของดาวฤกษ์ที่พบในทางช้างเผือก หลังจากที่ดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักได้จบช่วงที่มีปฏิกิริยาไฮโดรเจนนิวเคลียร์ฟิวชั่นลง มันก็จะขยายเป็นดาวยักษ์แดง และหลอมฮีเลียมเป็นคาร์บอนและออกซิเจนที่ใจกลางโดยกระบวนการ triple-alpha ถ้าดาวยักษ์แดงมีมวลไม่เพียงพอที่จะทำให้ใจกลางมีอุณหภูมิสูงพอที่จะหลอมคาร์บอนได้ มวลเฉื่อยของคาร์บอนและออกซิเจนจะก่อตัวที่ศูนย์กลาง หลังจากนั้นชั้นนอกของดาวก็จะถูกพ่นออกไปกลายเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ ก็จะเหลือเพียงใจกลางที่เป็นดาวแคระขาวไว้", "title": "ดาวแคระขาว" } ]
[ { "docid": "3863#1", "text": "ระบบสุริยะอยู่ห่างจากใจกลางดาราจักรออกมาราว 26,490 (± 100) ปีแสง โดยตั้งอยู่ตรงขอบด้านในของแขนนายพราน (Orion Arm) เมื่อเทียบกับเส้นศูนย์สูตรฟ้า ทางช้างเผือกขึ้นไปเหนือสุดที่กลุ่มดาวแคสซิโอเปีย และลงไปใต้สุดบริเวณกลุ่มดาวกางเขนใต้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระนาบศูนย์สูตรของโลก ทำมุมเอียงกับระนาบดาราจักรอยู่มาก คนในเมืองใหญ่ไม่มีโอกาสมองเห็นทางช้างเผือกเนื่องจากมลภาวะทางแสงและฝุ่นควันในตัวเมือง แถบชานเมืองและในที่ห่างไกลสามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ แต่บางคนอาจนึกว่าเป็นก้อนเมฆในบรรยากาศ\nเมื่อสังเกตเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนคำว่า \"ทางช้างเผือก\" ถูกจำกัดกลุ่มหมอกของแสงสีขาวบาง 30 องศา ลอยกว้างข้ามท้องฟ้า (แม้ว่าทั้งหมดของดาวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นส่วนหนึ่งของดาราจักรทางช้างเผือก) แสงในแถบนี้มาจากดาวที่สลายและวัสดุอื่น ๆ ที่อยู่ภายในระนาบทางช้างเผือก บริเวณมืดภายในวง เช่น ระแหงดี และถุงถ่าน ที่สอดคล้องกับบริเวณที่มีแสงจากดาวไกลถูกบล็อกโดย ฝุ่นละอองระหว่างดวงดาว", "title": "ทางช้างเผือก" }, { "docid": "70244#28", "text": "การแผ่รังสีในช่วงคลื่นแสงที่ถูกแผ่ออกมาในดาวแคระขาวจะแปรผันในช่วงความยาวคลื่นกว้าง จากสีน้ำเงินของดาวชนิด O ในแถบลำดับหลักไปจนถึงดาวแคระแดงชนิด M ดาวแคระขาวมีอุณหภูมิยังผลที่พื้นผิวสูงกว่า 150,000 K จนต่ำกว่า 4,000 K\nและจากกฎสเตฟาน โบล์ทซมาน กำลังส่องสว่างจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับอุณหภูมิพื้นผิว พิสัยของอุณหภูมิพื้นผิวนี้สัมพันธ์กับกำลังส่องสว่างตั้งแต่ 100 เท่าของดวงอาทิตย์และต่ำกว่า 1/10,000 เท่าของดวงอาทิตย์ ดาวแคระขาวร้อนที่มีอุณหภูมิพื้นผิวเกินกว่า 30,000 K ซึ่งถูกสำรวจในช่วง X-ray ที่มีพลังงานต่ นี่ทำให้องค์ประกอบและโครงสร้างของบรรยากาศถูกศึกษาโดยการสังเกตการณ์ X-ray อ่อน ๆ และอุลตร้าไวโอเลต\nถ้าดาวแคระขาวไม่มีการเพิ่มมวลจากดาวคู่ของมันหรือแหล่งอื่น การแผ่รังสีก็จะมาจากความร้อนที่สะสมไว้ ดาวแคระขาวมีพื้นที่ผิวน้อยมากสำหรับการแผ่รังสี ดังนั้นมันจะยังคงร้อนไปตลอดระยะเวลายาวนาน ถ้าดาวแคระขาวเย็นและมีอุณหภูมิพื้นผิวลดลง การแผ่รังสีของมันจะเป็นแดงขึ้นและกำลังส่องสว่างจะลดลง เพราะดาวแคระขาวไม่มีการแผ่พลังงานอื่นนอกจากการแผ่รังสีทำให้การแผ่รังสีของมันช้า Bergeron, Ruiz และ Leggett ยกตัวอย่างการประมาณว่าหลังจากดาวแคระขาวคาร์บอนที่มีมวล 0.59 เท่าของดวงอาทิตย์และบรรยากาศที่ประกอบด้วยไฮโดรเจน อุณหภูมิพื้นผิวลดต่ำลงถึง 7,140 K จะใช้เวลา 1.5 พันล้านปี ดาวที่เย็นประมาณ 500 ถึง 6,590 K ใช้เวลาประมาณ 0.3 พันล้านปีแสง แต่สองขั้นต่อไปคือประมาณ 500 K (ถึง 6,030 และ 5,550 K) จะอยู่ 0.4 แรกถึง 1.1 พันล้านปี ถึงแม้ว่าองค์ประกอบของดาวแคระขาวเป็นพลาสมาเริ่มแรก มันก็ถูกทำนายตามทฤษฎีในทศวรรษที่ 1960 ในการเย็นตัวขั้นสุดท้าย มันควรจะเป็น crystallize ที่จุดศูนย์กลางดาว โครงสร้างของ crystal ถูกคิดว่าจะเป็น body-centered cubic ในปี 1995 มันถูกแสดงให้เห็นว่าการเต้นเป็นจังหวะของดาวแคระขาวจากการสังเกตการณ์แผ่นดินไหวบนดาวเป็นผลคือการทดสอบพลังงานศักย์ในทฤษฎี crystalization และปี 2004 Travis Metcalfe และทีมนักวิจัย Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics ประมาณจากการสังเกตการณ์ว่าประมาณ 90% ของมวลของ BPM 37093ถูก crystallize จากงานอื่นพบว่ามวลคริสตัลเป็นอัตราส่วนระหว่าง 32% และ 82%\nการสำรวจดาวแคระขาวส่วนใหญ่พบอุณหภูมิพื้นผิวที่สูงระหว่าง 8,000 K และ 4,000 K ดาวแคระขาวใช้เวลาในการเย็นตัวในช่วงชีวิตของมันมากกว่าขณะที่อุณหภูมิสูง ดังนั้นเราควรคาดว่าดาวแคระขาวที่เย็นตัวแล้วมีมากกว่าดาวแคระที่ร้อนกว่า ครั้งหนึ่งเราปรับ selection effect ว่าดาวแคระขาวที่ร้อนมีกำลังส่องสว่างมากกว่าจะง่ายต่อการสังเกต เราพบว่าการพิสัยการลดลงของอุณหภูมิถูกตรวจสอบจากผลลัพธ์ในการค้นพบดาวแคระขาว แนวทางนี้หยุดเมื่อพวกเราเอื้อมไปถึงดาวแคระขาวที่เย็นตัวลงมาก ดาวแคระขาวจำนวนมากถูกสังเกตว่าอุณหภูมิพื้นผิวต่ำกว่า 4,000 K และดาวจำนวนน้อยที่จะถูกพบว่ามีอุณหภูมิต่ำกว่า 4,000 K และหนึ่งดาวที่เย็นที่สุดที่ถูกสำรวจ WD 0346+246 มีอุณหภูมิพื้นผิวประมาณ 3,900 K เหตุผลนั้นสำหรับมันคืออายุของเอกภพมีจำกัด ไม่มีเวลาพอที่จะทำให้ดาวแคระขาวเย็นตัวลงถึงอุณหภูมินี้ได้ ฟังก์ชันกำลังส่องสว่างของดาวแคระขาวสามารถถูกใช้ในการหาระยะเวลาที่ดาวเริ่มจะก่อตัวในบริเวณนั้น การประมาณอายุของ Galactic diskจากวิธีนี้คือ 8 พันล้านปี\nดาวแคระขาวจะเย็นตัวลงจะกลายเป็นดาวที่ไม่มีการแผ่รังสีหรือดาวแคระดำจากการประมาณสมดุลทางเทอร์โมไดนามิกส์ที่สิ่งแวดล้อมที่มันอยู่และพื้นหลังของจักรวาล อย่างไรก็ตามยังไม่มีดาวแคระดำในปัจจุบัน", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "362789#1", "text": "ถ้าดาวเคราะขาวมีคู่ที่อยู่ใกล้มันมากเกินไปหรือเกยเข้ามาในขอบเขตโรเชของมัน ดาวแคระขาวก็จะเริ่มดึงมวลจากคู่ของมันแล้ว คู่ของมันอาจเป็นดาวในแถบลำดับหลักหรือเป็นดาวอายุมากที่ใกล้สิ้นสุดอายุขัยและกำลังกลายเป็นดาวยักษ์แดงก็ได้ ก๊าซที่ถูกดึงมาส่วนใหญ่ประกอบไบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียมซึ่งเป็น 2 ธาตุหลักในส่วนประกอบสสารธรรมดาในจักรวาล ก๊าซที่ถูกดูดมาถูกอัดแน่นบนพื้นผิวของดาวแคระขาวโดยแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงของมัน สสารที่ดาวแคระขาวดูดมาถูกบีบอัดและเพิ่มความร้อนจนอุณหภูมิสูงมากในขณะที่สสารกำลังถูกดูดออกมาจากดาวอย่างต่อเนื่อง ดาวแคระขาวประกอบไปด้วยสสารเสื่อม และจึงไม่พองตัวเมื่อความร้อนเพิ่มในขณะที่ไฮโดรเจนที่ถูกดูดมาถูกบีบอัดบนพื้นผิวของดาว การที่ต้องพึ่งแรงอัดและอุณหภุมิในอัตราความเร็วไฮโดรเจนฟิวชั่นหมายความว่าเมื่อมีการบีบอัดและความร้อนที่พื้นผิวดาวแคระขาวกับอุณหภูมิประมาณ 20 ล้านเคลวินว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นเกิดขึ้น และอุณหภูมินี้สามารถถูกเผาไหม้ผ่านวงจรซีเอ็นโอ", "title": "โนวา" }, { "docid": "545#50", "text": "ที่ใจกลางของทางช้างเผือกมีลักษณะคล้ายดุมกังหันขนาดใหญ่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ตั้งของหลุมดำมวลยวดยิ่ง รอบ ๆ ดุมกังหันเป็นแขนก้นหอยชั้นต้นมี 4 ปลายหมุนอยู่รอบ ๆ แกน เป็นย่านที่มีการเกิดใหม่ของดาวฤกษ์ดำเนินอยู่ มีดาวฤกษ์แบบดารากร 1 ที่อายุเยาว์อยู่ในย่านนี้เป็นจำนวนมาก ส่วนจานของก้นหอยประกอบด้วยทรงกลมฮาโล อันประกอบด้วยดาวฤกษ์แบบดารากร 2 ที่มีอายุมากกว่า ทั้งยังเป็นที่ตั้งของกลุ่มดาวฤกษ์หนาแน่นที่เรียกกันว่า กระจุกดาวทรงกลม", "title": "ดาราศาสตร์" }, { "docid": "291429#1", "text": "ในทางกายภาพแล้ว ดาวแคระขาวที่มีการอัตราหมุนรอบตัวเองต่ำ จะมีมวลจำกัดที่ต่ำกว่าขีดจำกัดจันทรสิกขา คือ ประมาณ 1.38 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ นี่คือขีดจำกัดมวลมากที่สุดซึ่งแรงดันสภาพซ้อนสถานะของอิเล็กตรอนยังสามารถรองรับได้ หากพ้นจากขีดจำกัดมวลนี้ ดาวแคระขาวจะเริ่มยุบตัว ถ้าดาวแคระขาวเริ่มสะสมมวลจากดาวคู่ของมัน เชื่อกันว่าแกนกลางจะมีอุณหภูมิสูงจนสามารถเริ่มการฟิวชั่นคาร์บอนได้เมื่อถึงขีดจำกัด ถ้าดาวแคระขาวรวมตัวเข้ากับดาวฤกษ์อื่น (เป็นเหตุการณ์ที่พบน้อยมาก) มันก็จะมีมวลสูงกว่าขีดจำกัดและเริ่มยุบตัวลง ซึ่งก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนเกินขีดจำกัดการจุดระเบิดของนิวเคลียร์ฟิวชั่นเช่นเดียวกัน ภายในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากเริ่มกระบวนการนิวเคลียร์ฟิวชั่น เศษสสารของดาวแคระขาวจะทำปฏิกิริยาภาวะความร้อนเฉียบพลัน ซึ่งจะปลดปล่อยพลังงานออกมามากพอ (1–2 × 10 จูล) ในการทำให้ดาวระเบิดออกกลายเป็นมหานวดาราได้", "title": "มหานวดาราประเภท 1เอ" }, { "docid": "70244#36", "text": "ดาวแคระขาวจะมีความเสถียรในรูปแบบหนึ่งและจะยังคงเป็นเช่นนั้นต่อไปในการเย็นตัวซึ่งส่วนใหญ่ไม่แน่ชัด ในที่สุดจะกลายเป็นดาวแคระขาวสีดำเรียกว่าดาวแคระดำ สมมติว่าเอกภพขยายตัวต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะถูกพิจารณาว่าใน 10 ถึง 10 กาแล็กซีจะค่อย ๆ หายไปในขณะที่ดาวออกไปสู่ที่ว่างระหว่างกาแล็กซี โดยทั่วไปดาวแคระขาวก็จะรอด ถึงแม้ว่าการชนกันของดาวแคระขาวจะทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์หรือดาวแคระขาวที่มีมวลมากกว่าขีดจำกัดจันทรสิกขาก็จะระเบิดเป็นซูเปอร์โนวาชนิด Ia ช่วงชีวิตของดาวแคระขาวจะพิจารณาจากอายุขัยของโปรตอนเป็นที่รู้กันว่าน้อยกว่า 10 ปี บางทฤษฎี simple grand unified ก็ทำนายว่าอายุขัยของโปรตอนไม่มากไปกว่า 10 ปี ถ้าทฤษฎีนี้ใช้ไม่ได้ โปรตอนจะสลายตัวด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่ซับซ้อนมากขึ้นหรือกระบวนการ quantum gravitational ซึ่งเกี่ยวข้องกับ virtual black hole ในกรณีนี้อายุขัยของมันก็จะประมาณว่าไม่มากไปกว่า 10 ปี ถ้าโปรตอนสลายตัว มวลของดาวแคระขาวก็จะลดลงอย่างช้า ๆ กระทั่งมวลของมันส่วนใหญ่กลายเป็นก้อนสสาร nondegenerate และก็จะหายไปในที่สุด", "title": "ดาวแคระขาว" }, { "docid": "3863#4", "text": "ระนาบทางช้างเผือก มีแนวโน้มเอียงประมาณ 60 องศาไปสุริยวิถี (ระนาบของวงโคจรของโลก) เมื่อเทียบกับเส้นศูนย์สูตร ที่ผ่านเท่าทิศเหนือของกลุ่มดาวค้างคาว และเท่าทิศใต้ของกลุ่มดาวกางเขนใต้ แสดงให้เห็นความโน้มเอียงสูงของระนาบเส้นศูนย์สูตรของโลกและระนาบสัมพันธ์สุริยวิถีกับระนาบทางช้างเผือก ขั้วโลกเหนือทางช้างเผือกที่ตั้งอยู่ที่ขวาขึ้น 12 49 ลดลง +27.4° (B1950) อยู่ใกล้กับ Beta Comae Berenices และขั้วโลกทางช้างเผือกทิศใต้ที่อยู่ใกล้กับดาวอัลฟา ช่างแกะสลัก เนื่องจากการแนวโน้มเอียงสูง ขึ้นอยู่กับเวลากลางคืนและปี ส่วนโค้งของทางช้างเผือกจะปรากฏค่อนข้างต่ำหรือค่อนข้างสูงในท้องฟ้า สำหรับผู้สังเกตการณ์จากประมาณ 65 องศาเหนือถึง 65 องศาใต้บนพื้นผิวโลกทางช้างเผือกผ่านโดยตรงข้างบนวันละสองครั้ง", "title": "ทางช้างเผือก" }, { "docid": "170917#1", "text": "ดาราจักรทางช้างเผือกมีดาราจักรแคระโคจรอยู่รอบๆ จำนวน 14 ดาราจักร จากการค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่า กระจุกดาวทรงกลมที่ใหญ่ที่สุดในทางช้างเผือก คือ โอเมกาคนครึ่งม้า ที่จริงเป็นแกนกลางของดาราจักรแคระแห่งหนึ่งที่มีหลุมดำอยู่ที่ใจกลาง (ดูรายละเอียดเพิ่มที่ ทางช้างเผือก)", "title": "ดาราจักรแคระ" }, { "docid": "995516#0", "text": "ดาราจักรแคระช่างแกะสลัก () เป็นดาราจักรทรงกลมแคระซึ่งเป็นดาราจักรบริวารของดาราจักรทางช้างเผือก ตั้งอยู่ในกลุ่มดาวช่างแกะสลัก ค้นพบโดยฮาร์โลว์ แชปลีย์ใน ค.ศ. 1937 โดยใช้ตัวหักเห Bruce ขนาด 24 นิ้วที่หอดูดาวบอยเดน ดาราจักรนี้ห่างจากระบบสุริยะประมาณ 290,000 ปีแสง มีคาร์บอนและธาตุหนักเพียงร้อยละ 4 ของที่มีในทางช้างเผือก ทำให้ใกล้เคียงกับดาราจักรดั้งเดิมที่เห็นได้จากขอบของจักรวาล", "title": "ดาราจักรแคระช่างแกะสลัก" }, { "docid": "17018#6", "text": "ครั้งแรกที่ทำการบันทึกการเกิดมหานวดารา คือ SN 185 ค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีน ในปี ค.ศ.185 มหานวดาราที่สว่างที่สุดเท่าที่เคยบันทึกคือ SN 1006 อธิบายรายละเอียดโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีนและอาหรับ มหานวดาราที่สังเกตง่ายอีกอันหนึ่งคือ SN 1054 หรือ เนบิวลารูปปู มหานวดาราที่ค้นพบทีหลังด้วยสายตาคือ SN 1572 และ SN 1604 ซึ่งอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก ถูกบันทึกว่ามีผลกระทบต่อการพัฒนาทางดาราศาสตร์ ในยุโรป เพราะพวกเขาใช้เป็นข้อถกเถียงกับความคิดของอริสโตเติล ที่กล่าวว่า “จักรวาลที่อยู่นอกเหนือจากดวงจันทร์และดาวเคราะห์ ไม่มีอยู่จริง”", "title": "มหานวดารา" } ]
1738
มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "5374#0", "text": "มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นสถาบันที่มีที่มาจากการเป็นโรงเรียนแพทย์ ณ โรงพยาบาลศิริราช ชื่อว่า โรงเรียนแพทยากร ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2432 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดตึกของโรงเรียนแพทย์ จึงได้พระราชทานนามโรงเรียนแพทยากรใหม่ว่า โรงเรียนราชแพทยาลัย ในวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2460 โรงเรียนราชแพทยาลัยได้ถูกรวมเข้ากับโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ เพื่อสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทั้งเปลี่ยนสถานะเป็น คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และถูกเปลี่ยนชื่อเป็น คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล ในเวลาต่อมา คณะแพทย์แห่งนี้ได้รับการพัฒนาวิชาการจนได้มาตรฐานแพทยศาสตร์ศึกษาสมัยใหม่ด้วยความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์ ผ่านการดำเนินงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสามารถจัดการศึกษาถึงขั้นประสาทปริญญาบัตรได้ โดยปริญญาบัตรอนุมัติโดยสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยมหิดล" }, { "docid": "11343#5", "text": "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่สมบูรณ์ โดยจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ เรียกว่า \"มหาวิทยาลัยมหิดล\" มีขอบเขตดำเนินงานกว้างขวางยิ่งขึ้น ตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหิดล พ.ศ. 2512 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม \"มหิดล\" อันเป็นพระนามของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นชื่อมหาวิทยาลัยแทนชื่อมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เดิม ในช่วงนี้มีการจัดตั้งคณะต่าง ๆ อีกมากมายเพื่อให้ครอบคลุมทุกสาขาวิชาทั้งสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดังนี้", "title": "ประวัติมหาวิทยาลัยมหิดล" } ]
[ { "docid": "813177#12", "text": "เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2540 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เริ่มก่อสร้างอาคารเรียนรวมและอาคารอำนวยการขึ้นเป็นจุดแรกของพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งเป็นภาพความทรงจำและความภาคภูมิใจ ที่ชาวจังหวัดกาญจนบุรี และบุคลากรที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยมหิดล ณ กาญจนบุรี เป็นที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน อำเภอไทรโยค สภาพเป็นที่ราบสูงและภูเขา เป็นที่ดินจำนวน 58 แปลงเนื้อที่ประมาณ 4,000 ไร่ นอกจากนี้เพื่อให้มหาวิทยาลัยมีสถานที่สวยงานสำหรับการประชุมและสัมมนา ชาวจังหวัดกาญจนบุรียังได้จัดซื้อที่ดินติดริมแม่น้ำแควน้อย ในเขตสุขาภิบาลลุ่มสุ่ม อำเภทโทรโยค จำนวน 24 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา มอบให้แก่มหาวิทยาลัยอีกด้วย", "title": "มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี" }, { "docid": "14737#3", "text": "จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2520 ธงที่ระลึกซึ่งเตรียมไว้ มีไม่เพียงพอกับการมอบให้ผู้บริจาค \"กลุ่มอาสามหาวิทยาลัยมหิดล\" (ก่อตั้งเมื่อ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2510 ด้วยชื่อเริ่มต้นว่า กลุ่มอาสามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์) จึงร่วมแรงร่วมใจกันช่วยจัดทำ จนมีพอเพียงกับความต้องการของผู้บริจาค ในปีต่อมา โรงพยาบาลศิริราชจึงจัดจ้างกลุ่มอาสาฯ ให้เป็นหน่วยหลักในการผลิตธงที่ระลึก มาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบัน กิจกรรมออกหน่วยรับบริจาค ของคณะนักศึกษาแพทย์และนักเรียนพยาบาลศิริราช จะนำเงินเข้าสมทบทุน\"ศิริราชมูลนิธิ\" (ก่อตั้งเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2512) โดยเมื่อบริจาคตั้งแต่ 2,000 บาทขึ้นไป จะได้รับธงที่ระลึกวันมหิดลขนาดใหญ่ เมื่อบริจาคตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป จะได้รับธงที่ระลึกวันมหิดลพร้อมเสาธง เมื่อบริจาคตั้งแต่ 20 บาท จะได้รับธงที่ระลึกวันมหิดล และเมื่อบริจาคสมทบทุน จะได้รับสติกเกอร์ที่ระลึกวันมหิดล", "title": "วันมหิดล" }, { "docid": "224468#8", "text": "เมื่อรัฐบาลเล็งเห็นว่ามหาวิทยาลัยมหิดลมีความพร้อมมากที่สุดในขณะนั้น จึงเห็นชอบให้จัดตั้งสถาบันนี้ขึ้นในมหาวิทยาลัยมหิดล โดยได้ตัดคำว่า “แห่งชาติ” ออก และใช้ชื่อว่า “สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล” ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2520 ตามพระราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 94 ตอนที่ 8", "title": "สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล" }, { "docid": "16160#0", "text": "คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2511 ในยุคของมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ซึ่งแรกก่อตั้งใช้ชื่อว่า \"คณะเภสัชศาสตร์ พญาไท มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์\" เนื่องจากในเวลานั้นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ได้โอนย้ายสังกัดคณะเภสัชศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาก่อนหน้าแล้ว (คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปัจจุบัน) ต่อมาในปี พ.ศ. 2512 มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"มหาวิทยาลัยมหิดล\" จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"คณะเภสัชศาสตร์ พญาไท มหาวิทยาลัยมหิดล\" ในปี พ.ศ. 2515 ได้โอนคณะเภสัชศาสตร์เดิม ที่ถูกโอนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสมัยมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์กลับไปสังกัดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงตัดสร้อย \"พญาไท\" ของคณะใหม่ออกกลายเป็น \"คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล\" เช่นในปัจจุบัน", "title": "คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล" }, { "docid": "28866#1", "text": "เป็นวิทยาลัยศาสนศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย และเป็นหน่วยงานในมหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2542 ในสมัยที่ศาสตราจารย์ นพ. อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นอธิการบดีและวิวัฒนาการมาจากโครงการศูนย์ศาสนศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหิดล และแพทย์หญิง คุณอรวรรณ คุณวิศาล ประธานมูลนิธิน้ำทอง คุณวิศาล ร่วมกันจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 ในสังกัดสำนักงานอธิการบดี", "title": "วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล" }, { "docid": "224468#0", "text": "สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2520 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่บั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไทยในขณะนั้น และเพิ่มความเข้มแข็งด้านอาหาร และโภชนาการของชาติ ภายใต้กำกับของมหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องจากเป็นองค์กรที่มีความชำนาญ ในด้านสาธารณสุขและการแพทย์ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย และเป็นแหล่งรวมของผู้ทรงคุณวุฒิ ในด้านอาหารและโภชนาการ", "title": "สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล" }, { "docid": "53330#2", "text": "ในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2533 ศาสตราจารย์ ดร.ณัฐ ภมรประวัติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล และ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ อธิบดีกรมสามัญศึกษาได้ร่วมลงนามในโครงการความร่วมมือจัดตั้งโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยใช้พื้นที่ 35 ไร่ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ให้กรมสามัญศึกษาใช้เป็นพื้นที่จัดตั้งโรงเรียน โดยทางมหาวิทยาลัยจะให้ความร่วมมือสนับสนุนทางด้านวิชาการ รูปแบบการเรียนการสอนว่าควรจะเป็นไปในรูปแบบใดเพื่อให้เหมาะสมในการพัฒนาหลักสูตร การเรียนรู้ และพฤติกรรมของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีในอนาคต", "title": "โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์" }, { "docid": "5374#1", "text": "ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 ในรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้มีการแยกคณะวิชาด้านแพทยศาสตร์ อันประกอบด้วย คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล แผนกอิสระทันตแพทยศาสตร์ แผนกอิสระเภสัชศาสตร์ และแผนกอิสระสัตวแพทยศาสตร์มาจัดตั้งเป็น มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลจึงไม่สามารถนับอายุตั้งแต่การก่อตั้ง \"โรงเรียนแพทยากร\" เพราะไม่ได้มีสถานะเป็น \"มหาวิทยาลัย\" ทั้งตามนิยามของราชบัณฑิตยสภา และตามกฎหมายจัดตั้ง คือ \"แจ้งความกระทรวงพระธรรมการ แผนกกรมพยาบาล เปิดโรงเรียนแพทยากร\" ซึ่งกฎหมายนี้ไม่มีคำใดที่มอบสถานะ \"มหาวิทยาลัย\" หรือ \"สถาบันอุดมศึกษา\" แก่โรงเรียนแพทยากร ดังนั้นตามหลักนิติรัฐ ประเทศสยามในขณะนั้นจึงไม่ได้ก่อตั้ง \"มหาวิทยาลัย\" ชื่อ \"โรงเรียนแพทยากร\" ขึ้นด้วยอำนาจของรัฐบนดินแดนอธิปไตยของประเทศ ทั้งโดย \"สถานะ\" และโดย \"นาม\"", "title": "มหาวิทยาลัยมหิดล" }, { "docid": "5374#6", "text": "มหาวิทยาลัยมหิดล มีความเป็นมาจากโรงศิริราชพยาบาล ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นบริเวณพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือที่เรียกว่า วังหลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2432 จึงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ณ โรงศิริราชพยาบาล และตั้งชื่อโรงเรียนแพทย์ว่า \"โรงเรียนแพทยากร\" จัดการเรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตร 3 ปี หลังจากนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเปิดตึกของโรงเรียนแพทย์ จึงได้พระราชทานนามโรงเรียนแพทยากรใหม่ว่า \"โรงเรียนราชแพทยาลัย\"\nในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็น \"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\" จึงได้รวมโรงเรียนราชแพทยาลัยเข้าเป็นคณะหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2460 โดยใช้ชื่อว่า \"คณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย\" ต่อมา จึงเปลี่ยนชื่อเป็น \"คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล\"", "title": "มหาวิทยาลัยมหิดล" } ]
1739
ใครเป็นผู้คิดค้น กีฬาวอลเลย์บอล?
[ { "docid": "427421#0", "text": "วิลเลียม จี. มอร์แกน (ค.ศ. 1870-1942) เป็นผู้คิดค้นกีฬาวอลเลย์บอล หรือเดิมเรียก \"มินโทเนตต์\" (Mintonette) เขาเกิดในล็อกพอร์ต รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เขาพบกับเจมส์ ไนสมิท ผู้คิดค้นกีฬาบาสเกตบอล ขณะที่มอร์แกนกำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยสปริงฟีลด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ใน ค.ศ. 1892 เช่นเดียวกับไนสมิท มอร์แกนเข้าทำงานในด้านพลศึกษาที่วายเอ็มซีเอ (ชื่อไทยแปลว่า เยาวมานพคริสเตียนอมาตยสมาคม) โดยได้รับอิทธิพลจากไนสมิทและบาสเกตบอล ใน ค.ศ. 1895 ที่โฮลโยค รัฐแมสซาชูเซตส์ มอร์แกนได้คิดค้าน \"มินโทเนตต์\" ซึ่งเป็นกีฬาประเภททีมที่รุนแรงน้อยกว่า ซึ่งเหมาะสมสำหรับสมาชิกที่มีอายุมากของวายเอ็มซีเอมากกว่า แต่ยังเป็นกีฬาที่ยังต้องอาศัยทักษะด้านกรีฑา ภายหลังอัลเฟรดเอสฮัลสตีด เฝ้าชมมินโทเนตต์และเปลี่ยนชื่อเป็น \"วอลเลย์บอล\" เพราะหัวใจของกีฬา คือ การ \"เล่นวอลเลย์บอล\" ไปและกลับข้ามตาข่าย", "title": "วิลเลียม จี. มอร์แกน" }, { "docid": "114542#1", "text": "กีฬาวอลเลย์บอลถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1896 โดยนายวิลเลียม จี. มอร์แกน ผู้อำนวยการฝ่ายพลศึกษาของสมาคม Y.M.C.A. เมืองฮอลโยค รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศอเมริกา ซึ่งได้เกิดขึ้นเพียง 1 ปี ก่อนการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ ครั้งที่ 1 ณ กรุงเอเธนส์ โดยเขามีความคิดที่ต้องการให้มีกีฬาสำหรับเล่นในช่วงฤดูหนาวแทนกีฬากลางแจ้งเพื่อออกกำลังกายพักผ่อนหย่อนใจยามหิมะตก", "title": "วอลเลย์บอล" } ]
[ { "docid": "581032#5", "text": "เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 จิรายุ รักษาแก้ว เป็นผู้นำทีมวอลเลย์บอลชายทีมชาติไทยเข้าแข่งขันวอลเลย์บอลในกีฬามหาวิทยาลัยโลกฤดูร้อน 2013 ที่จัดขึ้น ณ เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ส่วนในเดือนตุลาคมของปีเดียวกันนี้ เขาเป็นผู้ทำคะแนนหลักให้แก่ทีมชาติไทยในการแข่งวอลเลย์บอลชายชิงแชมป์เอเชีย 2013 ที่จัดขึ้น ณ ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อย่างไรก็ตาม ทีมของเขาได้เป็นฝ่ายแพ้ทีมชาติญี่ปุ่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย", "title": "จิรายุ รักษาแก้ว" }, { "docid": "630243#0", "text": "บือแลนท์ คาซิโลลู () เป็นผู้ฝึกสอนวอลเลย์บอลระดับอาชีพ ซึ่งเป็นผู้นำด้านกีฬาวอลเลย์บอลที่รู้จักกันมากที่สุดของประเทศตุรกี เขาเคยเป็นผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลหญิงเบซิคตัส กระทั่งปี ค.ศ. 2012 เขาได้รับการทาบทามให้เข้าทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนแก่สโมสรอิกติซาดชิ บากู ของประเทศอาเซอร์ไบจาน และในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 2013 เขาได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้งใน 2 เดือนต่อมา", "title": "บือแลนท์ คาซิโลลู" }, { "docid": "203436#1", "text": "“พลังกีฬา พลังความคิด สร้างบัณฑิตสู่สากล”\nคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาคัดเลือกคำขวัญที่มีแนวคิดใกล้เคียงกับเป้าหมายของการแข่งขัน “หัวหมากเกมส์” จนได้คำขวัญมา 2 สำนวน และคณะกรรมการฯ ได้นำคำขวัญทั้ง 2 สำนวนดังกล่าวมาปรับเป็นคำขวัญใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คำขวัญที่ปรับใหม่จากแนวคิดเดิมของผู้เข้าประกวดทั้ง 2 สำนวน เป็นคำขวัญของการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยฯ ครั้งที่ 36 สำหรับเจ้าของสำนวนดังกล่าวนั้น ได้แก่ น.ส.ชลธิดา ติ้งถิ่น นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และนายสิทธิศักดิ์ ศรีนวลดี นักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง", "title": "กีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 36" }, { "docid": "626567#12", "text": "บริษัทไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือสหพัฒนพิบูล เริ่มเข้ามาช่วยการแข่งขันในระดับอายุ 12 ปี ไลอ้อนคัพ ซึ่งเป็นการจัดที่ไม่ค่อยมีใครอยากจัด แทบจะไม่ได้ผลตอบแทนจากการประชาสัมพันธ์เลย เพราะไม่ค่อยมีผู้สนใจกับการแข่งขันของเด็กๆ อายุ 12 ปี สักเท่าไร ช่วงหลังเมื่อเครือสหพัฒน์หยุดสนับสนุน บริษัทสยามกว้างไพศาล เข้ามาช่วยจัดการแข่งขันปลายิ้ม มินิวอลเลย์บอล ได้นำทีมที่ชนะเลิศไปแข่งขันและทัศนศึกษาที่สิงคโปร์ หรือฮ่องกงบ้าง แม้ระยะหลังบริษัทสยามกว้างไพศาลจะถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนไป สมาคมฯ ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด อย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันได้มีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนร่วมกับบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นการกลับมาจัดได้ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยสมาคมฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ทรงพระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศการแข่งขัน", "title": "สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย" }, { "docid": "466007#1", "text": "ธีรวัฒน์ หอมกลิ่น ได้มีโอกาสทำการฝึกฝนกับคู่ซ้อมอย่าง นิค โคโคเทย์โล ซึ่งเป็นนักยูโดชาวอังกฤษ ผู้เป็นอดีตนักกีฬาโอลิมปิกและเป็นแชมป์ในการแข่งขันหลายรายการ รวมถึงได้รับการฝึกสอนจากปรมาจารย์อย่าง สตีฟ พูลเลน เจ้าของสายแดงขาวซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าสายดำมาให้คำแนะนำ โดยธีรวัฒน์ได้เปิดเผยว่าตนรู้สึกเสียดายที่มีเวลาซ้อมกับพวกเขาค่อนข้างน้อย โดยเชื่อว่าหากได้รับการฝึกซ้อมมากกว่านี้จะทำให้ตนแข็งแกร่งมากขึ้น ก่อนที่ธีรวัฒน์จะทำการแข่งขันในกีฬายูโดในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 100 กก. ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555 โดยพบกับ ไนดาน ตูฟชินบายา จากประเทศมองโกเลีย ผู้เป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ซึ่งธีรวัฒน์เป็นฝ่ายแพ้ในรอบแรก", "title": "ธีรวัฒน์ หอมกลิ่น" }, { "docid": "5133#53", "text": "อภิสิทธิ์สนใจกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เด็ก เขาคิดว่าเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษ เวลาที่ดูเขาจะเชียร์เต็มที่ เขาบอกว่ามันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต แต่คงไม่ถึงขั้นกับว่า มากระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน สโมสรฟุตบอลที่เขาชื่นชอบคือ นิวคาสเซิล อภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ประมาณว่ารักทีมนี้สุดจิตสุดใจและยังเคยกล่าวด้วยว่า \"\"ผมไม่ค่อยจะเครียดเรื่องอะไรมาก จะมีเรื่องเดียวคือเวลานิวคาสเซิ่ลแพ้ ซึ่งก็บ่อยซะด้วย\"\" เขายังบอกด้วยว่าสาเหตุที่ฟุตบอลไทยไม่เคยพัฒนาได้ถึงบอลโลก ก็เพราะว่า \"ประเทศไทยขาดการพัฒนาการแข่งขันมาจากรากฐานของท้องถิ่น ลีกที่ดีๆต้องมีคนเชียร์เป็นเรื่องเป็นราว มีความผูกพันอยู่กับทีมสร้างทีมขึ้นมา ของไทยเราไม่ใช่ ของเรามาจากส่วนกลาง ถ้าเทียบลีกในยุโรปช่วงที่มีแข่งทุกวันเสาร์ เขาจะไปเชียร์มันเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตเลย เด็กที่โตในเมืองนั้นก็จะโตมากับความฝันที่จะได้เล่นในทีม เป็นฮีโร่ของทีม ของไทยเราไม่ได้กระจายแบบนั้น\" และมีความคิดที่จะส่งเสริมค่านิยมในการดูฟุตบอลที่ถูกต้อง และมีทัศนคติว่า การที่เล่นกีฬาเป็นประจำมันก็สอนเราเกี่ยวกับเรื่องการทำงานกับคนอื่น เกี่ยวกับเรื่องการแพ้การชนะแต่ละคน\nอภิสิทธิ์เริ่มฟังดนตรีตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก หากไม่ฟังประชุมสภาก็จะฟังเพลง อภิสิทธิ์ชอบพกพาวิทยุ เครื่องเล่นเทป ติดตัวไปสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำ อภิสิทธิ์เริ่มจากการฟังเพลงป็อป เช่น แอ็บบ้า ต่อมาเป็นดิ อีเกิลส์ เฮฟวีเมทัล แต่แนวก็จะเป็นเพลงร็อกและแนวเพลงร่วมสมัย เพราะชอบจังหวะ ชอบความหนักแน่นของมัน ส่วนใหญ่จะมีเนื้อร้อง เนื้อเพลง ที่บ่งบอกความร่วมสมัย ตั้งแต่ผ่านยุคทศวรรษ 80 ผ่านยุคกรันจ์ ผ่านยุคผสมกับอีเลกโทรนิกแร็ป เป็นต้นมา จะมีเรื่องของภาพลักษณ์ตามมาด้วย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของมิวสิก วิดีโอ และจะเริ่มนึกถึงเสื้อผ้า นึกถึงทรงผมได้เหมือนกัน วงดนตรีที่ชื่นชอบคือ อาร์.อี.เอ็ม. กรีนเดย์ และโอเอซิสอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับรางวัลและเกียรติยศต่าง ๆ ดังนี้", "title": "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" }, { "docid": "586268#4", "text": "แฮร์มันน์ รีเดอร์ ได้มีส่วนร่วมหลายด้านของวิทยาศาสตร์การกีฬาและมีความสันทัดด้านการประสานทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติเข้าไว้ด้วยกัน ในผลงานของเขาสามารถพบได้จากการมีส่วนร่มในด้านจิตวิทยาการกีฬา, กลศาสตร์การเคลื่อนไหว, ทฤษฎีการฝึกสอน และสาขาสหวิทยาการของกีฬาบำบัดที่ซึ่งเขาเป็นผู้คิดค้น ในฐานะของการเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญหลายด้าน เขาได้รวมวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาที่หลากหลายเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด ตั้งแต่การค้นหาผู้มีความสามารถพิเศษในกีฬาเทนนิส เพื่อหลักสูตรการฝึกซ้อมสำหรับผู้ป่วยเอชไอวี รีเดอร์มีความเชื่อมั่นในพลังของการสื่อสาร ที่ได้รับการอธิบายในการประชุมระดับนานาชาติที่เขาได้จัดขึ้นอยู่จำนวนหนึ่ง", "title": "แฮร์มันน์ รีเดอร์" }, { "docid": "41498#1", "text": "อะเลคันโดรคิดค้นเกมนี้ขึ้นในช่วงที่เขาได้รับบาดเจ็บจากระเบิดในช่วงสงครามกลางเมืองสเปน เขามีความคิดที่ว่า คนจำนวนมากรวมถึงเด็กที่อยู่ในโรงพยาบาลไม่สามารถที่จะเล่นฟุตบอลได้ จึงได้เกิดความคิดพัฒนาเกมขึ้น โดยได้ไอเดียมาจากการเล่นปิงปอง (ซึ่งจำลองการเล่นเทนนิสบนพื้นโต๊ะ) อะเลคันโดรให้คาเบียร์ อัลตูนา (Javier Altuna) เพื่อนที่เป็นช่างไม้สร้างโต๊ะฟุตบอลโต๊ะขึ้นเป็นครั้งแรก ต่อมาถึงแม้ว่าอเลคานโดรได้จดสิทธิบัตรผลงานนี้ในปี พ.ศ. 2480 แต่ได้ทำเอกสารสิทธิบัตรสูญหายไประหว่างการหลบหนีการรัฐประหารลัทธิฟาสซิสต์ในฝรั่งเศส", "title": "ฟุตบอลโต๊ะ" } ]
1744
ประเทศจีน ก่อตั้งเมื่อไหร่?
[ { "docid": "558879#28", "text": "รัฐบาลแห่งชาติของสาธารณรัฐจีนได้ก่อตั้งเป็นครั้งแรก ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 ที่เมืองนานกิง () โดยมี ดร.ซุน ยัตเซ็น เป็นประธานาธิบดีชั่วคราวคนแรก บรรดาผู้แทนจากมณฑลต่างๆทั่วประเทศจีนถูกส่งไปเพื่อยืนยันรับรองอำนาจของรัฐบาลแห่งชาติที่นานกิง และต่อมาก็มีการจัดตั้งรัฐสภาขึ้นเป็นครั้งแรก อำนาจของรัฐบาลแห่งชาตินี้มี จำกัด และอายุสั้น เนื่องจากสาธารณรัฐจีนอยู่ในช่วงยุคขุนศึก มียังการแบ่งนายพล หรือขุนศึก ได้ตั้งตนเป็นอิสระควบคุมทั้งภาคกลางและภาคเหนือของจังหวัดและมณฑลทั่วประเทศ การปฏิบัติหน้าที่ที่จำกัดโดยรัฐบาลชุดนี้ ประกอบไปด้วย การประกาศล้มล้างราชวงศ์ชิงอย่างเป็นทางการ จักรพรรดิผู่อี๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิง ถูกบีบบังคับให้ออกจากพระราชวังต้องห้ามในปี ค.ศ. 1917 อีกทั้งยังมีแนวนโยบายความคิดริเริ่มทางพัฒนาเศรษฐกิจ", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "558879#5", "text": "สาธารณรัฐได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1912 หลังการปฏิวัติซินไฮ่ ซึ่งเริ่มด้วยการเกิดการจลาจลอู่ชางในประเทศจีน ซึ่งนำไปสู่การโค่นล้มราชวงศ์ชิงและสิ้นสุดระบอบการปกครองโดยจักรพรรดินับห้าพันปีในประวัติศาสตร์จีน ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปี ค.ศ. 1949 สาธารณรัฐจีนได้ดำรงอยู่กับจีนแผ่นดินใหญ่ อำนาจรัฐบาลกลางของสาธารณรัฐจีนได้สั่นคลอนในยุคขุนศึก (ค.ศ. 1915–28) ประกอบกับภาวะสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่น (ค.ศ. 1927–37) เมื่อรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งได้ดำเนินนโยบายการรวบรวมประเทศจีนเป็นปึกแผ่นได้อย่างมั่นคงภายใต้ระบบพรรคเดียว เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้ยุติลง จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ยอมจำนนและได้คืนเกาะไต้หวันและหมู่เกาะข้างเคียงแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายสัมพันธมิตรได้พิจารณาให้เกาะไต้หวันได้กลับคืนมาภายใต้การปกครองของสาธารณรัฐจีน", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "888870#1", "text": "สาธารณรัฐจีนก่อตั้งขึ้นในปี 1912 เพื่อปกครองจีนแผ่นดินใหญ่หลังจากการโค่นล้มราชวงศ์ชิงลง ในปี 1945 กองกำลังญี่ปุ่นในไต้หวันยอมแพ้ต่อเจียง ไคเชก ผู้นำของสาธารณรัฐจีน ในฐานะตัวแทนของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองและไต้หวันกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ระหว่างปีสุดท้ายของสงครามกลางเมืองจีน (1946-1949) สาธารณรัฐจีนสูญเสียแผ่นดินใหญ่ให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) และย้ายรัฐบาลไปอยู่ที่ไต้หวัน  และพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ก่อต้ังสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นในปี 1949", "title": "การรวมประเทศจีน" }, { "docid": "2032#30", "text": "ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศในปี พ.ศ. 2492 จนถึงปลาย พ.ศ. 2521 สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนจากส่วนกลางเหมือนโซเวียต ไม่มีภาคเอกชนหรือระบอบทุนนิยม เหมา เจ๋อตง เริ่มใช้นโยบายก้าวกระโดดไกล เพื่อผลักดันประเทศให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่ทันสมัยและก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม แต่นโยบายนี้กลับถูกมองว่าเป็นความล้มเหลวทั้งทางเศรษฐกิจและมนุษยธรรม หลังจากที่เหมาเสียชีวิตและสิ้นสุดการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เติ้ง เสี่ยวผิง และผู้นำจีนรุ่นใหม่ได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจและใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบผสมที่ให้ความสำคัญกับทุนนิยมมากขึ้น ด้วยนโยบายที่ว่า 1ระบอบ 2ระบบ \nตั้งแต่เริ่มมีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจในปี 2521 เศรษฐกิจของจีนซึ่งนำโดยการลงทุนและการส่งออก เติบโตขึ้นถึง 70 เท่า และกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ปัจจุบัน จีนมีจีดีพี (nominal) สูงเป็นอันดับสามของโลกที่ 30 ล้านล้านหยวน (4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่รายได้ต่อหัวมีค่าเฉลี่ยเพียง 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ จึงยังคงตามหลังประเทศอื่นอีกนับร้อย อุตสาหกรรมขั้นปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และ ตติยภูมิ มีอัตราส่วนร้อยละ 11.3, 48.6 และ 40.1 ตามลำดับ และหากวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ จีนจะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่สองรองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จีนเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกและเป็นประเทศที่มีมูลค่าทางการค้าสูงเป็นอันดับสามรองจาก สหรัฐอเมริกาและเยอรมนีด้วยมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ 2.56 ล้านล้านดอลลาร์ มูลค่าการส่งออก 1.43 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสอง) และมูลค่าการนำเข้า 1.13 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับสาม) จีนมีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศมากที่สุดในโลก (มากกว่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์) และเป็นหนึ่งในประเทศยอดนิยมของการลงทุนจากต่างชาติ โดยสามารถดึงเงินลงทุนมากกว่า 8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2550 เพียงปีเดียว", "title": "ประเทศจีน" }, { "docid": "558879#0", "text": "สาธารณรัฐจีน (; ) เป็นรัฐในเอเชียตะวันออกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1912 ถึงปี ค.ศ. 1949 ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1912 หลังจากที่สามารถโค้นล้มราชวงศ์ชิง (การปฏิวัติซินไฮ่ 辛亥革命) ได้สำเร็จ และสิ้นสุดลงหลังสงครามกลางเมืองจีน ด้วยความพ่ายแพ้ของพรรคก๊กมินตั๋งหรือจีนคณะชาติ ซึ่งได้ลี้ภัยไปยังเกาะไต้หวันและก่อตั้งสาธารณรัฐจีนขึ้นมาใหม่ ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เป็นฝ่ายได้ชัยชนะได้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนบนแผ่นดินใหญ่จีนในปัจจุบัน\nสาธารณรัฐจีนมีประธานาธิบดีคนแรกคือ ซุน ยัตเซ็น ดำรงตำแหน่งหน้าที่เพียงระยะเวลาอันสั้น พรรคของซุนต่อมาได้นำโดย ซ่ง เจี่ยวเริน ซึ่งชนะการเลือกตั้งรัฐสภาที่จัดขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1912 อย่างไรก็ตามกองทัพนำโดยประธานาธิบดียฺเหวียน ชื่อไข่ยังคงควบคุมรัฐบาลแห่งชาติในปักกิ่งต่อไป ตั้งแต่ปลายปี 1915 ถึงต้นปี 1916 หยวนได้รื้อฟื้นระบอบจักรพรรดิจีนที่เรียกว่าจักรวรรดิจีนขึ้นมาใหม่ และสถาปนาตนเองเป็น \"จักรพรรดิหงเซียน (洪憲皇帝)\" แต่จักรวรรดิใหม่ของหยวนกลับดำรงอยู่ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ หลังหยวนได้เสียชีวิตลง ผู้นำกองกำลังท้องถิ่นตามแคว้นต่างๆซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นเหล่าขุนศึก และได้ประกาศตั้งตนเป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาลกลางหรือรัฐบาลแห่งชาติอีกต่อไป ทำให้จีนเข้าสู่ยุคขุนศึกในเวลาต่อมา", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "2032#13", "text": "การสู้รบส่วนใหญ่ในสงครามกลางเมืองจีนยุติลงในปี พ.ศ. 2492 โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ และพรรคก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 เหมาเจ๋อตงประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือที่เรียกว่า \"จีนคอมมิวนิสต์\" หรือ \"จีนแดง\"", "title": "ประเทศจีน" } ]
[ { "docid": "558879#34", "text": "ในระเวลาแรกที่ก่อตั้งสาธารณรัฐจีน ได้มีการก่อตั้ง \"เขตปกครองชนบทเพื่อพัฒนาไปสู่ระบบเมือง\" ขึ้น เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างชนบทเพื่อขยายเป็นเมืองใหญ่ แต่การพัฒนาเมืองชนบทหยุดชะงักลงในช่วงรัฐบาลเป่ยหยาง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 กว่างโจว ถูกพัฒนายกระดับขึ้นเป็นเมือง รัฐบาลเห็นผลของความสำเร็จของเมืองกว่างโจว จึงเพิ่มการใช้ระบบเมืองทั่วประเทศ วันที่ 3 กรกฎาคม ในปีเดียวกัน รัฐบาลเป่ยหยางประกาศใช้ \"ระบบเขตเทศบาล\" ขึ้น \"เมือง\" ได้ถูกแบ่งออกเป็น \"เมืองสำคัญ\" และ \"เมืองธรรมดา\" ได้แก่ \"เทียนสิน, ซ่งอู๋ (ปัจจุบันคือเซี่ยงไฮ้), ชิงเต่า, ฮาร์บิน, ฮั่นโข้ว (ปัจจุบันคืออู่ฮั่น) รวมทั้งสิ้น 6 เมืองสำคัญ ในปี ค.ศ. 1930 รัฐบาลจีนคณะชาติได้ประกาศใช้ \"กฎหมายบริหารเขตเทศบาล\" ขึ้น \"เมือง\" ได้ถูกแบ่งออกเป็น \"เมืองท้องถิ่นภูมิภาค\" และ เขตเทศบาลพิเศษ โดยเมืองท้องถิ่นภูมิภาคและเขตชนบทจะอยู่ในระดับเดียวกัน มีฐานะเทียบเท่ากับจังหวัด เมืองแต่ละเมืองของเขตชนบทจะอยู่ภายใต้เขตอำนาจของเมืองท้องถิ่นภูมิภาค กฎหมายได้กำหนดแต่ละเมืองมีประชากรได้ถึงหนึ่งล้านคน แต่มีข้อยกเว้น ในปี ค.ศ. 1948 \"รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐจีน\" เมืองแต่ละเมืองจะอยู่ภายใต้เขตอำนาจเขตเทศบาล ก่อนปี ค.ศ. 1949 ทั้งประเทศมีเขตเทศบาล 12 แห่ง", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "558879#19", "text": "หลังดร.ซุนได้ตั้งรัฐบาลในภาคใต้ขึ้น เขาได้ตัดสินใจขอความช่วยเหลือทางด้านการทหารและงบประมาณส่วนหนึ่งจากสหภาพโซเวียตและก่อตั้งโรงเรียนทหารหวังผู่ ซึ่งเป็นโรงเรียนทหารแห่งแรกขึ้น แต่การสนับสนุนของโซเวียตกลับต้องแลกเปลี่ยนกับการให้โซเวียตก่อตั้งและสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีต้นกำเนิดจากขบวนการเคลื่อนไหว 4 พฤษภาคม ที่เริ่มรวมตัวเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ก่อตั้งสำเร็จในปี ค.ศ. 1921 ซึ่งได้รับความนิยมพอๆกับพรรคก๊กมินตั๋ง ในระยะแรกๆทั้ง 2 พรรคได้ตกลงที่จะร่วมมือกันฟื้นฟูและสร้างชาติจีนขึ้นมาโดยยึดหลักการรวมประเทศจีนและความผาสุขของประชาชน\nในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1925 ดร.ซุน ยัตเซ็น บิดาแห่งสาธารณรัฐจีนได้เสียชีวิตลง ได้ทิ้งหลักลัทธิไตรราษฎร์ เอาไว้เป็นปรัชญาทางการเมืองที่กล่าวถึงชาติใน 3 ด้าน", "title": "สาธารณรัฐจีน (ค.ศ. 1912–1949)" }, { "docid": "2295#36", "text": "สาธารณรัฐจีนเคยเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติในฐานะสมาชิกก่อตั้ง โดยได้อยู่ในตำแหน่งของประเทศจีนในคณะมนตรีความมั่นคงจนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) ที่ถูกขับออกโดย \"มติสมัชชาสหประชาชาติที่ 2758 (General Assembly Resolution 2758)\" และตำแหน่งทั้งหมดในองค์การสหประชาชาติก็ถูกแทนที่ด้วยรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทางสาธารณรัฐจีนได้แสดงความพยายามหลายครั้งเพื่อกลับเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ (ดูที่ จีนและองค์การสหประชาชาติ)", "title": "ประเทศไต้หวัน" }, { "docid": "774426#1", "text": "พรรคนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2541 ซึ่งอยู่ในระหว่างที่บิล คลินตัน ประธานาธิบดิของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น มาเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน หวาง โหย่ว ไฉ แกนนำผู้ประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี พ.ศ. 2532 กับหวาง ต้ง ไห่ และ หลิน ฮุย ได้ไปที่มณฑลเจ้อเจียง เพื่อจดทะเบียนก่อตั้งพรรคอย่างเป็นทางการ แต่การจดทะเบียนก่อตั้งพรรคก็ไม่สำเร็จ", "title": "พรรคประชาธิปไตยแห่งประเทศจีน" }, { "docid": "2283#8", "text": "ในปี พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) ก่อนที่นายพล เจียง ไคเช็ก (General Chiang Kaishek) (ภาษาจีน:蔣中正) จะถึงอสัญกรรมไม่กี่ปี สาธารณรัฐจีนซึ่งเป็นประเทศที่ร่วมก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ ได้สูญเสียสมาชิกภาพ ในฐานะรัฐบาลตัวแทนของประชาชนชาวจีนให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978) สหประชาชาติก็ประกาศรับรองจีนเดียวคือจีนแผ่นดินใหญ่ และตัดสัมพันธ์ทางการเมืองกับสาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวัน ทั้งสหรัฐอเมริกาก็ได้ถอนการรับรองว่าไต้หวันมีฐานะเป็นรัฐ สถานะทางการเมืองของไต้หวันจึงซับซ้อนยุ่งยากตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้เกาะไต้หวันจะปกครองตนเองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้มีสถานะเป็นประเทศเอกราช และกลายเป็นเกาะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนถือว่า เป็นมณฑลหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งแค่รอเวลาที่จะกลับมารวมกับจีนแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง และพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังประกาศอีกว่า หากจำเป็น ก็จะใช้กำลังทางทหารเข้าจัดการ หากไต้หวันประกาศเอกราชแยกจากสาธารณรัฐประชาชนจีน", "title": "ภูมิศาสตร์ไต้หวัน" } ]
1749
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งอยู่ที่ใด ?
[ { "docid": "32375#0", "text": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา เป็นโรงเรียนสหศึกษาให้การศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เป็นห้องปฏิบัติการฝึกหัดครู คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" } ]
[ { "docid": "54688#1", "text": "เนื่องจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีโครงการขยายมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้น ณ วิทยาเขตกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เพื่อเป็นแหล่งผลิตบุคลากรระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก ในสาขาวิชาการเกษตรและอื่น ๆ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงกำหนดเปิดใช้วิทยาเขตกำแพงแสน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา โดยมีคณะต่าง ๆ เริ่มเปิดดำเนินการ คือ คณะเกษตรคณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ และบัณฑิตวิทยาลัย", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" }, { "docid": "54688#0", "text": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา เป็นโรงเรียนสหศึกษาที่ให้การศึกษาตั้งแต่ในระดับอนุบาลจนไปถึงมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงานสำหรับนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ และเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาในเขตชนบท โรงเรียนตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" }, { "docid": "54688#2", "text": "ในปี พ.ศ. 2523 ทางมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีนโยบายที่จะเปิดดำเนินการโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เพื่อจะได้สอดคล้องกับแผนพัฒนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และเป็นการส่งเสริมขยายงานทางด้านการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในชุมชนด้วย ฉะนั้นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้อนุมัติให้เปิดโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้น ณ วิทยาเขตกำแพงแสน ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2523 โดยให้คณะศึกษาศาสตร์เป็นฝ่ายรับผิดชอบในการจัดดำเนินการเรียนการสอน ดังนั้นคณะศึกษาศาสตร์จึงวางเป้าหมายที่จะให้โรงเรียนสาธิตเกษตรฯ วิทยาเขตกำแพงแสนเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาที่จะทำการวิจัยการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในเขตชนบทไปพร้อมกับการทดลองจัดการเรียนการสอนแบบสมรรถฐานและการบริการทางวิชาการแก่ชุมชนด้วย", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" }, { "docid": "32375#1", "text": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2514 โดย ศ.ดร. อุบล เรียงสุวรรณ รองคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ รักษาราชการแทนคณบดี คณะศึกษาศาสตร์ ได้ทำบันทึกถึงรองอธิการบดี ฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศ.ดร. ประเสริฐ ณ นคร เรื่องการจัดตั้งโรงเรียนสาธิต ในวันเดียวกันนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยอธิการบดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ( ม.จ.จักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์ ขณะนั้น ) ได้ทรงออกหนังสือถึงปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายบุญถิ่น อัตถากร เรื่องการจัดตั้งโรงเรียนสาธิต โดยจะเปิดรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และจะมีนักเรียนครบทั้ง 12 ชั้นปี ในปีพ.ศ. 2518 โดยใช้ชื่อว่า โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่อมาในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2514 กระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือตอบ รับรองผลการศึกษาจากผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน\n1 \"โครงการการศึกษาความรอบรู้เฉพาะเรื่อง (SENIOR PROJECT) \" เป็นการศึกษาค้นคว้าเชิงอิสระของนักเรียนแบบรายคน ที่ตนเองสนใจหรือถนัด ใช้ความรู้ที่เรียนมาและประสบการณ์มาผสมผสานด้วยวิธีของกระบวนการวิจัย ซึ่งนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 จะต้องผ่านโครงการนี้ จึงสามารถจบหลักสูตร", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" }, { "docid": "32375#11", "text": "โครงการการศึกษาพหุภาษามีที่ตั้งอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จังหวัดชลบุรี โดยบริษัทอมตะนคร ได้บริจาคที่ดิน 34 ไร่ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีระยะห่างจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา 28 กิโลเมตร", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" }, { "docid": "391047#1", "text": "วิทยาลัยเทคโนโลยีอุดมศึกษาพณิชยการ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 4/10 ตารางวา ตามหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน เลขที่ 47810 เลขที่ดิน 1689 หน้าสำรวจ 21837 ที่ตั้ง ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้รับอนุญาตให้เปิดทำการสอนจากกระทรวงศึกษาธิการตามใบอนุญาตเลขที่ 6/2524 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2524 ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการบัญชี โดยมีนายกระจ่าง จันทราช เป็นผู้รับใบอนุญาต", "title": "วิทยาลัยเทคโนโลยีอุดมศึกษาพณิชยการ" }, { "docid": "54688#15", "text": "สาธิตเกษตรศาสตร์กำแพงแสน สถาบันแห่งพัฒนาการศึกษา พระพิรุณทรงนาคประจำตรา สีม่วงจ้าเลื่องลือระบือไกล เรียนเด่นกีฬาดีมีคุณธรรม สาธิตนำก้าวไกลใฝ่ศึกษา สถานที่ฝึกปฏิบัติและพัฒนา ให้ก้าวหน้าเลื่องลือระบือไกล อนุบาล ประถม มัธยม กลมเกลียว สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว สมัครสมาน ได้สร้างชื่อลือชามายาวนาน เพื่อสร้างสรรค์ความดีนักเรียนไทย อินทนิลผลิดอกออกช่อสวย สีม่วงช่วยเพิ่มค่าชูศักดิ์ศรี สร้างคนเก่ง สร้างคนกล้า สร้างคนดี เพื่อเป็นศรีเกษตรศาสตร์ของชาติเอย", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" }, { "docid": "54688#12", "text": "ปี พ.ศ. 2546 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อโรงเรียนจากเดิมมาเป็นโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา (Kasetsart University Laboratory School, Kamphaeng Saen Campus, Educational Research and Development Center) โดยมีฐานะเทียบเท่าภาควิชาในคณะศึกษาศาสตร์", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" }, { "docid": "54688#14", "text": "ปี พ.ศ. 2555 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้อนุมัติให้โรงเรียนดำเนินงานโครงการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program) ปัจจุบันโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จึงมีการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 52 ห้องเรียน", "title": "โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา" } ]
1751
ซูเปอร์แมน มีสัญลักษณ์เป็นตัวภาษาอังกฤษตัวใด ?
[ { "docid": "72753#55", "text": "สัญลักษณ์ตัว “S” มักจะถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์แทนตัวของซูเปอร์แมนในสื่อต่างๆ โดยมักจะปรากฏอยู่ในฉากเปิดเรื่องหรือไม่ก็ฉากปิดท้ายของภาพยนตร์หรือละครทางโทรทัศน์", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#0", "text": "ซูเปอร์แมน คือตัวละครจากหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ ผลงานของ ดีซีคอมิกส์ สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ออกแบบโดยนักเขียนชาวอเมริกาเจอร์รี ชีเกลและนักวาดภาพชาวอเมริกาเชื้อสายแคนาดาโจ ชูสเตอร์ในปี ค.ศ. 1932 ขณะที่ทั้งคู่พักอาศัยอยู่ในเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ จนกระทั่งในปี 1938 ทั้งคู่ได้ขายผลงานชิ้นนี้ให้กับสำนักพิมพ์ ดีแทคทีฟ คอมิคส์ (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นดีซีคอมิกส์) ตัวละครนี้ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือ\"แอคชั่น คอมิคส์ \" ฉบับที่ 1 (มิถุนายน ค.ศ. 1938) และยังถูกนำไปทำเป็นซีรีส์ทางวิทยุ ,โทรทัศน์, ภาพยนตร์, การ์ตูนช่องในหนังสือพิมพ์, และวิดีโอเกมส์ เรื่องราวของซูเปอร์แมนนั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก ซูเปอร์แมนนั้นได้ถูกจัดอันดับให้เป็นซูเปอร์ฮีโรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนังสือการ์ตูนอเมริกา. ซูเปอร์แมนปรากฏตัวด้วยชุดที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ประจำตัวด้วยชุด สีน้ำเงิน, แดงและเหลือง รวมถึง ผ้าคลุม, และเครื่องหมายตัว\"S\" บนหน้าอก สัญลักษณ์ตัว S นี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของซูเปอร์แมนที่นำไปใช้ในสื่อต่างๆมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#54", "text": "ความนิยมต่อซูเปอร์แมนนั้นมีมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยเฉพาะสัญลักษณ์ตัว S ที่เป็นเหมือนกับเครื่องหมายการค้าของซูเปอร์แมน ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ที่มีลักษณะเป็นตัว S สีแดงเข้มวางอยู่เหนือพื้นหลังสีทอง ได้ถูกนำไปใช้วงการแฟชั่นอย่างแพร่หลาย", "title": "ซูเปอร์แมน" } ]
[ { "docid": "72753#56", "text": "ซูเปอร์แมนเป็นอีกตัวละครหนึ่งจากหนังสือการ์ตูนที่มักถูกนำไปดัดแปลงผ่านรูปแบบสื่อต่างๆมากมาย เนื่องจากซูเปอร์แมนคือตัวละครที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของวัฒนธรรมของอเมริกา และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตได้จากรายได้ทางการตลาดที่มีมูลค่ามหาศาล จึงเป็นเหตุผลให้มีการนำซูเปอร์แมนไปสร้างเป็นละครทางวิทยุ, โทรทัศน์ และจึงเป็นเหตุผลให้มีการนำซูเปอร์แมนไปสร้างเป็นละครทางวิทยุ, โทรทัศน์ และภาพยนตร์, รวมถึงวิดีโอ เกม โดยจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยรวมถึงวิดีโอ เกม โดยจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวเพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#21", "text": "เนื่องจากชีเกลและชูสเตอร์ต่างก็เป็นชาวยิว ผู้เขียนบทความทางศาสนาและนักวิชาการชื่อดังบางคนอย่างเช่น แรบบิ ซิมชา เวนสไตน์และนักเขียนนิยายชาวอังกฤษ ฮาวเวอร์ด จาค๊อบสัน ต่างเห็นพ้องว่า ซูเปอร์แมนนั้นได้รับอิทธิพลในการออกแบบมาจาก โมเสส, และองค์ประกอบอื่นๆของชาวยิว เช่น ชื่อภาษาคริปตอนของซูเปอร์แมนนั้นคือ \"คาล์-เอล\" นั้นคล้ายกับคำใน ภาษาฮีบรู קל-אל, ซึ่งมีความหมายว่า \"เสียงแห่งพระเจ้า\". คำลงท้าย \"เอล\", หมายความว่า \"(แห่ง) พระเจ้า\" ซึ่งจะพบได้จากชื่อของเหล่าทวยเทพ (ยกตัวอย่างเช่น Gabriel, Ariel) เหล่าเทพผู้คอยช่วยเหลือมวลมนุษย์ด้วยพลังแห่งความดี ส่วนในตำนานของชาวยิวที่เกี่ยวข้องกับ โกเลม ก็มีการกล่าวถึงในแง่ดี โกเลม หนึ่งในตำนานที่ถูสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องและดูแลชาวยิวที่โดนกดขี่ในยุคศตวรรษที่ 16 ณ กรุงปราก ที่ภายหลังได้กลายมาเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่สำคัญของยุโรปหลังจากต้องทนทุกข์ทรมานจากการกระทำของพวก นาซี ในช่วงปี ค.ศ. 1930 และ 1940 ซูเปอร์แมนมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพระเยซู ผู้ที่ได้ทำการช่วยเหลือมนุษย์ชาติ นอกจากนี้ชื่อสกุล เคนต์ นั้นในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 เป็นที่ฟังดูล้าสมัยไม่เหมือนกับชื่อ \"โคเชน\" ซึ่งจะพบบ่อยในสังคมอเมริกา", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#62", "text": "ซูเปอร์แมนมักจะถูกอ้างถึงในผลงานของนักเขียนต่างๆมากมาย เช่นในผลงานนิยายภาพของ สตีเว่น ที. ซีเกิล ที่มีชื่อว่า ซูเปอร์แมน: อิท อะ เบิร์ด ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ชีวิตของซีเกิลโดยได้รับแรงบัลดาลใจมาจากซูเปอร์แมนทางด้าน แบรด เฟรเซอร์ ก็ได้อ้างถึงซูเปอร์แมนในบทประพันธ์ของเขาเรื่อง \"พัว ซูเปอร์ แมน\" มีการจัดพิมพ์ในหนังสิพิมพ์ \"ดิอินดีเพ็นเดนต์\" โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นเกย์ต้องมาต้องมาสูญเสียพวกพ้องจากการติดโรคเอดส์จากบุคคล \"ที่ถูกระบุว่าเป็นซูเปอร์แมน ผู้ที่มาจากนอกโลกและมีนิสัยชอบหลอกลวงผู้อื่น\"ส่วนผลงานโรแมนติค คอมเมดี้ของโธม ซาห์เลอร์ เรื่อง \"เลิฟ แอนด์ เคพส์\" โดยจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของซูเปอร์แมน อนาล็อก ที่มีประโยคประจำตัวว่า (“ได้โปรด ฉันคือสัญลักษณ์!”) กับคู่หมั้นของเขาที่เป็นคนธรรมดา", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#31", "text": "ในโลกแห่งหนังสือการ์ตูน ซูเปอร์แมนนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน อีกทั้งยังสามารถพัฒนาความสามารถของตัวเองตามเหตุการณ์ต่างๆที่ได้เผชิญ รูปแบบดั้งเดิมของซูเปอร์แมนนั้น สังเกตได้ว่าพลังความสามารถและอุปนิสัยใจคอจะเป็นไปในลักษณะรูปแบบตัวละครในยุค โกลเด้น เอจออฟคอมิคส์ บุ๊ค จนถึงยุค โมเดิร์น เอจส่วนเหล่าวายร้ายที่มาต่อกรกับซูเปอร์แมนนั้นก็มีการพัฒนาความสามารถอย่างต่อเนื่องจนถึงปีช่วงหลังปี ค.ศ. 1940 จึงมีการการพัฒนาความสามารถของซูเปอร์แมนให้บินได้ ส่งผลให้มีการสร้างตัวละครฝ่ายอธรรมชุดใหม่ในปี ค.ศ. 1941. ซูเปอร์แมนนั้นต้องเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตในรูปแบบของมนุษย์โลกหลังจากที่เดินทางมาจากดาวคริปตันในปีค.ศ. 1949 ส่วนรูปแบบการดำเนินเนื้อเรื่องยังคงยึดตามรูปแบบเดิมในปี ค.ศ. 1939 ที่เคยจัดทำเป็นการ์ตูนในหนังสือพิมพ์", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#48", "text": "นอกจากนี้ยังรวมถึงการปรากฏตัวของ ซูเปอร์เกิร์ล, คริปโต ยอดสุนัข, และซูเปอร์บอย ตัวละครเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวละครหลักของเนื้อเรื่องของซูเปอร์แมนรวมถึงเนื้องเรื่องใน จัสทิส ลีกออฟอเมริกา (กลุ่มพิทักษ์โลกที่มีซูเปอร์แมนเป็นสมาชิก) โดยชื่อของเหล่าตัวละครสบทบในเรื่องซูเปอร์แมนนั้นจะมี การเล่นตัวอักษร อยู่ภายในชื่อ โดยเฉพาะชื่อและนามสกุลที่มีการใช้ตัวอักษร “ลล” เช่น เล็กซ์ ลูเธอร์, ลูอิส เลน, ลินดา ลี, ลาน่า แลงค์, โลริ เลแมริส, และ ลูซี่ เลน, การสัมผัสอักษรนี้ได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของตัวละครภายในเรื่อง", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#36", "text": "ในเรื่องราวแรกเริ่มของ ซีเกล และ ชูสเตอร์นั้น บุคลิกของซูเปอร์แมนนั้นจะมีอารมณ์รุนแรงและก้าวร้าว เห็นได้จากการที่ตัวละครเข้าไปต่อสู้อย่างรุนแรงต่อ ไวฟ์ บีทเตอร์, โปรฟิเทียร์, ลินช์ ม๊อบ และ กลุ่มผู้มีอิทธิพลต่างๆ ซึ่งจะเป็นการใช้ความรุนแรงข่มขู่คู่ศัตรูให้กลัวมากกว่าใช้เหตุผล หลังจากนั้นบรรดานักเขียนจึงได้ปรับอารมณ์ของซูเปอร์แมนให้เย็นลงและเพิ่มจินตนาการทางความคิดกับจิตใจที่ดีงามเข้าไป ทำให้ซูเปอร์แมนไม่ได้มีลักษณะนิสัยเลือดเย็นเหมือ แบทแมนในช่วงแรกๆ ซูเปอร์แมนที่ปรากฏตัวในหนังสือในยุค ค.ศ. 1930 นั้นไม่ใส่ใจต่อการใช้พลังของตัวเองที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ตามมา ซูเปอร์แมนในยุคนั้นมักจะจัดการเหล่าร้ายด้วยความรุนแรงจนถึงขั้นปางตาย แม้ว่าการกระทำอันป่าเถื่อนนี้นานๆจะเกิดขึ้นในเนื้อเรื่องก็ตาม แต่พฤติกรรมทั้งหมดนี้ก็หมดลงไปในปี ค.ศ. 1940 เมื่อผู้อำนวยการผลิตคนใหม่ วิทนีย์ เอลล์เวิร์ธ ได้กำหนดบุคลิกรูปแบบใหม่ให้กับซูเปอร์แมนนั่นคือซูเปอร์แมนนั้นจะมีหลักการณ์ที่จะไม่ทำการสังหารผู้คนไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม หลักการณ์นี้มีผลสะท้อนต่อเนื้อเรื่องขึ้นมาทันที โดยในเนื้อเรื่องซูเปอร์แมนนั้นได้ปฏิญาณเอาไว้ว่าจะไม่ทำการสังหารผู้คนอย่างเด็ดขาด หากเขาผิดคำพูดเขาจะถอนตัวจากการเป็นซูเปอร์แมนทันที", "title": "ซูเปอร์แมน" }, { "docid": "72753#51", "text": "ซูเปอร์แมนได้กลายมาเป็นทั้งสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม และผลงานการ์ตูนซูเปอร์ฮีโรเรื่องแรกของชาวอเมริกา ความชื่นชอบของผู้คนที่มีต่อเรื่องราวการผจญภัยและตัวของซูเปอร์แมนส่งผลให้ซูเปอร์แมนมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตในสังคมเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากชื่อของซูเปอร์แมนที่มักจะเข้าไปอยู่ในผลงานต่างๆของบรรดานักดนตรี, ศิลปินตลก และ นักประพันธ์ทั้งหลาย\nคำว่า คริปโตไนท์, เบรนิแอค และ ไปซาร์โร ได้กลายมาเป็นวลีที่ผู้คนมักใช้พูดเปรียบเทียบโดยมีความหมายเช่นเดียวกับวลีที่ว่า ข้อเท้าของอคิลิส ซึ่งมีความหมายว่าจุดอ่อนหรือของแสลง เช่นเดียวกับประโยคที่ว่า \"ฉันไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ\" หรือ กลับกันว่า \"คุณไม่ใช่ซูเปอร์แมนนะ\" ซึ่งกลายมาเป็น สำนวน ที่มีความหมายว่าไม่ได้มีความสามารถรอบด้านหรือเก่งกาจไปซะทุกอย่าง", "title": "ซูเปอร์แมน" } ]
1759
สุนัขมีเยื่อบุผิวรับกลิ่นขนาดเท่าไหร่?
[ { "docid": "928330#0", "text": "เยื่อบุผิวรับกลิ่น ()\nเป็นเนื้อเยื่อบุผิวพิเศษภายในช่องจมูกที่ใช้เพื่อรับกลิ่น\nในมนุษย์ มันมีขนาดประมาณ 9 ซม (3x3 ซม) และอยู่ด้านบนช่องจมูกประมาณ 7 ซม จากรูจมูก\nเทียบกับสุนัขที่มีขนาด 170 ซม ซึ่งได้กลิ่นดีกว่ามาก\nเป็นส่วนของระบบรู้กลิ่นที่มีหน้าที่โดยตรงในการตรวจจับกลิ่น", "title": "เยื่อบุผิวรับกลิ่น" } ]
[ { "docid": "62698#8", "text": "มาตรฐานของสายพันธุ์เป็นที่มาของ Cobby (สุนัขที่มีความลงตัว) สุนัขเหล่านี้จะมีความสั้นหรือยาวเท่ากันความสูงของมัน ลองนึกภาพวงกลมในสี่เหลี่ยมจัตุรัส พอเมอเรเนียนเหล่านี้จะมีสัดส่วนที่สอดคล้องและลงตัว ตัวอย่างเช่น พอเมอเรเนียนตัวเล็กบอบบางแต่หัวใหญ่จะดูไม่ลงตัวเพราะหัวจะไม่สอดคล้องกับตัว พอเมอเรเนียนที่มีความสมดุลจะมีขาที่เข้าสัดส่วนกับตัว ไม่สั้นจนทำให้ดูเงอะงะ หรือยาวจนทำให้ดูเหมือนเดินบนเสาค้ำ", "title": "พอเมอเรเนียน" }, { "docid": "60944#12", "text": "ดอกทุเรียนมีขนาดใหญ่ อ่อนนุ่ม และมีน้ำต้อยมาก มีกลิ่นแรง เปรี้ยวเหมือนเนย โดยทั่วไปเกสรจะผสมโดยค้างคาวบางชนิดที่กินน้ำต้อยและเรณู จากการศึกษาในประเทศมาเลเซียในช่วงปี พ.ศ. 2513 การผสมเกสรของทุเรียนเกือบทั้งหมดเกิดจากค้างคาวผลไม้ถ้ำ (\"Eonycteris spelaea\") แต่การศึกษาในปี พ.ศ. 2539 ในทุเรียน 2 ชนิดคือ \"D. grandiflorus\" และ \"D. oblongus\" เกสรผสมโดยนกกินปลี ส่วน \"D. kutejensis\" ผสมโดยผึ้งหลวง, นก และ ค้างคาว ในการปลูกเลี้ยงเพื่อการค้านิยมขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอด", "title": "ทุเรียน" }, { "docid": "563366#10", "text": "การได้กลิ่นเปิดโอกาสให้ร่างกายรู้จำโมเลกุลสารเคมีในอากาศที่สูดเข้าไป อวัยวะดมกลิ่นที่อยู่ในด้านทั้งสองข้างของผนังกั้นโพรงจมูก ประกอบด้วยเยื่อบุผิวรับกลิ่น (olfactory epithelium) และ เนื้อเยื่อยึดต่อใต้เยื่อบุผิว (lamina propria) เยื่อบุผิวรับกลิ่นมีเซลล์รับกลิ่น (olfactory receptor cell) บุผิวด้านล่างของแผ่นกระดูกพรุน (Cribriform plate), ผิวด้านบนของแผ่นกระดูกตั้งฉากอันเป็นส่วนของกระดูกเพดานปาก (Perpendicular plate of palatine bone), และผิวด้านบนของกระดูกก้นหอยของจมูก (nasal concha) มีสารเคมีประมาณ 2% จากทั้งหมดที่สูดเข้าไปเท่านั้นที่ไปถึงอวัยวะดมกลิ่น เป็นเพียงแต่ตัวอย่างเล็กน้อยของอากาศที่สูดเข้าไป", "title": "ตัวกระตุ้น" }, { "docid": "928330#2", "text": "ชั้นเมือกที่อยู่นอกสุด เป็นที่อยู่ของซีเลียที่งอกจากเซลล์ประสาทรับกลิ่น ช่วยป้องกันเซลล์ต่าง ๆ ในเยื่อบุผิวทั้งโดยทางกายภาพและทางภูมิคุ้มกัน (ผ่านสารภูมิต้านทาน) และช่วยควบคุมระดับไอออนรอบ ๆ เซลล์\nส่วนชั้นฐานในสุดเรียกว่า lamina propia ที่แอกซอนไร้ปลอกไมอีลินของเซลล์ประสาทรับกลิ่นและเส้นเลือดหล่อเลี้ยงเยื่อบุผิวจะวิ่งไปถึง", "title": "เยื่อบุผิวรับกลิ่น" }, { "docid": "928330#12", "text": "มีต่อมแบบ Tubuloalveolar (ที่แรกยื่นออกเป็นท่อและแบ่งออกเป็นถุงรี ๆ) ที่หลั่งน้ำใสในชั้น lamina propria ของเยื่อ\nเป็นต่อมที่หลั่งสารละลายโปรตีนผ่านท่อไปยังชั้นผิวของเยื่อ\nสารละลายจะช่วยดักและละลายโมเลกุลกลิ่นสำหรับเซลล์ประสาทรับกลิ่น\nน้ำที่หลั่งออกเรื่อย ๆ จากต่อมจะช่วยล้างกลิ่นเก่า ๆ ออก", "title": "เยื่อบุผิวรับกลิ่น" }, { "docid": "928330#3", "text": "นอกจากเมือกและเซลล์ค้ำจุนที่ช่วยกำจัดสารที่เป็นอันตรายแล้ว เยื่อบุผิวยังมี macrophage ที่อยู่กระจายไปทั่วซึ่งช่วยป้องกันและกำจัดสารอันตราย และช่วยกำจัดเซลล์ประสาทรับกลิ่นที่เสียไป", "title": "เยื่อบุผิวรับกลิ่น" }, { "docid": "928330#18", "text": "การได้กลิ่นจะมีได้ก็ต้องอาศัยพัฒนาการและการทำงานร่วมกันที่สมควรระหว่างองค์ประกอบสองอย่างในวิถีประสาทการได้กลิ่นหลัก คือ เยื่อรับกลิ่นและป่องรับกลิ่น\nเยื่อรับกลิ่นประกอบด้วยเซลล์ประสาทรับกลิ่น ซึ่งส่งแอกซอนไปที่ป่องรับกลิ่น\nอนึ่ง เพื่อให้เซลล์รับกลิ่นทำงานได้อย่างถูกต้อง\nก็จะต้องแสดงออกหน่วยรับกลิ่น (Olfactory receptor) และโปรตีนถ่ายโอนสัญญาณ ณ ที่ซีเลียซึ่งเคลื่อนไหวไม่ได้และยื่นออกจากป่องเดนไดรต์", "title": "เยื่อบุผิวรับกลิ่น" }, { "docid": "246591#0", "text": "สุนัขเก็บเหยื่อ หรือ รีทรีฟเวอร์ () เป็นประเภทของสุนัข (Dog type) ที่เรียกว่าสุนัขล่าเหยื่อที่มีหน้าที่ไปเก็บเหยื่อที่นักล่าสัตว์ล่าได้ สุนัขเก็บเหยื่อเป็นสุนัขที่ผสมพันธุ์ขึ้นเพื่อใช้ในการไปนำนกหรือสัตว์อื่นกลับมาให้เจ้าของโดยไม่ทำความเสียหายให้กับเหยื่อที่คาบกลับมาแม้ว่าบางครั้งจะมีการใช้สเปเนียลหรือสุนัขชี้เหยื่อในการไปคาบเหยื่อกลับมา สุนัขเก็บเหยื่อมีความชำนาญในการหาเหยื่อที่แตกต่างจากพันธุ์อื่นตรงที่คาบไม่หลุด ฉะนั้นการผสมพันธุ์สุนัขประเภทนี้จึงเน้นให้ปากนุ่มและมีความเต็มใจที่จะเอาใจเจ้าของ, ต้องการเรียนรู้ และเชื่อฟังดี ปากนุ่มหมายถึงความเต็มใจของสุนัขที่จะคาบเหยื่อในปากโดยไม่กัดเนื้อเหยื่อ ถ้าสุนัขมี \"ปากแข็ง\" ก็เป็นจุดอ่อนของสุนัขล่าเหยื่อและยากที่จะแก้ไข ที่ทำให้เหยื่อเสียและกินไม่ได้", "title": "สุนัขเก็บเหยื่อ" }, { "docid": "216408#0", "text": "สยามโมซอรัส สุธีธรนี () เป็นไดโนเสาร์เทอโรพอด ขนาดกลาง พบครั้งแรกที่หลุมขุดค้นที่ 1 ที่ภูประตูตีหมา อุทยานแห่งชาติภูเวียง อำเภอเวียงเก่า จังหวัดขอนแก่น ชิ้นส่วนตัวอย่างต้นแบบเป็นฟัน 9 ซี่ มีลักษณะคล้ายฟันจระเข้ เป็นรูปกรวยยาวเรียว ค่อนข้างตรง และโค้งเล็กน้อยในแนวด้านหลังของฟัน บนผิวของฟันมีร่องและสันนูนเล็กๆตามแนวความยาวของตัวฟันด้านละ 15 ลายเส้นโยงจากฐานของตัวฟันไปยังส่วนของยอดฟันห่างจากส่วนปลายสุดประมาณ 5 มิลลิเมตร แต่ไม่มีลักษณะเป็นหยักแบบฟันเลื่อย ความยาวของตัวฟันทั้งหมด 62.5 มิลลิเมตร ลักษณะฟันดังกล่าวไม่เคยมีรายงานการค้นพบจากที่ใดๆในโลกมาก่อน จึงพิจารณาให้เป็นสกุลและชนิดใหม่ คือ \"สยามโมซอรัส สุธีธรนี\"", "title": "สยามโมซอรัส" } ]
1761
รัชกาลที่ 4 มีพระนามว่าอะไร ?
[ { "docid": "108892#1", "text": "เจ้าจอมมารดาเขียนมีนามเรียกขานทั่วไปว่า \"เขียนอิเหนา\" ด้วยเป็นละครหลวงที่รำเป็นตัวฃอิเหนาได้งดงามไม่มีใครสู้ เป็นเจ้าจอมที่รัชกาลที่ 4 โปรดมากท่านหนึ่ง เมื่อพระราชโอรสคือ พระองค์เจ้าวรวรรณากร (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ - 2404-2474) ประสูตินั้น รัชกาลที่ 4 พระราชทานกริชให้ นอกเหนือจากพระแสงดาบที่พระราชทานพระราชโอรสทุกพระองค์ โดยมีรับสั่งว่า \"เป็นลูกอิเหนา\"", "title": "เจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "86481#2", "text": "ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชดำริว่าพระนามของพระมหากษัตริย์สืบไปภายหน้าควรใช้แตกต่างกันทุกรัชกาล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการออกนามแผ่นดินเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จึงทรงถวายพระนามแก่สมเด็จพระบูรพกษัตริย์รัชกาลก่อนหน้าพระองค์ทั้งสามรัชกาลดังนี้นอกจากนี้ยังทรงกำหนดหลักการเฉลิมพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ตามลำดับรัชกาล โดยรัชกาลที่เป็นเลขคี่ให้ใช้คำว่า \"ปรมินทร\" รัชกาลเลขคู่ให้ใช้คำว่า \"ปรเมนทร\" เป็นเครื่องหมายสังเกต พระนามพระมหากษัตริย์ไทยตามหลักพระราชนิยมดังกล่าวตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมามีดังนี้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีโดยใช้คำนำหน้าพระนามว่า \"รามาธิบดีศรีสินทร\" ทุกรัชกาล เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459 ดังนี้", "title": "พระปรมาภิไธย (พระมหากษัตริย์ไทย)" }, { "docid": "193972#0", "text": "ในส่วนนี้จะเป็นรายพระนามพระราชโอรส พระราชธิดา และพระราชนัดดา ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี", "title": "พระราชสันตติวงศ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" } ]
[ { "docid": "86481#1", "text": "แต่เดิมนั้นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีรัชกาลที่ 1-3 นั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยของพระองค์เองโดยขึ้นต้นว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” และมีสร้อยพระนามเหมือนกันทั้ง 3 รัชกาล ราษฎรจึงต้องสมมตินามแผ่นดินเอาเองเมื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ในสมัยรัชกาลที่ 3 ราษฎรได้เรียกนามแผ่นดินรัชกาลที่ 1 ว่า \"แผ่นดินต้น\" รัชกาลที่ 2 ว่า \"แผ่นดินกลาง\" รัชกาลที่ 3 ว่า \"แผ่นดินนี้\" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ไม่ทรงโปรดการออกนามแผ่นดินดังกล่าว เนื่องจากทรงเกรงว่าต่อไปราษฎรจะเรียกรัชกาลของพระองค์ว่า \"แผ่นดินปลาย\" หรือ \"แผ่นดินสุดท้าย\" อันเป็นอัปมงคล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระมหากษัตริย์สองรัชกาลแรก ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม องค์หนึ่งถวายพระนามว่า \"พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก\" อุทิศถวายสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชรัชกาลที่ 1 และอีกองค์หนึ่งถวายพระนามว่า \"พระพุทธเลิศหล้าสุราไลย\" (ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ถวายสร้อยพระนามใหม่ว่า \"พระพุทธเลิศหล้านภาไลย\") อุทิศถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถรัชกาลที่ 2 และโปรดเกล้าฯ ให้เรียกนามแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ทั้งสองรัชกาลตามนามพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้", "title": "พระปรมาภิไธย (พระมหากษัตริย์ไทย)" }, { "docid": "852632#0", "text": "อรุ่น อรรคราชนาคภักดี (พ.ศ. 2385 — 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2467) หรือ ขรัวยายอรุ่น หรือเป็นที่รู้จักว่า เจ้าจอมอรุ่น ในรัชกาลที่ 4 มีสมญาในการแสดงว่า อรุ่นบุษบา เป็นภริยาของพระยาอรรคราชนาคภักดี (เนตร เนตรายน) และยังเคยรับราชการเป็นพระสนมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เธอมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อวง เนตรายน ถวายตัวเป็นพระสนมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ถัดมา", "title": "เจ้าจอมอรุ่น ในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "509760#0", "text": "สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 หรือสมเด็จพระมหินทราชา พระนามเดิมว่านักพระสัตถาหรือนักพระสัฏฐา เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกัมพูชาในสมัยที่กรุงละแวกเป็นราชธานี ประสูติราว พ.ศ. 2083 ครองราชสมบัติระหว่าง พ.ศ. 2119–2137 เป็นพระโอรสของสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 ในรัชกาลของพระองค์นั้น ได้ทำสงครามขับเคี่ยวกับสยามหลายครั้ง ก่อนจะรบแพ้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช จนเสียกรุงละแวกให้สยาม", "title": "สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 (นักพระสัตถา)" }, { "docid": "108892#0", "text": "เจ้าจอมมารดาเขียน (พ.ศ. 2385 - พ.ศ. 2484) เจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นธิดาของท่านอ้น และท่านอิ่ม สิริวันต์ เป็นหลานของเจ้าจอมมารดางิ้ว (หม่อมงิ้ว ในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นพระมารดาของ สมเด็จพระนางนาฏโสมนัสวัฒนาวดี บรมอรรคราชเทวี ในรัชกาลที่ 4 โดย รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเกียรติยศให้ออกนามว่า \"เจ้าจอมมารดางิ้ว\" เป็นกรณีพิเศษในฐานะที่จะเป็นขรัวยายของเจ้าฟ้าโสมนัส ที่จะประสูติแต่สมเด็จพระนางนาฏโสมนัสฯ นอกจากนี้ พระยาราชภักดี (ทองคำ) พี่ชายของเจ้าจอมมารดางิ้วเป็นต้นตระกูลสุวรรณทัต)", "title": "เจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "86481#4", "text": "แต่เมื่อรัชกาลที่ 7 เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์ก็ทรงประกาศให้การใช้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์กลับไปเป็นตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 4 เช่นเดิม เว้นแต่พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ยังคงใช้ว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ และใช้มาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การใช้คำว่า \"Rama\" แล้วตามด้วยหมายเลขลำดับรัชกาล เพื่อสื่อถึงพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ยังคงใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน", "title": "พระปรมาภิไธย (พระมหากษัตริย์ไทย)" }, { "docid": "874000#1", "text": "พระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวง มีพระนามเดิมว่า นักเยี่ยม หรือ นักนางเยี่ยม ประสูติเมื่อพ.ศ. 2394 เป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ทรงเป็นพระญาติกับเจ้าจอมมารดานักองค์อี และเจ้าจอมมารดานักองค์เภา พระสนมในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เนื่องจากเจ้าจอมมารดาทั้ง 2 เป็นเชษฐภคินีในสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ พระปัยกาของพระองค์ และเป็นพระปิตุจฉาในสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีพระอัยกาของพระองค์ เจ้าจอมมารดาทั้ง 2 ท่านจึงมีฐานะเป็นพระปัยยิกาของพระองค์", "title": "เจ้าจอมพระองค์เจ้ากำโพชราชสุดาดวง ในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "38136#0", "text": "นี่คือรายพระนามรายนามพระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "รายพระนามพระภรรยาเจ้าและพระสนมในรัชกาลที่ 4" }, { "docid": "5947#33", "text": "สามฟาโรห์ที่รู้จักกันดีที่สุดของราชอาณาจักรใหม่คือ อาเคนาเทนหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า อเมนโฮเทปที่ 4 ซึ่งทรงนับถือเทพอาเตน ทุตอังค์อามุน ผู้ที่มีอุโมงค์ฝังศพเกือบสมบูรณ์และเต็มไปด้วยและ แรเมซีสที่ 2 พยายามที่จะกู้ดินแดนในปัจจุบันอิสราเอล/ปาเลสไตน์ เลบานอนและซีเรียที่ได้รับการจัดขึ้นในสมัยราชวงศ์สิบแปด และทรงรบชนะพวกฮิตไทต์", "title": "รายพระนามฟาโรห์" } ]
1774
เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด ?
[ { "docid": "230186#0", "text": "บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (เดิม: บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด) เป็นบริษัทที่ดำเนินการผลิต ละคร เกมโชว์ วาไรตี้ ให้กับช่องวัน และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท วัน สามสิบเอ็ด จำกัด ผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการดิจิทัลทีวีช่องวันในเครือ จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จาก กสทช. ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2557 ในชื่อ บริษัท จีเอ็มเอ็มวัน ทีวี เทรดดิง จำกัด โดยจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และ กลุ่มของนายถกลเกียรติ วีรวรรณ ประกอบไปด้วย ถกลเกียรติ วีรวรรณ บริษัท ซีเนริโอ จำกัด และบริษัท วัน ทำ ดี จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 51% ต่อ 49% ด้วยทุนจดทะเบียน 900,000,000 บาท ภายหลังได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,275,000,000 บาท และได้บริษัท ประนันท์ภรณ์ จำกัด บริษัทในกลุ่มปราสาททองโอสถ ของ ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ มาร่วมเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 3,810,000,000 บาท", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" } ]
[ { "docid": "230186#2", "text": "หลังจากก่อตั้ง เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ นายถกลเกียรติ ได้รวม เอ็กแซ็กท์ และ ซีเนริโอ เข้ามาเป็นบริษัทเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการบริหาร และภายหลังจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ได้รวมเอา บริษัท มีมิติ จำกัด เข้า เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ เพื่อร่วมผลิตเกมโชว์ลงช่องวันและจีเอ็มเอ็ม 25 และเพื่อเพิ่มความสะดวกในการบริหารให้เป็นหนึ่งเดียว", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "230186#1", "text": "ในยุคเริ่มแรก ถกลเกียรติ วีรวรรณ หนึ่งในกรรมการบริษัทของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ได้ก่อตั้ง บริษัท เอ็กแซ็กท์ จำกัด และควบตำแหน่งทั้งเป็นผู้จัดละครโทรทัศน์ ผู้กำกับ และผู้จัดการทั่วไป โดยรับจ้างผลิตละคร เกมโชว์ ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ เพื่อป้อนลงสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ซึ่งเริ่มจัดตั้งบริษัทในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2534 และเริ่มออกอากาศละครซิตคอม เรื่อง \"3 หนุ่ม 3 มุม\" เป็นรายการแรกของบริษัท ต่อมา ในปี พ.ศ. 2535 ได้สร้างละครดราม่าเรื่องแรกของบริษัทเรื่อง รักในรอยแค้น และในปี พ.ศ. 2546 ถกลเกียรติ ได้ก่อตั้ง บริษัท ซีเนริโอ จำกัด โดยถือหุ้นเอง 75% และให้จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ถือหุ้น 25% โดยมีจุดประสงค์เดียวกับเอ็กแซ็กท์ คือเป็นบริษัทที่ดำเนินการผลิต ละคร เกมโชว์ วาไรตี้ และละครเวที เพื่อป้อนลงช่องต่าง ๆ ตลอดมา", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "630031#2", "text": "เจ้าของดั้งเดิมของ เอ็นบีเอ็น, เดอะ นิวคาสเซิล บรอดแคสติ่ง แอนด์ เทเลวิชั่น คอร์ปเปอร์เรชั่น (เอ็นบีทีซี) ถูกก่อตั้งในเดือนพฤษภาคมปี 1958 เพื่อเริ่มต้นการเตรียมการสำหรับการจัดสรรใบอนุญาตโทรทัศน์ที่จะเกิดขึ้น. ผู้ถือหุ้นหลักใน เอ็นบีทีซี คือ บริษัท ยูไนเต็ด บรอดแคสติ่ง (เป็นเจ้าของโดย ครอบครัวเล็ม, เจ้าของสถานีวิทยุ 2เคโอ), บริษัท แอร์เซล บรอดแคสติ่ง (เจ้าของสถานีวิทยุท้องถิ่น 2เอชดี), และ เดอะ \"นิวคาสเซิล มอร์นิ่ง เฮอร์ราด แอนด์ ไมเนอร์ แอดโวเคด\" (ที่ถูกซื้อโดย จอห์นเวลล์ แอนด์ ซัน จำกัด). ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของ คณะกรรมการควบคุมบีบีซีของออสเตรเลีย, อย่างน้อย 50% ของ บริษัท จะต้องเป็นเจ้าของท้องถิ่น. 750,000 หุ้นที่ได้รับการทำใช้ได้โดย เดอะ เอ็นบีทีซี (10 เพนนีเทียบเท่ากับ 1 ดอลล่าร์ออสเตรเลลีย). ประมาณ 2,000 คนซื้อหุ้น.", "title": "เอ็นบีเอ็น เทเลวิชั่น" }, { "docid": "42150#3", "text": "แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น ก่อตั้งใน พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) จากผู้ก่อตั้งสองคน คือ เจย์ แวน แอนเดล และ ริช เดอโวส โดยเริ่มต้นธุรกิจจากห้องใต้ดินที่บ้านของทั้งสองที่เมืองเอด้า รัฐมิชิแกน ปัจจุบันได้ขยายสำนักงานใหญ่ที่เมืองเอด้า มีอาคารมากกว่า 80 หลัง พื้นที่ใช้สอยมากกว่า 4 ล้านตารางฟุต มีความยาวมากกว่า 1 ไมล์ (1.6 กม.) และมีเนื้อที่มากกว่า 255 เอเคอร์ (104 เฮคตาร์) รวมเนื้อที่ถึง 200,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยอาคารสำนักงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนา โรงงานผลิต และคลังสินค้าที่ทันสมัย", "title": "แอมเวย์" }, { "docid": "18805#2", "text": "แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1969, โดยกลุ่มผู้บริหารเดิมจาก Fairchild Semiconductor, ประกอบด้วย เจอรี่ แซนเดอร์ เอ็ดวิน เทอร์นี่, จอห์น คาเรย, สเวน ซิมอนเซน, แจ๊ค กิฟฟอร์ด และ สมาชิก 3 คนในกลุ่มของแจ๊ค, แฟรงค์ บ๊อทเต้, จิม ไจลส์, และ แลรี่ สเตรนเจอร์.โดยที่บริษัทเริ่มผลิต ลอจิกชิป , ต่อมาจึงเข้าสู่ธุรกิจการผลิตแรมในปี 1975. และในปีเดียวกันนี้เอง พวกเขาก็เริ่มจำหน่ายสิ่งที่ได้จากการทำสถาปัตยกรรมย้อนกลับซึ่งเป็นสิ่งที่เลียนแบบมาจาก หน่วยประมวลผล Intel 8080. ในช่วงเวลานั้น,เอเอ็มดีก็ได้ออกแบบและสร้างหน่วยประมวลผลในซีรีส์ (Am2900, Am29116, Am293xx) ซึ่งถูกนำมาใช้แพร่หลายในการออกแบบวงจรของมินิคอมพิวเตอร์เวลาต่อมา, เอเอ็มดีก็พยายามที่จะทำให้โปรเซสเซอร์เล็กลง โดยการรวม AMD 29K processor, ให้เข้ากับ อุปกรณ์กราฟิกและเสียง เช่นเดียวกับหน่วยความจำแบบ EPROM. โดยมันเสร็จในช่วงกลางปี 1980 เรียกกันว่า AMD7910 and AMD7911 \"World Chip\" โดยเป็นอุปกรณ์แรกๆที่ ครอบคลุมทั้ง Bell และCCITT. โดย AMD 29K ยังเป็น embedded processor อีกด้วย และ เอเอ็มดี ยังแยกให้ Spansion ออกไปเพื่อสร้าง หน่วยความจำแฟลช. เอเอ็มดี ยังตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแนวทางสู้กับหน่วยประมวลผลจาก อินเทล โดยวางให้เป็นธุรกิจหลัก และให้ตลาดหน่วยความจำแฟลชเป็นตลาดรอง", "title": "เอเอ็มดี" }, { "docid": "630031#8", "text": "เอ็นบีเอ็น เทเลวิชั่น เริ่มส่งในวันที่ 4 มีนาคม 1962. โปรแกรมแรกในคืนวันเปิดตัวเริ่มต้นเวลา 18:00, ต้อนรับโดยการบันทึกเทป เดอะ เดน-โพสมาสเตอร์ เจนเนอรัล ชาร์เลส เดวิสสัน. ตามด้วยการทัวร์รอบ เอ็นบีเอ็น สตูดิโอ โดย ผู้จัดการฝ่ายผลิตเดิม, เมททิว แทป.", "title": "เอ็นบีเอ็น เทเลวิชั่น" }, { "docid": "230186#3", "text": "เอ็กแซ็กท์และซีเนริโอ ได้ผลิตรายการโทรทัศน์และละครโทรทัศน์ต่างๆ ทั้งเกมโชว์ ควิซโชว์ เกมโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน ทอล์คโชว์ วาไรตี้โชว์ วาไรตี้โชว์ซิตคอม ละครโทรทัศน์ ละครซิทคอม ละครซีรีส์ และเรียลลิตี้โชว์เป็นจำนวนกว่า 250 รายการ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีโทรทัศน์ไอทีวี และสถานีโทรทัศน์วัน \nปัจจุบันเอ็กแซ็กท์และซีเนริโอมีรายการโทรทัศน์และละครโทรทัศน์ที่กำลังออกอากาศอยู่เป็นจำนวน 12 รายการ เป็นรายการประเภทเกมโชว์ วาไรตี้โชว์ ละครโทรทัศน์และละครซิตคอม ออกอากาศทางช่องวัน 31", "title": "เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์" }, { "docid": "114224#3", "text": "อะเว็นจด์เซเวนโฟลด์ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2542 ที่ฮันติงตันบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย สมาชิกในขณะนั้น ประกอบด้วย เอ็ม. แชโดวส์, แซกกี เวนเจนซ์, เดอะเรฟ และแมตต์ เวนดต์ โดยเอ็ม. แชโดวส์เป็นคนคิดชื่อของวงที่อ้างอิงมาจากเรื่องของเคนและอาเบล จากคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งสามารถพบได้ในพระธรรมปฐมกาล 4:24 อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่ได้เป็นวงดนตรีทางศาสนาแต่อย่างใด ในขณะก่อตั้ง สมากชิกวงแต่ละคนได้นำเอานามแฝง ซึ่งมีอยู่แล้วในชื่อเล่นของพวกเขาจากสมัยที่อยู่ในโรงเรียนมัธยม ต่อมาแมตต์ เวนดต์ ได้ถูกแทนที่โดยจัสติน เซน ซึ่งเป็นมือเบสเดิมของวงสเบอร์เบินเลเจินดส์ (Suburban Legends)", "title": "อะเว็นจด์เซเวนโฟลด์" }, { "docid": "352374#7", "text": "ละครในปี พ.ศ. 2560 เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้นำมาสร้างใหม่เพื่อออนแอร์ลงช่องวัน เดิมทีมีแผนให้ ชนะ คราประยูร ซึ่งเคยกำกับเวอร์ชันที่แล้วมากำกับเวอร์ชันนี้ด้วย แต่ภายหลังได้เปลี่ยนผู้กำกับเป็นสันต์ ศรีแก้วหล่อ ที่เคยฝากผลงานละครฟอร์มดีของค่ายไว้มากมาย อาทิ ฟ้าเพียงดิน, เลือดขัตติยา, แก้วลืมคอน, รักหลอก ๆ อย่าบอกใคร, ลิขิตรัก ลิขิตเลือด, ละอองดาว, หัวใจศิลา, แก้วล้อมเพชร, ชิงชัง, ตราบาปสีขาว, เรือนแพ, ดอกโศก, คู่กรรม, แผนรัก แผนร้าย, อีสา-รวีช่วงโชติ, บัลลังก์เมฆ, พิษสวาท ฯลฯ", "title": "แต่ปางก่อน" } ]
1775
ทะเลลึกมีสิ่งมีชีวิตดำรงชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?
[ { "docid": "238905#15", "text": "เราเชื่อกันมาช้านานว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยพลังงานจากแสงอาทิตย์ แต่สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลลึกอาศัยอยู่ในที่แสงอาทิตย์ส่องลงไปไม่ถึง ดังนั้นพวกมันทั้งหลายจะต้องดำรงอยู่ได้ด้วยสารอาหารจากการสะสมตัวทางเคมีและของไหลไฮโดรเทอร์มอลที่พวกมันอาศัยอยู่ แต่ก่อนนี้นักชีววิทยาทางทะเลเชื่อกันว่าสิ่งมีชีวิตบริเวณปล่องเหล่านี้พึ่งอาศัยเหล่าเศษชิ้นส่วนอาหารที่ล่องลอยไปมาที่ระดับบนของมหาสมุทรเหมือนกับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลลึกทั่วไปทั้งหลาย จึงทำให้เข้าใจว่าพวกมันก็ต้องพึ่งอาศัยสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชที่ต้องการแสงอาทิตย์ในการสังเคราะห์แสง หากสิ่งมีชีวิตจากปล่องไฮโดรเทอร์มอลเหล่านี้พึ่งอาหารจากเศษชิ้นส่วนเหล่านี้ด้วยข้อจำกัดของระบบย่อมจะพบสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลลึกในปริมาณที่เบาบางมาก ๆ แต่ในข้อเท็จจริงกลับพบว่าในเขตปล่องไฮโดรเทอร์มอลกลับมีความหนาแน่นของสิ่งมีชีวิตระหว่าง 10,000 ถึง 100,000 เท่าหรือมากกว่านี้ทีเดียว", "title": "ปล่องแบบน้ำร้อน" }, { "docid": "50543#1", "text": "มหาสมุทรเป็นบ้านของสิ่งมีชีวิตมากมายบนโลกนี้ ทว่าเพราะขนาดที่ใหญ่และความซับซ้อนของมหาสมุทรนั้นทำให้มีหลายๆส่วนที่ยังไม่ถูกสำรวจ ทั้งนี้เราจึงไม่สามารถคาดเดาจำนวนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมหาสมุทรทั้งหมดได้ ประมาณ 71% ของพื้นผิวโลกนั้นครอบคลุมด้วยมหาสมุทร ที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่มีการศึึกษาในชีววิทยาทางทะเลนั้นมีหลากหลายตั้งแต่ ในชั้นบางๆของแรงตึงผิว ระหว่างน้ำและชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตเล็กๆ ไปจนถึง ร่องลึกก้นสมุทร ซึ่งสามารถมีความลึกได้มากกว่า 10,000 เมตรใต้ผิวน้ำ โดยจำเพาะตัวอย่างของที่อยู่อาศัยมีเช่น พืดหินปะการัง ป่าสาหร่ายเคลป์ (kelp forests) ทุ่งหญ้าทะเล ภูเขาไฟใต้น้ำ ปล่องไฮโดรเทอร์มอล แอ่งหิน พื้นโคลน พื้นทราย และ พื้นหินใต้ทะเล รวมไปถึงพื้นน้ำ (pelagic zone) ซึ่งปราศจากของแข็งและมีเพียงผิวน้ำที่เป็นขอบเขตที่สังเกตได้ สิ่งมีชีวิตที่ศึกษาก็มีตั้งแต่ ที่มีขนาดเล็กมากอย่าง แพลงก์ตอนพืช และ แพลงก์ตอนสัตว์ ไปจนถึง สัตว์ในไฟลัม ซีทาเซียซีทาเซีย (อันดับวาฬและโลมา) ซึ่งมีขนาดลำตัวยาวได้ถึง 30 เมตร หรือ 98 ฟุต", "title": "ชีววิทยาทางทะเล" }, { "docid": "781294#3", "text": "ขณะนี้มีเพียงประมาณ 1% ของท้องทะเลลึกทั้งหมดทีมนุษย์เคยสำรวจเมื่อเทียบกับการศึกษาจักรวาลแล้วเรายังรู้จักจักรวาลและดวงจันทร์ดีกว่าทะเลลึกเสียอีกเนื่องจากไม่มีใครรู้เรื่องของอายุขัยบนพื้นมหาสมุทรลึกหรือการค้นพบโคโลนีที่เจริญเติบโตของกุ้งและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รอบ ๆ ปล่องแบบน้ำร้อนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ซึ่งก่อนที่จะมีการค้นพบปล่องแบบน้ำร้อนนั้นนักวิทยาศาสตร์ได้มีการยอมรับว่าทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกได้รับพลังงานที่มาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งจาการค้นพบปล่องแบบน้ำร้อนนี้ทำให้พบว่าสิ่งมีชีวิตทะเลลึกได้รับสารอาหารและพลังงานโดยตรงจากแหล่งความร้อนและปฏิกิริยาทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของแร่ ซึ่งสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีแสงและใช้ออกซิเจนในน้ำเกลือที่มีอุณหภูมิ 300 ° F (150 ° C)และพวกมันยังได้รับการยังชีพของพวกมันโดยใช้ไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นพิษอย่างมากต่อสิ่งมีชีวิตบนผิวโลก การค้นพบสิ่งมีชีวิตที่ทรหดและอยู่ในสถานที่ ๆ เลวร้ายเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องเปลี่ยนความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการกำเนิดสิ่งมีชีวิตและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตในที่อื่น ๆ ของจักรวาลทำให้กวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่ายูโรปาซึ่งเป็นดวงจันทร์ดวงหนึ่งของดาวพฤหัสบดีอาจจะสามารถรองรับชีวิตใต้พื้นผิวน้ำแข็งได้โดยอาจมีสภาพเหมือนกันกับใต้ทะเลลึกของโลก", "title": "ทะเลลึก" }, { "docid": "781294#17", "text": "เป็นเวลานานมากที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไม่มีชีวิตที่จะสามารถอาศัยอยู่ในทะเลลึกได้ แต่ในตอนนี้การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันเป็นตรงกันข้ามเลย ท้องทะเลลึกเป็นที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในความมืดทั้งหลายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากแปลกประหลาดและไม่เคยพบเจอที่ไหน ทั้งนี้สัตว์ทะเลลึกมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถต้านทานแรงดันน้ำได้ถึง 1,000 เท่าซึ้งเยอะมากกว่าความดันของอากาศบนบก ปลาบางชนิดในทะเลน้ำลึกมันมักจะกินสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและปลาอื่น ๆ อีกทั้งพวกมันมีขากรรไกรขนาดใหญ่และยาวที่ยืนอยู่ด้านหลังฟันโดยทุกอย่างที่แหวกว่ายอยู่จะถูกพวกมันคว้าและกลืน ปลาบางชนิดมีการขยายท้องเพื่อให้พวกมันสามารถที่จะกินเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองได้ ที่ใต้ทะเลลึกนั้นสิ่งชีวิตส่วนมากเป็นดอกไม้ทะเล, เวิร์ม, ปลิงทะเล, ดาวเปราะปู, กุ้งและอื่น ๆ", "title": "ทะเลลึก" }, { "docid": "906886#1", "text": "ในคริสต์ทศวรรษ 1980 ถึง 1990 นักชีววิทยาพบว่าจุลินทรีย์มีความยืดหยุ่นมากในการดำรงชีพอยู่ในสิ่งแวดล้อมสุดขั้ว ตัวอย่างเช่น สิ่งแวดล้อมที่เป็นกรดหรือร้อนเป็นพิเศษ ซึ่งสิ่งมีชีวิตซับซ้อนไม่สามารถอยู่ได้เลย นักวิทยาศาสตร์บางส่วนถึงกับสรุปว่า สิ่งมีชีวิตอาจเริ่มต้นบนโลกในปล่องไฮโดรเทอร์มัลใต้ผิวมหาสมุทร Steinn Sigurdsson นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ กล่าวว่า \"พบสปอร์แบคทีเรียมีชีวิตที่มีอายุ 40 ล้านปี และเราทราบว่าพวกมันทนทานต่อกัมมันตรังสี\" วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 นักวิทยาศาสตร์รายงานว่า พบแบคทีเรียอาศัยอยู่ในที่เย็นและมืดในทะเลสาบที่ฝังอยู่ใต้น้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกาลึกครึ่งไมล์ วันที่ 17 มีนาคม 2556 นักวิจัยรายงานข้อมูลที่เสนอว่ารูปแบบชีวิตจุลินทรีย์เติบโตในร่องลึกมาเรียนา ซึ่งเป็นสถานที่ลึกที่สุดในมหาสมุทรของโลก", "title": "อิกซ์ตรีโมไฟล์" }, { "docid": "781440#4", "text": "วงจรชีวิตของปลาทะเลน้ำลึกส่วนใหญ่จะเป็นไข่และตัวอ่อนตรงน้ำตื้นและลงน้ำลึกเมื่อโตเต็มวัย โดยไข่อาจจะลอยเป็นแพลงค์ตอนหรือวางไว้ในหลุมก็ได้แล้วแต่ชนิดของปลาเมื่อพวกมันโตเต็มที่พวกมันจะมีการดัดแปลงร่างกายเนื่องจากความหนาแน่นของน้ำทำให้ตัวพวกมันนั้นลอยน้ำได้จึงต้องเพิ่มความหนาแน่นของตัวมันให้มากกว่าน้ำรอบ ๆ ด้วยการทำให้เนื้อเยื่อส่วนมีลักษณะเป็นเนื้อเหลว ๆ เหมือวุ้นเพื่อสร้างสมดุลสิ่งมีชีวิตส่วนมากใต้ทะเลพัฒนาถุงลมของพวกมัน แต่เนื่องจากความดันที่สูงมากของสภาพแวดล้อมนี้ปลาทะเลลึกจึงมักจะไม่ได้มีอวัยวะนี้ แต่ถึงอย่างนั้นปลาทะเลลึกที่อยู่ลึกมาก ๆ นั้นจะมีกล้ามเนื้อที่เหมือนวุ้นและมีโครงสร้างกระดูกน้อยเพราะพวกมันลดความหนาแน่นของเนื้อเยื่อโดยเพิ่มไขมันให้สูงขึ้นและลดน้ำหนักโครงกระดูกลงเพื่อลดขนาดความหนาและปริมาณแร่และการสะสมน้ำจึงทำให้พวกมันช้าและคล่องตัวน้อยกว่าปลาบนผิวน้ำ", "title": "ปลาทะเลลึก" }, { "docid": "781294#1", "text": "ตั้งแต่อดีตจนถึงประมาณปลายศตวรรษที่ 19 มนุษย์เชื่อว่าใต้ทะเลลึกนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งช่วง พ.ศ. 2415-2419 เรือขุดเจาะและเรือลากได้นำสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกมากมายขึ้มมาให้ได้เห็นกันแต่ถึงอย่างนั้นนักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 20 ก็ยังคิดว่าสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกนั้นเป็นเรื่องเหลวไหลและงมงาย เพราะทะเลลึกเป็นสถานที่ ๆ มืดมิดแรงกดดันของน้ำมหาศาลและมีอุณหภูมิหนาวเย็นจึงทำให้พวกเขาคิดเช่นนั้น แต่สิ่งที่เป็นจริงนั้นกับตรงกันข้ามเพราะแหล่งที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์ทะเลส่วนมากในมหาสมุทรอยู่ที่ระดับความลึกที่ต่ำกว่า 200 เมตรลงไป", "title": "ทะเลลึก" }, { "docid": "781294#0", "text": "ทะเลลึก() เป็นชั้นของระดับน้ำที่มีความลึกตั้งแต่ 200 เมตรลงไปซึ่งนับเป็น 70% ของน้ำในมหาสมุทรทั่วโลกเป็นที่ ๆ มีแสงน้อยจนถึงไม่มีแสงเลยสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อาจจะกินสารอินทรีย์หรือซากศพจากทะเลด้านบนด้วยเหตุนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์เคยสันนิษฐานว่าจะมีสิ่งมีชีวิตชีวิตจำนวนน้อยมากในมหาสมุทรลึก แต่จากการตรวจสอบนั้นได้เปิดเผยว่ามันเป็นอะไรตรงกันข้ามกับการสันนิฐานนั้นเพราะมันมีสิ่งมีชีวิตมากมายในทะเลลึกลึกนอกจากนี้ยังสามารถเห็นการพัฒนาการที่ความหลากหลายมากมายของสิ่งมีชีวิตเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตอยู่อีกทั้งยังมีห่วงโซ่อาหารและขยะหรือจากซากสัตว์ แบคทีเรียต่าง ๆ", "title": "ทะเลลึก" } ]
[ { "docid": "50543#2", "text": "ทั่วโลกนั้นมีสิ่งมีชีวิตในทะเลเป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งยา และแหล่งวัตถุดิบ รวมไปถึงเป็นสิ่งที่ส่งเสริม นันทนาการ และ การท่องเที่ยว โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งมีชีวิตในทะเลนั้นช่วยกำหนดธรรมชาติของโลก โดยช่วยสร้างสมดุลใน วัฏจักรออกซิเจน และยังมีส่วนช่วยกำกับภูมิอากาศของโลก  นอกจากนั้นสิ่งมีชีวิตในทะเลยังช่วยสร้างและปกป้องชายฝั่ง อีกด้วย", "title": "ชีววิทยาทางทะเล" }, { "docid": "2644#7", "text": "ประมาณยี่สิบสี่ธาตุมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตหลายชนิด ธาตุหายากส่วนใหญ่บนโลกไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต (ยกเว้น เซเลเนียมหรือไอโอดีน) ขณะที่ธาตุส่วนน้อยที่พบได้ค่อนข้างทั่วไป (อะลูมิเนียมและไทเทเนียม) ไม่จำเป็น สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีความต้องการธาตุร่วมกัน แต่มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างพืชและสัตว์ ตัวอย่างเช่น สาหร่ายมหาสมุทรใช้โบรมีน แต่พืชบกและสัตว์ดูเหมือนไม่ต้องการเลย สัตว์ทุกชนิดต้องการโซเดียม แต่พืชบางชนิดไม่ต้องการ พืชต้องการโบรอนและซิลิกอน แต่สัตว์ไม่ต้องการหรืออาจต้องการในปริมาณเล็กน้อยมาก) มีเพียงหกธาตุ ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน แคลเซียม และฟอสฟอรัส ประกอบกันขึ้นเป็นเกือบ 99% ของมวลร่างกายมนุษย์ นอกเหนือไปจากหกธาตุหลักซึ่งประกอบเป็นร่างกายมนุษย์ส่วนใหญ่นั้น มนุษย์ยังต้องการบริโภคธาตุอีกอย่างน้อยสิบสองธาตุ", "title": "ธาตุ" }, { "docid": "781294#10", "text": "สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลนั้นส่วนใหญ่มีการปรับตัวที่แปลกประหลาดเช่นการเรืองแสง มีปากที่ใหญ่มีฟันที่แหลมคม โครงสร้างที่สามารถกัดกินเหยือได้โดนไม่เกี่ยงขนาด อีกทั้งพวกมันยังมีตาที่ไวต่อแสงมีช่องมองภาพที่สามารถเห็นเงาของเหยื่อได้ แต่เหยือก็มีการปรับตัวเช่นกันด้วยการทำให้ตัวเองรีบแบนและลดเงาด้วยการเรืองแสงและการที่มีอวัยวะเรืองแสง(photophores)ใต้ท้องเพื่อปรับแสงให้เข้ากับด้านบนตัวปลาเพื่อให้นักล่าจากด้านล่างไม่สามารถมองเห็นมันได้อีกด้วย", "title": "ทะเลลึก" } ]
1780
บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "39683#2", "text": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2532 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ที่มีคุณภาพ ประกอบด้วยสาระ และความบันเทิง ซึ่งในระยะเริ่มต้น มีบุคลากรเพียง 10 คน จนกระทั่งปัจจุบัน มีบุคลากรในฝ่ายต่าง ๆ มากกว่า 1,000 คน เพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2547 และใช้ชื่อย่อในการซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ว่า “WORK”", "title": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "43301#4", "text": "ในปี พ.ศ. 2532 ปัญญาร่วมกับ ประภาส ชลศรานนท์ นักคิดนักเขียนที่มีผลงานมากมายทางด้านเพลง หนังสือ และโทรทัศน์ ก่อตั้ง \"บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด\" () เพื่อผลิตรายการโทรทัศน์ และละครโทรทัศน์ โดยรายการแรกของบริษัทคือ \"เวทีทอง\" และ ในปีต่อมาคือ รายการชิงร้อย ชิงล้าน ผลงานรายการ และละครของเวิร์คพอยท์ ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังแก่บริษัทเป็นอย่างมาก", "title": "ปัญญา นิรันดร์กุล" } ]
[ { "docid": "39683#0", "text": "บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทผลิตสื่อบันเทิงแห่งหนึ่งของไทย มีปัญญา นิรันดร์กุลเป็นประธานบริษัท ประภาส ชลศรานนท์เป็นรองประธานบริษัท ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ระบบดิจิทัล สถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ ใช้ชื่อว่า ช่องเวิร์คพอยท์ (หมายเลข 23) โดยในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556 บมจ.เวิร์คพอยท์ฯ เข้าร่วมประมูลช่องรายการ และผ่านการประมูลในประเภทภาพคมชัดปกติ หมายเลขช่อง 23 โดยเริ่มทดลองออกอากาศภาคพื้นดิน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 เป็นช่องที่ได้รับความนิยมจากผู้ชมสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2559", "title": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "330907#0", "text": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เริ่มทำการผลิตรายการ \"เวทีทอง\" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เป็นรายการแรก ต่อมา บริษัทขยายการผลิตรายการและละครประเภทต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบ เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำเสนอออกอากาศมาโดยตลอดระยะเวลา 28 ปี ของการดำเนินงานธุรกิจผลิตและรับจ้างผลิตรายการโทรทัศน์ โดยบริษัทมีทีมครีเอทีฟที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีประสบการณ์สร้างสรรค์ผลงานคุณภาพ เช่น เกมโชว์, ควิซโชว์, เรียลลิตี้เกมโชว์, เรียลลิตี้เกมโชว์ควิซโชว์, เรียลลิตี้โชว์, วาไรอิตีโชว์, เกมโชว์ควิซโชว์สำหรับเด็กและเยาวชน, เรียลลิตี้โชว์สำหรับสำหรับเด็กและเยาวชน, เกมโชว์ซิตคอม, ละครซิตคอม, วาไรตี้โชว์ซิตคอม, วาไรตี้โชว์วันหยุดนักขัตฤกษ์, ละครซิตคอมวันหยุดนักขัตฤกษ์, รายการวันหยุดนักขัตฤกษ์, ละครโทรทัศน์เรื่องยาว, วาไรอิตีโชว์และละครเรื่องยาว, ละครเทิดพระเกียรติ และ สารคดีทางโทรทัศน์ โดยนำไปออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ นั่นคือ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3, สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5, สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7, สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์, สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย, สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และ ช่องเวิร์คพอยท์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ชมทุกเพศทุกวัย โดยแต่ละรายการของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จ และยังได้รับรางวัลในหลากหลายสาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น รางวัลเมขลา, รางวัลโทรทัศน์ทองคำ, รางวัลศิลปินแห่งชาติ จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และรางวัลโทรทัศน์แห่งเอเชีย (เอเชี่ยนเทเลวิชั่นอวอร์ดส์) เป็นต้น รวมถึงยอดขายโฆษณาที่สม่ำเสมอของทางบริษัทฯ", "title": "รายชื่อผลงานของเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "963055#0", "text": "บริษัท โต๊ะกลมโทรทัศน์ จำกัด เป็นบริษัทผลิตสื่อบันเทิงแห่งหนึ่งของประเทศไทย ในเครือบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2547 โดยมี ปัญญา นิรันดร์กุล และ ธีรวัฒน์ อนุวัตรอุดม เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง โดยเวิร์คพอยท์ถือหุ้น 75% ส่วนธีรวัฒน์ถือหุ้น 25% ปัจจุบันทางบริษัทผลิตสื่อบันเทิงในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น รายการโทรทัศน์ ซีรีส์ ซิทคอม ภาพยนตร์ คอนเสิร์ต ละครเวที หรือมิวสิกวิดีโอ ออกมาสู่สายตาผู้ชมมากมาย จนได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายๆ ประเภท ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรายการโทรทัศน์ทั้งหมดด้านล่างนี้ออกอากาศทางช่องเวิร์คพอยท์", "title": "โต๊ะกลมโทรทัศน์" }, { "docid": "43301#5", "text": "จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2547 ปัญญาได้นำบริษัทเวิร์คพอยท์เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขยายกิจการมาเป็น บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และวันที่ 24 เมษายน 2551 ได้มีพิธีเปิดอาคารสำนักงานและสตูดิโอบนเนื้อที่กว่า 25 ไร่ ตั้งอยู่ในซอยเลียบคลองเปรมประชากร ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี เพื่อผลิตรายการคุณภาพในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชน และได้รับรางวัลต่างๆมากมายจากทุกสถาบันในประเทศไทย รวมทั้งรางวัลในระดับนานาชาติ เช่น Asian Television Awards ที่ประเทศสิงคโปร์ และ INTERNATIONAL EMMY AWARDS จากประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นขยายมาสู่ธุรกิจโทรทัศน์ดาวเทียม ในชื่อ เวิร์คพอยท์ทีวี ต่อมาได้ร่วมประมูลช่องทีวีดิจิตอลความคมชัดมาตรฐาน (SD) และได้รับใบอนุญาตออกอากาศ โดยเริ่มทดลองออกอากาศวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 โดยใช้ชื่อช่องเวิร์คพอยท์ ออกอากาศอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 25 เมษายน 2557 หลังจากออกอากาศเรตติ้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ AGB Nielsen พบว่าออกอากาศได้เพียง 6 เดือน เรตติ้งของช่องพุ่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของประเทศ นับรวมทั้งช่องดิจิตอลทีวีและช่องแอนะล็อก และเป็นอันดับ 1 ของทีวีดิจิตอล นอกจากนี้แล้ว ยังได้ร่วมกับ KBank เปิดโรงละคร Kbank สยามพิฆเนศ ที่ชั้น 7 สยามสแควร์วัน โดยเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มีนาคม 2558", "title": "ปัญญา นิรันดร์กุล" }, { "docid": "20761#3", "text": "ประภาส ชลศรานนท์ ร่วมกับ ปัญญา นิรันดร์กุล ก่อตั้ง บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด และบริหารร่วมกัน กระทั่งบริษัทเติบโต เป็น บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในปี พ.ศ. 2547 นอกจากบริหารบริษัทแล้ว ยังสร้างสรรค์ผลงานการผลิตรายการโทรทัศน์ ก่อตั้ง \"กลุ่มกระดาษพ่อ ดินสอแม่\" เพื่อเขียนบท ละคร แต่งเพลง และอำนวยการผลิต ละครเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๙ ชุด “พ่อ” และที่สำคัญ เนื่องในโอกาสมหามงคล ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ในปี พ.ศ. 2549 ประภาส ร่วมกับ บมจ.เวิร์คพอยท์ และ เครือซิเมนต์ไทย จัดทำ สารคดีในรูปแบบใหม่คือ สารคดีดนตรีเล่าเรื่อง ชื่อ \"น้ำคือชีวิต\" เป็นการถ่ายทอด พระราชกรณียกิจ ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในเรื่องของ \"น้ำ\" ให้พสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ได้เห็น และตระหนักถึง สิ่งที่ทรงทำ เกี่ยวกับ เรื่องของ \"น้ำ\" มาโดยตลอด น้ำคือชีวิตเป็นสารคดีทีเล่าด้วยเพลงที่ขับร้องและบรรเลงโดย ศิลปินสามวง คือ คาราบาว เฉลียง และโมเดิร์นด็อก รวมทั้งละครเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ “เหมือนแม่ครึ่งหนึ่งก็พึงใจ” , “ผู้หญิงที่อยากกอดตลอดชีวิต” , “ชัยชนะของแม่” ฯลฯ และเป็นผู้คิดค้นรายการที่เป็นต้นฉบับของคนไทย เช่น คุณพระช่วย , อัจฉริยะข้ามคืน , แฟนพันธุ์แท้ , เกมทศกัณฐ์ , สู้เพื่อแม่ , ชิงช้าสวรรค์ ฯลฯ", "title": "ประภาส ชลศรานนท์" }, { "docid": "39683#4", "text": "นอกจากนี้ เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ ยังได้มีโอกาสร่วมมือกับ สถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคแห่งประเทศญี่ปุ่น ผลิตรายการ ทู เวย์ เอเชีย ซึ่งถ่ายทอดสดข้ามประเทศ ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2534 รวมถึงการจำหน่ายลิขสิทธิ์ของรายการเกมจารชน ให้กับสถานีโทรทัศน์ในประเทศอินโดนีเซีย เพื่ออนุญาตให้นำรูปแบบของรายการดังกล่าว ไปผลิตและออกอากาศที่อินโดนีเซีย การจำหน่ายลิขสิทธิ์ของรายการแฟนพันธุ์แท้ เพื่ออนุญาตให้นำรูปแบบของรายการดังกล่าว ไปผลิตและออกอากาศที่สวีเดนและสหราชอาณาจักร การพัฒนารูปแบบรายการระดับโลกคือรายการเดอะแบนด์เพื่อขายลิขสิทธิ์ให้กับประเทศอื่นอีกด้วย", "title": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "39683#3", "text": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เริ่มทำการผลิตรายการ เวทีทอง ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เป็นรายการแรกในปี พ.ศ. 2532 ต่อมาได้ขยายการผลิตรายการและละครประเภทต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายสถานี เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำเสนอออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆมาโดยตลอดเป็นระยะเวลา 29 ปี เช่น เกมโชว์, ควิซโชว์, เรียลลิตี้เกมโชว์ควิซโชว์, เรียลลิตี้โชว์, วาไรตี้โชว์, ทอล์กโชว์, เกมโชว์สำหรับเด็ก, ควิซโชว์สำหรับเด็ก, เรียลลิตี้โชว์สำหรับเด็ก, เกมโชว์ซิทคอม, ละครซิทคอม, วาไรตี้โชว์ซิทคอม, รายการวันหยุดนักขัตฤกษ์, ละครซิทคอมวันหยุดนักขัตฤกษ์, วาไรตี้โชว์วันหยุดนักขัตฤกษ์, ละครโทรทัศน์เรื่องยาว, วาไรตี้โชว์และละครเรื่องยาว, ละครเทิดพระเกียรติ และสารคดีโทรทัศน์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากผู้ชมทุกเพศ ทุกวัย และยังได้รับรางวัลในหลากหลายสาขา ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เช่น รางวัลเมขลา รางวัลโทรทัศน์ทองคำ รางวัลนาฏราช TOP AWARDS รางวัลจากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ รางวัลสื่อมวลชนดีเด่น CATHOLIC MEDIA AWARDS รางวัลองค์กรดีเด่นแห่งปี 2557 ในงาน CEO THAILAND AWARDS 2014 รางวัลโทรทัศน์แห่งเอเชียASIAN TELEVISION AWARDS (เอเชี่ยน เทเลวิชั่น อวอร์ดส์) รางวัลMaximilian Award รางวัลอินเตอร์ เนชั่นแนล เอมมี่ อวอร์ด รางวัลด้านนวัตกรรมแห่งการสร้างสรรค์และคุณภาพ THE NEW ERA AWARD FOR TECHNOLOGY, INNOVATION & QUALITY จากสถาบัน ASSOCIATION OTHER WAYS MANAGEMENT & CONSULTING PARIS – FRANCE รางวัลองค์กรที่มีการบริหารจัดการภายในยอดเยี่ยม European Award for Best Practices 2016 จากสถาบัน European Society for Quality Research (ESQR) รางวัลวัลองค์กรคุณภาพยอดเยี่ยม The Global Award For Perfection Quality and Ideal Performance จาก OMAC (OTHERWAYS MANAGEMENT AND CONSULTING) เป็นต้น", "title": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์" }, { "docid": "39683#8", "text": "ช่องโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมของตนเองชื่อว่า เวิร์คพอยท์ทีวี โดยลงทุน 100 ล้านบาท และเริ่มทดลองออกอากาศ บันทึกการแสดงสด คุณพระช่วยสำแดงสด ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ต่อมาเริ่มทดลองออกอากาศตามผังรายการ ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554 เวลา 18.00 น. โดยนำครัวตัวเอ้ มาแพร่ภาพเป็นรายการแรก ซึ่งอยู่ในระยะนี้ เป็นเวลา 5 เดือน 16 วัน และเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ซึ่งเลื่อนมาจากกำหนดการเดิม คือวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555 เนื่องจากอาคารปฏิบัติการของ บมจ.เวิร์คพอยท์ฯ ที่ปทุมธานีประสบอุทกภัย\nจนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2556 บมจ.เวิร์คพอยท์ฯ ได้เข้าร่วมประมูลช่องทีวีดิจิตอล ซึ่งประกอบไปด้วยช่องความคมชัดมาตรฐาน (SD) จำนวน 7 ช่อง, ช่องความคมชัดสูง (HD) จำนวน 7 ช่อง, ช่องข่าวสารและสาระ จำนวน 7 ช่อง และช่องเด็กและครอบครัว จำนวน 3 ช่อง", "title": "เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์" } ]
1792
สหภาพโซเวียต ก่อตั้งขึ้นเมื่อไหร่?
[ { "docid": "4165#32", "text": "สหภาพโซเวียตเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐซึ่งมีสมาชิกเป็นรัฐที่รวมกันเช่นยูเครน และ เบียโลรัสเซีย (สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต) กับรัฐสหพันธรัฐเช่น รัสเซีย และทรานส์คอเคซัส (สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต) ทั้งสี่เป็นสาธารณรัฐผู้ก่อตั้งซึ่งลงนามในสนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม 1922 ในปี 1924 ในช่วงการปักปันเขตในเอเชียกลาง อุซเบกิสถานและเติร์กเมนิสถานเกิดจากส่วนต่าง ๆ ของรัสเซีย เป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองสังคมนิยมโซเวียตเติร์กเมน และอีกสองแห่งคือ สาธารณรัฐบูฮาราน และ สาธารณรัฐโฮเรซม์ ในปี 1929 ทาจิกิสถานถูกแยกออกจากสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก ตามรัฐธรรมนูญปี 1936 สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมโซเวียตทรานส์คอเคซัสถูกยุบลง ส่งผลให้สาธารณรัฐองค์ประกอบคือ อาร์เมเนีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสหภาพ ขณะที่คาซัคสถานและเคอร์กีเซียถูกแยกออกจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย ส่งผลเป็นสถานะเดียวกัน ในเดือนสิงหาคม 1940 สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลเดเวียซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยรวมพื้นที่บางส่วนของเบสซาเรเบีย และ นอร์เทิร์นบูโควินา รัฐบอลติกทั้งสามคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย (สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต) ได้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ซึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศและถือว่ารัฐบอลติกอยู่ภายใต้การยึดครองที่ผิดกฎหมายตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 1940–1991 คาเรเลียถูกแยกออกจากรัสเซียในฐานะสาธารณรัฐสหภาพในเดือนมีนาคม 1940 และถูกรวมเข้ากับรัสเซียอีกครั้งในปี 1956 ระหว่างเดือนกรกฎาคม 1956 ถึงเดือนกันยายน 1991 สหภาพโซเวียตมี 15 สาธารณรัฐที่เป็นส่วนหนึงของสาธารณรัฐสหภาพ (ดูแผนที่ด้านล่าง)", "title": "สหภาพโซเวียต" }, { "docid": "353871#1", "text": "วันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1922 ผู้แทนจากสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทรานส์คอเคซัส สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน และสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตไบโลรัสเซีย ได้อนุมัติสนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียตและคำประกาศก่อตั้งสหภาพโซเวียต เอกสารทั้งสองฉบับได้รับการยืนยันโดยการประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 ของสหภาพโซเวียตและได้รับการลงนามโดยประธานคณะผู้แทน ได้แก่ มิฮาอิล คาลินิน, มิฮาอิล ซฮาคายา, มิฮาอิล ฟรุนเซ และกรีกอรี เปตรอฟสกี, อเลคซันดร์ เชียร์วียาคอฟ ตามลำดับ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1922", "title": "สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต" }, { "docid": "4165#0", "text": "สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (; ) หรือย่อเป็น สหภาพโซเวียต () เป็นประเทศอภิมหาอำนาจในอดีตบนทวีปยูเรเชีย ระหว่างปี ค.ศ. 1922 ถึง 1991 รัฐบาลและเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียตถูกรวมอยู่ในระดับสูง สหภาพโซเวียตเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์โดยมีกรุงมอสโกเป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐที่ใหญ่ที่สุด สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย มีสถานะที่เท่าเทียมกันในรัฐธรรมนูญเช่นกันกับสาธารณรัฐสหภาพ แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงการปกครองโดยพฤตินัย สหภาพโซเวียตยังเมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่นครเลนินกราด, เคียฟ, มินสค์, อัลมา-อะตา และ โนโวซีบีสค์ สหภาพโซเวียตยังเป็นหนึ่งในห้ารัฐที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง, เป็นสมาชิกถาวรถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเป็นสมาชิกขององค์การความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป และเป็นสมาชิกหลักของสภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ และ สนธิสัญญาแห่งไมตรี ความร่วมมือ และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน", "title": "สหภาพโซเวียต" }, { "docid": "4165#7", "text": "สหภาพโซเวียตถูกก่อตั้งมาจากการยึดอำนาจของพรรคบอลเชวิก นำโดยวลาดิมีร์ เลนิน โดยยึดอำนาจจากจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 เรียกการปฏิวัติครั้งนั้นว่าการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 เกิดขึ้นในวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2460 ซึ่งอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การปฏิวัติครั้งนั้นส่งผลให้ รัฐบาลของกษัตริย์ถูกยกเลิก ระบอบการปกครองโดยกษัตริย์ถูกยกเลิก ก่อเกิดรัฐสังคมนิยมขึ้นมาแทน และเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ราชวงศ์โรมานอฟในเวลาต่อมา ผลอื่นๆคือ กิจการธนาคารและโรงงานทั้งหมดถูกโอนเป็นของรัฐ และบัญชีส่วนบุคคลทั้งหมดถูกโอนให้แก่รัฐ และสหภาพโซเวียตถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1", "title": "สหภาพโซเวียต" } ]
[ { "docid": "353871#5", "text": "ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง มีสาธารณรัฐหลายแห่งได้รับการก่อตั้งขึ้นก่อนการรุกรานสหภาพโซเวียตของนาซีเยอรมนี ใน ค.ศ. 1941 โดยแห่งแรก คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคาเรโล-ฟินแลนด์ ซึ่งเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1940 ได้ถูกยกระดับเป็นสาธารณรัฐสหภาพจากสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองคาเรเลียน เดิมเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียเช่นกัน", "title": "สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต" }, { "docid": "353871#3", "text": "ตัวอย่าง ได้แก่ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบกและเติร์กเมน ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1924 ได้แยกตัวออกมาจาก สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองเตอร์เกสถานของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย หลังจากนี้ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองทาจิค ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก ได้ยกระดับขึ้นเป็นสาธารณรัฐสหภาพเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1929 กลายมาเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตทาจิค", "title": "สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต" }, { "docid": "5923#2", "text": "จากการลงนามในสนธิสัญญากรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2491 โดยมีเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักรนั้น ถือเป็นการเริ่มต้นขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ซึ่งสนธิสัญญานี้ และเหตุการณ์การปิดกั้นเบอร์ลินของโซเวียต ทำให้มีการก่อตั้งองค์กรป้องกันสหภาพยุโรปตะวันตก (WEU) ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2491 และด้วยการสนับสนุนอย่างดีจากพันธมิตรสำคัญคือสหรัฐอเมริกาที่ต้องการถ่วงดุลอำนาจทางการทหารกับสหภาพโซเวียต ทำให้พันธมิตรทางทหารที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่นี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว", "title": "เนโท" }, { "docid": "353871#6", "text": "หลังจากการผนวกรัฐบอลติก ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนียได้กลายสภาพเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลิทัวเนีย (13 กรกฎาคม) ลัตเวียและเอสโตเนีย (21 กรกฎาคม) ตามลำดับ และมีความผูกพันอย่างเป็นทางการกับสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม, 5 สิงหาคม และ 6 สิงหาคมตามลำดับ แห่งสุดท้าย คือ สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตมอลโดวา ซึ่งได้ผนวกเอาพื้นที่ขนาดใหญ่ของเบสเซอราเบียเข้ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองมอลโดวา ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน\nหลังสงคามยุติ ไม่มีการก่อตั้งสาธารณรัฐใหม่ขึ้น และได้มีการลดระดับสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคาเรโล-ฟินแลนด์ลงเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองและผนวกกลับคืนเข้ากับสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1956", "title": "สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต" }, { "docid": "353871#4", "text": "สาธารณรัฐดังกล่าวคงอยู่จนกระทั่งวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1936 เมื่อสาธารณรัฐดังกล่าวแตกออกเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอาร์เมเนีย จอร์เจีย และอาเซอร์ไบจาน ในวันเดียวกัน สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตปกครองตนเองเตอร์เกสถานได้สิ้นสภาพลง และดินแดนถูกแบ่งออกเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคาซัคและคีร์กีซ", "title": "สนธิสัญญาการก่อตั้งสหภาพโซเวียต" }, { "docid": "576770#0", "text": "สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคาซัค(; ) เป็นหนึ่งใน 15 สาธารณรัฐองค์ประกอบ (constituent republic) ของ สหภาพโซเวียต ก่อตั้งเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1920 เริ่มแรกถูกเรียกว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมปกครองตนเองคีร์กีซ (Kirghiz ASSR) และเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ต่อมาวันที่ 15-19 เมษายน 1925 ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า สาธารณรัฐสังคมนิยมปกครองตนเองโซเวียตคาซัค และในวันที่ 5 ธันวาคม 1936 ถูกยกระดับให้กลายเป็น สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคาซัค (Kazakh SSR)", "title": "สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตคาซัค" }, { "docid": "4165#12", "text": "ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหภาพโซเวียตได้ซ่อมแซมบ้านเมืองที่เสียหายจากสงคราม ฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจ พร้อมทั้งแผ่ขยายอำนาจและก่อตั้งรัฐบริวารในยุโรบตะวันออก ต่อมาได้ก่อตั้งสภาเพื่อความช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจ (Comecon) ในปี ค.ศ. 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับเป็นการเริ่มตันของสงครามเย็นอย่างแท้จริง ซึ่งเปลี่ยนประเทศพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา ให้กลายเป็นศัตรูกับสหภาพโซเวียต", "title": "สหภาพโซเวียต" } ]
1809
สมัยอยุธยาล่มสลายเมื่อใด?
[ { "docid": "6993#15", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "จังหวัดขอนแก่น" }, { "docid": "59325#19", "text": "พ.ศ. ๒๓๑๐ กองทัพพระเจ้ามังระก็ตีกรุงศรีอยุธยาแตกเป็นเหตุให้อาณาจักรอยุธยาล่มสลาย แต่ไม่นานในปลายปีเดียวกันพระยาตากขุนนางของกรุงศรีอยุธยาก็รวบรวมกองทัพขับไล่กองกำลังของพระเจ้ามังระที่ประจำอยู่ในอยุธยาแตกหนีกลับไปได้ และพระยาตากก็สถาปนาราชวงศ์ใหม่และย้ายเมืองหลวงมายังกรุงธนบุรี", "title": "อำเภอสุวรรณภูมิ" }, { "docid": "44328#0", "text": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองหรือ สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งที่สองระหว่างราชวงศ์โกนบองแห่งพม่า กับราชวงศ์บ้านพลูหลวงแห่งอยุธยา ในการทัพครั้งนี้ กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นราชธานีคนไทยเกือบสี่ศตวรรษได้เสียแก่พม่าและถึงกาลสิ้นสุดลงไปด้วย เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 5 ปีกุน ตรงกับวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310", "title": "การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง" } ]
[ { "docid": "265553#19", "text": "การที่กรุงศรีอยุธยามีข้าศึกเข้ามาประชิดติดพันก็นับว่าเป็นภัยร้ายแรงอยู่แล้ว ซ้ำยังมาเกิดอัคคีภัยไหม้บ้านเรือนอีก ความอัตคัดขาดแคลนที่มีอยู่เป็นทุนเดิมก็กลับโถมทับทวียิ่งขึ้น ราษฎรต่างก็ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส บ้านเรือนไหม้ไปกว่า 10,000 หลัง ทำให้ราษฎรไม่มีที่พักอาศัยหลายหมื่นคน เมื่อเห็นว่าราษฎรต้องเผชิญกับความตาย ไร้ที่อยู่ทั้งขาดแคลนอาหาร กำลังใจและกำลังกายก็ถดถอยลง สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ จึงเจรจากับพม่าขอเลิกรบ ยอมเป็นเมืองขึ้นต่อพระเจ้าอังวะ แต่แม่ทัพพม่าไม่ยอมเลิก", "title": "การล้อมอยุธยา (2309–2310)" }, { "docid": "294871#5", "text": "ในช่วง อายุ 8-14 ปี (2473-2477) สยามประเทศประสบภาวะข้าวยากหมากแพงเศรษฐกิจตกต่ำหนักหน่วงอย่างไม่เคยเจอะเจอมาก่อน ร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ซึ่งพ่อแม่จับทำมานานมีอันต้องปิดลง อีกทั้งมีหนี้สินล้นพ้นตัว ความเป็นอยู่ในครอบครัวย่ำแย่มาก ในวันอาทิตย์โรงเรียนหยุด เลิศไปรับจ้างขนดินปั้นหม้อตาลขึ้นไปวางในเตาเผา ได้ค่าแรงวัน ละ 30 สตางค์", "title": "เลิศ อัศเวศน์" }, { "docid": "322876#2", "text": "การสูญเสียประชากร, ความรู้ทางเทคโนโลยี และ มาตรฐานความเป็นอยู่ของยุโรปตะวันตกในยุคนี้เป็นลักษณะของสถานภาพที่เรียกว่า “การล่มสลายของสังคม” (Societal collapse) โดยนักเขียนตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยามาจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ จากความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นและการขาดหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของยุโรปตะวันตกในช่วงนี้โดยเฉพาะ ในช่วงระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกมาจนถึงยุคกลาง ทำให้ได้ชื่อว่าเป็น “ยุคมืด” ที่มาแทนที่ด้วยคำว่า “ยุคโบราณตอนปลาย”", "title": "ปลายสมัยโบราณ" }, { "docid": "246893#1", "text": "ยุคสมัยของจักรพรรดิก็อมมอดุส นักประวัติศาสตร์จัดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมของอาณาจักรโรมันจนนำไปสู่การล่มสลายในที่สุด ซึ่งในวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด จักรพรรดิก็อมมอดุสถูกอ้างอิงถึงโดยเป็นตัวละครในเรื่องที่บ่งบอกถึงความล่มสลายของโรมัน เช่น \"The Fall Of The Roman Empire\" ในปี ค.ศ. 1964 และ \"Gladiator\" ในปี ค.ศ. 2000", "title": "จักรพรรดิก็อมมอดุส" }, { "docid": "13301#3", "text": "สมัยอยุธยายุคกลางและยุคปลายได้เพิ่มสัมผัสระหว่างวรรคแรกกับวรรคที่ 2 แล้ว ต่อมา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร กวีผู้ชำนาญเชิงกาพย์ ทรงเพิ่มสัมผัสสระในคำที่ 2 - 3 วรรคแรก และคำที่ 3 - 4 ในวรรคหลัง อย่างเป็นระบบ ทำให้จังหวะอ่านรับกันเพิ่มความไพเราะมากขึ้น และส่งอิทธิพลมาถึงกวีสมัยรัตนโกสินทร์ ตลอดถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังตัวอย่าง", "title": "กาพย์ยานี" }, { "docid": "783880#0", "text": "เมื่อหมอกสลาย เป็นนวนิยายจากบทประพันธ์ของ ม.มธุการี ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์แนวดราม่าที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ออกอากาศในปี 2538-2539 หลังข่าวภาคค่ำ โดยขณะออกอากาศอยู่นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงพระเอกช่วงกลางเรื่อง เนื่องจากพระเอกจอห์น ดีแลน ได้เสียชีวิตกระทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะละครถ่ายไปออนแอร์ไป ทำให้แอนดริว เกร้กสัน มารับบท ทชา แทนจอห์น ดีแลน", "title": "เมื่อหมอกสลาย" }, { "docid": "77808#2", "text": "จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมิวลุส ออกุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453", "title": "จักรวรรดิโรมัน" }, { "docid": "291058#11", "text": "การแตกสลายของระบบเศรษฐกิจและระบบสังคมโดยทั่วไปที่จักรวรรดิโรมันได้วางรากฐานไว้เป็นผลทำให้การปกครองกลายเป็นระบบที่อำนาจการปกครองกระจายออกไปจากศูนย์กลางเป็นอำนาจของการปกครองระดับท้องถิ่นที่ไม่ขึ้นอยู่กับศูนย์กลางใหญ่เช่นโรม การล่มสลายโดยทั่วไปเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากการขาดความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่งสินค้าเพื่อทำการค้าขาย ซึ่งเป็นผลให้การผลิตสินค้าสำหรับส่งออกและการค้าขายในดินแดนต่างๆ ในจักรวรรดิต้องมาหยุดชะงักลง อุตสาหกรรมสำคัญที่ขึ้นอยู่กับการค้าขายเช่นการทำเครื่องปั้นดินเผาก็หายไปแทบจะทันทีในสถานที่เช่นอังกฤษ แต่ศูนย์กลางเช่นทินทาเจลในคอร์นวอลล์และที่อื่นๆ อีกหลายแห่งก็ยังคงสามารถทำการค้าขายสินค้าฟุ่มเฟือยได้มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 6 แต่ในที่สุดการติดต่อเหล่านี้ก็สลายตัวไป เช่นเดียวกับระบบการบริหาร การศึกษา และการทหาร การสูญเสีย “cursus honorum” หรือระดับตำแหน่งในการรับหน้าที่ราชการนำไปสู่การยุบระบบการศึกษาซึ่งทำให้มีประชากรที่ขาดการศึกษาเพิ่มขึ้นแม้แต่ในหมู่ผู้นำ", "title": "ต้นสมัยกลาง" } ]
1814
พระมารดาของ สมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศมีพระนามว่าอะไร?
[ { "docid": "47686#0", "text": "นายร้อยโท สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร หรือ สมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ (27 มิถุนายน พ.ศ. 2421 – \n4 มกราคม พ.ศ. 2437 \"นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2438\") เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี พระองค์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของประเทศไทย แต่หลังจากดำรงตำแหน่งสยามกุฎราชกุมารได้เพียง 8 ปี ก็เสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมายุ 15 พรรษา", "title": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร" }, { "docid": "47686#1", "text": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 7 แรม 12 ค่ำ ปีขาล สัมฤทธิศก จ.ศ. 1240 ตรงกับวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2421", "title": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร" } ]
[ { "docid": "47686#3", "text": "พระองค์มีพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมพระมารดา ได้แก่ สมเด็จเจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์, สมเด็จเจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา, สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์, สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร, สมเด็จเจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาคือ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก)", "title": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร" }, { "docid": "19587#5", "text": "พระองค์มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีที่ประสูติร่วมพระราชมารดา ได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร, สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าอิศริยาลงกรณ์, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวิจิตรจิรประภา อดุลยาดิเรกรัตน ขัตติยราชกุมารี, สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ , สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ นรินทรเทพยกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าศิราภรณ์โสภณ พิมลรัตนวดี", "title": "สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก" }, { "docid": "47686#18", "text": "สมุดจดบันทึกรายวันเล่มนี้ได้รับการตีพิมพ์ในชื่อ \"จดหมายเหตุรายวันของสมเด็จพระบรมราชปิตุลาธิบดี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ\" โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า", "title": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร" }, { "docid": "42383#29", "text": "และในฐานะพระราชมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ ถึงสองพระองค์ คงจะไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีกว่าพระจริยวัตรของทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์นั้น สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร เป็นพระราชธิดา และเป็นที่สนิทสิเน่หาของพระบรมราชบิดามาก โดยเป็นพระเจ้าลูกเธอเพียงพระองค์เดียวที่ได้รับพระราชทานกรมสูงถึงกรมหลวง โดยมีพระนามกรมคือ ศรีรัตนโกสินทร ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นั้นก็เป็นพระราชโอรสที่โปรดปรานเช่นกัน ตรัสเรียกว่า \"เจ้าฟ้านัมเบอร์ทู\" พร้อมกับทรงมอบหมายพระราชกิจสำคัญให้หลายอย่าง เช่น ผู้บัญชาการกองทัพเรือ เป็นต้น ถึงขั้นหากว่าทรงขาดเฝ้าฯ ไปสักสองวัน จะมีพระบรมราชโองการว่า \"เจ้าชายหายไปไหนไม่เห็นมา\" และพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญาจะต้องรีบเสด็จออกมาตามพระองค์ไปเข้าเฝ้าฯ", "title": "สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี" }, { "docid": "45667#15", "text": "ในปี พ.ศ. 2443 พระองค์ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ในการบำเพ็ญพระกุศลสร้างสะพานข้ามคลองเปรมประชากรเพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา 15 ปี และจะก้าวเข้าสู่พระชนมายุ 17 ปี เสมอพระเชษฐภาดาสองพระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ โดยชื่อของสะพานได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า \"สะพานชมัยมรุเชฐ\" (ในราชกิจจานุเบกษาสะกดว่า \"ชมัยมรุเชษฐ\") ซึ่งหมายถึง พี่ชายผู้เป็นเทพ 2 พระองค์", "title": "สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร" }, { "docid": "19587#1", "text": "สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระเชษฐาและพระเชษฐภคินีที่ประสูติร่วมพระราชมารดา 7 พระองค์ พระองค์มีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทยประชาชนโดยทั่วไปคุ้นเคยกับพระนามว่า \"กรมหลวงสงขลานครินทร์\" หรือ \"พระราชบิดา\" และบางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า \"เจ้าฟ้าทหารเรือ\" และ \"พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย\" ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า \"เจ้าฟ้ามหิดล\"", "title": "สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก" }, { "docid": "39365#4", "text": "สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 เป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ต้นราชสกุลสวัสดิวัตน์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา) ส่วนพระมารดาคือหม่อมเจ้าอาภาพรรณี สวัสดิวัตน์ (ราชสกุลเดิม คัคณางค์) พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ภายหลังหม่อมเจ้าอาภาพรรณีได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี", "title": "สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี" }, { "docid": "37882#15", "text": "สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเป็นต้นราชสกุลภาณุพันธุ์ ทรงเษกสมรสกับ หม่อมแม้น (สกุลเดิม: บุนนาค) ธิดาเจ้าพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ในปี พ.ศ. 2427 โดยรับการยกย่องให้เป็นสะใภ้หลวง และมีหม่อมอีก 6 ท่าน ได้แก่ \nได้แก่ \nโดยมีพระโอรสธิดารวมทั้งหมด 16 พระองค์ เป็นชาย 9 พระองค์ และหญิง 7 พระองค์", "title": "สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช" }, { "docid": "12226#2", "text": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร (ภายหลังเป็นพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ) ประสูติแต่หม่อมหลวงบัว กิติยากร (ราชสกุลเดิม: สนิทวงศ์) เมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2475 ณ บ้านของพลเอก เจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) บ้านเลขที่ 1808 ถนนพระรามที่ 6 ตำบลวังใหม่ อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนคร อันเป็นบ้านของพระอัยกาฝ่ายพระมารดา มีพระเชษฐาสองคนคือหม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์และหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ และมีพระกนิษฐาคนหนึ่งคือท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงศ์", "title": "สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" }, { "docid": "47686#8", "text": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ประชวรด้วยพระโรคไข้รากสาดน้อย เสด็จสวรรคตเมื่อวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น 9 ค่ำ ปีมะเมีย ฉศก จ.ศ. 1256 ตรงกับวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2437 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2438) ขณะมีพระชนมายุ 16 พรรษา 191 วัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และให้ราชการไว้ทุกข์ 1 เดือน", "title": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร" }, { "docid": "47686#5", "text": "ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีมหาพิไชยมงคลลงสรงสนานเฉลิมพระปรมาภิไธยสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็น \"สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร\" เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2429 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2430) มีพระนามตามจารึกสุพรรณบัฏว่า", "title": "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร" } ]
1815
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล มีฐานันดรศักดิ์ชั้นอะไร?
[ { "docid": "37241#1", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล (พระธิดาใน สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ซึ่งเป็นพระโสทรกนิษฐภาดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีพระอนุชา 2 พระองค์ คือ", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "37241#5", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคลสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 พระชันษา 85 ปี", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" } ]
[ { "docid": "37241#0", "text": "พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล หรือ พระองค์ชายใหญ่ (27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538) เป็นพระโอรสใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล และเป็นพระอัยกาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ทรงเป็นผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับละครและภาพยนตร์ รวมทั้งทรงพระนิพนธ์เรื่องและคำร้องเพลงประกอบหลายเรื่อง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารไทยทนุ เมื่อปี พ.ศ. 2492 อีกทั้งโปรดการสะสมโบราณวัตถุด้วย", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล" }, { "docid": "47992#1", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต เป็นพระโอรสองค์สุดท้องในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ประสูติแต่หม่อมเล็ก ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม ยงใจยุทธ, เป็นพี่สาวของร้อยเอกชั้น ยงใจยุทธ บิดาของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ) ประสูติเมื่อ เดือนกันยายน พ.ศ. 2460 เมื่อประสูติทรงพระนามว่า \"หม่อมเจ้าจิรศักดิ์สุประภาต ภาณุพันธุ์\" มีพระเชษฐาและพระขนิษฐาร่วมมารดาคือ", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต" }, { "docid": "145693#3", "text": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล เป็นพระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน มีพระโอรส 1 องค์ และ พระธิดา 3 องค์ ซึ่งพระโอรสธิดาที่ประสูติแต่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล จะมีฐานันดรศักดิ์เป็น\"พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า\"ทั้งหมด", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาวสิทธิ์นฤมล" }, { "docid": "47842#1", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชและหม่อมเล็ก ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม ยงใจยุทธ เป็นพี่สาวของ ร้อยเอกชั้น ยงใจยุทธ บิดาของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ประสูติเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 เมื่อแรกประสูติทรงพระนามว่า หม่อมเจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนอีตัน และเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และเปลี่ยนไปศึกษาด้านประติมากรรม ที่", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช" }, { "docid": "47992#7", "text": "ภายหลังจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต สิ้นพระชนม์ได้ 6 เดือน หม่อมมณี ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ก็ได้สมรสใหม่กับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภัสสรวงศ์ ซึ่งเป็นพระเชษฐาแท้ๆของพระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต และมีพระธิดา คือ หม่อมราชวงศ์อรมณี ภาณุพันธุ์ แต่ก็หย่าร้างกันในปี พ.ศ. 2493 ต่อมาได้สมรสกับนายแพทย์ปชา สิริวรสาร และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตติยจุลจอมเกล้า เป็น \"คุณหญิงมณี สิริวรสาร\" เมื่อ พ.ศ. 2532 และเสียชีวิตเมื่อต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2542", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต" }, { "docid": "37335#0", "text": "พลตรี พลเรือตรี พลอากาศตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร หรือ พระองค์ชายกลาง (29 เมษายน พ.ศ. 2456 - 1 ตุลาคม พ.ศ. 2534) เป็นพระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศร์ กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมเขตรมงคล มีพระเชษฐา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล และ พระอนุชา คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ", "title": "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร" }, { "docid": "105416#1", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ เป็นพระธิดาองค์โตในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช กับหม่อมเลี่ยม ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา (สกุลเดิม ศุภสุทธิ์) สตรีชาวเพชรบุรี เมื่อแรกประสูติทรงฐานันดรศักดิ์เป็น \"หม่อมเจ้า\" พระบิดาทรงออกพระนามว่า \"หญิงทิพย์\" ประสูติ ณ วังบูรพาภิรมย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2428", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" }, { "docid": "105416#0", "text": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ (ประสูติ: 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 — สิ้นพระชนม์: 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2451) เป็นพระธิดาในสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ที่ต่อมาได้เสกสมรสเป็นพระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โดยเป็นพระมารดาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในรัชกาลที่ 8", "title": "พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์" } ]
1829
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?
[ { "docid": "70131#3", "text": "ต่อมาในปี พ.ศ. 2411 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ คุณแขก็ได้เลื่อนเป็นเจ้าจอมมารดา หม่อมเจ้าผ่องประไพก็ทรงเลื่อนเป็นพระองค์เจ้าเช่นกัน แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดคุณแพ จากสกุลบุนนาคมาก และโปรดพระองค์เจ้าหญิงศรีวิไลยลักษณ์เป็นพิเศษ ทำให้เจ้าจอมมารดาแขและพระองค์ถูกลดความสำคัญลง ประกอบกับพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ค่อนข้างดื้อจึงมิได้เป็นที่โปรดปรานของพระราชบิดา เมื่อยังทรงพระเยาว์พระองค์อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของสมเด็จกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร ด้วยความที่พระองค์มีพระอุปนิสัยที่ดื้อ ขณะที่ทรงพระบังคนในโถ มักไม่ใคร่ลุกออกจากโถ แม้พระพี่เลี้ยงจะตักเตือนแต่ก็ไม่ยินยอม บางครั้งจึงปล่อยให้ทรงนั่งโถเช่นนั้นนานหลายชั่วโมง", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าผ่องประไพ" }, { "docid": "8007#5", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัตินั้น มีพระชันษาได้ 16 พรรษาเท่านั้น จึงมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ระหว่าง พ.ศ. 2411–2416 ครั้นเมื่อทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ได้ทรงรับมอบอำนาจการปกครองแผ่นดินจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ และทรงเริ่มพระราชกรณียกิจในการปรับปรุงแก้ไขการบริหารราชการแผ่นดินให้ทันสมัยทันที ได้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานการคลัง ซึ่งนำไปสู่การสถาปนากระทรวงการคลังขึ้นในรัชกาลนี้", "title": "ประวัติกระทรวงการคลังไทย" }, { "docid": "92403#48", "text": "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2411 ขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา เท่านั้น จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนถึง 5 ปี ครั้น พ.ศ. 2416 มีพระชนมายุ 20 พรรษา จึงทรงอุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2416 โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธ์ เป็นพระราชอุปัชฌายะ", "title": "การศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีของคณะสงฆ์ไทย" }, { "docid": "4253#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  (20 กันยายน พ.ศ. 2396 – 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพระองค์ที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2411 เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ด้วยโรคพระวักกะ", "title": "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" } ]
[ { "docid": "94961#6", "text": "พระเมืองเกษเกล้า พระราชสวามี ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2068-2081 ซึ่งช่วงแรกของการครองราชย์ยังมีกลุ่มอำนาจเดิมในสมัยพญาแก้ว ยังไม่พบความขัดแย้งของเหล่าขุนนาง และดูเหมือนว่าครองราชย์ตามปกติเฉกเช่นกษัตริย์องค์ก่อน ความมั่นคงช่วงแรกจึงเกิดจากแรงสนับสนุนของเหล่าพระสงฆ์และมหาเทวีเจ้าตนย่า (นางโป่งน้อย) ซึ่งเป็นฐานอำนาจเดิม ภายหลังเมื่อมหาเทวีเจ้าตนย่าสวรรคตใน พ.ศ. 2077 โดยพระองค์มีพระราโชบายที่จะรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง สร้างความไม่พอใจแก่ขุนนางลำปางที่นำโดย หมื่นสามล้าน ซึ่งเป็นผู่นำไม่พอใจและเกิดการก่อกบฏขึ้นในปี พ.ศ. 2078 โดยขุนนางเมืองลำปางได้เป็นแกนนำการก่อกบฏ ดังข้อความตอนหนึ่งว่า \"\"...เสนาทังหลาย เปนต้นว่า หมื่นสามล้านกินนคร ๑ ลูกหมื่นสามล้านเชื่อว่าหมื่นหลวงชั้นนอก ๑ หมื่นยี่อ้าย ๑ จักกะทำคดแก่เจ้าพระญาเกสเชฏฐราชะ พระเปนเจ้ารู้ จิ่งหื้อเอาหมื่นส้อยสามล้านไพข้าเสียวันนั้นแล...\"\" แสดงว่าขุนนางตามภูมิภาค ต่างไม่พอใจพระมหากษัตริย์ และเกิดความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น จนในที่สุด พ.ศ. 2081 ขุนนางมีอำนาจเหนือกษัตริย์และได้ร่วมกันปลดพระเมืองเกษเกล้าออก แล้วส่งไปครองเมืองน้อย", "title": "พระนางจิรประภาเทวี" }, { "docid": "54622#8", "text": "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชวินิจฉัยในพระราชพิธีสิบสองเดือนว่า เป็นเพราะเมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมโกศสวรรคต กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็น สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ก็เรียกขุนหลวงบรมโกศ จนผลัดแผ่นดินมาพระเจ้าเอกทัศ ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนมาสมัยธนบุรี และรัตนโกสินทร์ จึงเรียกติดปากไป คิดว่าเป็นชื่อจริงๆ", "title": "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ" }, { "docid": "58216#0", "text": "เนื่องด้วยปี พ.ศ. 2441 (ร.ศ.117) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชย์ในรัชกาลที่ 5 เป็นเวลายาวนาน 2 เท่า ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดจัดงานบำเพ็ญพระราชกุศล ทวีธาภิเศก เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2441 ถวายบรมอัยกาธิราช ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิฉัย และสมโภชสิริราชสมบัติ ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท", "title": "พระราชพิธีทวีธาภิเศกในรัชกาลที่ 5" }, { "docid": "120752#1", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 4 ในพระบรมราชจักรีวงศ์ พระองค์ทรงสถาปนา สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคลรับพระบวรราชโองการ มีพระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 พระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนั้น พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ปรับปรุงพระบวรราชวังครั้งใหญ่เพื่อให้สมพระเกียรติยศในฐานะที่เป็นสถานที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว", "title": "พระที่นั่งคชกรรมประเวศ" }, { "docid": "16485#15", "text": "เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. 2394 ทรงถูกกำหนดให้ช่วยสยามให้รอดพ้นจากการครอบงำอาณานิคมโดยทรงบังคับให้คนในบังคับทันสมัย แม้พระองค์จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชในทางทฤษฎี แต่พระราชอำนาจของพระองค์มีจำกัด หลังจากออกผนวชนาน 27 ปี พระองค์จึงขาดฐานในหมู่เจ้านายที่ทรงอำนาจ และไม่อาจดำเนินระบบรัฐสมัยใหม่ตามพระประสงค์ได้ ความพยายามแรกของพระองค์ในการปฏิรูปเพื่อสถาปนาระบบการปกครองใหม่และยกสถานภาพของทาสสินไถ่และสตรีไม่สัมฤทธิ์ผล", "title": "อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)" }, { "docid": "16485#18", "text": "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 2411 และสืบราชบัลลังก์ต่อโดยเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ วัย 15 ชันษา เป็นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์สยามพระองค์แรกที่ทรงได้รับการศึกษาอย่างตะวันตกมาอย่างสมบูรณ์ ในตอนแรก รัชสมัยของพระองค์ถูกครอบงำโดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษนิยม แต่เมื่อพระองค์มีพระชนมายุครบ 20 พรรษา พระองค์ก็ทรงเข้าปกครองโดยตรง พระองค์ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ ระบบศาลและสำนักงบประมาณอย่างเป็นทางการ พระองค์ทรงประกาศว่า ความเป็นทาสจะค่อย ๆ ถูกเลิกไปและจำกัดพันธะหนี้สิน\nช่วงแรก เจ้านายและผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยมพระองค์อื่นสามารถขัดขวางวาระการปฏิรูปของพระมหากษัตริย์ได้ แต่เมื่อเจ้านายรุ่นเก่าถูกแทนที่ด้วยเจ้านายรุ่นใหม่และได้รับการศึกษาแบบตะวันตก การขัดขวางก็จางลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพันธมิตรอันทรงพลังในพระอนุชา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงษ์ ซึ่งพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (กระทรวงการคลังปัจจุบัน) พระองค์แรก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงจัดระเบียบรัฐบาลภายในและการศึกษา และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เป็นราชเลขานุการฝ่ายต่างประเทศกว่า 38 ปี เมื่อ พ.ศ. 2430 กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการเสด็จเยือนยุโรปเพื่อทรงศึกษาระบบรัฐบาล ในการถวายความเห็น พระมหากษัตริย์ทรงจัดตั้งการปกครองแบบรัฐสภา สำนักงานตรวจสอบบัญชีและกระทรวงธรรมการ (ดูแลการศึกษา) สถานะกึ่งปกครองตนเองของเชียงใหม่สิ้นสุดลง และกองทัพถูกจัดระเบียบใหม่และทำให้ทันสมัย\nพ.ศ. 2436 เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสในอินโดจีนใช้ข้อพิพาทพรมแดนเล็กน้อยเพื่อปลุกปั่นวิกฤตการณ์ เรือปืนฝรั่งเศสปรากฏขึ้นที่กรุงเทพมหานคร และเรียกร้องให้โอนดินแดนลาวที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขออังกฤษ แต่นายกรัฐมนตรีอังกฤษกราบทูลพระองค์ให้ระงับด้วยเงื่อนไขใดก็ตามที่พระองค์จะทรงได้รับ และพระองค์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมทำตาม ท่าทีเดียวของอังกฤษคือ ความตกลงกับฝรั่งเศสรับประกันบูรณภาพของสยามส่วนที่เหลือ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน สยามยอมยกการอ้างสิทธิ์เหนือรัฐฉานทางตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าแก่อังกฤษ", "title": "อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)" }, { "docid": "490529#6", "text": "พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้ว จวบจนถึงช่วงก่อนปี พ.ศ. 2369 เจ้าอนุวงศ์แห่งนครเวียงจันทน์และเจ้าราชวงศ์ (เหง้า) พระราชโอรส (ขณะนั้นมีฐานะเป็นประเทศราชของไทย) คิดก่อสงครามและปราบปรามเจ้าเมืองนครราชสีมา ด้วยเจ้าเมืองนครราชสีมารุกล้ำเขตแดนลาวหลายครั้ง เจ้าอนุวงศ์จึงได้ออกอุบายทำทีบอกหัวเมืองต่างๆ ว่าจะยกทัพเข้ามาช่วยไทยรบกับพม่า เจ้าเมืองเหล่านั้นไม่รู้ข้อเท็จจริง จึงยอมให้ผ่านโดยสะดวกจนลุถึงเมืองสระบุรี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าว โปรดให้จัดกองทัพแบ่งเป็น 3 ทัพ ขึ้นไปตีเมืองนครเวียงจันทน์ และเมืองนครจำปาศักดิ์ เมื่อเจ้าอนุวงศ์ล่วงรู้ข่าวจึงสั่งให้ถอยทัพกลับ พร้อมกับกวาดต้อนผู้คนและเสบียงตามรายทางเดินทัพกลับไปด้วย เมื่อถึงเมืองนครราชสีมา (โคราช) เจ้าเมืองแอบหนีออกจากเมือง จึงรุกรานเข้าเมืองได้โดยง่าย กวาดต้อนกลุ่มผู้หญิงซึ่งมีคุณหญิงโม (ท้าวสุรนารี) ภรรยาเจ้าเมืองนี้กับราษฎรไปด้วย คุณหญิงโมจึงให้ไพร่พลเล็ดลอดออกไปส่งข่าว เพื่อให้ทางเมืองหลวงทราบหาทางช่วยเหลือ แล้วแสร้งทำอุบายให้กองทัพอนุวงศ์เดินอย่างช้าๆ ถ่วงเวลารอให้ทัพจากเมืองหลวงมาช่วย เมื่อรัชกาลที่ 3 ทรงทราบ จึงสั่งให้ยกกองทัพไปช่วยเหลือทันที ขณะเดียวกันก็รีบมีใบบอกสั่งให้พระศรีถมอรัตน์ (ใจ ณ วิเชียร) เจ้าเมืองศรีเทพ ระดมไพร่พลไปทางช่องเขาดงพระยาไฟกลางสมทบกับกองทัพเมืองหลวง ไปทันกองทัพเจ้าอนุวงศ์บางส่วนที่ยั้งอยู่ ณ ทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงเมืองนครราชสีมา แล้วเข้าโจมตีจนแตกพ่ายไป ในการ่วมรบได้ชัยชนะครั้งนี้ เจ้าเมืองศรีเทพมีความชอบมากได้รับโปรดเกล้าฯ เลื่อนชั้นยศเป็น “พระยา” มีพระราชทินนามว่า “พระยาประเสริฐสงคราม” และโปรดให้เปลี่ยนนามเมืองใหม่เป็น “เมืองวิเชียร” มีฐานะเป็นเมืองชั้นตรี โดยคงให้พระยาประเสริฐสงครามเป็นเจ้าเมืองนี้ตามเดิม แต่มีหน้าที่กำกับดูแลพื้นที่เขตการปกครองกว้างขวางไปจนถึงเมืองชัยบาดาลและเมืองบัวชุม รั้งเมืองไปกระทั่งถึงปี 2442 เมื่อมีการประกาศยุบเมืองวิเชียรบุรีเป็น “อำเภอ” จึงพ้นเกษียณราชการ นับเป็นเจ้าเมืองคนสุดท้ายหมายเหตุ:\n“พระศรีถมอรัตน์” นั้นเป็นราชทินนานามสำหรับผู้ครองเจ้าเมืองวิเชียรบุรี (เจ้าเมืองท่าโรง) ซึ่งสมาชิกวงศ์ตระกูล ที่ได้ครองเมืองวิเชียรบุรีจะได้รับพระราชทานราชทินนานามดังกล่าวและภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยา", "title": "พระยาประเสริฐสงคราม (ใจ ณ วิเชียร)" } ]
1840
เกว็น เรนี สเตฟานี มีบุตรกี่คน?
[ { "docid": "20659#23", "text": "สเตฟานีมีบุตรชาย 3 คนกับรอสส์เดล ได้แก่ คิงสตัน เจมส์ แม็กเกรเกอร์ รอสส์เดล เกิด 26 พฤษภาคม 2006 ซูมา เนสตา ร็อก รอสส์เดล เกิด 21 สิงหาคม 2008 และอพอลโล โบอี ฟลินน์ รอสส์เดล เกิด 28 กุมภาพันธ์ 2014 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2015 สเตฟานีฟ้องหย่ารอสส์เดล โดยให้เหตุผลว่า \"เข้าถึงความแตกต่างไม่ได้\" การหย่าร้างสิ้นสุดลงเมื่อ 8 เมษายน 2016 โดยรอสส์เดลตกลงที่จะแบ่งทรัพย์สินสมรสไม่เท่ากัน", "title": "เกว็น สเตฟานี" } ]
[ { "docid": "291435#2", "text": "ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 แคทเทอรีนทรงพบกับ แจ็ค ดับเบิลยู เอนดริว และได้สมรสกันมีบุตร 2 คนคือ เดวิดและเอลิสัน เอลิสันมีบุตรทั้งหมด 4 คนได้แก่ อแมนดา,สเตฟานี,นิโคลัสและไมเคิล ส่วนเดวิดมีบุตร 1 คนคือ อเล็กซานเดอร์ ปัจจุบันเดวิดและเอลิสันอยู่ที่ประเทศกรีซ แคทเทอรีนได้ท่องเที่ยวหลายๆที่ในโลกและอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย,แอฟริกาและสหรัฐอเมริกา แคทเทอรีนและแจ็ค แอนดริวได้หย่าขาดกันในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2527", "title": "แคทเทอรีน แคร์รี เบ็ทติส" }, { "docid": "20659#0", "text": "เกว็น เรนี สเตฟานี () เกิด 3 ตุลาคม ค.ศ. 1969 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักออกแบบด้านแฟชั่น ชาวอเมริกัน เธอเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและนักร้องนำวงโนเดาต์ที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางหลังออกสตูดิโออัลบัมชุดแรก \"ทราจิกคิงดอม\" (1995) มีซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จอย่าง \"จัสต์อะเกิร์ล\", \"โดนต์สปีก\", \"เฮย์เบบี\" และ \"อิตส์มายไลฟ์\" หลังจากที่วงว่างเว้นจากการทำงาน สเตฟานีออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวแนวป็อปในปี 2004 ออกสตูดิโออัลบัมเดี่ยวชื่อ \"เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี.\" ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงป็อปในคริสต์ทศวรรษ 80 อัลบั้มได้รับเสียงวิจารณ์และยอดขายที่ดี มีซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จอย่าง \"วอตยูเวติงฟอร์?\", \"ริชเกิร์ล\" และ \"ฮอลลาแบกเกิร์ล\" เพลงหลังขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต \"บิลบอร์ด\" ฮอต 100 และยังเป็นซิงเกิ้ลดาวน์โหลดแรกในสหรัฐที่มียอดขายเกินล้าน ในปี 2006 สเตฟานีออกสตูดิโออัลบัมชุด 2 \"เดอะสวีตเอสเคป\" มีซิงเกิลประสบความสำเร็จ 2 ซิงเกิลคือ \"ไวนด์อิตอัป\" และไตเติลแทร็ก \"เดอะสวีตเอสเคป\" อัลบัมเดี่ยวชุด 3 ชุด \"ดิสอิสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์\" (2016) เป็นอัลบัมเดี่ยวอัลบัมแรกของเธอที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต \"บิลบอร์ด\" 200", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "20659#2", "text": "สเตฟานีเกิดเมื่อ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ที่ฟูลเลอร์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย เติบโตในครอบครัวโรมันคาทอลิกในแอนะไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ชื่อของเธอตั้งตามชื่อบริกรหญิงบนเครื่องบนจากบนประพันธ์ปี 1968 เรื่อง \"แอร์พอร์ต\" ส่วนชื่อกลาง เรเน (Renée) มาจากเพลงของวงเดอะโฟร์ทอปส์ ปี 1968 ที่คัฟเวอร์ของเลฟต์ แบงก์ในปี 1966 ที่ชื่อ \"วอล์กอะเวย์เรเน\" พ่อเธอ เดนนิส สเตฟานี เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด (marketing executive) ที่ยามาฮ่า ส่วนแม่ของเธอ แพตตี (สกุลเดิม ฟลินน์) ทำงานเป็นนักบัญชี ก่อนที่จะออกมาเป็นแม่บ้าน พ่อแม่ของเกว็นนั้นเป็นแฟนเพลงแนวโฟล์ก ยังให้เธอฟังเพลงของศิลปินอย่าง บ็อบ ดิลลันและเอมมีลู แฮร์ริส เธอยังมีน้องอีก 2 คน คือ จิลล์และทอดด์ และมีพี่ชายชื่อเอริก เอริกเคยเป็นมือคียบอร์ดให้วงโนเดาต์ ก่อนจะออกไปทำงานสร้างภาพเคลื่อนไหวเรื่อง \"เดอะซิมป์สันส์\"", "title": "เกว็น สเตฟานี" }, { "docid": "662047#11", "text": "สตีนและภรรยาของเขาคารินา มีลูกชายคนหนึ่งชื่อโอเวน (ชื่อของโอเวน ฮาร์ต) และลูกสาวชื่อ Élodie Leila ในเดือนพฤษภาคม 2008 ในตอนท้ายของคืน DDT4 หนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น , สตีนลูกชายแล้วหกเดือนเก่าปรากฏในส่วนที่มีคาลิเบอร์ซึ่งในคาลิเบอร์เรียกเขาว่าน่าเกลียด สตีนให้ Excalibur สาม piledrivers แพคเกจในแถวก่อนที่จะวางลูกชายของเขาที่ด้านบนของคาลิเบอร์สำหรับขา", "title": "เควิน โอเวนส์" }, { "docid": "213930#3", "text": "สาวิณี มีบุตรกับนายกัณฑ์เอนก ปัจฉิมสวัสดิ์ จำนวน 3 คน หนึ่งในนั้นเป็นบุตรชาย คือ นายกัณฑ์พิทักษ์ ปัจฉิมสวัสดิ์ หรือ \"หมูแฮม\" ที่ขับรถยนต์พุ่งเข้าชนป้ายรถเมล์ จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เมื่อปี พ.ศ. 2550 และจำคุกในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558 เป็นเวลา 2 ปี 1เดือนตามคำสั่งศาลฎีกา อีกหนึ่งคนคือ แบมบี้ สิรินโสพิศ ปัจฉิมสวัสดิ์ 8 คนสุดท้าย เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 9\nปัจจุบันหย่าขาดกันแล้ว", "title": "สาวิณี ปะการะนัง" }, { "docid": "312457#6", "text": "สุปาณี พุกสมบุญ มีบุตรกับครูสริ ยงยุทธ 4 คน คือ เสกสรร ยงยุทธ เกิด2490,วิทยา ยงยุทธ เกิด2492,ศุภสิทธิ์ ยงยุทธ เกิด2495 และนุศรา จันทร์สุวรรณ เกิด2500 ซึ่งทั้ง 4 คน ล้วนแล้วแต่เป็นนักดนตรีทั้งสิ้น โดยเสกสรรถนัดการเล่นเปียโนตามรอยบิดา ส่วนวิทยา และศุภสิทธิ์ถนัดการเล่นกีตาร์ และนุศราถนัดการเล่นออร์แกนไฟฟ้า โดยปัจจุบันสุปาณีพักอยู่ทีบ้านย่านถนนจักรพรรดิพงษ์ ใกล้วัดแคนางเลิ้ง แต่บางครั้งก็ไปพักที่บ้านบุตรสาวคนเล็กที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีบ้างเป็นบางครั้ง", "title": "สุปาณี พุกสมบุญ" }, { "docid": "49702#16", "text": "เวย์น รูนีย์สมรสกับคอลีน (สกุลเดิม แมกล็อกลิน) มีบุตร 4 คน คือ \nไค รูนีย์ เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2009 \nเคลย์ แอนโธนีย์ รูนีย์ เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2013 \nคิต โจเซฟ รูนีย์ เกิดเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2016 และ\nแคสส์ แม็ค รูนี่ย์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2018 นอกจากนั้นเขายังมีน้องชายที่เล่นในตำแหน่งเดียวกันชื่อ ที่ปัจจุบันเล่นให้ Guiseley A.F.C.", "title": "เวย์น รูนีย์" }, { "docid": "44346#8", "text": "คุณพลอยไพลิน เจนเซน ได้สมรสกับเดวิด วีลเลอร์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552 พิธีสมรสจัดขึ้นที่รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา โดยจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ทั้งสองมีบุตรชายด้วยกันสองคน คนโตชื่อ แม็กซิมัส \"แม็กซ์\" วีลเลอร์ เกิดวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 และมีบุตรชายคนที่สองช่วงปี พ.ศ. 2557 ชื่อ ลีโอนาร์โด \"ลีโอ\" วีลเลอร์ โดยทั้งสองได้รับพระราชทานชื่อภาษาไทยจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า \"จุลรัตน์\" และ \"ภัททพงศ์\" ตามลำดับ", "title": "คุณพลอยไพลิน เจนเซน" }, { "docid": "12431#47", "text": "ภรรยาคนที่สองของแมนเดลาคือ วินนี มาดิคิเซลา-แมนเดลา เป็นชาวทรานสไกเช่นเดียวกัน แต่ก็มาพบกันในเมืองโยฮันเนสเบิร์ก ในขณะที่เธอมาเป็นคนงานผิวดำของเมืองเป็นคนแรก ทั้งสองมีบุตรสาวด้วยกัน 2 คน คือ เซนานี (เซนี) เกิดเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501 และซินด์ซิสวา (ซินด์ซี) แมนเดลา-ฮลองวาเน เกิดในปี พ.ศ. 2503 ซินด์ซีมีอายุเพียง 18 เดือนเท่านั้นเมื่อตอนที่พ่อถูกส่งตัวไปยังเกาะโรบเบิน วินนีเกิดความบาดหมางกับครอบครัวของเธออย่างรุนแรงอันสะท้อนถึงความแตกแยกทางการเมืองภายในประเทศ ขณะที่สามีของเธอยอมติดคุกตลอดชีวิตบนเกาะโรบเบิน พ่อของเธอกลับได้เป็นรัฐมนตรีกสิกรรมแห่งทรานสไก ชีวิตแต่งงานจึงต้องจบลงด้วยการแยกกันอยู่นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2535 และหย่า ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่างทางการเมือง", "title": "เนลสัน แมนเดลา" }, { "docid": "20659#1", "text": "สเตฟานีได้รับรางวัลแกรมมี่ 3 รางวัล ในฐานะศิลปินเดี่ยวแล้วเธอยังได้รับอีกหลายรางวัล อย่างเช่น รางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด บริตอะวอดส์ เวิลด์มิวสิกอะวอดส์ และ 2 รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอวอร์ด ในปี 2003 เธอยังออกสินค้าประเภทเครื่องแต่งกายในนาม แอล.เอ.เอ็ม.บี. ยังแยกแบรนด์สินค้าอีกชื่อ คือ ฮาราจูกุเลิฟเวอส์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นและแฟชั่น ในช่วงเวลานี้เองเธอจะแสดงและปรากฏตัวพร้อมนักเต้นสาว 4 คน ที่รู้จักในชื่อ ฮาราจูกุเกิลส์ เธอแต่งงานกับนักดนตรีชาวอังกฤษ เกวิน รอสส์เดล ระหว่างปี 2002 ถึง 2016 และมีบุตรชายด้วยกัน 3 คน นิตยสาร \"บิลบอร์ด\" จัดอันดับให้เธออยู่อันดับ 54 ของศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุด และอันดับ 37 ของศิลปินที่ประสบความสำเร็จบนฮอต 100 ในทศวรรษ 2000–09 ช่องวีเอชวันจัดอันดับในปี 2012 ให้เธออยู่อันดับ 13 ของ 100 ศิลปินหญิงในวงการดนตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุด หากรวมกับผลงานกับวงโนเดาต์แล้ว สเตฟานีมียอดขายอัลบัมมากกว่า 30 ล้านชุดทั่วโลก", "title": "เกว็น สเตฟานี" } ]
1843
หลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชพบเจอที่จังหวัดใด ?
[ { "docid": "11809#7", "text": "เป็นพระรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (ศิลาจารึกหลักที่ 1) จารึกนี้พบเมื่อ พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาท เมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ผนวชเป็นผู้ค้นพบ เป็นจารึกหลักแรกที่ใช้ภาษาไทยและตัวอักษรไทย มีลักษณะเป็นแท่นหินรูปสี่เหลี่ยม ยอดกลมมน สูง 1 เมตร 11 เซนติเมตร หนา 35 เซนติเมตร เป็นหินชนวนสีเขียวมีจารึกทั้ง 4 ด้าน ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร", "title": "มหาวิทยาลัยรามคำแหง" }, { "docid": "15804#0", "text": "จารึกพ่อขุนรามคำแหง หรือ จารึกหลักที่ 1 เป็นศิลาจารึกที่บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สมัยกรุงสุโขทัย ศิลาจารึกนี้ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ (ต่อมาคือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ขณะผนวชอยู่เป็นผู้ทรงค้นพบเมื่อวันกาบสี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 3 จ.ศ. 1214 ตรงกับ วันศุกร์ที่ 17 มกราคม ค.ศ.1834 หรือ พ.ศ. 2376 ณ เนินปราสาทเมืองเก่าสุโขทัย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย มีลักษณะเป็นหลักสี่เหลี่ยมด้านเท่า ทรงกระโจม สูง 111 ซม. หนา 35 ซม. เป็นหินทรายแป้งเนื้อละเอียดมีจารึกทั้งสี่ด้าน ปัจจุบันเก็บอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพมหานคร", "title": "จารึกพ่อขุนรามคำแหง" } ]
[ { "docid": "41587#13", "text": "ทรงส่งเสริมการค้าขายอย่างเสรีภายในราชอาณาจักรด้วยการไม่เก็บภาษีผ่านด่านหรือ “จกอบ” (จังกอบ) จากบรรดาพ่อค้าที่เข้ามาค้าขายในกรุงสุโขทัย ดังคำจารึกบนศิลาจารึกว่า \"เจ้าเมือง บ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง\" นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ปรากฏว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงส่งเสริมให้ชาวสุโขทัยนิยมการค้าขายนั้น ปรากฏตามศิลาจารึกตอนหนึ่งว่า \"เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจะใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า\" อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทรงเปิดเสรีทุกประการในการค้าขายทำให้การค้าขายขยายออกไปอย่างกว้างขวางจนปรากฏแหล่งการค้าสำคัญในสุโขทัยได้แก่ \"ตลาดปสาน\" จากศิลาจารึกกล่าวว่า \"เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัย มีตลาดปสาน\"", "title": "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" }, { "docid": "932610#0", "text": "พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่และทรงมีพระปรีชาสามารถนานัปการ อาทิ การประดิษฐ์อักษรไทย การปกครองแบบพ่อปกครองลูก บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข และอุดมสมบูรณ์ กรมศิลปกรเป็นหน่วยงานควบคุมการออกแบบ โดยจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เป็นประธานในพิธิวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2512", "title": "พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" }, { "docid": "41587#31", "text": "นับเป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทัยซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบัน โดยอย่างไรก็ดี ในช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา มีข้อสงสัยทางวิชาการว่าศิลาจารึกดังกล่าวจะมิได้ทำขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และมีผู้เสนอว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพบศิลานั้นเมื่อเสด็จจาริกธุดงค์ เป็นผู้ทรงทำศิลานั้นขึ้นเพื่อเหตุผลทางการเมืองในการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ชาติตะวันตกเห็นว่ามีและรุ่งเรืองมาอย่างยาวนาน เป็นการป้องปัดภัยการล่าอาณานิคมในสมัยนั้น ทั้งนี้ข้อสงสัยนี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่", "title": "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" }, { "docid": "554881#6", "text": "ตามประวัติกล่าวว่า เจ้าหน้าที่แผนกศึกษาธิการจังหวัดนครพนมได้พบเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 เป็นศิลาจารึกรูปใบเสมา พบที่ประตูด้านทิศตะวันออกของวิหารทิศใต้ วัดพระธาตุพนม ตำบลธาตุพนม จังหวัดนครพนม มีจารึก 2 แห่ง คือ ด้านหน้าและด้านหลัง พระพนมเจติยานุรักษ์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม ได้คัดจำลองอักษรจารึกไว้เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 และศึกษาธิการจังหวัดนครพนมได้นำสำเนาอักษรจารึกที่คัดนั้น ส่งให้เจ้าหน้าที่กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2495 เมื่อเจ้าหน้าที่หอสมุดแห่งชาติได้อ่านแปลจารึกนี้แล้ว จึงทราบว่า ข้อความในสำเนาจารึกทั้ง 2 แผ่นนั้นไม่ต่อเนื่องกัน อีกทั้งจารึกขึ้นต่างยุคสมัยและต่างรูปแบบอักษรอีกด้วย ในระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2524 เจ้าหน้าที่งานบริการหนังสือภาษาโบราณ กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร ได้เดินทางไปสำรวจเอกสารโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงได้ทราบว่า ศิลาจารึกเจ้าครูศีลาภิรัตน์ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เดิมแล้ว ต่อมาในการสำรวจครั้งเดือนเมษายน 2529 ได้พบจารึกหลักนี้ที่กุฏิรองเจ้าอาวาส และจากการสำรวจและถ่ายภาพจารึกที่วัดพระธาตุพนม โดยคณะทำงานโครงการพัฒนาฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ได้พบจารึกหลักนี้อยู่ในศูนย์ศิลปวัฒนธรรมรัตนโมลีศรีโคตรบูร ด้วยสภาพจารึกถูกผนึกติดไว้ที่เสาทำให้สามารถเห็นอักษรจารึกได้เพียงด้านเดียวคือ ด้านที่ 2 เนื้อหาโดยสังเขปของจารึกด้านที่ 1 จารึกด้วยอักษรธรรมลาว (ธรรมอีสาน) เนื้อความในจารึกกล่าวถึงเจ้าครูศีลาภิรัตน์ พร้อมด้วยภิกษุ สามเณร และสัปบุรุษ ประดิษฐานพัทธสีมาไว้ในพระบวรพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. 2464 จารึกด้านที่ 2 จารึกด้วยอักษรลาวเก่าหรืออักษรลาวเดิม (ไทน้อย) เนื้อความในจารึกกล่าวถึงเจ้าพระยาจันทสุริยวงศา เจ้าเมืองมุกดาหาร ได้สร้างพัทธสีมาไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. 2349 สันนิฐานว่าผู้สร้างจารึกนี้คือพระยาหลวงเมืองจันกับขุนโอกาส (เฉพาะด้านที่ 2) เกี่ยวกับการกำหนดอายุข้อความในจารึกทั้งสองด้านนั้นไม่ต่อเนื่องกัน อีกทั้งจารึกขึ้นต่างยุคสมัยกัน กล่าวคือ ข้อความจารึกด้านที่ 2 บรรทัดที่ 1 ระบุ จ.ศ. 168 เข้าใจว่ามีการละเลข 1 ตัวหน้า ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2349 อันเป็นสมัยที่ราชอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์เป็นประเทศราชขึ้นกับสยาม โดยมีเจ้าอนุวงศ์เป็นกษัตริย์นครเวียงจันทน์ (พ.ศ. 2346-2370) ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2325-2352) ส่วนข้อความจารึกด้านที่ 1 บรรทัดที่ 3 ได้ระบุ จ.ศ. 1283 ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2464 อันเป็นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2453-2468) \nบรรทัดที่ 1 สังกลาษไดรอย 608 ต", "title": "เจ้าพระรามราชรามางกูรขุนโอกาส (ราม รามางกูร)" }, { "docid": "41587#8", "text": "เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทัยได้ในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยได้ใช้ระบบปิตุราชาธิปไตยหรือ \"พ่อปกครองลูก\" ดังข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า\nคำพูด\"...เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู..\"", "title": "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" }, { "docid": "41587#10", "text": "ปรากฏข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงใช้พระราชอำนาจในการยุติธรรมและนิติบัญญัติไว้ดังต่อไปนี้ 1) ราษฎรสามารถค้าขายได้โดยเสรี เจ้าเมืองไม่เรียกเก็บจังกอบหรือภาษีผ่านทาง 2) ผู้ใดล้มตายลง ทรัพย์มรดกก็ตกแก่บุตร และ 3) หากผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท ก็มีสิทธิไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูวังเพื่อถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้ พระองค์ก็จะทรงตัดสินด้วยพระองค์เอง", "title": "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" }, { "docid": "41587#30", "text": "วรรณกรรมสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสูญหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (พ.ศ. 1835) ซึ่งแม้จะมีข้อความเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองทำให้ไพเราะซาบซึ้งตรึงใจ เช่น\nคำพูด|...ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว...ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย...เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พิน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด", "title": "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" }, { "docid": "41587#16", "text": "โปรดให้จารึกเรื่องราวบางส่วนที่เกิดในสมัยของพระองค์ โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 ทำให้คนไทยยุคหลังได้ทราบ และนักประวัติศาสตร์ได้ใช้ศิลาจารึกดังกล่าวเป็นข้อมูลหลักฐานในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวประวัติศาสตร์สุโขทัย", "title": "พ่อขุนรามคำแหงมหาราช" } ]
1844
ประเทศโรมาเนียอยู่ที่ไหน?
[ { "docid": "5360#0", "text": "โรมาเนีย (; , ) แต่ก่อนเรียกว่า รูมาเนีย () เป็นประเทศในทวีปยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีอาณาเขตทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดประเทศยูเครนและประเทศมอลโดวา ทิศตะวันตกจดประเทศฮังการีและประเทศเซอร์เบีย ทิศใต้จดประเทศบัลแกเรีย โรมาเนียมีชายฝั่งบนทะเลดำด้วย", "title": "ประเทศโรมาเนีย" }, { "docid": "5360#1", "text": "โรมาเนียเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดใน ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีเทือกเขาทรานซิลเวเนียแอลป์อยู่ทางตอนกลางของประเทศ และมีเทือกเขาคาร์เปเธียนอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ มีที่ราบทางตอนใต้ของเทือกเขาทรานซิลเวเนียแอลป์เป็นที่ทางการเกษตรเรียกว่า วอลลาเชีย", "title": "ประเทศโรมาเนีย" } ]
[ { "docid": "912062#0", "text": "นียง () เป็นเมืองในรัฐโว ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่บนชายฝั่งริมทะเลสาบเจนีวาบริเวณทางเหนือของนครเจนีวาไปราว 26 กิโลเมตร ประชากรร้อยละ 37 นับถือนิกายโรมันคาทอลิก รองลงมาร้อยละ 28 นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ เมืองแห่งก่อก่อตั้งขึ้นโดยโรมันระหว่างปี 50 ถึง 44 ก่อนคริสต์ศักราช และเป็นหนึ่งในนิคมที่สำคัญที่สุดของโรมันในพื้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน", "title": "นียง" }, { "docid": "33171#14", "text": "รายชื่อของรีโอนีทั้งหมดในยุคใหม่ มีดังต่อไปนี้โรมตั้งอยู่ในแคว้นลัตซีโยทางตอนกลางของอิตาลี ริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ นิคมแรกเริ่มตั้งขึ้นบนเนินเขาที่หันหน้าไปทางบริเวณน้ำตื้นด้านข้างเกาะไทเบอร์ ซึ่งเป็นบริเวณน้ำตื้นตามธรรมชาติเพียงแห่งเดียวตามลำน้ำในพื้นที่นี้ Rome of the Kings สร้างขึ้นบนเนินเขาเจ็ดแห่ง ได้แก่ เนินเขา Aventine เนินเขา Caelian เนินเขา Capitoline เนินเขา Esquiline เนินเขา Palatine เนินเขา Quirinal และเนินเขา Viminal นอกจากนี้ โรมในยุคใหม่ยังมีพื้นที่พาดผ่านแม่น้ำอานีเอเน ที่บรรจบกับแม่น้ำไทเบอร์บริเวณทางเหนือของศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์", "title": "โรม" }, { "docid": "5360#14", "text": "ประเทศโรมาเนียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 41 เทศมณฑล (counties) กับ 1 เทศบาลนคร (municipality) ได้แก่\nโรมาเนียประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยกว่า 3 ปี ก่อนที่จะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ในปี 2543 จากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของตลาดสหภาพยุโรป ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา โรมาเนียประสบปัญหาหลัก 4 ประการ คือ (1) การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้สินทั้งของภาครัฐและเอกชน (2) ปัญหาค่าเงินเลตกต่ำ (3) ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ (4) ปัญหาระบบธนาคาร ซึ่งรัฐบาลโรมาเนียได้พยายามดำเนินมาตรการจำเป็นต่างๆ เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ และระบบราชการ รวมทั้งแก้ปัญหาการขาดความชัดเจนด้านกฎหมาย ปัญหาด้านศุลกากร และปัญหาคอรัปชั่น ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการระดมทุนจากต่างประเทศ", "title": "ประเทศโรมาเนีย" }, { "docid": "269825#0", "text": "นีเดอร์ไบเอิร์น () หรือชื่อในภาษาอังกฤษคือ โลว์เออร์บาวาเรีย () เป็นหนึ่งในเจ็ดส่วนภูมิภาค (\"เรกีรุงชเบเซิร์ค\") ของรัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ทางตะวันออกของบาวาเรีย นีเดอร์ไบเอิร์นยังแบ่งย่อยออกเป็นสามเขต (\"Planungsverband\") คือ ลันด์สฮูท, พัสเซา และโดเนา-วัลด์ บริเวณนี้รวมป่าบาวาเรียซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว", "title": "นีเดอร์ไบเอิร์น" }, { "docid": "189043#0", "text": "เขตฝั่งโรมาเนีย (, ) เป็นดินแดนที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน ระหว่างการบุกครองโปแลนด์ ในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1939 ผู้บัญชาการกองทัพโปแลนด์ จอมพลเอ็ดเวิร์ต ริดซ์ สมิกลี่ ออกคำสั่งให้กองทัพโปแลนด์ทั้งหมดถอยมาทำการสู้รบทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำวิสตูล่า และหลบหนีไปทางแนวเขาที่ติดกับชายแดนโรมาเนียและสหภาพโซเวียต", "title": "หัวสะพานโรมาเนีย" }, { "docid": "900873#0", "text": "โรเซินไฮม์ () เป็นเมืองในส่วนภูมิภาคโอเบอร์ไบเอิร์น รัฐบาวาเรีย ประเทศเยอรมนี ถือเป็นเมืองใหญ่สุดทางตอนใต้ของโอเบอร์ไบเอิร์น ตั้งอยู่กึ่งกลางของทางด่วนหมายเลข 8 ซึ่งเชื่อมนครมิวนิกกับเมืองอินส์บรุคและซาลซ์บูร์กในประเทศออสเตรีย เมืองโรเซินไฮม์ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันตกของแม่น้ำอินน์ (Inn) แม่น้ำสายสำคัญซึ่งไหลลงสู่ประเทศออสเตรีย โรเซินไฮม์ยังเป็นบ้านเกิดของจอมพลไรช์ แฮร์มันน์ เกอริง ผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันสมัยนาซี", "title": "โรเซินไฮม์" }, { "docid": "134672#0", "text": "เจนไน (; ) หรือชื่อเดิม มัทราส () เป็นเมืองหลวงของรัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย ตั้งอยู่ริมชายฝั่งโคโรมันเดล (โจฬมณฑล) ของอ่าวเบงกอล ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ มีพื้นที่ 181.06 ตารางกิโลเมตร จำนวนประชากรประมาณ 7.5 ล้านคน (พ.ศ. 2550) จึงทำให้เป็นกลุ่มเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศ เจนไนตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยชาวอังกฤษซึ่งได้พัฒนาเมืองนี้ให้เป็นเมืองหลักและฐานทัพเรือ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็กลายเป็นศูนย์กลางการบริหารที่สำคัญแห่งหนึ่ง ในฐานะเมืองหลวงของเขตมัทราส (Madras Presidency)", "title": "เจนไน" }, { "docid": "911828#0", "text": "ไอเซนัค () เป็นเมืองชนบทในรัฐทือริงเงิน ประเทศเยอรมนี ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแฟรงก์เฟิร์ตไปราว 200 กิโลเมตร ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของทือริงเงินระหว่างศตวรรษที่ 12 ถึง 13 ปราสาทวาร์ทบูร์กในเมืองนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก อุตสาหกรรมหลักของเมืองคืออุตสาหกรรมยานยนต์ เมืองไอเซนัคเป็นบ้านเกิดของโยฮันน์ เซบาสเตียน บาค คีตกวีในยุคบาโรก", "title": "ไอเซนัค" } ]
1851
ใครเป็นผู้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ?
[ { "docid": "12009#12", "text": "วันที่ 28 เมษายน 2492 เป็นวันที่กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง ที่ถนนประสานมิตร อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร วันที่ 28 เมษายน จึงเป็นวันมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และชาวศรีนครินทรวิโรฒ ควรจะรำลึกถึงปูชนียบุคคลที่สำคัญ 2 ท่าน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อตั้งสถานศึกษาแห่งนี้ คือ ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ผู้ดำเนินการซื้อที่ดิน วางผัง บุกเบิกงาน และอีกท่านหนึ่ง ที่ได้ดำเนินการบริหารการศึกษา ได้ดำเนินการบริหารการศึกษาแห่งนี้คู่กันตลอดมาก็คือ หลวงสวัสดิสารศาสตรพุทธิ (สวัสดิ์ สุมิตร) ผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง", "title": "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ" }, { "docid": "12009#1", "text": "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แรกเริ่มได้จัดตั้งเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นการผลักดันของ ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ปลัดกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น โดยจัดตั้งเมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2492 เพื่อผลิตวิชาชีพครู ซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดแคลนเป็นจำนวนมากในขณะนั้น นับว่าเป็นการเริ่มต้นการศึกษาในระดับวุฒิประกาศนียบัตรครูประถมศึกษา และประกาศนียบัตรครูมัธยมศึกษา มีผู้อำนวยการโรงเรียนคนแรกคือ หลวงสวัสดิสารศาสตรพุทธิ (สวัสดิ์ สุมิตร)", "title": "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ" } ]
[ { "docid": "395433#1", "text": "ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ได้เสนอให้กระทรวงศึกษาธิการก่อตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษาขึ้นเพื่อให้เปิดสอน ถึงระดับปริญญา โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงจึงได้รับ การสถาปนาเป็นวิทยาลัยวิชาการศึกษา เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2496 และได้ตราพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการ ศึกษาประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2497 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี เป็นอธิการ วิทยาลัยเป็นคนแรก ซึ่งถือเป็นจุดก่อกำเนิดคณะวิชาการศึกษา และต่อมาคือคณะศึกษาศาสตร์ในปัจจุบันวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอน นิสิตเพื่อผลิตบัณฑิตที่จะไปเป็นครูและบุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนให้บริการจัดการฝึกอบรมวิทยาการ/ การเรียนการสอนสาขาต่าง ๆ ซึ่งผู้สำเร็จการศึกษาในขณะนั้น ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นผู้บริหาร นักวิชาการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา ของประเทศเป็นจำนวนมาก ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาลัยวิชาการศึกษามีมาโดยมิได้หยุดยั้ง สมดั่งปรัชญาที่ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ได้ตั้งไว้ว่า การศึกษาคือความเจริญงอกงามซึ่งตรงกับพุทธภาษิตว่า สิกขา วิรุฬหิ สมปตตา และตรงกับภาษาอังกฤษว่า Education is Growth วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2517 วิทยาลัยวิชาการศึกษาได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามว่า มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ( มะ-หา วิด-ทะ-ยา-ไล-สี-นะ-คะ-ริน-วิ-โรด) ใช้อักษรย่อว่า มศว โดยมีศาสตราจารย์ ดร.สุดใจ เหล่าสุนทร อธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษาคนสุดท้ายได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีเป็นคนแรก เช่นเดียวกับคณะศึกษาศาสตร์ก็ถือเป็นคณะแรกของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ปวงศิษย์แห่งวิทยาลัยวิชาการศึกษาและ ู้ที่เกี่ยวข้องต่างภาคภูมิใจและตระหนักในใจว่า วิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นต้นกำเนิดของคณะศึกษาศาสตร์และมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งถือเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกที่ยกระดับการศึกษาของครูจนถึงระดับปริญญาเอก", "title": "คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ" }, { "docid": "360120#1", "text": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลิตบัณฑิตสาขาวิศวกรรมศาสตร์ อันเนื่องมาจากปัญหาการขาดแคลนวิศวกรของประเทศไทย ทำให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ดำเนินโครงการจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ขึ้น โดยมีเป้าหมายผลิตบัณฑิตสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2535 จนถึงปี พ.ศ. 2544 ใช้งบประมาณดำเนินการ 2,300 ล้านบาท และมหาวิทยาลัยได้เปิดรับนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์รุ่นแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2535 ใน 3 สาขาวิชา คือ วิศวกรรมเคมี วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า สาขาละ 50 คน รวม 150 คน", "title": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ" }, { "docid": "12009#24", "text": "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาในการพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตวิทยาลัยวิชาการศึกษา ประสานมิตร ครั้งแรกในวันที่ 29 ธันวาคม 2502 ด้วยพระองค์เองเรื่อยมา แต่ในปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตร แก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ อาคารกีฬา 2 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จังหวัดนครนายก\n\"\n\"\n\"", "title": "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ" }, { "docid": "12009#2", "text": "ในกาลต่อมา พ.ศ. 2496 ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงในขณะนั้น ได้เสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการให้ก่อตั้ง วิทยาลัยวิชาการศึกษา ในยุคสมัยนั้นวิชาชีพครูสูงสุดแค่วุฒิ ป.ม. (ประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม) ซึ่งรับนักเรียกจากระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 มาศึกษาต่อเทียบเท่ากับอนุปริญญาเท่านั้น ทำให้ปัญญาชนในสมัยนั้นหันไปเรียนวิชาชีพอื่นที่ได้รับใบปริญญา ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี เป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้เข้าชี้แจงให้คณะรัฐบาลเข้าใจถึงเหตุและผลที่จะดำเนินการและสิ่งที่เกิดขึ้น หากให้สามารถเปิดสอนครูถึงระดับปริญญาและสามารถชี้แจงจนเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งในที่สุดที่ประชุมจึงได้มีมติยอมรับ และผ่านพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษาออกมา แต่กว่าที่จะได้มีการยอมรับนั้นค่อนข้างพบอุปสรรคพอสมควร", "title": "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ" }, { "docid": "6858#14", "text": "เป็นหน่วยงานบริการทางวิชาการมีฐานะเทียบเท่าคณะ มีประวัติการก่อตั้งสำนักคอมพิวเตอร์ ก่อตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 เริ่มต้นจากการเป็น “ศูนย์บริการการศึกษาและประมวลผลไมโครคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา” ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒสงขลา โดยคณะกรรมการบริหารวิทยาเขต ได้อนุมัติให้ใช้เงินสำรองของมหาวิทยาลัย จัดตั้งขึ้น เป็นโครงการเงินทุนหมุนเวียน ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์คอมพิวเตอร์มศว สงขลา” และ “ศูนย์คอมพิวเตอร์ มศว ภาคใต้” ตามลำดับการดำเนินงานใช้รูปแบบคณะกรรมการดำเนินการประจำศูนย์คอมพิวเตอร์และดำเนินงานด้วยค่าใช้จ่ายจาก เงินงบประมาณรายได้ของมหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยทักษิณ" }, { "docid": "12009#4", "text": "ในปี พ.ศ. 2516 ก่อนหน้า เหตุการณ์ 14 ตุลา ในช่วงเวลาที่ศาสตราจารย์ ดร.สุดใจ เหล่าสุนทร ดำรงตำแหน่งอธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษา คณาจารย์ นิสิต และข้าราชการ ได้ร่วมกันเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ปรับฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัย และย้ายสังกัดจากกระทรวงศึกษาธิการไปขึ้นกับทบวงมหาวิทยาลัย ท่ามกลางการปกครองที่เข้มงวดรุนแรงของรัฐบาลทหารในขณะนั้น เพื่อความคล่องตัวในการพัฒนาโครงสร้าง การบริหาร และการเรียนการสอนที่จำกัด ไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยและการขยายตัวที่มีความหลากหลายวิชาชีพ ท้ายที่สุด มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ \"มหาวิทยาลัยที่เจริญเป็นศรีสง่าแก่มหานคร\" ได้สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2517 โดยมีศาสตราจารย์ ดร.สุดใจ เหล่าสุนทร เป็นอธิการบดี โดยนามของมหาวิทยาลัยได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อ 6 มีนาคม พ.ศ. 2517 โดยพระราชทานเพียงชื่อเต็มและความหมายของชื่อดังกล่าว", "title": "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ" }, { "docid": "315291#3", "text": "อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ \nพุทธศักราช 2516 ก่อนหน้าเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในช่วงเวลาที่ ศาสตราจารย์ ดร.สุดใจ เหล่าสุนทร ดำรงตำแหน่งอธิการบดีวิทยาลัยวิชาการศึกษา คณาจารย์ นิสิต และข้าราชการ ได้ร่วมกันเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ปรับฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัย และย้ายสังกัดจากกระทรวงศึกษาธิการไปขึ้นกับทบวงมหาวิทยาลัย ท่ามกลางการปกครองที่เข้มงวดรุนแรงของรัฐบาลทหารในขณะนั้น เพื่อความคล่องตัวในการพัฒนาโครงสร้าง การบริหาร และการเรียนการสอนที่จำกัด ไปสู่การเป็นมหาวิทยาลัยและการขยายตัวที่มีความหลากหลายวิชาชีพ ท้ายที่สุดมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ “มหาวิทยาลัยที่เจริญเป็นศรีสง่าแก่มหานคร” ก็ได้รับการสถาปนาขึ้นในปีถัดมา (29 มิถุนายน 2517) โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.สุดใจ เหล่าสุนทร เป็นอธิการบดี (พุทธศักราช 2512 – 2521)", "title": "สุดใจ เหล่าสุนทร" }, { "docid": "476163#8", "text": "อย่างไรก็ตามเมื่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว ได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๓ ดังนี้นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงได้ดำเนินการรวมวิทยาเขตเป็นลำดับมา ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากสภาคณาจารย์ อาจารย์และนิสิตของวิทยาเขตที่จะถูกรวมให้ทบทวนมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าว แต่ทบวงมหาวิทยาลัยได้ยืนยันให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี", "title": "มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน" } ]
1858
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกคนที่เท่าไหร่คนไทย ?
[ { "docid": "643126#0", "text": "รองศาสตราจารย์ นราพร จันทร์โอชา (สกุลเดิม: โรจนจันทร์; เกิด: 20 มิถุนายน พ.ศ. 2497) รองประธานกรรมการบริหาร คนที่ 3 ในคณะกรรมการมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ตามพระราชโองการ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร\nอดีตนายกสมาคมแม่บ้านทหารบก อดีตอาจารย์ประจำสถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นภรรยาของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 29 และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ", "title": "นราพร จันทร์โอชา" }, { "docid": "220726#0", "text": "พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ชื่อเล่น: ตู่, เกิด 21 มีนาคม พ.ศ. 2497) เป็นนายทหารเกษียณอายุราชการชาวไทย ปัจจุบันเป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะทหารผู้ยึดอำนาจการปกครองในรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 29 และผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่ปีนั้น เขายังเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งดังกล่าว 3 เดือน 2 วัน ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่มีรักษาการนายกรัฐมนตรี", "title": "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" }, { "docid": "206205#97", "text": "พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของ ประเทศไทย, ผู้นำรัฐบาลเผด็จการทหาร, หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและอดีต ผู้บัญชาการทหารบก", "title": "โรงเรียนวัดนวลนรดิศ" } ]
[ { "docid": "220726#5", "text": "พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2497 ที่จังหวัดนครราชสีมา เป็นบุตรชายของพันเอก(พิเศษ) ประพัฒน์ จันทร์โอชา และเข็มเพชร จันทร์โอชา มารดาซึ่งรับราชการครู พลเอก ประยุทธ์มีชื่อเล่นว่า \"ตู่\" หรือที่สื่อมวลชนนิยมเรียกว่า \"บิ๊กตู่\" เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมดสี่คน ได้แก่ พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมและอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ,ประคัลภ์ จันทร์โอชา และพลอากาศโทหญิงประกายเพชร จันทร์โอชา ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพอากาศ", "title": "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" }, { "docid": "623865#1", "text": "พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 เป็นบุตรของ พันเอก ประพัฒน์ กับนางเข็มเพชร จันทร์โอชา มีชื่อเล่นว่า \"ติ๊ก\" สื่อมวลชนนิยมเรียกว่า \"บิ๊กติ๊ก\" เป็นน้องชายของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา สมรส กับ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา มีบุตร ชื่อ ว่าที่ ร.ต.ปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา นายทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 3 โรงเรียนเตรียมทหารได้มอบรางวัลเกียรติยศจักรดาว ให้พลเอกปรีชา ในปี 2559 และ ในปี พ.ศ. 2560 องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้มอบ เหรียญเกียรติคุณชั้นที่ 1 ให้แก่ พลเอก ปรีชา", "title": "ปรีชา จันทร์โอชา" }, { "docid": "220726#14", "text": "หลังรัฐประหาร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำคณะยึดอำนาจที่มีภาพลักษณ์ไม่เหมือนผู้นำคณะยึดอำนาจ คนอื่นๆ กล่าวคือ สื่อมวลชนมักเรียกพลเอกประยุทธ์ อย่างน่ารักน่าเอ็นดูว่า \"ลูงตู่\" และดารานักร้อง ฯลฯ มักชมว่าเป็น \"คนน่ารัก ตลก\" ซึ่งผิดกับภาพลักษณ์ผู้นำคณะยึดอำนาจที่เป็นทหารที่เคยผ่านๆมา", "title": "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" }, { "docid": "292465#0", "text": "สนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนแรก อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี(ดร.ทักษิณ ชินวัตร) และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรีหลายสมัย", "title": "สนธยา คุณปลื้ม" }, { "docid": "334916#0", "text": "นายกองเอกบัญญัติ จันทน์เสนะ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ รองประธานกรรมการคณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประธานมูลนิธิสวนประวัติศาสตร์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้แทนคณะรัฐมนตรี\nในคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)", "title": "บัญญัติ จันทน์เสนะ" }, { "docid": "220726#8", "text": "พลเอก ประยุทธ์รับราชการทหารอยู่ที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ หรือ \"ทหารเสือราชีนี\" มาโดยตลอด โดยเริ่มมาจากตำแหน่งผู้บังคับการกองพัน จนถึงผู้บังคับการกรม จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และรับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 เขาเป็นสมาชิก \"บูรพาพยัคฆ์\" ในกองทัพ เช่นเดียวกับพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรองหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งทั้งสองยังเคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก", "title": "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" }, { "docid": "328175#0", "text": "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล (เกิด 20 สิงหาคม พ.ศ. 2495) ประธานกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ประธานกรรมการในคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้างในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 9/2560 คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557 คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการเตรียมการยุทธศาสตร์ชาติ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 8/2560 อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตประธานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต และดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะอนุกรรมการร่วมไทย-เมียนมาร์ ฝ่ายไทยสาขาการเงิน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย เขาทำงานเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548–2553 และวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2556–2557 ซึ่งมีความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรง ครั้งหนึ่งนาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใน รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่า อยากปลดเขาทุกวันสาเหตุที่ไม่สามารถปลดได้ในขณะนั้นเนื่องจากติดขัดข้อกฎหมาย พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับแก้ไข พ.ศ. 2551 และเกรงว่านายประสารจะใช้สิทธิฟ้องกลับนาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง ทางศาลปกครอง โดย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวตำหนิเขาอย่างรุนแรงจากกรณีที่เขาไม่ยอมลดดอกเบี้ย", "title": "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" } ]
1859
วรรณยุกต์ คืออะไร?
[ { "docid": "180504#0", "text": "วรรณยุกต์ () หรือ วรรณยุต หมายถึง ระดับเสียง หรือเครื่องหมายแทนระดับเสียง ที่กำกับพยางค์ของคำในภาษา เสียงวรรณยุกต์หนึ่งอาจมีระดับเสียงต่ำ เสียงสูง เพียงอย่างเดียว หรือเป็นการทอดเสียงจากระดับเสียงหนึ่ง ไปยังอีกระดับเสียงหนึ่ง ก็ได้ ภาษาในโลกนี้มีทั้งที่ใช้วรรณยุกต์ และไม่ใช้วรรณยุกต์ เสียงวรรณยุกต์หนึ่งๆ อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีการประสมคำหรือเปลี่ยนตำแหน่งการเน้นเสียงในภาษาที่มีวรรณยุกต์ หรือ \"ภาษาวรรณยุกต์\" ทุกพยางค์จะมีระดับเสียงที่กำหนดไว้แล้ว ดังนั้น พยางค์สองพยางค์สามารถมีพยัญชนะที่เหมือนกัน และ สระที่เหมือนกัน แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมีวรรณยุกต์ที่ไม่เหมือนกันได้\nภาษาไทยมาตรฐานมีวรรณยุกต์ 5 เสียง คือ \nทุกคำที่กล่าวข้างบน ล้วนแต่ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะเดียวกัน คือ [kʰ] (มิใช่รูปพยัญชนะ คือ ข ค) และเสียงสระเดียวกัน คือ [aa] แต่มีเสียงวรรณยุกต์ซึ่งไม่เหมือนกัน (มิใช่รูปพยัญชนะ เช่น ไม้เอก ไม้โท) \nภาษาลาวถิ่นเวียงจันทน์ส่วนใหญ่มีวรรณยุกต์ 6 เสียง คือ\nดั่งภาษาไทย ทุกคำที่กล่าวข้างบน ยกเว้น กา ล้วนแต่ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะเดียวกัน คือ [kʰ] (มิใช่รูปพยัญชนะ คือ ข ค) และเสียงสระเดียวกัน คือ [aa] แต่มีเสียงวรรณยุกต์ซึ่งไม่เหมือนกัน (มิใช่รูปพยัญชนะ เช่น ไม้เอก ไม้โท)\nคำเมืองถิ่นเชียงใหม่ส่วนใหญ่มีวรรณยุกต์ 6 เสียง คือ\nทุกคำที่กล่าวข้างบน ล้วนแต่ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะเดียวกัน คือ [g] และเสียงสระเดียวกัน คือ [a] แต่มีเสียงวรรณยุกต์ซึ่งไม่เหมือนกัน และไม่มีในภาษาไทย", "title": "วรรณยุกต์" } ]
[ { "docid": "472285#1", "text": "รามเกียรต์ หรือ รามายณะ มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาวรรณกรรมเอเชีย ภาพการขับเคี่ยวที่พิสดารอลังการของฝ่ายพลับพลากับฝ่ายกรุงลงกา เส้นขนานของธรรมะและอธรรมรามและทศกัณฐ์ จึงเป็นขั้วที่ไม่เพียงยืนหยัด อยู่คนฝ่าย แต่ยังเป็น ศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องฟาดฟันกันให้แหลกลาญ “คนที่เป็นศัตรูกันต้องต่อสู้กันตลอดไปจริงหรือ?” กี่พันปีมาแล้วที่ทศกัณฐ์และพระรามเป็นศัตรูกัน กี่พันปีมาแล้วที่ทหาเอกของพระรามอย่างหนุมานต้องทำหน้าท่าปราบอธรรมให้สิ้นซาก คำถามนี้คือ จุดเริ่มต้นของภาพยนตร์แอนิเมชั่น “ยักษ์” โดย “ประภาส ชลศรานนท์” โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มดำเนินการสร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2549 แล้วเสร็จและฉายในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2555 รวมระยะเวลาสร้าง 6 ปี", "title": "ยักษ์ (ภาพยนตร์)" }, { "docid": "974184#0", "text": "Ƅ (ตัวพิมพ์เล็ก: ƅ) เป็นอักษรละตินที่ใช้ในภาษาจ้วงจาก 1957 ถึง 1986 เพื่อแสดงเสียงวรรณยุกต์ที่หก อักษร 'b' ถูกเลือกใช้เนื่องจากมีรูปร่างใกล้เคียงกับเลข '6' ซึ่งเป็นเลขของเสียงวรรณยุกต์ ใน 1986 ได้ใช้ h แทน", "title": "Ƅ" }, { "docid": "64217#0", "text": "ไม้เอก (–่) เป็นรูปวรรณยุกต์รูปหนึ่งของไทย ใช้เติมเหนือพยัญชนะต้นของคำ และเหนือสระบนขึ้นไปอีกถ้ามี เพื่อให้เกิดการผันเสียงวรรณยุกต์ซึ่งขึ้นอยู่กับไตรยางศ์มีลักษณะคล้ายคลึงกับฝนทอง และเปลี่ยนความหมายของคำให้เป็นอย่างอื่น", "title": "ไม้เอก" }, { "docid": "787155#0", "text": "ตัวอักษร Ẽ (: ẽ) เป็นรูปแบบหนึ่งของอักษรละติน E ที่มี อยู่ด้านบน โดยถูกใช้ในบริบทที่หลากหลายในสัทอักษรสากล\nẼ เป็นตัวอักษรที่มีวรรณยุกต์ของภาษาเวียดนาม", "title": "Ẽ" }, { "docid": "64228#0", "text": "ไม้จัตวา (–๋) เป็นวรรณยุกต์ตัวหนึ่งของไทย ใช้เติมเหนือพยัญชนะต้นของคำ และเหนือสระบนขึ้นไปอีกถ้ามี เพื่อให้เกิดการผันเสียงวรรณยุกต์ซึ่งขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ และเปลี่ยนความหมายของคำให้เป็นอย่างอื่น เช่น กา → ก๋า", "title": "ไม้จัตวา" }, { "docid": "787305#0", "text": "ตัวอักษร Ĩ (: ĩ) เป็นรูปแบบหนึ่งของอักษรละติน I ที่มี (tilde) อยู่ด้านบน โดยถูกใช้ในภาษาเวียดนามการเขียนใส่วรรณยุกต์", "title": "Ĩ" }, { "docid": "265921#0", "text": "รักคืออะไร เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 ของวงดิ อินโนเซ็นท์ออกวางแผงครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527ซึ่งในอัลบั้มนี้ได้ต้อนรับ 2 สมาชิกใหม่ของวงคือไก่ เกียรติศักดิ์ ยันตะระประกรณ์ ในตำแหน่งมือกลองที่เข้ามาแทนโหนก เกรียงศักดิ์ที่ได้ลาออกไปและไชยรัตน์ ปฏิมาปกรณ์ จากวงฟอร์เอฟเวอร์ ในตำแหน่งมือคีย์บอร์ดและมือกีตาร์ซึ่งก่อนหน้านั้นไชยรัตน์ได้เข้ามาเป็นนักดนตรีรับเชิญระหว่างออกทัวร์คอนเสิร์ตและแสดงทางโทรทัศน์ในอัลบั้ม เพียงกระซิบ และอัลบั้ม อยู่หอ ก่อนจะเข้ามาเป็นสมาชิกหลักของวงในอัลบั้มชุดนี้", "title": "รักคืออะไร" }, { "docid": "86131#0", "text": "หิรันต์ เป็นยักษ์ ซึ่งเป็นอสูรเทพบุตรบำเพ็ญตบะเพื่อขอพรพระผู้เป็นเจ้า จนพระอิศวรประทานพรให้มีฤทธิ์ปราบใด้ทั้งสามโลกและไม่มีผู้ใดฆ่าตาย เมื่อมีฤทธิ์และจึงบุกไปทั้งสามโลก และม้วนแผ่นดินมาเก็บไว้เมืองบาดาลสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จน พระนารายณ์ ทรงอวตารลงมาเป็นหมูเผือกเขี้ยวเพชร ไล่ขวิด ไล่กัด จนหิรันต์ตาย และนำแผ่นดินมาคลี่ออกตามเดิม\nมีหนึ่งพักตร์ สองกร กายสีขาว ทรงมงกุฎน้ำเต้า มีตะบองวิเศษเป็นอาวุธ", "title": "หิรันต์" }, { "docid": "387213#0", "text": "ไตรโลกยวิชยะ ( \"ไตรโลกฺยวิชย\", , \"เจี่ยงซานซื่อหมิงหวัง\") เป็นหนึ่งในวิทยาราชทั้งห้าตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน (ในญี่ปุ่นเป็นที่นับถือในนิกายชินงน ซึ่งเป็นแขนงย่อยหนึ่งของวัชรยาน) สถิดอยู่ ณ ทิศตะวันออกของครรภโกษธาตุ ทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มครองของพระอักโษภยพุทธะ พระธยานิพุทธะแห่งทิศตะวันออก บางตำราถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง โดยเป็นพระโพธิสัตว์เอกเทศมิได้จัดอยู่ในสกุลของพระธยานิพุทธะองค์ใด", "title": "ไตรโลกยวิชยะ" } ]
1871
พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงขึ้น ครองราชย์เมื่อใด?
[ { "docid": "4232#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐมเหศวรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย (พระราชสมภพ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 สวรรคต 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ครองราชย์ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 - 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367) พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 2 ในราชวงศ์จักรี มีพระนามเดิมว่า ฉิม (สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร) พระราชสมภพเมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน เวลาเช้า 5 ยาม ซึ่งตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสวยราชสมบัติเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. 2352 - 2367 ขณะมีพระชนมายุได้ 42 พรรษา", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" }, { "docid": "4232#7", "text": "เมื่อถึงวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จสวรรคตด้วยพระโรคชรา ขณะมีพระชนมายุได้ 73 พรรษา นับเวลาในการเสด็จครองราชย์ได้นานถึง 27 ปี สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล จึงได้เสด็จขึ้นทรงราชย์สืบพระราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งราชวงศ์จักรี", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" } ]
[ { "docid": "110412#1", "text": "ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย ปีจอ ตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2369 รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ทรงกำกับกรมพระอาลักษณ์ และทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ ในรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ เลื่อนเป็นกรมขุนบดินทรไพศาลโสภณ และโปรดเกล้าฯ ให้ทรงกำกับกรมอักษรพิมพการและกำกับศาลรับสั่งชำระความราชตระกูล แล้วทรงเลื่อนเป็นกรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ฑีฆชนม์เชษฐประยูร สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2446 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยพระชันษา 77 ปี", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ฑีฆชนม์เชษฐประยูร" }, { "docid": "4232#13", "text": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงพระประชวรด้วยโรคพิษไข้ ทรงไม่รู้สึกพระองค์เป็นเวลา 8 วัน พระอาการประชวรก็ได้ทรุดลงตามลำดับ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 สิริพระชนมายุได้ 57 พรรษา และครองราชย์สมบัติได้ 15 ปี", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" }, { "docid": "712989#5", "text": "ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้มีหมายรับสั่งให้นำพิธีกรรมดังกล่าวไปถวายให้ทอดพระเนตรในพระบรมมหาราชวังหน้าพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ติดต่อกันถึงสองปี (ในปี พ.ศ. 2358 และ พ.ศ. 2359) และมีพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จชมพิธีดังกล่าวอยู่เสมอ ครั้งหลังสุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทอดพระเนตร ณ กุฎีเจริญพาศน์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2496", "title": "กุฎีเจริญพาศน์" }, { "docid": "158155#3", "text": "เสด็จสวรรคตที่ กรงุพนมเปญ เมี่อเวลา 16.00 น. วันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2470 รวมพระชนมายุ 88 พรรษา ทรงครองราชย์ 24 ปี\nพิธีกรรมวันแรก สรงน้ำพระบรมศพ แผ่นทองที่ครอบพระพักตร์นั้น เป็นแผ่นทองที่จารึกอายตนะ 6 (พระปรมาภิไธยและวันเวลาพระราชสมภพและวันเสด็จสวรรคต) มีซับพระพักตร์ตาดเงินขาวคลุมบนแผ่นทอง และมีทรงสะพักตาดเงินขาวคลุมบนพระองค์", "title": "พระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์" }, { "docid": "4249#4", "text": "เมื่อสมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จขึ้นครองสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 2 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์แล้ว พระองค์ได้เสด็จเข้ามาอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่ง พ.ศ. 2355 พระองค์มีพระชนมายุได้ 9 พรรษา จึงได้จัดการพระราชพิธีลงสรงเพื่อเฉลิมพระนามเจ้าฟ้าอย่างเป็นทางการ พระราชพิธีในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระราชดำริว่า พระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าได้ทำเป็นอย่างมีแบบแผนอยู่แล้ว แต่การพระราชพิธีลงสรงตั้งพระนามเจ้าฟ้าครั้งกรุงศรีอยุธยายังหาได้ทำเป็นแบบอย่างลงไม่ รวมทั้ง ผู้ใหญ่ที่เคยเห็นพระราชพิธีดังกล่าวก็แก่ชราเกือบจะหมดตัวแล้ว เกรงว่าแบบแผนพระราชพิธีจะสูญไป พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้า กรมหลวงพิทักษมนตรีและเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช (บุญรอด บุณยรัตพันธุ์) เป็นผู้อำนวยการพระราชพิธีลงสรงในครั้งนี้เพื่อเป็นแบบแผนของพระราชพิธีลงสรงสำหรับครั้งต่อไป พระราชพิธีในครั้งนี้จึงนับเป็นพระราชพิธีลงสรงครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยทูลกระหม่อมฟ้าใหญ่ได้รับการเฉลิมพระนามตามพระสุพรรณบัฏว่า \"สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทวาวงษ์ พงษ์อิศรกระษัตริย์ ขัติยราชกุมาร\" ในปี พ.ศ. 2359 พระองค์มีพระชนมายุครบ 13 พรรษา สมเด็จพระบรมชนกนาถมีพระราชดำรัสจัดให้ตั้งการพระราชพิธีโสกันต์ตามแบบอย่างพระราชพิธีโสกันต์เจ้าฟ้าที่มีมาแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โดยได้สร้างเขาไกรลาสจำลองไว้บริเวณหน้าพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท", "title": "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" }, { "docid": "4232#11", "text": "นอกจากจะทรงส่งเสริมงานช่างด้านหล่อพระพุทธรูปแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยังได้ทรงพระราชอุตสาหะปั้นหุ่นพระพักตร์ของพระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก พระประธานในพระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร อันเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญยิ่งองค์หนึ่งของไทยด้วยพระองค์เอง ซึ่งลักษณะและทรวดทรงของพระพุทธรูปองค์นี้เป็นแบบอย่างที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 2 นี้เอง ส่วนด้านการช่างฝีมือและการแกะสลักลวดลายในรัชกาลของพระองค์ได้มีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างมาก และพระองค์เองก็ทรงเป็นช่างทั้งการปั้นและการแกะสลักที่เชี่ยวชาญยิ่งพระองค์หนึ่งอย่างยากที่จะหาผู้ใดทัดเทียมได้ นอกจากฝีพระหัตถ์ในการปั้นพระพักตร์พระพุทธธรรมิศรราชโลกธาตุดิลกแล้ว ยังทรงแกะสลักบานประตูพระวิหารพระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร คู่หน้าด้วยพระองค์เองร่วมกับกรมหมื่นจิตรภักดี และทรงแกะหน้าหุ่นหน้าพระใหญ่และพระน้อยที่ทำจากไม้รักคู่หนึ่งที่เรียกว่าพระยารักใหญ่ และพระยารักน้อยไว้ด้วย", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" }, { "docid": "4232#3", "text": "ในพระราชกำหนด สักเลข นั้นได้มีการขานพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระบรมธรรมิกราชา นราธิบดี ศรีสุริยวงษ์ องคราเมศวรราช บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" }, { "docid": "4232#4", "text": "ในพระราชกำหนด ห้ามมิให้สูบแลชื้อขายฝิ่น นั้นได้มีการขานพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระบรมธรรมิกราชาธิบดี ศรีวิสุทธิคุณ วิบุลยปรีชา ฤทธิราเมศวรราช บรมนารถบรมพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย" } ]
1872
คาทอลิกคือศาสนาคริสต์หรือไม่ ?
[ { "docid": "47963#0", "text": "พระศาสนจักรคาทอลิก () หรือ คริสตจักรโรมันคาทอลิก (Roman Catholic Church) เป็นคริสตจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีศาสนิกชนกว่าพันล้านคน มีพระสันตะปาปาเป็นประมุข มีพันธกิจหลักคือ การประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ โปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ และปฏิบัติกิจเมตตา ศาสนจักรคาทอลิกเป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อารยธรรมตะวันตก คริสตจักรนี้สอนว่าศาสนจักรคาทอลิกเป็นคริสตจักรแท้เพียงแห่งเดียวที่ก่อตั้งโดยพระเยซู โดยมีมุขนายกเป็นผู้สืบตำแหน่งต่อจากอัครทูตของพระคริสต์ และมีพระสันตะปาปาที่สืบตำแหน่งมาจากนักบุญเปโตร ชาวคาทอลิกถือว่าศาสนจักรคาทอลิกเป็นคริสตจักรแท้ ดั้งเดิม สอนหลักความศรัทธาและศีลธรรมไม่มีผิดพลาด ศาสนจักรยังเน้นความสำคัญของพิธีบูชาขอบพระคุณ สอนว่าขนมปังและเหล้าองุ่นในพิธีศีลมหาสนิทเมื่อเสกแล้วเปลี่ยนสารเป็นพระมังสะและพระโลหิตจริง ๆ ของพระเยซู ทั้งยังให้ความสำคัญกับพระนางมารีย์พรหมจารีเป็นพิเศษ คือเชื่อว่าพระแม่ทรงปฏิสนธินิรมลและได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ภายหลังมรณกรรม", "title": "โรมันคาทอลิก" }, { "docid": "364486#0", "text": "เทศกาลมหาพรต (คาทอลิก) หรือเทศกาลเข้าสู่ธรรม (โปรเตสแตนต์) (; แปลว่า ที่สี่สิบ) เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของศาสนาคริสต์ เริ่มต้นจากวันพุธรับเถ้าและสิ้นสุดวันอีสเตอร์ รวม 40 วัน โดยเทศกาลนี้มีไว้เพื่อระลึกถึงพระทรมานและการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ โดยกิจที่คริสต์ศาสนิกชนปฏิบัติในช่วงนี้คือการอธิษฐาน การบริจาคสิ่งของ การอดอาหาร และการไม่ฟุ่มเฟือย", "title": "เทศกาลมหาพรต" }, { "docid": "37665#27", "text": "อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สังคมในอาณาจักรวิซิกอทไม่รวมเป็นอันหนึ่งอันหนึ่งเดียวกันคือ ชาวฮิสปาเนียนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ในขณะที่ชาววิซิกอทยังคงนับถือศาสนาคริสต์นิกายแอเรียน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 587 พระเจ้าเรกคาเรดที่ 1 ซึ่งทรงเป็นโอรสพระองค์รองของพระเจ้าลีอูวีกิลด์ รวมทั้งชาววิซิกอทส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนไปนับถือคาทอลิก และเริ่มปรับตัวให้เข้ากับชาวฮิสปาเนีย ทำให้พระคาทอลิกมีอำนาจมากขึ้นและหลังจากการประชุมสภาแห่งโตเลโดครั้งที่ 4 เมื่อปี ค.ศ. 633 สภาสงฆ์ได้ประกาศว่า ชาวยิวทุกคนต้องเข้าพิธีล้างบาป", "title": "ประวัติศาสตร์สเปน" }, { "docid": "388199#6", "text": "ชาวคริสต์ส่วนใหญ่ยอมรับแนวทางการปฏิบัติคริสต์ศาสนาแบบใหม่เหล่านี้เลิกหลบซ่อนตัวหลังจากที่เสรีภาพทางศาสนา และได้เข้าร่วมกับศาสนจักรคาทอลิก หลังประกาศว่าแนวทางเดิมที่ตนนับถือมานั้นไม่ใช่แนวทางดั้งเดิมที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามยังคงมีชาวคริสต์บางส่วนที่ตัดสินใจไม่เข้าร่วมกับศาสนจักรคาทอลิก คนกลุ่มหลังนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ \"ฮานาเระคิริชิตัง\" () หรือ \"คริสตังแปลกแยก\" ซึ่งปัจจุบันศาสนิกชนแปลกแยกนี้ พบที่ย่านอูรากามิในเมืองนางาซากิ และหมู่เกาะโกโต", "title": "คากูเระคิริชิตัง" }, { "docid": "143314#0", "text": "นิกายในศาสนาคริสต์ () คือการแบ่งสาขาของศาสนาคริสต์ตามแนวปรัชญาและหลักการปฏิบัติ ในแต่ละนิกาย (denomination) ก็แบ่งย่อยเป็นคริสตจักร (church) รายการข้างล่างนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น\nคริสตจักรโรมันคาทอลิกนับถือทั้งพระเยซูและพระนางมารีย์พรหมจารี โดยเชื่อว่าพระแม่มารีย์พระมารดาพระเยซูเป็นพรหมจารีเสมอ และให้เกียรติพระนางมารีย์เป็นพิเศษ โดยเรียกว่า \"แม่พระ\" หมายถึงพระมารดาพระเจ้า นอกจากนี้ยังมีการยกย่องนักบุญ คือวีรบุรุษและวีรสตรีทางศาสนา หรือบุคคลที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูอย่างดีมากจนเชื่อว่าได้ไปสวรรค์และเป็นผู้คุ้มครองผู้คน อาจเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายว่า พระเยซูเสมือนพระมหากษัตริย์ แม่พระเสมือนพระราชชนนี และเหล่านักบุญเสมือนขุนนางองครักษ์", "title": "นิกายในศาสนาคริสต์" } ]
[ { "docid": "872303#1", "text": "คริสตังเหล่านี้จะมีการผสานความเชื่อกับหลักปฏิบัตินอกธรรมเนียมคาทอลิก โดยมีการบูชานักบุญร่วมกับเทพเจ้านอกศาสนาคริสต์ที่บางส่วนได้แยกออกไปเป็นลัทธิต่างหาก อาทิ วูดูของเฮติ, ซันเตรีอาของคิวบา และกาดอมเบลของบราซิล ซึ่งทั้งสามลัทธินี้เป็นการผสานความเชื่อระหว่างคาทอลิกกับศาสนาพื้นเมืองของชาวแอฟริกันตะวันตก นอกจากนี้ยังมีการผสานความเชื่อแบบคาทอลิกเข้ากับศาสนาดั้งเดิมของชาวอเมริกันพื้นเมือง อาทิ ชาวมายาในกัวเตมาลา และชาวเกชัวในเปรู พวกเขายืนยันว่าพวกเขาเป็นคริสตชนที่ดี แม้ว่าจะบูชาเทพเจ้านอกคริสต์ศาสนาไปด้วยก็ตาม", "title": "คาทอลิกแบบพื้นบ้าน" }, { "docid": "872303#2", "text": "ในประเทศญี่ปุ่น มีคริสต์ศาสนิกชนที่ตกทอดมาแต่ยุคเอโดะอาศัยอยู่ในประเทศอย่างหลบซ่อน เรียกว่าคากูเระคิริชิตัง () หรือคริสตังลับ พวกเขามีการผสานความเชื่อคาทอลิกเข้ากับพุทธ, ชินโต และการบูชาบรรพบุรุษ ซึ่งปัจจุบันแม้ญี่ปุ่นจะให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแล้ว แต่ยังมีคริสตชนบางส่วนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับศาสนจักรคาทอลิกเพราะยังยึดถือศาสนาในแนวทางนี้ จึงถูกเรียกว่าฮานาเระคิริชิตัง () หรือคริสตังแปลกแยก", "title": "คาทอลิกแบบพื้นบ้าน" }, { "docid": "872303#4", "text": "ในประเทศไทย คริสตังไทยสามารถลอยกระทงได้โดยไม่ถือว่าผิดหลักศาสนา แต่เปลี่ยนจากการอธิษฐานถึงพระแม่คงคา ไปเป็นอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าที่ประทานน้ำแก่มนุษย์แทน ส่วนคริสตังไทยเชื้อสายจีนสามารถไหว้บรรพบุรุษในประเพณีไหว้เจ้าได้ เพราะเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบรรพชนผู้ล่วงลับ และคริสตังจีนบางนกแขวกจะมีพิธียิ้บเหนียมซึ่งเป็นพิธีปลงศพลักษณะคล้ายกับเทศกาลเชงเม้งทั้งยังมีพิธีกรรมบางประการนอกคริสต์ศาสนา แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของศาสนาพื้นบ้านจีนที่ถูกปรับให้สอดคล้องกับศาสนาคริสต์ นอกจากนี้มีชุมชนกะเหรี่ยงแห่งหนึ่งหนึ่งบูชาไม้กางเขนคล้องสายประคำที่ปักริมท้องนา เบื้องหน้าจัดโต๊ะบูชาสังเวยเครื่องเซ่นเพื่อให้พระเจ้าอวยพรสำหรับการเพาะปลูก อันแสดงให้เห็นถึงการผสานความเชื่อระหว่างคาทอลิกกับศาสนาผีซึ่งแต่เดิมจะบูชาโพสพแต่ที่นี้ได้เปลี่ยนไปบูชาพระเจ้าแทน", "title": "คาทอลิกแบบพื้นบ้าน" }, { "docid": "361549#15", "text": "นอกจากนี้วิธีการเผยแพร่ศาสนาก็เป็นต้นเหตุสำคัญให้นิกายคาทอลิกถูกต่อต้าน กล่าวคือมิชชันนารีมักใช้วิธีเหยียดหยามศาสนาท้องถิ่น เช่น มีการพิมพ์เผยแพร่หนังสือชื่อ “ปุจฉาวิสัชนา” ซึ่งแต่งโดยมุขนายกลาโน มีเนื้อหาเปรียบเทียบศาสนาคริสต์ – ศาสนาพุทธ ชี้ให้เห็นความเหนือกว่าของศาสนาคริสต์ ดูหมิ่นพุทธศาสนา ทันทีหนังสือเล่มนี้ถูกเผยแพร่เป็นครั้งแรกก็สร้างความไม่พอใจให้กับราชการไทย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงเรียกบาทหลวง 3 คนขึ้นศาลไต่สวน ที่สุดมีพระราชโองการห้ามไม่ให้ใช้ภาษาไทยในการเผยแพร่ศาสนา ห้ามคนไทย มอญ และลาวเข้ารีตศาสนาคริสต์ และห้ามมิให้มิชชันนารีติเตียนศาสนาของคนไทย มิชชันนารีที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกเฆี่ยนแล้วเนรเทศ ส่งผลให้การเผยแพร่ศาสนาแก่คนไทยในยุคนั้นต้องหยุดชะงักไป ต่อมาในรัชกาลที่ 3 มุขนายกปาลกัว ให้พิมพ์หนังสือนี้ออกเผยแพร่อีก พอถึง พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) สมัยจอมพลสฤษฎิ์ ก็มีการเผยแพร่หนังสือดังกล่าวอีกครั้ง ตำรวจจึงเรียกบาทหลวง 3 คนไปสอบสวน หนังสือถูกยึด ภายหลังก็สงบลง", "title": "โรมันคาทอลิกในประเทศไทย" }, { "docid": "388199#3", "text": "ชาวคริสต์ที่ยังหลงเหลือในญี่ปุ่นถูกเรียกว่า \"คริสตังลับ\" เพราะชนกลุ่มนี้ยังคงนับถือศาสนาคริสต์อย่างลับ ๆ โดยจะปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในห้องลับภายในบ้านของตนเอง เมื่อเวลาผ่านไป รูปเคารพของบรรดานักบุญในคริสต์ศาสนาได้ถูกแปลงรูปให้คล้ายคลึงกับพระพุทธรูปและรูปของพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระแม่มารีย์ที่ถูกพรางให้เหมือนเจ้าแม่กวนอิม () ผู้สวดมนต์ยังได้ดัดแปลงคำสวดมนต์ให้ฟังคล้ายกับบทสวดมนต์ในศาสนาพุทธ แต่ยังคงรักษารูปคำเดิมที่ยังไม่แปลจากภาษาละติน ภาษาโปรตุเกส และภาษาสเปนปะปนอยู่ ข้อความในคัมภีร์ไบเบิลถูกถ่ายทอดในลักษณะของมุขปาฐะเนื่องจากหวาดเกรงว่าทางการจะริบพระคัมภีร์ฉบับตีพิมพ์ไปเสีย การดำรงอยู่ของชุมชนชาวคริสต์ต้องขึ้นอยู่กับผู้นำที่เป็นที่พึงพาได้ เนื่องจากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 นั้นมีการกวาดล้างนักบวชคาทอลิกอย่างกว้างขวาง อย่างเช่นบทสวดวันทามารีย์จะมีความแตกต่างจากภาษาละตินดังนี้", "title": "คากูเระคิริชิตัง" } ]
1873
อาณาจักรโคตรบูร ตั้งอยู่ทางทิศใดของประเทศไทย ?
[ { "docid": "97402#17", "text": "ตำนานโบราณที่กล่าวถึงเรื่องราวของอาณาจักรโคตรบูรคือ อุรังคธาตุนิทานหรือพื้นธาตุหัวอก ตำนานดังกล่าวกล่าวถึงการสร้างโบราณสถานสำคัญทางพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทคือ เจดีย์พระธาตุพนมที่เมืองธาตุพนม (อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม) ในช่วงพุทธศักราช 8 นักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่าอาจอยู่ในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 แต่บางกลุ่มเห็นว่าอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 6-8 พระเจดีย์ธาตุพนมเป็นเจติยสถานที่เก่าแก่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและนักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่าอาจเก่าแก่ที่สุดของไทยและมีอายุมากกว่าสองพันปีมาแล้ว มหาชนเชื่อกันว่าภายในพระเจดีย์มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนหน้าพระอุระของพระพุทธเจ้าซึ่งเรียกว่า พระอุรังคธาตุ หรือ อุลังกะทาด ลวดลายและภาพที่สลักบนแผ่นอิฐหรือดินจี่ประดับรอบพระธาตุเจดีย์ทั้ง 4 ด้าน เป็นลักษณะศิลปกรรมของตนเองโดยเฉพาะ ศิลปกรรมรูปแบบดังกล่าวพบกระจายอยู่ทั่วไปบนใบเสมา หลักหิน ลายอิฐ เครื่องทอง แผ่นเงิน และเครื่องใช้ทั่วประเทศลาวและภาคอีสาน โดยนักวิชาการลาวและอีสานเรียกศิลปกรรมรูปแบบดังกล่าวว่า ศิลปกรรมแบบศรีโคตรบูร หรือ ศิลปะศรีโคตรบูร ศิลปกรรมดังกล่าวมีลักษณะร่วมกันกับศิลปกรรมกลุ่มสาเกตุนครในแถบอีสานตอนกลาง-ตอนล่าง และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศิลปกรรมแบบจามหรืออาณาจักรจุลณีกับศิลปกรรมแบบขอมยุคแรกซึ่งมีศูนย์กลางที่อีสานใต้ กัมพูชา และกระจายตัวมาที่สกลนครตลอดจนเมืองโบราณทรายฟองของลาว นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่าศิลปกรรมแบบศรีโคตรบูรส่งอิทธิพลต่อศิลปกรรมแบบทวารวดีบริเวณทิวเขาดงพญาไฟและทิวเขาพนมดงรักตลอดจนส่งอิทธิพลต่อคติการสร้างใบเสมาและเมืองโบราณในแถบจังหวัดพิษณุโลก (นครไทย) เพชรบูรณ์ พิจิตร นครนายก นครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี สุโขทัย และอยุธยา และมีอิทธิพลไปจนถึงทวารวดีบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อีกทั้งสันนิษฐานว่าศิลปกรรมแบบศรีโคตรบูรเป็นต้นกำเนิดงานศิลปกรรมในอาณาจักรล้านช้างยุคต่อมาหลายประการ อาทิ การสร้างใบเสมา การสร้างเจดีย์ทรงน้ำเต้า-ดอกปลี หรือทรงบัวเหลี่ยม เป็นต้น ตลอดจนลวดลายทางศิลปกรรมที่มีลักษณะโค้งงอ ปลายม้วนมน ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไปในลาวและอีสานมาจนปัจจุบัน นักวิชาการบางกลุ่มเชื่อว่า การสร้างเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือดอกบัวตูมในแถบสุโขทัยและบริเวณใกล้เคียง อาจได้รับอิทธิพลมาจากการสร้างเจดีย์ทรงน้ำเต้าในศิลปกรรมศรีโคตรบูรแถบลุ่มน้ำโขง ส่วนการสร้างเจดีย์ทรงระฆังคว่ำของภาคกลางและภาคเหนือในประเทศไทย อาจได้รับอิทธิพลจากการสร้างเจดีย์ทรงหม้อน้ำในศิลปกรรมศรีโคตรบูรแถบอีสานตอนกลาง", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "97402#14", "text": "ในราว 30 ปีมานี้มีนักวิชาการบางกลุ่มเคยเข้าใจผิดพลาดเกี่ยวกับอาณาจักรโคตรบูรหลายประเด็น นักวิชาการบางกลุ่มเคยเข้าใจว่ากลุ่มอารยธรรมของอาณาจักรโคตรบูรเป็นอันเดียวกันกับอารยธรรมของอาณาจักรทวารวดีและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางศิลปกรรมของอาณาจักรทวารวดี แต่จากการตรวจสอบหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานทางเอกสารโดยเฉพาะคัมภีร์ท้องถิ่นของอีสานและลาวกลับพบว่า อาณาจักรทวารวดีเคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรสาเกตนครในแถบลุ่มน้ำชี-มูล ซึ่งอาณาจักรสาเกตนครเป็นอาณาจักรที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโคตรบูร ดังนั้นอารยธรรมในแถบอีสานตอนกลาง อีสานใต้\nและแอ่งโคราชจึงน่าจะได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงมากกว่าลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากนั้นจึงพัฒนาไปเป็นอารยธรรมแถบรอยต่อของแอ่งโคราชกับลุ่มน้ำเจ้าพระยา และจากการตรวจสอบยุครอยต่อทางอารยธรรมของเมืองโบราณและแหล่งขุดค้นทางโบราณคดีสมัยอาณาจักรโคตรบูรทั่วภาคอีสานและลาว มักค้นพบอารยธรรมประเภทที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลจากอินเดียสมัยราชวงศ์คุปตะและหลังคุปตะซ้อนอยู่ในตัวเมืองโบราณและรอบอาณาบริเวณเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ หลักหินหรือหินตั้ง ฆ้องบั้ง กลองกบ ตั่งหินหรือหินสลักลายดาวหรือดวงตะวัน ไหดินเผาเขียนลายขด เป็นต้น จึงทำให้เชื่อแน่ว่าอาณาจักรโคตรบูรถือกำเนิดก่อนสมัยพุทธกาล โดยเชื่อมต่อกับอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ด้วย อีกทั้งยังมีพัฒนาการการก่อกำเนิดก่อนอาณาจักรทวารวดีในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาวราว 10-12 พุทธศตวรรษ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนักวิชาการคนใดออกมากล่าวชี้แจงและนำเสนอถึงความผิดพลาดด้านการศึกษาดังกล่าว", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" } ]
[ { "docid": "97402#16", "text": "อาณาจักรโคตรบูรมีศูนย์กลางชื่อว่า เมืองศรีโคตบูร หรือ เมืองศรีโคตโม หรือ เมืองศรีโคตรบอง ในเอกสารพื้นเวียงจันทน์เรียกว่า เมืองสิทธิโคตรบูรหลวง ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับตัวอำเภอธาตุพนม ลึกเข้าไปจากปากน้ำเซบั้งไฟ เมืองเซบั้งไฟ แขวงคำม่วนต่อกับแขวงสุวรรณเขตไม่มากนัก ปัจจุบันค้นพบซากเมืองโบราณในบริเวณดังกล่าวมากกว่า 3 แห่ง อาทิ เมืองโบราณตุ้มพะวังฟ้าฮ่วน เมืองโบราณขามแทบ เป็นต้น อีกทั้งมีการค้นพบภาชนะเครื่องใช้ เครื่องทอง และแผ่นเงิน-แผ่นทองคำดุนลายจำนวนมาก ต่อมาอาณาจักรโคตรบูรย้ายศูนย์กลางมาที่ปากห้วยเซือมและปากห้วยบังฮวกตอนเหนือของพระธาตุพนมในอำเภอธาตุพนม โดยมีชื่อว่า เมืองมรุกขนคร หรือ เมืองลุกขานคร นักประวัติศาสตร์เชื่อตามคำภีร์อุรังคธาตุว่าเมืองมรุกขนครตั้งเมืองอยู่บริเวณดงต้นรวก (ลาวเรียกว่าไผ่ฮวก) และดงต้นรัง เดิมนักวิชาการบางกลุ่มสันนิษฐานว่าบริเวณดังกล่าวอาจมีสัตว์ตระกูลกวางและเก้งหรือฟานอาศัยอยู่จำนวนมาก ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า คำว่า มรุกขนคร อาจมาจากคำว่า มฤคนคร แต่จากการตรวจสอบชื่อเมืองในใบลานเรื่องอุรังคธาตุนิทาน ตำนานพระธาตุพนม สังกาดธาตุพนม และพื้นธาตุหัวอก จำนวน 16 ฉบับ พบว่าชื่อมรุกขนครเป็นคำบาลีสำเนียงลาวที่แผลงมาจากคำว่า รุกขนคร เอกสารบางฉบับเขียนว่า รุกขานคร ซึ่งหมายถึงเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้ พื้นที่ศูนย์กลางของอาณาจักรในยุคนี้มีการค้นพบใบเสมาบริเวณวัดหลักศิลามงคล ตำบลพระกลาง ใบเสมาบ้านดงยอ ตำบลนาถ่อน ใบเสมาและหินตั้งในตัวเมืองธาตุพนมกระจายอยู่จำนวนมาก ตลอดจนซากเมืองโบราณ ศาสนสถานโบราณ และหลักฐานทางโบราณคดีต่าง ๆ ซึ่งปะปนอยู่กับหลักฐานทางโบราณคดีสมัยขอมและสมัยล้านช้างที่บ้านดอนนางหงส์ท่า บ้านดงกลอง บ้านหนองสะโน บ้านนาแก บ้านนาถ่อนทุ่ง บ้านธาตุน้อยศรีบุญเรือง บ้านพระกลางทุ่ง และตำบลอุ่มเหม้า ในอำเภอธาตุพนม จากนั้นอาณาจักรโคตรบูรย้ายศูนย์กลางไปบริเวณปากห้วยสีมังตอนใต้เมืองท่าแขก ใกล้กับที่ตั้งของพระธาตุศรีโคตรบอง และบริเวณปากห้วยหินบูน เมืองหินบูน แขวงคำม่วน ตรงข้ามกับพระพุทธบาทเวินปลา บ้านเวินพระบาท ในอำเภอท่าอุเทน บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ซึ่งบริเวณใกล้เคียงยังปรากฏซากเมืองโบราณชื่อว่าเมืองอารันรัจจานาและเวียงสุลินอยู่ด้วย บริเวณดังกล่าวปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีเป็นซากศาสนสถานจำนวน 13 แห่ง", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "97402#2", "text": "คำเพา พอนแก้ว นักประวัติศาสตร์ลาวเสนอให้อาณาจักรโคตรบูรจัดอยู่ในยุคประวัติศาสตร์ลาวสมัยกลาง หรือก่อนสมัยอาณาจักรล้านช้าง โดยเรียกชื่อว่า ยุคอ้ายลาวสมัยสีโคดตะบอง ส่วนคำว่า สีโคดตะบูน ให้ใช้เรียกเป็นชื่อเมืองแทน อาณาจักรโคตรบูรถูกจัดให้อยู่ในสมัยสีโคดตะบอง หรือ สมัยสริโคดตะปุระ ก่อน ค.ศ. ถึง ศตวรรษที่ 7 หลัง ค.ศ. ยุคอ้ายลาวสมัยสีโคดตะบองแบ่งออกเป็นสองช่วงใหญ่ คือ", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "352291#1", "text": "เมืองท่าแขก เป็นเมืองศูนย์กลางของแขวงคำม่วน เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ลาวมายาวนาน ในอดีตราวคริสต์ศตวรรษที่ 5 เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรฟูนัน (พนม) และ อาณาจักรเจนละ โดยมีเมืองหลวงชื่อว่า ศรีโคตรบูร หรือ ศรีโคตรบอง ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองบริเวณปากห้วยศรีมังค์ ปัจจุบันคือวัดพระธาตุสีโคดตะบูน และปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ เช่น รอยเท้าไดโนเสาร์บ้านนาไก่เขี่ย ตลอดจนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยศรีโคตรบูร (ทวารวดีลาว) และสมัยขอม อาทิ พระธาตุศรีโคตรบอง ใบเสมาโบราณ ชิ้นส่วนแกะสลักของประติมากรรมขอม แนวกำแพงหินยักษ์บ้านนาไก่เขี่ย ตลอดจนซากปรักหักพังของเจดีย์โบราณ และซากพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ในสมัยอาณาจักรล้านช้าง เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นซากเมืองโบราณ อาทิ เมืองอรันรัตจานา และเมืองเวียงสุรินทร์ ทางตอนเหนือของเมืองท่าแขกด้วย หลังยุคขอมเสื่อมอำนาจแล้วเมืองแห่งนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง จากนั้นได้รกร้างไปแล้วพัฒนากลายมาเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ขึ้นกับอาณาเขตของเมืองนครบุรีราชธานีศรีโคตรบูรหลวง (นครพนม)", "title": "ท่าแขก" }, { "docid": "97402#27", "text": "ในขอบข่ายอำนาจของอาณาจักรอ้ายลาวสมัยสีโคดตะบองได้เกิดความเคลื่อนไหวทางกลุ่มอำนาจของนครรัฐขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งอาจมีการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ หรือมีการแยกอำนาจขาดจากกันอย่างนครรัฐแบบเบ็ดเสร็จ แต่บรรดาอาณาจักรที่มีความเข้มแข็งและสามารถดำรงเอกภาพอยู่ได้ของชนชาติลาวมาจนถึงสมัยก่อนสถาปนาอาณาจักรล้านช้างก็คือ อาณาจักรอ้ายลาวหนองแสและอาณาจักรโคตรบูร พื้นที่ครอบคลุมของอาณาจักรโคตรบูรทั้งในลุ่มแม่น้ำโขง-ชี-มูล ปรากฏซากเมืองโบราณมากกว่า 240 แห่ง บางเมืองได้รับการประเมินว่าสามารถบรรจุคนได้มากถึง 10,000-100,000 คน นักโบราณคดีเชื่อว่ากลุ่มเมืองเหล่านี้มีหลักฐานชี้ให้เห็นว่าถูกสร้างขึ้นก่อนที่อาณาจักรโคตรบูรจะได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดียมากกว่า 1,000 ปี ซึ่งอารยธรรมอินเดียได้เข้าสู่อาณาจักรโคตรบูรในช่วงก่อนที่ศาสนาพุทธ-พราหมณ์จะขยายตัว แลเมืองเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในยุคก่อนศาสนาพราหมณ์จะขยายตัวเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีพัฒนาการมาจากยุคสัมฤทธิ์และยุคเหล็ก เนื่องจากบริเวณตัวเมืองและรอบตัวเมืองเหล่านี้ได้มีการค้นพบเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากเหล็กและสำริดหลายแห่ง โดยประเมินอายุว่าไม่น่าต่ำกว่า 2,500 ปี มาแล้ว บางเมืองยังมีการพบหลักฐานว่าถูกใช้เป็นพื้นที่ในการทำนาปลูกข้าวเหนียว โดยสร้างเป็นตารางสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาวเท่ากัน นักวิชการบางกลุ่มสันนิษฐานว่าอาจเป็นพื้นที่กรรมสิทธิ์ของผู้ปกครองนครรัฐ นอกจากนี้แต่ละเมืองยังค้นพบการสร้างกำแพงเวียงหลายรูปแบบ มีการสร้างประตูเวียง ป้อมปราการ และนอกกำแพงเวียงก็ยังมีการขุดคูน้ำล้อมรอบ หรือขยายกำแพงเวียงซ้อนกันมากกว่า 2 ชั้นด้วย หลายนครรัฐในเครือข่ายอำนาจอาณาจักรโคตรบูรยุคก่อนพุทธกาลได้ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานโบราณหลายแห่งของลาวและอีสาน ดังนี้", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "97402#10", "text": "ประการที่ 3 มีนักประวัติศาสตร์-ภูมิศาสตร์หลายคนเห็นว่า บริเวณปากแม่น้ำโขงในสมัย 3,000 ปีก่อนอาจตั้งอยู่บริเวณน้ำตกหลี่ผีในแขวงสีทันดอน (สี่พันดอน) ของลาว แต่เมื่อสภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงปากแม่น้ำโขงจึงย้ายไปยังบริเวณกาตุยจังหน้าเมืองพนมเป็ญเมืองหลวงของกัมพูชาแล้วย้ายลงไปทางใต้อีกในสมัยต่อมา อันเนื่องมาจากสาเหตุที่น้ำทะเลได้เหือดแห้งลงจากยุคก่อน ปากแม่น้ำโขงบริเวณหลี่ผีของลาวจึงน่าจะเป็นที่ส่วนหนึ่งของอาณาจักรโคตรบูร-ฟูนัน", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "97402#1", "text": "คำว่า โคตรบูร อาจมาจากภาษาสันสกฤต คือคำว่า โคตะปุระ คำว่า โคตะ แปลว่า ตะวันออก ส่วนคำว่า ปุระ แปลว่า เมืองหรือนคร โคตะปุระจึงหมายถึงเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกหรือเมืองแห่งดวงอาทิตย์ นักวิชาการบางกลุ่มกลับเห็นว่าอาจมาจากคำว่า สีโคด (ศรีโคตะ) กับคำว่า ปุนยะ (ปุณยะ) รวมกัน นักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่า คำว่า โคตร (อ่านว่า โคด-ตะ) อาจมาจากคำว่า โคตมะ อันเป็นพระนามของพระโคตมะพุทธเจ้าซึ่งปรากฏที่มาของนามเมืองนี้ในคัมภีร์อุรังคธาตุนิทาน ตอนพระพุทธเจ้าเสด็จมากล่าวคำวุฒิสวัสดีและรับบิณฑบาตแก่พระยาศรีโคตรบูร นักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่า คำว่า โคตร อาจมาจากคำว่า โคตระ หรือ โคตรกระ (อ่านว่า โคด-กะ) อันมีที่มาเชื่อมโยงกับพระนามของกษัตริย์แห่งอาณาจักรที่ทรงมีตระบองขนาดใหญ่เป็นอาวุธ เป็นเหตุให้พระนามและอาณาจักรของพระองค์ถูกเรียกว่า โคตรบอง หรือ โคตรกระบอง เอกสารทางประวัติศาสตร์บางแห่งมีการเรียกชื่อเมืองต่างกันออกไป อาทิ เมืองตะบอง เมืองกะบอง เมืองตะบองขอน เมืองติโคตรบอง และ เมืองติโคตรบูร ส่วนคำว่า บูร นั้น ในเอกสารใบลานจำนวนมากนิยมเขียนทั้งคำว่า บุร บุน และ บอง ยกเว้นจารึกวัดโอกาส (ศรีบัวบาน) ในตัวเมืองจังหวัดนครพนมซึ่งจารึกในสมัยล้านช้างที่เขียนว่า บูร อย่างไรก็ตาม รูปอักขระของคำว่า บุร หรือ บูร ตามหลักการออกเสียงในอักษรธรรมลาว-อีสานโบราณนั้นสามารถอ่านได้ 8 แบบ คือ บุน บูน ปุน ปูน บุระ บูระ ปุระ และ ปูระ จึงทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่า คำว่า บูร เป็นสำเนียงลาวหรือสำเนียงท้องถิ่นที่มาจากการแผลงเสียงของคำว่า ปุระ ในภาษาสันสกฤต ส่วนเอกสารวิชาการบางแห่งที่เขียนคำว่า บูร เป็น บูรณ์ นั้น เกิดจากความคลาดเคลื่อนและความเข้าใจผิดของนักวิชาการ เนื่องจากในเอกสารโบราณและจารึกไม่ปรากฏคำว่า บูรณ์ อยู่เลย และคำว่า บูรณ์ นั้นมีความหมายแตกต่างจากคำว่า บูร หรือ ปุระ มาก", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "97402#5", "text": "คำเพา พอนแก้ว เห็นว่า สีโคดตะบองเป็นชื่อหนึ่งของมหาอาณาจักรในสมัยโบราณที่สำคัญที่สุดบนแหลมอินโดจีน โดยมีศูนย์กลางอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงตอนกลางของอาณาจักรลาวล้านช้างโบราณ นับตั้งแต่เมืองท่าแขกถึงเมืองร้อยเอ็ดและจากเมืองเวียงจันทน์ถึงเมืองสะหวันนะเขด แต่อาณาเขตของอาณาจักรสามารถแผ่ไปถึงพื้นที่ของเขมร ไทย และส่วนบนสุดของคาบสมุทรมลายู อาณาจักรโคตรบูรมีพื้นที่หน้ากว้างประมาณ 600,000 ตารางกิโลเมตร เมืองร้างสีโคดตะบองตั้งอยู่ลึกเข้าไปในร่องน้ำเซบั้งไฟประมาณ 15 กิโลเมตร ปัจจุบันถูกปกคลุมด้วยป่าดงดิบและยังไม่ได้รับการบูรณะฟื้นฟูจากรัฐบาล บริเวณดังกล่าวถือเป็นศูนย์กลางแห่งแรกของอาณาจักรนี้ คำว่า สีโคดตะบอง เปลี่ยนรูปภาษามาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า สริโคดตะปุระ แปลว่า เมืองตะวันออก ต่อมาจึงกลายเป็นคำว่า สีโคดตะบูน และ โคดตะบอง ตามลำดับ อาณาจักรดังกล่าวมีอำนาจเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ก่อน ค.ศ. ถึงศตวรรษที่ 6 และปลาย ศตวรรษที่ 7", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" }, { "docid": "97402#8", "text": "ประการที่ 1 จดหมายเหตุจีนแห่งราชวงศ์เหลียงกล่าวว่า อาณาจักรฟูนันมีแม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านผ่าตรงกลางอาณาจักรจากทางทิศตะวันตก และแม่น้ำโขงหรือน้ำของบริเวณนครเวียงจันทน์-เมืองท่าแขก ก็มีลักษณะไหลผ่านผ่ากลางมาทางทิศตะวันตกของอาณาจักรโคตรบูรเช่นกัน", "title": "อาณาจักรโคตรบูร" } ]
1879
ฟิลิปปินส์ เป็นเกาะหรือไม่ ?
[ { "docid": "1990#11", "text": "ฟิลิปปินส์เป็นกลุ่มเกาะที่ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ มีเนื้อที่ทั้งหมด (รวมพื้นผิวแหล่งน้ำภายในแผ่นดิน) ประมาณ 300,000 ตารางกิโลเมตร (115,831 ตารางไมล์) ชายฝั่งทะเลยาว 36,289 กิโลเมตร (22,549 ไมล์) ทำให้ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีชายฝั่งยาวที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของโลก ฟิลิปปินส์มีที่ตั้งซึ่งกำหนดโดยพิกัดภูมิศาสตร์คือ ระหว่างลองจิจูด 116° 40' ตะวันออก ถึง 126° 34' ตะวันออก กับละติจูด 4° 40' เหนือ ถึง 21° 10' เหนือ มีอาณาเขตจรดทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก จรดทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก และจรดทะเลเซเลบีสทางทิศใต้ เกาะบอร์เนียว ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และไต้หวันตั้งอยู่ทางทิศเหนือโดยตรง หมู่เกาะโมลุกกะและเกาะซูลาเวซีตั้งอยู่ทางทิศใต้-ตะวันตกเฉียงใต้ และปาเลาตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่เกาะ", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "1990#0", "text": "ฟิลิปปินส์ (; ) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (; ) เป็นประเทศเอกราชที่เป็นหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ประกอบด้วยเกาะ 7,641 เกาะ ซึ่งจัดอยู่ในเขตภูมิศาสตร์ใหญ่ 3 เขตจากเหนือจรดใต้ ได้แก่ ลูซอน, วิซายัส และมินดาเนา เมืองหลวงของประเทศคือมะนิลา ส่วนเมืองที่มีประชากรมากที่สุดคือนครเกซอน ทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของเมโทรมะนิลา ฟิลิปปินส์มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลจีนใต้ทางทิศตะวันตก ทะเลฟิลิปปินทางทิศตะวันออก และทะเลเซเลบีสทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โดยมีพรมแดนทางทะเลร่วมกับไต้หวันทางทิศเหนือ ปาเลาทางทิศตะวันออก มาเลเซียและอินโดนีเซียทางทิศใต้ และเวียดนามทางทิศตะวันตก", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "1990#33", "text": "ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเป็นหนึ่งในบรรดาจุดดึงดูดความสนใจหลัก ๆ ของการท่องเที่ยว โดยมีชายหาด ภูเขา ป่าดิบชื้น เกาะ และจุดดำน้ำอยู่ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากฟิลิปปินส์มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นกลุ่มของเกาะประมาณ 7,500 เกาะ จึงมีชายหาด ถ้ำ และการก่อตัวของหินรูปทรงแปลกตามากมาย โบราไคซึ่งมีหาดทรายขาวสะอาดได้รับการลงคะแนนจากผู้อ่านนิตยสารแทรเวลแอนด์เลเชอร์ให้เป็นเกาะที่ดีที่สุดในโลกประจำปี ค.ศ. 2012 จุดเด่นด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้แก่ นาขั้นบันไดบานาเวในจังหวัดอีฟูเกา นครประวัติศาสตร์วีกันในจังหวัดตีโมกอีโลโคส เนินเขาช็อกโกแลตในจังหวัดโบโฮล กางเขนของมาเจลลันในจังหวัดเซบู และพืดหินปะการังตุบบาตาฮาในจังหวัดปาลาวัน", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" } ]
[ { "docid": "1990#16", "text": "เนื่องจากธรรมชาติของเกาะต่าง ๆ เป็นภูเขาไฟ ฟิลิปปินส์จึงมีทรัพยากรแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ มีผู้ประมาณว่าประเทศนี้มีแหล่งแร่ทองคำใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากแอฟริกาใต้ และเป็นแหล่งแร่ทองแดงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยนิกเกิล โครไมต์ และสังกะสี อย่างไรก็ตาม การจัดการที่ไม่ดี ความหนาแน่นสูงของประชากร และความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมทำให้ยังไม่มีการนำทรัพยากรส่วนใหญ่ขึ้นมาใช้ พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นผลผลิตจากกิจกรรมภูเขาไฟที่ฟิลิปปินส์สามารถควบคุมจัดการจนได้ผลสำเร็จมากกว่า โดยในปัจจุบัน ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และพลังงานความร้อนใต้พิภพสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ถึงร้อยละ 18 ของประเทศ", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "1990#14", "text": "เนื่องจากตั้งอยู่บนขอบตะวันตกของวงแหวนไฟแปซิฟิก ฟิลิปปินส์จึงต้องเผชิญกับกิจกรรมแผ่นดินไหวและภูเขาไฟบ่อยครั้ง เนินใต้สมุทรเบ็นนัมในทะเลฟิลิปปิน (ทางทิศตะวันออกของกลุ่มเกาะ) เป็นภูมิภาคใต้สมุทรที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในเขตมุดตัวของเปลือกโลก มีการตรวจพบแผ่นดินไหวประมาณ 20 ครั้งต่อวัน แต่การสั่นสะเทือนส่วนใหญ่เบาเกินกว่าที่มนุษย์จะรู้สึกได้ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่เกาะลูซอนเมื่อปี ค.ศ. 1990", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "1990#17", "text": "ป่าดิบชื้นและชายฝั่งทะเลที่กว้างขวางของฟิลิปปินส์ทำให้กลุ่มเกาะนี้เป็นแหล่งรวมนก พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในทะเลหลากชนิด ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในสิบเจ็ดประเทศของโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยิ่ง (megadiverse country) เราสามารถพบสัตว์บกที่มีกระดูกสันหลังได้ถึงประมาณ 1,100 ชนิด ซึ่งรวมถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 100 ชนิด และนกกว่า 170 ชนิดที่คาดกันว่าไม่อาศัยอยู่ที่อื่น ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีอัตราการค้นพบสูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยมีการค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใหม่ 16 ชนิดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ อัตราสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่นของฟิลิปปินส์จึงเพิ่มสูงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มต่อไป ส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมพื้นถิ่นฟิลิปปินส์ได้แก่ อีเห็นข้างลาย (\"Paradoxurus hermaphroditus\"), แมวดาววิซายัส (\"Prionailurus javanensis rabori\"), พะยูน (\"Dugong dugon\") และทาร์เซียร์ฟิลิปปิน (\"Tarsius syrichta\") ซึ่งเกี่ยวข้องกับเกาะโบโฮล เป็นต้น", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "2074#13", "text": "มังกรโกโมโดเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสปีชีส์กิ้งก่า และอาศัยอยู่บนเกาะโกโมโด, เกาะรินจา, เกาะโฟลเร็ซ, และ Gili Motang ในอินโดนีเซีย\nอินทรีฟิลิปปินส์เป็นนกประจำชาติของฟิลิปปินส์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเป็นเหยี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และมีเฉพาะในป่าที่ฟิลิปปินส์เท่านั้น", "title": "เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" }, { "docid": "33180#3", "text": "เบเนดิกส์ เสนอว่า ไทยพร้อมกับพวกฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียอพยพจากหมู่เกาะทะเลใต้ แถบเส้นศูนย์สูตร ขึ้นมาตั้งถิ่นฐานในดินแดนอุษาคเนย์ และหมู่เกาะฟิลิปปินส์ เบเนดิกส์ ยกเรื่องความเหมือนของภาษามาสนับสนุน เช่น คำว่าปะตาย ในภาษาตากาล็อก แปลว่า ตาย อากู แปลว่า กู คาราบาว แปลว่า กระบือ เป็นต้น ประเด็นนี้นักภาษาศาสตร์ และนักนิรุกติศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับวิธีการของเบเนดิกส์ เพราะเป็นนำภาษาปัจจุบันของฟิลิปปินส์มาเทียบกับไทย แทนที่จะย้อนกลับไปเมื่อ 1200 ปีที่แล้ว ว่า คำไทยควรจะเป็นอย่างไร และคำฟิลิปปินส์ควรจะเป็นอย่างไร แล้วจึงนำมาเทียบกันได้ นอกจากนี้ ผู้ที่เชื่อทฤษฎีนี้ ยังใช้เหตุผลทางกายวิภาค เนื่องจากคนไทยและฟิลิปปินส์ มีลักษณะทางกายวิภาค คล้ายคลึงกัน", "title": "ชาวไท" }, { "docid": "1990#18", "text": "แม้ว่าบนหมู่เกาะฟิลิปปินส์จะไม่มีผู้ล่าเหยื่อเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ แต่ก็มีสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่อยู่บางชนิด เช่น งูเหลือม งูเห่า รวมทั้งจระเข้น้ำเค็มขนาดยักษ์ จระเข้น้ำเค็มในที่เลี้ยงตัวใหญ่ที่สุดในโลกมีชื่อว่า โลลอง ถูกจับได้ในเกาะมินดาเนาทางตอนใต้ของประเทศ", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" }, { "docid": "1990#13", "text": "แม่น้ำที่ยาวที่สุดคือแม่น้ำคากายันในภาคเหนือของเกาะลูซอน อ่าวมะนิลา (ชายฝั่งของอ่าวเป็นที่ตั้งของกรุงมะนิลาเมืองหลวง) เชื่อมต่อกับลากูนาเดบาอี (ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์) ผ่านแม่น้ำปาซิก อ่าวซูบิก อ่าวดาเบา และอ่าวโมโรเป็นอ่าวอื่น ๆ ที่สำคัญ ช่องแคบซันฮัวนีโคแยกเกาะซามาร์และเกาะเลเตออกจากกัน แต่ก็มีสะพานซันฮัวนีโคข้ามเหนือช่องแคบ", "title": "ประเทศฟิลิปปินส์" } ]
1883
พระครูวิเวกพุทธกิจบวชเมื่อใด ?
[ { "docid": "363800#4", "text": "ปี พ.ศ. 2422 เมื่ออายุ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดใต้ เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช ปัจจุบันคือ \"วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ\" อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และพำนักอยู่ที่วัดใต้ ซึ่งเป็นคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย และเมื่อพรรษา 10 ได้ศึกษาเล่าเรียนจนได้เป็น \"ญาคู\" คือครูสอนหมู่คณะทั้งพระภิกษุและฆราวาส ชาวบ้านเรียกท่านว่า \"ญาคูเสาร์\"", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" } ]
[ { "docid": "363800#9", "text": "ปี พ.ศ. 2436 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ขณะนั้นบวชเป็นพระภิกษุได้ 14 พรรษา ก็ได้นำศิษย์เอกจากบ้านคำบง ที่ชื่อว่า มั่น แก่นแก้ว เข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในคณะธรรมยุต ณ วัดศรีทอง (วัดศรีอุบลรัตนาราม) โดยมี \"พระอริยกวี (อ่อน ธมฺมรกฺขิโต)\" เป็นพระอุปัชฌาย์ \"พระครูสีทา ชยเสโน\" เป็นพระกรรมวาจาจารย์ \"พระครูประจักษ์อุบลคุณ (สุ่ย ญาณสโย)\" เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2436 ได้รับสมณฉายาว่า ภูริทตฺโต หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้ไปพำนักฝึกอบรมด้านสมถะและวิปัสสนากรรมฐานอยู่กับหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี และจุดนี้เป็นความยิ่งใหญ่ของวงศ์พระกรรมฐานตราบจนถึงปัจจุบัน วงศ์พระกรรมฐานจึงขนานนามหลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ว่า พระปรมาจารย์สายพระกรรมฐาน", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "363800#10", "text": "ปี พ.ศ. 2440 หลวงปู่ใหญ่เสาร์ กนฺตสีโล ได้พาศิษย์ของท่านคือ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งยังเป็นพระนวกะบวชได้ 4 พรรษา ออกเดินธุดงค์จากวัดเลียบ ไปปฏิบัติภาวนาที่ภูหล่นซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโขงเจียมในขณะนั้น ปัจจุบันคือ วัดภูหล่น อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับฝั่งประเทศลาว และได้ออกธุดงค์ไปตามลำแม่น้ำโขงทั้งฝั่งประเทศไทยและประเทศลาว", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "363800#12", "text": "ปี พ.ศ. 2459 หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พำนักจำพรรษาที่ถ้ำจำปา ภูผากูด ตำบลหนองสูง อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และได้จำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ด้วย \nวันหนึ่งหลวงปู่เสาร์นั่งอยู่ในที่สงัดองค์เดียว ท่านพิจารณาถึงอริยสัจ ได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริง ได้ตัดเสียซึ่งความสงสัยได้อย่างเด็ดขาด จวนจะถึงกาลปวารณาออกพรรษา ท่านก็ทราบชัดถึงความเป็นจริงทุกประการ จึงได้บอกกับท่านพระอาจารย์มั่นว่า \"เราได้เลิกการปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว และเราก็ได้เห็นธรรมตามความเป็นจริงแล้ว\" พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ยินดังนั้นก็เกิดปีติเป็นอย่างมากและได้ทราบทางวาระจิตว่า\"หลวงปู่เสาร์พบวิมุตติธรรมแน่แล้วในอัตภาพนี้\" หลังจากนั้นหลวงปู่ใหญ่เสาร์ก็ได้ธุดงค์วิเวกไปตามเขตจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย เป็นต้น", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "363800#3", "text": "ปี พ.ศ. 2417 เมื่ออายุ 15 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดใต้ เมืองอุบลราชธานีศรีวะนาไล ประเทษราช ปัจจุบันคือ \"วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ\" อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านมีความวิริยอุสาหะขยันขันแข็ง ตั้งใจทำกิจการงานของวัด ทั้งการท่องบ่นสาธยายมนต์ เรียนมูลน้อย มูลใหญ่ มูลสังกัจจายน์ ศึกษาทั้งการอ่านการเขียนอักษร ไทยน้อย ไทยใหญ่ และอักษระขอม จนชำนาญคล่องแคล่วทุกอย่าง", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "363800#20", "text": "หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้มรณภาพในอิริยาบถนั่งกราบพระประธานครั้งที่ 3 ในพระอุโบสถวัดอำมาตยาราม อำเภอวรรณไวทยากร จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ ประเทศไทย ในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว) เมื่อวันอังคาร แรม 3 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 สิริอายุ 82 ปี พรรษา 62 คณะศิษย์ได้เชิญศพของท่านกลับมา ณ วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และได้ประกอบพิธีฌาปนกิจในวันที่ 15 - 16 เมษายน พ.ศ. 2486", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "363800#0", "text": "พระครูวิเวกพุทธกิจ หรือ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล (2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402 - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485) เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ผู้เป็นบูรพาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ท่านเป็นอาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "85555#5", "text": "ภายหลังท่านสงสัยในผู้บวชให้และผ้าสังฆาฏิ หลังจากนั้นเกือบปี พระครูวิจิตรธรรมภาณี (จันทร์ สิริจนฺโท) จึงให้ท่านทำทัฬหีกรรมที่แพกลางแม่น้ำมูล โดยพระอาจารย์ม้าว เทวธมฺมี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิจิตรธรรมภาณี (จันทร์ สิริจนฺโท) และพระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) เป็นคู่กรรมวาจาจารย์\nปี พ.ศ. 2436 พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติ ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลราชธานี และได้ออกจาริกเดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ไปตามลำแม่น้ำโขงทั้งฝั่งประเทศไทยและประเทศลาว ซึ่ง หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล หลวงปู่หนู ฐิตปญฺโญ ต่อมาก็คือ พระปัญญาพิศาลเถร (หนู ฐิตปญฺโญ) และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้ธุดงค์วิเวกไปพำนักจำพรรษา ณ พระธาตุพนม ในปี พ.ศ. 2443 ซึ่งพระธาตุพนมในสมัยก่อน ประชาชนไม่รู้ถึงความสำคัญจึงไม่มีใครสนใจเท่าใดนัก เมื่อคณะของท่านมาพำนักจำพรรษาจึงได้บอกให้ชาวบ้านญาติโยมทราบว่า พระธาตุพนม องค์นี้เป็นพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นพระธาตุที่บรรจุอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า เมื่อชาวบ้านได้รู้เช่นนั้นแล้ว ก็พากันบังเกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงช่วยกันทำความสะอาดบริเวณพระธาตุพนม ครั้นถึงวันเพ็ญเดือน 3 ก็พาญาติโยมทั้งหลายทำบุญ จนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา และกาลต่อมาจึงได้มีการบูรณะขึ้นกลายเป็นปูชนียวัตถุที่สำคัญของภาคอีสาน และประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันคือ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม", "title": "พระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต" }, { "docid": "363800#5", "text": "ต่อมา หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ ท่านเทวธมฺมี (ม้าว) พระเถระฝ่ายธรรมยุติกนิกาย สำนักวัดศรีทอง และได้ขอ \" ทัฬหิกรรม \" ญัตติบวชใหม่เป็นพระภิกษุฝ่ายธรรมยุตินิกาย ณ อุโบสถวัดศรีทอง ปัจจุบันคือ วัดศรีอุบลรัตนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี \"พระครูทา โชติปาโล\" ซึ่งต่อมาได้รับสมณศักดิ์ที่ \"พระครูสีทันดรคณาจารย์\" เป็นพระอุปัชฌาย์ และ \"พระอธิการสีทา ชยเสโน\" เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ทั้งนี้ยังได้นำคณะสงฆ์พระภิกษุสามเณรใน \"วัดใต้\" ทั้งหมด \"ญัตติกรรม\" เป็นคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ด้วยเหตุนี้ \"วัดใต้\" หรือ \"วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ\" จึงกลายเป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายนับแต่นั้นเป็นต้นมา", "title": "พระครูวิเวกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล)" }, { "docid": "971454#2", "text": "อุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2510 ณ พัทธสีมาพระอุโบสถวัดปุณณสิริวนาราม บ้านเปือย ตำบลผือฮี อำเภอฟ้าหยาด จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระครูโสภณชัยคุณ (โสม จารุวัณโณ) วัดเวินชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้รับฉายาทางพุทธศาสน์ว่า ธีรปัญโญ หมายถึง นักปราชญ์ผู้มีความรู้มาก ได้บำเพ็ญสมณกิจตามพระวินัยแห่งองค์พระศาสดาจารย์ประจำอยู่ที่วัดปุณณสิริวนารามมาโดยตลอด ปรับปรุงศาสนสถานให้เจริญรุ่งเรืองจนเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และความศรัทธาของปุตุชนผู้เลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาตลอดมา", "title": "พระครูสิรินวกิจ (เสริม ธีรปัญโญ)" }, { "docid": "922513#4", "text": "หลังจากที่หลวงพ่อก้านท่านได้บวชแล้ว ท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยใหญ่ เพื่อตั้งใจศึกษาอบรมพระปริยัติธรรม พยายามประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มุ่งปฏิบัติหน้าที่ของตนให้บริบูรณ์ตามที่ได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนา \nหลวงพ่อก้านศึกษาจนจบนักธรรมชั้นตรี ครั้งพอเข้าพรรษาที่ 3 ท่านก็สอบได้นักธรรมชั้นโท และพรรษาที่ 4 ท่านสอบได้นักธรรมชั้นเอกตามลำดับ หลังจากที่สอบนักธรรมชั้นเอกได้แล้ว", "title": "พระครูภัทรกิจวิบูล (ก้าน ภทฺทโก)" } ]
1884
เทคโนโลยีไร้สายที่พบมากที่สุดใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นคลื่นวิทยุใช่หรือไม่?
[ { "docid": "40391#1", "text": "เทคโนโลยีไร้สายที่พบมากที่สุดใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นคลื่นวิทยุ ซึ่งอาจใช้ในระยะทางสั้นๆไม่กี่เมตรสำหรับโทรทัศน์ หรือไกลเป็นล้านกิโลเมตรลึกเข้าไปในอวกาศสำหรับวิทยุ การสื่อสารไร้สายรวมถึงหลากหลายชนิดของการใช้งานอยู่กับที่, เคลื่อนที่และแบบพกพา ได้แก่ วิทยุสองทาง, โทรศัพท์มือถือ, ผู้ช่วยดิจิตอลส่วนตัว (personal digital assistants หรือ PDAs) และเครือข่ายไร้สาย ตัวอย่างอื่น ๆ ของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีวิทยุไร้สายรวมถึง GPS, รีโมตประตูโรงรถ เม้าส์คอมพิวเตอร์ไร้สาย, แป้นพิมพ์และชุดหูฟังไร้สาย, หูฟังไร้สาย, เครื่องรับวิทยุไร้สาย, โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมไร้สาย, เครื่องรับโทรทัศน์ทั่วไปและโทรศัพท์บ้านไร้สาย", "title": "การสื่อสารไร้สาย" }, { "docid": "40391#2", "text": "วิธีการอื่นของการสื่อสารไร้สายที่ไม่ได้ใช้คลื่นวิทยุได้แก่ การใช้แสง, เสียง, สนามแม่เหล็กหรือสนามไฟฟ้า", "title": "การสื่อสารไร้สาย" } ]
[ { "docid": "26787#23", "text": "เพื่อเข้าถึงความต้องการสำหรับการใช้งานเครือข่ายไร้สาย Wi-Fi จึงมีการใช้พลังงานค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับมาตรฐานอื่น ๆ เทคโนโลยีเช่นบลูทูธ (ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน PAN แบบไร้สาย) ให้พิสัยการกระจายคลื่นที่สั้นมาก ระหว่าง 1 ถึง 100 เมตร และโดยทั่วไปก็มีการใช้พลังงานที่ต่ำกว่า เทคโนโลยีพลังงานต่ำอื่น ๆ เช่น ZigBee มีพิสัยค่อนข้างไกล แต่อัตรารับส่งข้อมูลต่ำกว่ามาก การใช้พลังงานที่สูงของ Wi-Fi ทำให้แบตเตอรี่ใน โทรศัพท์มือถือน่าเป็นห่วง", "title": "ไวไฟ" }, { "docid": "272504#9", "text": "การทำงานแบบนี้จะมีทั้งเซ็นเซอร์แม่เหล็กไฟฟ้า เซ็นเซอร์ชีวภาพ และเซ็นเซอร์เคมี แบบที่เป็นเซอร์แม่เหล็กไฟฟ้าจะใช้ทั้งกล้องสเปคตรัมภาพ อินฟราเรด หรือสิ่งที่คล้ายอินฟราเรดเช่นเดียวกับเรดาร์ ตัวตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างเซ็นเซอร์ไมโครเวฟและอัลตร้าไวโอเล็ตนั้นก็กใช้เช่นกัน แต่ไม่มากนัก เซ็นเซอร์ชีวภาพนั้นสามารถตรวจจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหรือองค์ประกอบทางชีวิภาพที่ลอยมากทางอากาศได้ เซ็นเซอร์เคมีนั้นจะใช้เลเซอร์เพื่อประเมินส่วนประกอบต่างๆ ที่อยู่ในอากาศ", "title": "อากาศยานไร้คนขับ" }, { "docid": "2937#15", "text": "เทคโนโลยีวิทยุและการแพร่กระจายสเปกตรัม - เครือข่ายท้องถิ่นไร้สายจะใช้เทคโนโลยีวิทยุความถี่สูงคล้ายกับโทรศัพท์มือถือดิจิทัลและเทคโนโลยีวิทยุความถี่ต่ำ. LAN ไร้สายใช้เทคโนโลยีการแพร่กระจายคลื่นความถี่เพื่อการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์หลายชนิดในพื้นที่จำกัด. IEEE 802.11 กำหนดคุณสมบัติทั่วไปของเทคโนโลยีคลื่นวิทยุไร้สายมาตรฐานเปิดที่รู้จักกันคือ Wifi", "title": "เครือข่ายคอมพิวเตอร์" }, { "docid": "40391#14", "text": "หนึ่งในตัวอย่างที่รู้จักดีที่สุดของเทคโนโลยีไร้สายก็คือโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถือ ที่มีมากกว่า 4.6 พันล้านผู้เช่าทั่วโลก ณ สิ้นปี 2010. โทรศัพท์ไร้สายเหล่านี้ใช้คลื่นวิทยุเพื่อช่วยให้ผู้ใช้โทรศัพท์โทรฯเข้าออกจากหลาย ๆ สถานที่ทั่วประเทศ ที่สัญญาณส่งไปถึง", "title": "การสื่อสารไร้สาย" }, { "docid": "42409#0", "text": "แลนไร้สาย () หรือ WLAN คือ เทคโนโลยีที่เชื่อมอุปกรณ์ตั้งแต่สองตัวขึ้นไปเข้าด้วยกัน โดยใช้วิธีการกระจายแบบไร้สาย (ส่วนใหญ่แล้ว จะใช้คลื่นวิทยุแบบกระจายความถี่ หรือ OFDM() และโดยปกติแล้ว จะมีการเชื่อมต่อผ่านทาง Access Point (AP) เพื่อเข้าไปยังโลกอินเทอร์เน็ต แลนไร้สายทำให้ผู้ใช้สามารถนำพาหรือเคลื่อนย้ายคอมพิวเตอร์ไปยังพื้นที่ใดก็ได้ที่มีสัญญาณของแลนไร้สาย และยังสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายได้ตามปกติ WLANs ที่ทันสมัยส่วนใหญ่​​จะมีพื้นฐานมาจากมาตรฐาน IEEE 802.11 ที่ถูกวางตลาดภายใต้ชื่อแบรนด์ Wi-Fi. ครั้งหนึ่ง WLANs เคยถูกเรียกว่า LAWN (local area wireless network) โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ", "title": "แลนไร้สาย" }, { "docid": "10098#8", "text": "ในยุคปัจจุบันที่ โครงข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย () นั้นเริ่มได้รับความนิยมกว้างขวางขึ้น ปัญหาของการรบกวนจากคลื่นของเตาอบไมโครเวฟนั้นก็เริ่มเป็นปัญหาที่ได้รับความสนใจมากขึ้น เตาอบไมโครเวฟนั้นสามารถกวนการติดต่อสื่อสารของโครงข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สายได้เนื่องจาก เตาอบไมโครเวฟนั้นผลิตคลื่นไมโครเวฟในย่านความถี่ 2450 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นย่านความถี่เดียวกับที่ใช้ในโครงข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย ดังนั้นเตาอบไมโครเวฟจึงอาจรบกวนสัญญาณของเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สายได้", "title": "เตาอบไมโครเวฟ" }, { "docid": "40391#16", "text": "เพื่อตอบโจทย์จากการเรียกร้องของลูกค้าที่หัวเสียกับความยุ่งเหยิงสายเคเบิล หลายบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์หันไปใช้เทคโนโลยีไร้สายเพื่อตอบสนองความต้องการของนผู้บริโภคดังกล่าว แต่เดิม อุปกรณ์ต่อพ่วงเหล่านี้ใช้ transceivers ขนาดใหญ่และจำกัดอย่างมากที่จะเป็นสื่อกลางระหว่างคอมพิวเตอร์และแป้นพิมพ์และเมาส์ แต่อุปกรณ์รุ่นล่าสุดได้ใช้ชิ้นส่วนที่มีคุณภาพสูงและขนาดเล็ก, แม้แต่ บลูทูธก็ยังถูกนำมาใช้ ระบบเหล่านี้ได้กลายเป็นที่แพร่หลายซะจนผู้ใช้บางคนเริ่มบ่นหาอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ใช้สาย เพราะอุปกรณ์ไร้สายมักจะมีเวลาตอบสนองที่ช้ากว่าอุปกรณ์ใช้สายอันเนื่องมาจากข้อจำกัดอันเป็นธรรมชาติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า.. แต่ช่องว่างกำลังลดลง", "title": "การสื่อสารไร้สาย" }, { "docid": "12240#14", "text": "เพราะฉะนั้นผู้ประดิษฐ์จึงหันไปพึ่งเทคโนโลยีไร้สายมาตรฐานระบบใหม่ ที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุเช่นกันคือ บลูทูธ แต่เนื่องจากผู้คิดค้นและริเร่มระบบบลูทูธได้คาดคำจึงถึงปัญหาเนื่องจากมีผู้ใช้บลูทูธมากไว้แล้ว ทำให้ได้มีการวางแผนระบบการจับคู่อุปกรณ์ขึ้น ทำให้อุปกรณ์หนึ่งไม่ไปรบกวนหรือไปทำหน้าที่บนอีกอุปกรณ์หนึ่งอย่างที่ผู้ใช้ไม่ได้ต้องการ โดยก่อนที่จะใช้อุปกรณ์ด้วยกันจะต้องมีการจับคู่อุปกรณ์กันก่อน จึงจะสามารถใช้อุปกรณ์นั้น ๆ ด้วยกันได้ และความได้เปรียบในเรื่องของความเร็วที่สูงกว่า 40KB/วินาที ของระบบบลูทูธนั้น ทำให้มันสามารถนำไปใช้ได้กับหลากหลายตลาดการสื่อสาร เช่น หูฟังไร้สาย การส่งข้อมูลไร้สาย และรวมไปถึง ตีย์บอร์ดกับเมาส์นั่นเอง", "title": "เมาส์" } ]
1885
จังหวัดสุราษฎร์ธานีอยู่ในภูมิภาคใดของประเทศไทย?
[ { "docid": "4475#1", "text": "จังหวัดสุราษฎร์ธานีตั้งอยู่ในฝั่งตะวันออกของภาคใต้ โดยมีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลายทั้งที่ราบสูง ภูมิประเทศแบบภูเขา รวมทั้งที่ราบชายฝั่ง มีพื้นที่ครอบคลุมถึงในบริเวณอ่าวไทย ทั้งบริเวณที่เป็นทะเลและเป็นเกาะ เกาะในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กมากถึง 108 เกาะ นับว่ามากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองมาจากจังหวัดพังงาที่มี 155 เกาะ และจังหวัดภูเก็ตที่มี 154 เกาะ เกาะขนาดใหญ่เป็นที่รู้จักเช่น เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า และหมู่เกาะอ่างทอง เนื่องจากทำเลที่ตั้งจึงได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเกิดบริเวณทะเลอันดามันบ้างเป็นครั้งคราวเนื่องจากจะมีแนวเทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาภูเก็ต และเทือกเขานครศรีธรรมราช แถบบริเวณจังหวัดระนอง จังหวัดชุมพร จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นแนวช่วยลดอิทธิพลของลมมรสุมดังกล่าว ในทางกลับกันพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีจะได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือเป็นส่วนใหญ่ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือปกติจะมีแหล่งกำเนิดบริเวณทะเลจีนใต้และอ่าวไทย ทำให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีช่วงฤดูฝนกินระยะเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเดือนมกราคม", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "4475#0", "text": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี มักจะเรียกกันด้วยชื่อสั้น ๆ ว่า สุราษฎร์ฯ ใช้อักษรย่อ สฎ เป็นจังหวัดในภาคใต้ตอนบน มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเป็นอันดับ 6 ของประเทศไทย และมีประชากรหนาแน่นอันดับ 59 ของประเทศ นับเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีหลักฐานทั้งประวัติศาสตร์และโบราณคดีเก่าแก่ และยังมีแหล่งท่องเที่ยวและหลายแห่ง มีจังหวัดที่อยู่ติดกันได้แก่ ชุมพร นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา และระนอง", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "4475#9", "text": "จังหวัดสุราษฎร์ธานีตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกของภาคใต้ โดยมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศ และอันดับ 1 ของภาคใต้ โดยมีจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกัน ดังนี้\nโดยทะเลฝั่งอ่าวไทยนั้นมีชายฝั่งยาวประมาณ 156 กิโลเมตร โดยมีเกาะที่อยู่ภายใต้เขตการปกครองของจังหวัด ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า และหมู่เกาะอ่างทอง ซึ่งมีเกาะน้อยใหญ่อีกมากมาย จึงได้ชื่อว่าเมืองร้อยเกาะ เช่น เกาะนางยวน เกาะวัวตาหลับ เกาะแม่เกาะ", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "34320#0", "text": "เขตมิสซังสุราษฎร์ธานี เป็นมุขมณฑลโรมันคาทอลิกในประเทศไทย โดยแยกออกมาจากเขตมิสซังราชบุรี เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1969 ครอบคลุมพื้นที่เขตปกครอง 15 จังหวัดในภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา จังหวัดตรัง จังหวัดพัทลุง จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดสตูล จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส มุขนายกมิสซังโรมันคาทอลิกสุราษฎร์ธานีองค์ปัจจุบัน คือ มุขนายกโยเซฟ ประธาน ศรีดารุณศีล \nสำนักมิสซังคาทอลิกสุราษฎร์ธานี ตั้งอยู่ที่ 15 หมู่ 6 ถ.ชนเกษม ซ.41 ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี 84000 ส่วนอาสนวิหารประจำเขตมิสซังคือ อาสนวิหารราฟาแอล อยู่ที่ 317 ถ.ตลาดใหม่ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบันกำลังดำเนินการสร้างอาสนวิหารหลังใหม่แทนหลังเดิมที่ใช้งานมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1962 - 2009", "title": "เขตมิสซังสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "38419#0", "text": "อำเภอบ้านนาเดิม เป็นอำเภออยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอบ้านนาเดิมมีการพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญของจังหวัดสุราษฎร์ธานีและภาคใต้เพื่อรองรับความเจริญของการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก ด้านอ่าวไทย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ระหว่างจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต สงขลา กรุงเทพมหานคร จังหวัดสำคัญและประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากพื้นที่อำเภอใกล้เคียงมีทรัพยากรธรรมชาติหลายชนิดสมบูรณ์เพียงพอ เป็นปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจอำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานีและภาคใต้ทั้งภายในภายนอกของภูมิภาคได้อย่างเต็มที่และมีศักยภาพ", "title": "อำเภอบ้านนาเดิม" }, { "docid": "19647#0", "text": "สุราษฎร์ธานี เป็นเทศบาลนครแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัด มีประชากรในปี พ.ศ. 2560 ประมาณ 129,000 คน ทำให้เป็นเทศบาลนครที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 2 ในภาคใต้ รองจากเทศบาลนครหาดใหญ่ และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 8 ของประเทศ อีกทั้งยังเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้อีกด้วย", "title": "เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี" } ]
[ { "docid": "4475#10", "text": "จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีพื้นที่กว้างใหญ่ และมีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย ได้แก่ ภูมิประเทศแบบที่ราบชายฝั่งทะเล ที่ราบสูง รวมทั้งภูมิประเทศแบบภูเขาซึ่งกินพื้นที่ของจังหวัดถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมด โดยมีทิวเขาภูเก็ตทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ของจังหวัด และมีลุ่มน้ำที่สำคัญ คือ ลุ่มน้ำตาปี ไชยา ท่าทอง เป็นต้น\nด้านตะวันออกเป็นฝั่งทะเลอ่าวไทย และมีเกาะน้อยใหญ่ที่มีประชากรอาศัย ส่วนด้านตะวันตกมีลักษณะเป็นภูเขาสูง มีแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำตาปี แม่น้ำคีรีรัฐหรือแม่นํ้าพุมดวง \nเนื่องจากทำเลที่ตั้งรวมถึงภูมิประเทศ จังหวัดสุราษฎร์ธานีจึงได้รับอิทธิพลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านอ่าวไทย ดังนั้น จึงทำให้จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีช่วงฤดูฝนยาวนานมาก โดยกินระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนมกราคม โดยจังหวัดสุราษฏร์ธานีมีอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 21.16 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 34.51 องศาเซลเซียส และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 129.59 มิลลิเมตร", "title": "จังหวัดสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "248106#0", "text": "ทิวเขานครศรีธรรมราช มีลักษณะตั้งเป็นแกนกลางของคาบสมุทรไทย (ภาคใต้ตอนกลาง) ทอดตัวในแนวเหนือ-ใต้ โดยเริ่มจากเกาะต่าง ๆ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี คือ เกาะเต่า เกาะนางยวน เกาะพงัน เกาะสมุย เกาะกะเต็น และมีบางส่วน ที่จมลงไปในทะเล เรียกส่วนนี้ว่า ช่องแคบสมุย โดยมาโผล่ขึ้นที่อำเภอดอนสัก เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีและอำเภอขนอม เขตจังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดตรัง โดยทิวเขาที่ผ่านเขตจังหวัดพัทลุงและตรัง ถือเป็นที่กั้นเขตแดนระหว่าง 2 จังหวัดนี้ มักเรียกอีกชื่อว่า \"ทิวเขาบรรทัด\" จากนั้น แนวทิวเขาทอดยาวลงไปยังเขตแดนระหว่างจังหวัดสตูลกับประเทศมาเลเซีย โดยบรรจบกับทิวเขาสันกาลาคีรีที่ภูเขาซีนา จังหวัดสตูล ซึ่งเป็นเขตแดนธรรมชาติระหว่างไทยกับมาเลเซีย", "title": "ทิวเขานครศรีธรรมราช" }, { "docid": "33755#0", "text": "อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี (ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียกว่า อำเภอบ้านดอน) เป็นอำเภอที่ตั้งของตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเมืองศูนย์กลางระบบราชการ ศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง และเศรษฐกิจของจังหวัดสุราษฎร์ธานี \nอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีมีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้", "title": "อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี" }, { "docid": "415885#0", "text": "น้ำตกธารสวรรค์ () ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีต้นกำเนิดจากลำห้วยพลูจืด และไหลลงสู่คลองสก จัดเป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยน้ำตกจะพุ่งและโค้งคล้ายรุ้งกินน้ำ เนื่องจากตกจากหน้าผาที่สูงชัน", "title": "น้ำตกธารสวรรค์ (จังหวัดสุราษฎร์ธานี)" } ]
1891
พระเยซู เกิดเมื่อไหร่?
[ { "docid": "1010#0", "text": "พระเยซู () หรือ เยซูชาวนาซาเร็ธ (; 4-2 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30-33) เป็นชาวยิวผู้เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนเรียกพระองค์ว่า พระเยซูคริสต์ เพราะถือว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรพระเป็นเจ้า และเป็นพระเจ้าพระบุตรซึ่งเป็นพระบุคคลหนึ่งในพระตรีเอกภาพ นอกจากนี้ในคัมภีร์ไบเบิลยังบันทึกว่าพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ทรงรักษาคนตาบอดให้หายขาด รักษาคนพิการ โดยตรัสว่า บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว หลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ ก็ได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายหลังสิ้นพระชนม์ได้เพียง 3 วัน และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์", "title": "พระเยซู" }, { "docid": "681295#7", "text": "พระเยซูเป็นชาวยิว คริสต์ศาสนาถือโดยสมมติว่าวันประสูติของพระองค์คือวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1 (ซึ่งถือเอาวันประสูติเป็นปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช ซึ่งตรงกับพุทธศักราช 543) ณ หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดาห์ ในดินแดนปาเลสไตน์ (ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน) มารดาชื่อมารีย์ ชาวคริสต์เชื่อว่านางตั้งครรภ์โดยเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งที่เป็นหญิงพรหมจารี มีบิดาเลี้ยงชื่อโยเซฟ สมัยนั้นกษัตริย์ผู้ครองเมืองคือพระเจ้าเฮโรดมหาราช เมื่อได้ยินคำพยากรณ์ว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิดจึงคิดกำจัด โยเซฟและมารีย์จึงหนีไปอยู่อียิปต์เป็นการชั่วคราว เมื่อเรื่องราวสงบแล้วก็อพยพกลับถิ่นฐานเดิม พระเยซูเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี เมื่อวัยเยาว์พระเยซูเป็นผู้สนใจในเรื่องศาสนธรรมและเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีอายุครบ 30 ปี ได้ท่องเทียวไปในดินแดนปาเลสไตน์ ณ ริมแม่น้ำจอร์แดน ทรงพบกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา หลังที่ได้รับบัพติศมาแล้ว ได้เสด็จไปถิ่นกันดารเพียงพระองค์เดียว ทรงถือศีลอดโดยงดเว้นพระกระยาหารเป็นเวลา 40 วัน จากนั้นพระองค์ก็เริ่มสอนประชาชนให้ทราบถึงความรอดของมนุษย์ ซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า พระองค์มีอัครสาวกที่สำคัญ 12 คน (เนื่องจากวงศ์วานอิสราเอลมี 12 เผ่า) เรียกว่าอัครทูต สาวกคนแรกที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคือซีโมนเปโตร นักบุญอีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์คือเปาโลอัครทูต ซึ่งกลับใจจากผู้เบียดเบียนคริสตชน มาเป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์มาตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่พระเยซูสิ้นพระชนม์", "title": "ประวัติศาสนาคริสต์" } ]
[ { "docid": "147261#7", "text": "พระวรสารนักบุญมัทธิวกล่าวถึง “โหราจารย์” จากตะวันออกผู้เห็นดาวสว่างบนฟ้าเมื่อพระเยซูเกิด ปราชญ์จึงได้ติดตามดาวมาเพราะเชื่อว่าดาวจะนำไปสู่พระราชาองค์ใหม่ เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเลมก็เข้าไปในวังซึ่งเป็นที่ที่ควรจะพบพระราชา พอไปถึงก็ไปถามพระเจ้าเฮโรดมหาราช ด้วยความที่กลัวจะถูกโค่นอำนาจ จึงส่งโหราจารย์ออกไปค้นหาพระราชาองค์ใหม่ที่ว่า และสั่งว่าเมื่อพบตัวก็ให้รีบมาบอก โหราจารย์ก็ตามดาวไปจนถึงเบธเลเฮม พอพบพระเยซูก็ถวายของขวัญที่เป็นทองคำ กำยาน (frankincense) และมดยอบ (myrrh) แล้วก็เตือนถึงความฝันที่ว่าพระเจ้าเฮโรดจะฆ่าเด็ก ว่าแล้วก็เดินทางกลับประเทศของตนเอง ในพระวรสารมิได้กล่าวถึงจำนวนหรือฐานะของโหราจารย์ ตามประเพณีแล้วก็ขยายความว่าเมื่อเป็นของขวัญสามอย่างก็ควรจะเป็นปราชญ์สามคน และบางที่ก็ให้ตำแหน่งเป็น “ราชา” บางครั้งจึงเรียกว่า “สามกษัตริย์” (Three Kings) ซึ่งจะพบในศิลปะตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา หัวเรื่อง “การนมัสการของโหราจารย์” (Adoration of the Magi) ก็เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่นิยมทำกันเช่นกัน", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "147261#14", "text": "ในองค์ประกอบ โหราจารย์อาจจะเป็นคนขี่ม้ามาจากทางด้านบนซ้ายสวมหมวกลักษณะแปลก ทางด้านขวาจะเป็นคนเลี้ยงแกะ ถ้าเป็นห้องก็จะมีทูตสวรรค์อยู่รอบๆ และเหนือถ้ำ องค์หนึ่งจะมีหน้าที่ประกาศการเกิดของพระเยซูต่อคนเลี้ยงแกะ นอกจากนั้นก็จะมีชายสูงอายุที่มักจะใส่เสื้อหนังที่บางครั้งก็ทักทายโยเซฟ อีสเติร์นออร์โธด็อกซ์ต่อมาตีความหมายว่าเป็นอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ", "title": "การประสูติของพระเยซู (ศิลปะ)" }, { "docid": "1010#4", "text": "ประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้แล้วกับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์กาเบรียลเข้าบ้านมาหามารีย์แล้วว่า “เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับ ๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ", "title": "พระเยซู" }, { "docid": "213186#1", "text": "ฉากชีวิตฉากนี้บรรยายใน เมื่อพระเยซูมีพระชนมายุ 12 พรรษาก็ได้ติดตามพระแม่มารีและนักบุญโจเซฟไปแสวงบุญที่เยรูซาเลมหลังจาก “ประเพณีการสมโภชน์” (พระคัมภีร์ฉบับพระเจ้าเจมส์ (New King James Version) ) หรือ ปัสกา วันที่จะกลับพระเยซูยังคง “อ้อยอิ่ง” อยู่ในวัด แต่พระแม่มารีและนักบุญโจเซฟคิดว่าพระองค์เดินทางกลับไปก่อนแล้ว เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วไม่พบพระเยซูหลังจากที่ทิ้งพระองค์ไว้ที่เยรูซาเลมสามวันพระแม่มารีและโจเซฟก็เดินทางกลับไปเยรูซาเลม ในที่สุดก็พบพระเยซูในวัดนั่งถกเถียงกับอยู่ในกลุ่มผู้อาวุโสในวัด ผู้มีความรู้สึกอัศจรรย์ในความรู้ทางพระคัมภีร์ของพระองค์โดยเฉพาะเมื่อยังมีพระชนมายุน้อย เมื่อถูกดุโดยพระแม่มารีพระเยซูก็ตรัสว่า “ทำไมท่านต้องหาตัวข้าด้วยเล่า? ท่านไม่ทราบหรือว่าข้าจะต้องทำธุระของพระบิดา?” เรื่องราวนี้มาขยายความกันมากขึ้นในวรรณกรรมสมัยต่อมาโดยเฉพาะในพระวรสารฉบับเคลือบแคลงของนักบุญทอมัส--พระวรสารนักบุญทอมัส", "title": "พระเยซูในหมู่นักปราชญ์" }, { "docid": "219147#2", "text": "\"พระเยซูเหลือง\" เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทางเหนือของฝรั่งเศสเมื่อสตรีเบรตองมาพบและสวดมนต์ด้วยกัน ความศรัทธาร่วมกันทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนกางเขน โกแก็งตัดเส้นหนักบนร่างของพระเยซูและไม่ใช้แสงเงามากเท่าบนตัวผู้หญิงที่ล้อมรอบอยู่ข้างล่างภาพ สีเหลือง แดง และเขียวของภูมิทัศน์ทำให้สีเหลืองของพระเยซูยิ่งเด่นขึ้น การใช้ขอบคันที่หนักและเน้นความแบนราบเป็นลักษณะการเขียนของคตินิยมเส้นกั้นสี", "title": "พระเยซูเหลือง (โกแก็ง)" }, { "docid": "845386#1", "text": "เอียวเก๋าเกิดเมื่อ ค.ศ. 221 ในปีที่ 2 แห่งรัชสมัย พระเจ้าโจผี ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์วุยเป็นหลานตาของ ซัวหยง ขุนนางนักประวัติศาสตร์คนสำคัญในช่วงปลาย ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งพี่สาวของเขาได้เป็นภรรยาคนที่ 3 ของ สุมาสู บุตรชายคนโตของ สุมาอี้ อัครมหาเสนาบดีแห่งวุยก๊กโดยในภายหลังเมื่อสุมาเอี๋ยนได้สถาปนาตนเองเป็น จักรพรรดิจิ้นหวู่ และสถาปนาราชวงศ์จิ้นตะวันตกใน ค.ศ. 265 ก็ได้สถาปนาหยางฮูหยินผู้เป็นป้าสะใภ้เป็น พระพันปีหลวง", "title": "เอียวเก๋า" }, { "docid": "213095#1", "text": "เหตุการณ์นี้ปรากฏในสามในสี่ของพระวรสารกฎบัตรและเป็นเหตุการณ์ที่มักจะเกิดก่อนการตรึงกางเขนตามกฎหมายโรมัน ในทุกขกิริยาของพระเยซูเหตุการณ์นี้ตามด้วย “การเยาะหยันพระเยซู” และ “พระเยซูทรงมงกุฏหนาม”", "title": "พระเยซูถูกเฆี่ยน" }, { "docid": "567055#1", "text": "คริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกถือว่าการอุทิศตนศรัทธาต่อพระกุมารเยซูเกิดขึ้นตั้งแต่พระเยซูประสูติ โดยเชื่อว่าพระนางมารีย์พรหมจารีและนักบุญโยเซฟได้อุทิศตนเป็นคนแรก ต่อมาคนเลี้ยงแกะและโหราจารย์ทั้ง 3 ก็มานมัสการพระกุมารเยซูด้วย", "title": "พระกุมารเยซู" } ]
1904
สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร ขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "5513#1", "text": "เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและพระมหากษัตริย์แห่งเจ็ดรัฐเครือจักรภพ เจ็ดรัฐ ได้แก่ สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ ปากีสถาน และ ซีลอน พิธีราชาภิเษกของพระองค์ในปีถัดมาเป็นพิธีราชาภิเษกครั้งแรกที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ ระหว่าง พ.ศ. 2499 ถึง 2535 จำนวนราชอาณาจักรของพระองค์แปรผันเมื่อดินแดนต่าง ๆ ได้รับเอกราชและบ้างกลายเป็นสาธารณรัฐ ปัจจุบัน นอกจากสี่ประเทศแรกที่ได้กล่าวไว้แล้วนั้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ยังเป็นพระราชินีนาถแห่งจาเมกา บาร์เบโดส หมู่เกาะบาฮามาส เกรนาดา ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ตูวาลู เซนต์ลูเซีย เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ แอนติกาและบาร์บูดา เบลิซ และเซนต์คิตส์และเนวิส พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระชนมายุมากที่สุดของบริเตน เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐบริเตนที่ทรงราชย์นานที่สุด แซงหน้ารัชกาลของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ และเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์\nพระองค์เป็นพระราชธิดาพระองค์แรกของดยุกและดัชเชสแห่งยอร์ก (ต่อมาคือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ) พระราชบิดาเป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 กับสมเด็จพระราชินีแมรี พระราชบิดาของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 พระราชโอรสองค์โตทรงสละราชสมบัติ พระองค์จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทโดยสันนิษฐานแห่งสหราชอาณาจักร", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#5", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 หลังจากที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต ขณะที่พระองค์กำลังประทับอยู่ที่ประเทศเคนยา ซึ่งเป็นประเทศแรกตามหมายกำหนดการเยือนประเทศในเครือจักรภพของพระองค์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกจัดขึ้นที่มหาวิหารเวสมินสเตอร์ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2496 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระราชพิธีได้ถ่ายทอดไปทั่วโลก", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "427964#0", "text": "พระราชพิธีพัชราภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 () เป็นการเฉลิมฉลองระหว่างประเทศตลอด พ.ศ. 2555 เนื่องในวโรกาสสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรสืบราชบัลลังก์อังกฤษครบ 60 ปี หลังพระราชชนก คือ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 สวรรคต เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงเป็นเพียงพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย และบรรดาเครือจักรภพบางส่วนที่ได้มีพระราชพิธีพัชราภิเษกเช่นกัน ตามประเพณีพระราชพิธีภิเษก (jubilee) ต่าง ๆ ในอดีต มีการมอบเหรียญพัชราภิเษกในหลายประเทศ ตลอดจนจะมีวันหยุดและจัดงานต่าง ๆ ขึ้นทั่วเครือจักรภพ แผนจัดงานมีการอภิปรายกันที่การประชุมประมุขรัฐบาลเครือจักรภพ พ.ศ. 2554", "title": "พระราชพิธีพัชราภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2" } ]
[ { "docid": "5513#63", "text": "ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2487 จนกระทั่งเสด็จขึ้นครองราชย์ ตราอาร์มประจำพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักรประกอบด้วย ตราแผ่นดินของสหราชอาณาจักรในรูปทรงข้าวหลามตัดพร้อมด้วยบังเหียนสีเงินสามพู่ พู่กลางเป็นตรากุหลาบทิวดอร์ ส่วนอีกสองพู่เป็นตรากางเขนแห่งเซนต์จอร์จ หลังจากการเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสืบทอดตราอาร์มที่พระราชบิดาทรงถือครองในฐานะพระมหากษัตริย์ นอกจากนี้ยังทรงครอบครองธงพระอิสริยยศและธงประจำพระองค์เพื่อใช้ในสหราชอาณาจักร, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, จาเมกา, บาร์เบโดส และประเทศเครือจักรภพอื่น ๆ", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#54", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์ยาวนานแซงหน้าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ผู้เป็นพระมารดาของพระปัยกา (ทวด) ของพระองค์ ทรงเป็นพระราชวงศ์อังกฤษที่มีพระชนมายุมากที่สุด เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558 พระองค์ได้รับการเฉลิมฉลองที่แคนาดาในฐานะ \"\"ประมุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในยุคสมัยใหม่ของแคนาดา\"\" (พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทรงเป็นพระประมุขของแคนาดายาวนานกว่าสมัยที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส) พระองค์ยังเป็นพระราชินีนาถที่ทรงราชย์นานที่สุดในประวัติศาสตร์ และพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยังทรงราชย์ยาวนานที่สุดในโลก หลังจากการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักร พระองค์แรกที่มีการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 65 ปี", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#29", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทอดพระเนตรเห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิอังกฤษไปสู่เครือจักรภพแห่งประชาชาติตลอดช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์ ตั้งแต่การเสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2495 ตำแหน่งพระประมุขของรัฐอธิปไตยหลากหลายรัฐก็สถาปนาขึ้นไว้แล้ว ซึ่งตลอดช่วงปี พ.ศ. 2496 - 2497 พระองค์และพระราชสวามีได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ รอบโลกเป็นเวลาหกเดือน และยังเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์แห่งออสเตรเลียและพระมหากษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศของพระองค์ขณะทรงครองราชย์อยู่ ประมาณกันว่าสามในสี่ของประชาชนชาวออสเตรเลียได้พบเห็นสมเด็จพระราชินีนาถของตนระหว่างช่วงการเสด็จพระราชดำเนินเยือน เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศทั้งที่ใช่และไม่ใช่ประเทศเครือจักรภพมากมายตลอดช่วงรัชสมัยของพระองค์ และเป็นพระประมุขแห่งรัฐที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#49", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มีพระราชดำรัส ณ ที่สมัชชาใหญ่สหประชาชาติเป็นครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2553 ในฐานะที่เป็นพระประมุขแห่งประเทศเครือจักรภพ เลขาธิการสหประชาชาติ พัน กีมุน กล่าวสดุดีพระองค์ว่าเป็น \"เสาหลักสำหรับยุคของเรา\" ในระหว่างการเสด็จฯ เยือนนครนิวยอร์กซึ่งตามมาด้วยการเสด็จฯ เยือนแคนาดา เสด็จฯ ไปทรงเปิดสวนอนุสรณ์ระลึกถึงเหยื่อผู้เสียชีวิตชาวอังกฤษจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ต่อมาเสด็จพระราชดำเนินเยือนออสเตรเลียในปีเดียวกัน ซึ่งเป็นครั้งที่ 16 นับตั้งแต่ พ.ศ. 2497 และได้รับการขนานนามจากสื่อว่าเป็น \"การเสด็จฯ เยือนอำลา\" เนื่องจากพระองค์มีพระพรรษามากแล้ว", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "5513#0", "text": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 (; พระราชสมภพ 21 เมษายน พ.ศ. 2469) เป็นพระประมุขของ 16 ประเทศ จาก 53 รัฐสมาชิกในเครือจักรภพแห่งชาติ พระองค์เป็นประธานเครือจักรภพและผู้ปกครองสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" }, { "docid": "490496#5", "text": "ในพระสถานะพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงได้รับการเฉลิมพระนามว่า \"โดยพระคุณของพระเป็นเจ้า เอลิซาเบธที่ 2 สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ ตลอดทั้งราชอาณาจักรและดินแดนอื่น ๆ ของพระนาง พระประมุขแห่งเครือจักรภพ ผู้ปกป้องศรัทธา\" (Elizabeth the Second, by the Grace of God, of the United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland and of Her other Realms and Territories Queen, Head of the Commonwealth, Defender of the Faith)", "title": "อัครศาสนูปถัมภก" }, { "docid": "5513#38", "text": "ในปี พ.ศ. 2520 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ครองสิริราชสมบัติครบ 25 ปีในพระราชพิธีรัชดาภิเษก การเฉลิมฉลองและงานรื่นเริงต่าง ๆ จัดขึ้นทั่วทุกหนแห่งในประเทศเครือจักรภพ และหลายแห่งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมงาน การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันถึงความนิยมในตัวพระองค์ของเหล่าพสกนิกร แม้ว่าจะมีการนำเสนอข่าวด้านลบเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่ล้มเหลวของเจ้าหญิงมาร์กาเรตกับพระสวามีออกมาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2521 ทรงต้องฝืนพระองค์ให้การต้อนรับการเดินทางมาเยือนสหราชอาณาจักรของผู้นำเผด็จการคอมมิวนิสต์แห่งโรมาเนีย นิโคไล เชาเชสกู พร้อมด้วยภริยา เอเลนา เชาเชสกู ซึ่งในพระทัยก็ทรงมองว่าทั้งสองเป็นพวก \"มือเปื้อนเลือด\" ในปีถัดมามีเหตุการณ์สองเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์: เหตุการณ์แรกคือการเปิดโปง แอนโทนี บลันท์ อดีตผู้กลั่นกรองพระบรมฉายาลักษณ์ส่วนพระองค์ ว่าเป็นสายลับคอมมิวนิสต์ อีกเหตุการณ์ก็คือการลอบสังหารหลุยส์ เมาท์แบตเตน เอิร์ลเมาท์แบตเตนที่ 1 แห่งพม่า โดยกองกำลังติดอาวุธไออาร์เอ (Provisional Irish Republican Army; IRA)", "title": "สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร" } ]
1919
ใครเป็นผู้ก่อตั้ง มหาวิทยาลัยบูรพา?
[ { "docid": "12100#0", "text": "มหาวิทยาลัยบูรพา () สถาบันอุดมศึกษาของรัฐแห่งแรกที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคของประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐตั้งอยู่ที่ ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 โดยอดีตเป็นวิทยาเขตหนึ่งของวิทยาลัยวิชาการศึกษา (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปัจจุบัน)ก่อตั้งโดย พลเอกมังกร พรหมโยธี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในสมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงครามตั้งอยู่ ณ เลขที่ 169 ถนนลงหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 647 ไร่ 35 ตารางวา โดยมีชื่อว่า วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน หรือ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน ในเวลาต่อมา ด้วยเหตุนี้วันที่ 8 กรกฎาคม หรือที่เรียกว่า \"แปดกรกฎ\" ของทุกปีจึงนับเป็นวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัย", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" } ]
[ { "docid": "373833#1", "text": "ด้วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ อุปถัมภ์ (อธิการบดี มหาวิทยาลัยบูราพา ในขณะนั้น) มีความคิดริเริ่ม ที่จะให้มหาวิทยาลัยบูรพามี\nคณะเภสัชศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มคณะทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพของมหาวิทยาลัยบูรพา โดยมี\nการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์ และร่างหลักสูตรเภสัชศาสตร์บัณฑิตขึ้นในวันที่ 24 มิถุนานยน\n2552 ซึ่งมีรองศาสตราจารย์ ดร. มณฑล สงวนเสริมศรี(อดีต คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ และอธิการบดี มหาวิทยาลัยนเรศวร)\nเป็นประธานกรรมการ และรองศาสตราจารย์ ดร.เรณา พงษ์เรืองพันธุ์ (รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา)\nเป็นรองประธานกรรมการ พร้อมด้วยคณาจารย์จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และบุคลากรของมหาวิทยาลัย\nบูรพาเป็นกรรมการ จากนั้นสภามหาวิทยาลัยบูรพาได้อนุมัติการจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2552 และ\nประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 โดยมีหน้าที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา\nวิจัยและบริการวิชาการด้านเภสัชศาสตร์ มีคณบดีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในช่วงแรกของการก่อตั้ง มหาวิทยาลัยได้\nมอบให้ ศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ พันธุวัฒนา (รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยมหาวิทยาลัยบูรพา) รักษาการในตำแหน่งคณบดี\nจนกระทั่งวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิบูลย์ วัฒนาธร ดำรงตำแหน่งคณบดีตามมติของ\nสภามหาวิทยาลัย", "title": "คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "218053#0", "text": "คณะศึกษาศาสตร์ เป็นคณะแรกของมหาวิทยาลัยบูรพา คณะศึกษาศาสตร์ ก่อตั้งมาพร้อมกับวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2498 เมื่อวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในปี พ.ศ. 2517 วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน จึงได้รับการเลื่อนวิทยะฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒด้วย แต่วิทยาเขตบางแสน จนกระทั่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน ได้รับการยกฐานเป็นมหาวิทยาลัยบูรพา ในปี พ.ศ. 2533 เมื่อมหาวิทยาลัยบูรพามีฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศ คณะศึกษาศาสตร์จึงมีฐานะเป็นคณะวิชาที่เป็นรูปแบบ จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งในปัจจุบันคณะได้จัดการศึกษาในระดับปริญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก", "title": "คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "488763#1", "text": "คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับการจัดการการเรียนการสอนทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ ขึ้นสู่ระดับคณะเป็นแห่งแรกของประเทศไทย โดยแยกออกมาจากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ในปัจจุบันความรู้ทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ เป็นศาสตร์หนึ่งที่มีความสำคัญโดดเด่นเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากความรู้ทางด้านภูมิสารสนเทศศาสตร์ สามารถนำไปปรับใช้กับการจัดการบริหารประเทศในด้านต่างๆ เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านภัยพิบัติ ด้านการบริหารพื้นที่ในท้องถิ่น เป็นต้น", "title": "คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "126830#0", "text": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งปี พ.ศ 2533 และในปี 2534 สภามหาวิทยาลัยให้จัดตั้งขึ้น เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยมีภารกิจหลักคือการผลิตบัณฑิตด้านวิศวกรรมศาสตร์เป็นศูนย์ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เผยแพร่ความรู้ข้อสนเทศทางวิศวกรรมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และต่อมาได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งคณะวิศวกรรมศาสตร์ในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ (หน้า 62 เล่มที่ 110 ตอนที่ 288) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ 2536 โดยมีการแบ่งส่วนราชการออกเป็น สำนักงานเลขานุการภาควิชาวิศวกรรมเคมี และภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ ตามประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2537 และได้เปิดการเรียนการสอนเป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2534", "title": "คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "178970#0", "text": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2545 เป็นคณะแพทยศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้นแห่งแรกในภาคตะวันออก เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคณะทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งประกอบด้วยคณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ รวมถึงคณะทันตแพทยศาสตร์ และคณะสัตวแพทยศาสตร์ที่จะดำเนินการเปิดสอนในอนาคต คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาผ่านการรับรองหลักสูตรจากแพทยสภาแล้ว โดยมีความพร้อมในการจัดการเรียนการสอน การวิจัย และการบริการแก่สังคมและชุมชน", "title": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "234574#1", "text": "คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้รับอนุมัติให้จัดตั้งจากทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อ วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2525 โดยเป็นคณะวิชาหนึ่งของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยบูรพา ตามพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยบูรพา ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2533 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจึงได้โอนเข้ามาอยู่ในสังกัดมหาวิทยาลัยบูรพา และเป็นคณะวิชาแรกของ มหาวิทยาลัยบูรพา", "title": "คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "12100#3", "text": "ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 กระทรวงศึกษาธิการ ได้ก่อตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน[4] ขึ้นและโอนย้าย โรงเรียน “พิบูลบำเพ็ญ” มาสังกัดวิทยาลัยวิชาการศึกษา กรมการฝึกหัดครู และเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น โรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2499\nความเป็นมาก่อนที่จะก่อตั้งเป็น มหาวิทยาลัยบูรพานั้น ได้เริ่มในปี พ.ศ. 2492 โดยมีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงขึ้น ณ ซอยประสานมิตร อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น วิทยาลัยวิชาการศึกษาในปี พ.ศ. 2498 ได้ขยายวิทยาเขตออกไปอีก 2 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยวิชาการศึกษาปทุมวัน และวิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน\nอย่างไรก็ตามในที่สุดก็สามารถตราพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้สำเร็จ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2497 ในระหว่างนั้น อาจารย์บุญถิ่น อัตถากร อธิบดีกรมการฝึกหัดครู (พ.ศ. 2500 –2513) และเป็นคณะกรรมการร่วมของโครงการพัฒนาการศึกษาด้วย ซึ่งถือเป็นบุคคลที่ให้ความสำคัญกับงานฝึกหัดครูอย่างมาก จากแนวคิดในการดำเนินการขยายการฝึกหัดครูระดับปริญญาไปสู่ส่วนภูมิภาคนั้น จึงได้มีการขยายวิทยาลัยวิชาการศึกษา ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และมีความคล้ายคลึงทั้งในที่มา จุดประสงค์และการดำเนินการเพื่อผลิตบุคลากรวิชาชีพครู เหมือนกับกรมการฝึกหัดครู โดยแนวคิดของอาจารย์บุญถิ่น อัตถากรนั้น คือ\nเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ได้ก่อตั้ง วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสน ขึ้นซึ่ง ชาววิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสนถือว่า วันที่ 8 กรกฎาคม หรือเรียกว่า \"แปดกรกฎ\" ของทุกปีเป็นวันคล้าย วันสถาปนามหาวิทยาลัย จัดเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศ ที่ตั้งอยู่ส่วนภูมิภาคกำหนดหลักสูตร 4 ปี ผู้เรียนสำเร็จตามหลักสูตรได้รับปริญญาการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) ต่อมาในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 ได้รับโอนโรงเรียนพิบูลบำเพ็ญ ต.แสนสุข ชลบุรี เพื่อปรับปรุงให้เป็นโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย โดยใช้ชื่อโรงเรียนใหม่ว่า โรงเรียนสาธิต\"พิบูลบำเพ็ญ\" วิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน ในปี พ.ศ. 2501 บัณฑิตรุ่นแรก จำนวน 35 คน สำเร็จการศึกษา ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 ได้เปิดรับนักศึกษาบุคคลภายนอก ผู้มีวุฒิ ป.ม. หรือ พ.ม. หรือ อ.กศ. ป.กศ.สูง หรือเทียบเท่าเข้าศึกษาภาคสมทบในหลักสูตร การศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.)", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "234576#0", "text": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งวิทยาลัยวิชาการศึกษาบางแสน เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 เริ่มแรกใช้ชื่อคณะวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ มี 5 แผนกวิชา ได้แก่ แผนกวิชาคณิตศาสตร์ แผนกวิชาเคมี แผนกวิชาชีววิทยา แผนกวิชาฟิสิกส์ และแผนกวิชาวิทยาศาสตร์ ดำเนินการสอนวิทยาศาสตร์พื้นฐานให้กับหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) ร่วมกับคณะวิชาการศึกษา (ปัจจุบัน คือ คณะศึกษาศาสตร์) ผลิตระดับปริญญาตรีทางการศึกษา เพื่อไปเป็นครูวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศึกษา", "title": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" }, { "docid": "12100#17", "text": "มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตสระแก้ว เป็นโครงการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการ ให้มหาวิทยาลัยบูรพาขยายโอกาสอุดมศึกษาไปสู่จังหวัดสระแก้วได้ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 มีพื้นที่ในการดำเนินการเป็นที่ดินสารธารณประโยชน์ แปลงโคกป่าเพ็ก บริเวณ หมู่ที่ 4 ตำบลวัฒนานคร อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว พื้นที่ 1,369ไร่ ที่ดินดังกล่าว กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทยได้อนุมัติในหลักการให้มหาวิทยาลัยบูรพาใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ โดยมีเงื่อนไขการดำเนินงานใน 2 ปี ต้องได้รับงบประมาณการก่อสร้างอาคาร ถ้าไม่ได้รับจะขอยกเลิกสิทธิ์การใช้ที่ดิน \nเปิดสอนใน 2 คณะ คือ", "title": "มหาวิทยาลัยบูรพา" } ]
1920
เลโก้คิดค้นครั้งแรกโดยใคร ?
[ { "docid": "67533#1", "text": "ในราวปี ค.ศ. 1932 โอเล เคิร์ก คริสเตียนเสน ชาวเดนมาร์ก เริ่มผลิตและจำหน่ายของเล่นซึ่งทำจากไม้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1949 ก็เปลี่ยนรูปแบบสินค้า เป็นของเล่นประเภทตัวต่อ พร้อมทั้งเปลี่ยนวัสดุการผลิตเป็นพลาสติก เรียกว่า ออโตเมติก ไบน์ดิง บริกส์ (Automatic Binding Bricks) และเมื่อปี ค.ศ. 1954 เปลี่ยนชื่อสินค้ามาเป็นเลโก้ ดังเช่นทุกวันนี้ ต่อมา เลโก้เปลี่ยนมาใช้วัสดุพลาสติกแบบ Acrylonitrile Butadiene Styrene (ABS) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1963 จนถึงปัจจุบัน", "title": "เลโก้" } ]
[ { "docid": "84088#3", "text": "ครอปเซอร์เคิล ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษ ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากการค้นพบของชัตเติลวูดกับบอนด์และเฟอร์แล้ว มันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎีอุกกาบาตและทฤษฎีพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก ในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆเมืองวอร์มินสเตอร์(Warminster) ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น \nในทศวรรษนี้เอง ด๊อกเตอร์ เทอร์เรนซ์ มีเดน(Terrence Meaden) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยครอปเซอร์เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ", "title": "วงธัญพืช" }, { "docid": "286434#12", "text": "ค้าวคาวกิตติค้นพบครั้งแรกปี พ.ศ. 2516 โดยกิตติ ทองลงยา นักสัตววิทยาของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย บริเวณถ้ำไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างทำการเก็บตัวอย่างค้างคาวในโครงการการสำรวจสัตว์ย้ายแหล่งทางพยาธิวิทยา กิตติพบค้างคาวที่มีขนาดเล็กมากซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้ส่งตัวอย่างค้างคาวให้กับจอห์น เอ็ดวาร์ด ฮิลล์ (John Edward Hill) แห่งพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ประเทศอังกฤษ เพื่อตรวจพิสูจน์และพบว่าค้างคาวชนิดนี้มีลักษณะหลายอย่างเป็นแบบฉบับของตนเอง สามารถที่จะตั้งเป็นสกุลและวงศ์ใหม่ได้ หลังจากกิตติเสียชีวิตในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ฮิลล์ได้จำแนกและตีพิมพ์ถึงค้างคาวชนิดนี้ และตั้งชื่อว่า \"Craseonycteris thonglongyai\" เพื่อเป็นเกียรติแก่กิตติ ทองลงยา ผู้ค้นพบค้างคาวชนิดนี้เป็นคนแรก", "title": "ค้างคาวคุณกิตติ" }, { "docid": "192653#2", "text": "สร้างสรรค์และคิดค้นครั้งแรกโดย นายเฉลิมเกียรติ เลาหัตถพงษ์ภูริ ในปี พ.ศ. 2546 และปรากฏในหนังสือนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ ชื่อ ID.FORCE (ข้อมูลบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ ISBN 974-91234-1-7) ต่อมาในปลายปี พ.ศ. 2546 ได้มีการทดลองเล่นโดยชักชวนนักศึกษามาทดสอบและสอบถามความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงให้แข่งขันได้ดีขึ้น พร้อมทั้งถ่ายวิดีโอเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้เพื่อการวิจัยต่อไป ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการจดลิขสิทธิ์ไตรโกลเสร็จสมบูรณ์ ตามลิขสิทธิ์ทะเบียนข้อมูลเลขที่ ว.8483 \"สนามไตรโกล\"", "title": "ไตรโกล" }, { "docid": "283832#2", "text": "ช่วงต้นปีพ.ศ. 2539 ปุ๊กกี้ได้มีผลงานเพลงอัลบั้มแรกในชื่ออัลบั้ม Pookie วางแผงเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 มีเพลงฮิตเช่น \"แข็งใจ\" \"Z เลย\" \"ขอแค่มีเธอ\" \"เหตุผลข้อเดียว\" \"ช็อกโกแลต\" และ \"เป็นไปได้ไหม\" โดยเพลง \"ขอแค่มีเธอ\" ยังได้ถูกนำไปประกอบละครเรื่องปีหนึ่งเพื่อนกันและวันอัศจรรย์ของผม อีกด้วย อัลบั้มชุดนี้ได้มีการเปลี่ยนปกฉลองความสำเร็จซึ่งมียอดขายมากกว่าหนึ่งล้านตลับ และยังเป็นอัลบั้มที่มียอดจำหน่ายสูงสุดติดอันดับท็อป 5 ของประเทศไทยในปีนั้นอีกด้วย", "title": "ปริศนา พรายแสง" }, { "docid": "377497#1", "text": "มีผู้อ้างว่า การเล่นนอนคว่ำนั้น แกรี คลาร์กสัน และคริสเตียน แลงดอน คิดขึ้นใน ค.ศ. 1997 ได้รับความนิยมครั้งแรกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ จากนั้น ได้รับความนิยมทั่วทั้งเกาะบริเตนในฤดูร้อน ค.ศ. 2009 โดยเฉพาะในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 ที่มีแพทย์เจ็ดคน และนางพยาบาลอีกจำนวนหนึ่ง เล่นนอนคว่ำขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ยังโรงพยาบาลเกรตเวสเทิร์น ในสวินดอน ประเทศอังกฤษ ทั้งนี้ มีผู้วิจารณ์เกมนี้ว่า \"ไร้จุดหมาย\"", "title": "การเล่นนอนคว่ำ" }, { "docid": "15703#13", "text": "กล้องโทรทรรศน์ได้รับการคิดค้นขึ้นครั้งแรกในประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อ ค.ศ. 1608 โดยมีรายละเอียดค่อนข้างหยาบ กาลิเลโอเองก็ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ของตนขึ้นในปีถัดมาโดยมีกำลังขยายเพียง 3 เท่า ต่อมาเขาได้สร้างกล้องอื่นขึ้นอีกและมีกำลังขยายสูงสุด 30 เท่า จากเครื่องมือที่ดีขึ้นเขาสามารถมองเห็นภาพต่าง ๆ ในที่ไกล ๆ บนโลกได้ดีขึ้น ในยุคนั้นเรียกกล้องโทรทรรศน์ว่า กล้องส่องทางไกล (Terrestrial telescope หรือ Spyglass) กาลิเลโอยังใช้กล้องนี้ส่องดูท้องฟ้าด้วย เขาเป็นหนึ่งในบรรดาไม่กี่คนในยุคนั้นที่สามารถสร้างกล้องที่ดีพอเพื่อการนี้ วันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1609 เขาสาธิตกล้องส่องทางไกลเป็นครั้งแรกให้แก่พ่อค้าชาวเวนิส ซึ่งพวกพ่อค้าสามารถเอาไปใช้ในธุรกิจการเดินเรือและกิจการค้าของพวกเขา กาลิเลโอเผยแพร่ผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ผ่านกล้องส่องทางไกลครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1610 ในบทความสั้น ๆ เรื่องหนึ่งชื่อ \"Sidereus Nuncius\" (\"ผู้ส่งสารแห่งดวงดาว\")", "title": "กาลิเลโอ กาลิเลอี" }, { "docid": "174857#0", "text": "โกวเล้ง:พลิกฟ้าผ่ายุทธ์จักร () เป็นการ์ตูนจีน เคยได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในไทย ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ A-Week และถูกจัดทำเป็นฉบับพ็อกเก๊ตบุคส์ จัดจำหน่ายในช่วงวันที่ 5 กรกฎาคม 2544 เรื่องราวในหนังสือไม่ได้เป็นบทประพันธ์เดิมของโกวเล้ง แต่การประพันธ์เรื่องขึ้นมาใหม่โดย สิจิ่งเชิน และผลงานการสร้างสรรค์ภาพโดย หลิวติ้งเจียน ความเกี่ยวข้องกับโกวเล้งคือนำเอาตัวละครในนวนิยายดำลังภายในเรื่องต่างๆของ โกวเล้ง มารวมกันโดยผูกให้ตัวละครมาพบเจอกันยุคสมัยเดียวกัน โดยตัวละครที่นำมาทั้งตัวเอกและตัวร้ายของเรื่องนั้นด้วย ซึ่งตัวละครในนวนิยายกำลังภายในที่นำมาผูกเป็นเรื่อง โกวเล้ง:พลิกฟ้าผ่ายุทธ์จักร ได้แก่ ฤทธิ์มีดสั้น ลูกปลาน้อยเซียวฮื่อยี้ จอมโจรจอมใจ หงส์ผงาดฟ้า ฯลฯ", "title": "โกวเล้ง:พลิกฟ้าผ่ายุทธ์จักร" }, { "docid": "548058#1", "text": "แด่งเริ่มเขียนกวีนิพนธ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2480 และได้ตีพิมพ์รวมเล่มบทกวีชุดแรกเรื่อง “เมื่อนั้น” ใน พ.ศ. 2489 โดยเนื้อหาแสดงถึงการยึดมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์และการปฏิวัติ ผลงานชุดต่อมาคือ “เหวียดบั๊ก” เป็นการสะท้อนภาพของสังคมเวียดนามระหว่างสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 ผลงานชุด “ลมพัด” แสดงแนวคิดเกี่ยวกับระบบสังคมนิยมในภาคเหนือและการทำสงครามกับสหรัฐอเมริกา ผลงานรวมบทกวีที่สำดัญของแด่งคือชุด “เสียงพิณ” เป็นผลงานชุดสุดท้ายของเขา ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2536 และได้รับรางวัลซีไรต์ ผลงานเรื่องนี้ต่างจากบทกวีก่อนหน้าของเขา เนื่องจากเป็นการสะท้อนภาพสังคมเวียดนามหลังสงคราม แฝงความเศร้าและความสิ้นหวังในอนาคตของประเทศ เขาเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2545", "title": "โต๋ หิว" }, { "docid": "202765#5", "text": "ในปี ค.ศ. 20009 ลูคัสออกหนังเรื่อง \"เม็นออฟอิสราเอล\" ซึ่งได้รับความสนใจจากนักข่าว อาทิ \"The Atlantic\", \"Out Magazine\" และ \"Yediot Aharonot\" เขียนว่า ถือเป็น จุดอ้างอิงครั้งแรกของหนังโป๊ที่ถ่ายทำในสถานที่และใช้นักแสดงอิสราเอลทั้งหมด ขณะที่ \"Tablet Magazine\" และ \"Los Angeles Times\" เขียนว่าถือเป็นหนังเรื่องแรกที่ใช้นักแสดงยิวทั้งหมด", "title": "ไมเคิล ลูคัส (ผู้กำกับ)" }, { "docid": "511896#0", "text": "ความลับในใจของคุณหนูไอดอล () เป็นไลท์โนเวลญี่ปุ่น แต่งโดย ยูซาคุ อิงาราชิ วาดภาพประกอบโดย ชาา ตีพิมพ์ครั้งแรกลงในนิตยสาร เดงเงคิ เอชพี ของสำนักพิมพ์ มีเดียเวิร์กส เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2547 โดยวางจำหน่ายเล่มแรกเมื่อ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2547 และเล่มสุดท้ายวางจำหน่ายเมื่อ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 โดยสำนักพิมพ์ \"เดงเงคิ บุงโกะ\" ในเครือ แอสกี มีเดียเวิร์กส ฉบับมังงะ ดัดแปลงโดย ยาซุฮิโระ มิยามะ ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร \"เดงเงคิ โมเอโอ\" ฉบับเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 ถึง ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2553 สำหรับอนิเมะ ผลิตโดย สตูดิโอ บาร์เซโลนา (ปัจจุบันชื่อ ไดโอมีเดีย) ออกอากาศระหว่างเดือน กรกฎาคม ถึง กันยายน พ.ศ. 2551 อนิเมะซีซันสอง ออกอากาศระหว่างเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม พ.ศ. 2552 และวิชวลโนเวลสำหรับเครื่อง เพลย์สเตชัน 2 วางจำหน่ายเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2551 และเกมที่สอง สำหรับเครื่อง เพลย์สเตชันพอร์เทเบิล วางจำหน่ายผ่านทาง ดิจิตอลดาวน์โหลด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553", "title": "ความลับในใจของคุณหนูไอดอล" } ]
1923
ดาวเคราะห์แคระคืออะไร ?
[ { "docid": "739873#0", "text": "คำนิยามของดาวเคราะห์นิยามขึ้นที่กรุงปรากในปี พ.ศ. 2549 โดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (IAU) ได้กล่าวไว้ว่า ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะเป็นเทหวัตถุที่ซึ่ง:\nวัตถุอื่นที่ไม่ใช่ดาวบริวารที่เป็นไปตามนิยามสองข้อแรก จะถือว่าวัตถุนั้นเป็นดาวเคราะห์แคระ ตามคำกล่าวของไอเอยูที่ว่า \"ดาวเคราะห์และดาวเคราะห์แคระเป็นวัตถุสองประเภทที่แตกต่างกัน\" ส่วนวัตถุอื่นที่ไม่ใช่ดาวบริวารที่เป็นไปตามนิยามข้อแรกข้อเดียว จะถือว่าวัตถุนั้นเป็นวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ แบบร่างนิยามฉบับแรกได้มีแผนที่จะรวมดาวเคราะห์แคระไว้เป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ แต่ทว่านั่นจะทำให้ในระบบสรุิยะมีดาวเคราะห์จำนวนมาก ทำให้แบบร่างฉบับนี้ตกไป คำนิยามเป็นหนึ่งข้อโต้แย้งที่ได้รับการสนับสนุนและคำวิจารณ์จากนักดาราศาสตร์แต่ละคน แต่มันก็ยังคงถูกใช้งานต่อไป", "title": "นิยามดาวเคราะห์ของไอเอยู" }, { "docid": "46904#0", "text": "ดาวเคราะห์แคระ เป็นดาวชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ ตามการจำแนกชนิดดาวเคราะห์ที่เสนอโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Union : IAU) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549นิยามได้เสนอขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก ทำให้ดาวพลูโตกลายเป็นดาวเคราะห์แคระ หลังจากเคยยอมรับว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบสุริยะ ทั้งนี้เพราะไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมันได้", "title": "ดาวเคราะห์แคระ" } ]
[ { "docid": "60227#19", "text": "ดาวเคราะห์แคระซีรีส (Ceres), เป็นดาวเคราะห์แคระ (dwarf planet) ที่อยู่เฉพาะในแถบดาวเคราะห์น้อย (asteroid belt) ได้รับการยืนยันจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชลแล้วว่ามีบรรยากาศที่มีชั้นไอน้ำอยู่เบาบาง น้ำค้างแข็ง (Frost) ที่มีอยู่บนพื้นผิวของดาวนั้นนอกจากนี้ก็ยังอาจได้รับการตรวจพบได้ในรูปแบบของจุดสว่าง (bright spots)", "title": "สิ่งมีชีวิตนอกโลก" }, { "docid": "275489#2", "text": "ในระบบสุริยะของเรามีดาวเคราะห์คล้ายโลกจำนวน 4 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร และมีดาวเคราะห์แคระคล้ายโลกอีก 1 ดวง คือ ซีรีส วัตถุบางชนิดเช่น พลูโต แม้จะคล้ายคลึงกับดาวเคราะห์คล้ายโลก เพราะมีพื้นผิวที่เป็นของแข็งชัดเจน ทว่าองค์ประกอบส่วนใหญ่ของดาวนั้นเป็นน้ำแข็ง เชื่อว่าในระหว่างการก่อตัวของดาวเคราะห์ของระบบสุริยะ อาจมีดาวเคราะห์ชั้นในเป็นจำนวนมากกว่านี้ แต่ดาวเคราะห์เหล่านั้นเกิดรวมตัวกันหรือแตกกระแทกสลายไปจนเหลือเพียง 4 ดวง ในจำนวนนี้มีเพียงโลกเท่านั้นที่มีชั้นบรรยากาศซึ่งห่อหุ้มด้วยน้ำ", "title": "ดาวเคราะห์คล้ายโลก" }, { "docid": "46904#1", "text": "จนถึงปัจจุบัน มีวัตถุบนท้องฟ้าที่จัดเป็นดาวเคราะห์แคระ ได้แก่", "title": "ดาวเคราะห์แคระ" }, { "docid": "274089#0", "text": "ดาวเคราะห์โรก (; หรือเรียกกันว่า ดาวเคราะห์ระหว่างดวงดาว, ดาวเคราะห์อิสระ) คือวัตถุที่มีมวลขนาดดาวเคราะห์และมิได้มีแรงโน้มถ่วงดึงดูดอยู่กับดาวฤกษ์ดวงใด จึงเคลื่อนที่ล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศระหว่างดาวเป็นวัตถุอิสระ มีนักดาราศาสตร์หลายคนอ้างว่าตรวจพบวัตถุดังกล่าวนี้ (เช่น Cha 110913-773444) แต่ยังไม่มีการยืนยันผลการค้นพบเหล่านั้น", "title": "ดาวเคราะห์โรก" }, { "docid": "46995#0", "text": "136199 อีริส (Eris) หรือ 2003 UB เป็นดาวเคราะห์แคระหนึ่งในวัตถุพ้นดาวเนปจูน (Trans-Neptunian Object - TNO) เป็นดาวเคราะห์แคระดวงใหญ่ เป็นลำดับที่ 2 ในระบบสุริยะที่ถูกค้นพบในปัจจุบัน มีขนาดเล็กกว่าดาวพลูโตเล็กน้อย มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1445 กิโลเมตร(ขนาดดาวพลูโต 1473 กิโลเมตร) มีดวงจันทร์บริวาร 1 ดวง ชื่อ ดิสโนเมีย (Dysnomia)", "title": "ดาวเอริส" }, { "docid": "193529#0", "text": "เฮาเมอา (; ) มีชื่อเดิมว่า 136108 เฮาเมอา เป็นดาวเคราะห์แคระดวงหนึ่งในแถบไคเปอร์ มีมวลขนาดหนึ่งในสามของดาวพลูโต ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2547 โดยไมเคิล อี. บราวน์ (Michael E. Brown) และทีมค้นหาจากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (แคลเทค) และหอดูดาวเมานาเคอาในสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2548 โดยโคเซ ลุยส์ ออร์ติซ โมเรโน (José Luis Ortiz Moreno) และทีมค้นหาจากหอดูดาวเซียร์ราเนบาดาในประเทศสเปน (แต่การอ้างว่าเป็นผู้ค้นพบของฝ่ายหลังถูกโต้แย้ง) ในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551 สหภาพดาราศาสตร์นานาชาติได้จัดดาวดวงนี้ให้อยู่ในกลุ่มของดาวเคราะห์แคระ และตั้งชื่อตามเฮาเมอา เทพีแห่งการให้กำเนิดของชาวฮาวาย", "title": "ดาวเฮาเมอา" }, { "docid": "46995#2", "text": "ภายหลังการค้นพบ คณะผู้ค้นพบและนาซาได้ประกาศว่าเอริสเป็น ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 แต่จากการประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ได้ข้อสรุปว่าเอริสไม่จัดเป็นดาวเคราะห์ แต่เป็นดาวเคราะห์แคระ", "title": "ดาวเอริส" }, { "docid": "362789#1", "text": "ถ้าดาวเคราะขาวมีคู่ที่อยู่ใกล้มันมากเกินไปหรือเกยเข้ามาในขอบเขตโรเชของมัน ดาวแคระขาวก็จะเริ่มดึงมวลจากคู่ของมันแล้ว คู่ของมันอาจเป็นดาวในแถบลำดับหลักหรือเป็นดาวอายุมากที่ใกล้สิ้นสุดอายุขัยและกำลังกลายเป็นดาวยักษ์แดงก็ได้ ก๊าซที่ถูกดึงมาส่วนใหญ่ประกอบไบด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียมซึ่งเป็น 2 ธาตุหลักในส่วนประกอบสสารธรรมดาในจักรวาล ก๊าซที่ถูกดูดมาถูกอัดแน่นบนพื้นผิวของดาวแคระขาวโดยแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงของมัน สสารที่ดาวแคระขาวดูดมาถูกบีบอัดและเพิ่มความร้อนจนอุณหภูมิสูงมากในขณะที่สสารกำลังถูกดูดออกมาจากดาวอย่างต่อเนื่อง ดาวแคระขาวประกอบไปด้วยสสารเสื่อม และจึงไม่พองตัวเมื่อความร้อนเพิ่มในขณะที่ไฮโดรเจนที่ถูกดูดมาถูกบีบอัดบนพื้นผิวของดาว การที่ต้องพึ่งแรงอัดและอุณหภุมิในอัตราความเร็วไฮโดรเจนฟิวชั่นหมายความว่าเมื่อมีการบีบอัดและความร้อนที่พื้นผิวดาวแคระขาวกับอุณหภูมิประมาณ 20 ล้านเคลวินว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นเกิดขึ้น และอุณหภูมินี้สามารถถูกเผาไหม้ผ่านวงจรซีเอ็นโอ", "title": "โนวา" } ]
1926
การชันสูตรพลิกศพทำได้โดยใคร ?
[ { "docid": "169340#0", "text": "การชันสูตรพลิกศพ () คือการตรวจพิสูจน์เพื่อดูสภาพศพแต่เพียงภายนอก ค้นหาสาเหตุและพฤติการณ์ที่ตายว่าผู้ตายคือใคร ตายเมื่อใด ถ้าตายโดยคนทำร้าย สงสัยว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดที่ทำให้เกิดการตายตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 129 ความว่า \"ให้ทำการสอบสวนรวมทั้งการชันสูตรพลิกศพในกรณีที่ความตายเป็นผลแห่งการกระทำผิดอาญาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการชันสูตรพลิกศพ ถ้าการชันสูตรพลิกศพยังไม่เสร็จ ห้ามมิให้ฟ้องผู้ต้องหายังศาล\" ซึ่งตามกฎหมายมีความมุ่งหมายให้แพทย์และพนักงานสอบสวนดำเนินการตรวจสอบในสถานที่พบศพ ยกเว้นแต่ว่าการชันสูตรพลิกศพ เพื่อตรวจดูสภาพศพในสถานที่เกิดเหตุนั้น อาจเป็นเหตุทำให้การจราจรติดขัดมาก อาจกลายเป็นสถานที่อุดจาตาจากสภาพศพ หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนทั่วไป แพทย์และพนักงานสอบสวนย่อมมีสิทธิ์ที่จะสามารถเคลื่อนย้ายศพ เพื่อนำไปทำการชันสูตรพลิกศพยังสถานที่อื่นที่เหมาะสมได้", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#18", "text": "เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและแพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพแล้ว ต้องเขียนรายงานการชันสูตรพลิกศพ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการระบุสาเหตุการตายเบื้องต้นของผู้ตาย โดยแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ ต้องมีหน้าที่ต้องส่งรายงานการชันสูตรพลิกศพให้พนักงานสอบสวนภายใน 7 วัน รวมทั้งสรุปข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ เช่น สาเหตุการตาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ตายคือใคร ตาย ณ ที่ใด ตายเมื่อใด เป็นต้น และสามารถขอขยายเวลาได้ 2 ครั้ง ๆ ละ ไม่เกิน 30 วัน สำหรับพนักงานสอบสวน มีหน้าที่ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง มีหน้าที่ออกใบมรณบัตรรับรองการตายให้แก่ญาติผู้ตาย", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#16", "text": "ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ระบุว่า \"ในกรณีที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพ ให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่กับแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ซึ่งได้รับวุฒิบัตร หรือได้รับหนังสืออนุมัติจากแพทยสภา ทำการชันสูตรพลิกศพโดยเร็ว ถ้าแพทย์ทางนิติเวชศาสตร์ดังกล่าวไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ประจำสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่มีหรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้แพทย์ประจำโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ที่ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์อาสาสมัครตามระเบียบของกระทรวง สาธารณสุขปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ให้แพทย์ ประจำโรงพยาบาลของเอกชนหรือแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้นั้น เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ ให้พนักงานสอบสวนและแพทย์ดังกล่าวทำบันทึกรายละเอียดแห่งการชันสูตรพลิกศพทันที \" ดังนั้นผู้ทำการชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ได้แก่แพทย์ที่ทำการชันสูตรพลิกศพ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมต้องมีใบชันสูตรบาดแผล ต้องแจ้งตำรวจตำรวจส่งใบชันสูตรมาให้ มีชื่อของผู้ป่วยระบุชื่อของสถานีตำรวจชัดเจน ได้รับอันตรายอย่างไรเกิดเหตุวันไหน มีการลงชื่อของสารวัตรผู้รับผิดชอบคดี ด้านหลังจะเป็นใบชันสูตรบาดแผลของโรงพยาบาลเอกชนหรือโรงพยาบาลไหนก็ได้ ที่มีแพทย์ทางนิติเวชดูแลอยู่ ถึงแม้ไม่มีแพทย์นิติเวชก็มีแพทย์ธรรมดาดูแลอยู่ สามารถเขียนรายงานใบชันสูตรให้แก่พนักงานสอบสวนได้", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#24", "text": "ในการชันสูตรพลิกศพในกรุงเทพมหานคร ตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้แพทย์ประจำสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบ ต่อมานิติเวชแพทย์ผู้ทำการตรวจและชันสูตรพลิกศพ ได้มีการประชุมและแบ่งเขตพื้นที่รับผิดชอบในการชันสูตรพลิกศพ เพื่อเป็นประโยชน์ด้านการศึกษาแก่หน่วยงานการศึกษาของรัฐ สำหรับพื้นที่ บก.น. 1 บางส่วน ให้แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลวชิรพยาบาลและ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ร่วมกันผู้รับผิดชอบ พื้นที่ บก.น. 5 บางส่วน ให้แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นผู้รับผิดชอบ และพื้นที่ บก.น. 7, 8, และ 9 แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้รับผิดชอบ สำหรับพื้นที่ที่เหลือ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ หากพนักงานสอบสวนในแต่ละพื้นที่มีความจำเป็นต้องให้นิติเวชแพทย์ประจำสถาบันนิติเวชวิทยาเป็นผู้ร่วมชันสูตร ก็สามารถดำเนินการได้ และในกรณีที่มีพนักงานอัยการและพนักงานฝ่ายปกครองร่วมในการชันสูตรพลิกศพด้วยนั้น ตารางการปฏิบัติงานของอัยการในกรุงเทพมหานครอยู่ที่อัยการสูงสุด ส่วนตารางการปฏิบัติงานของพนักงานฝ่ายปกครอง อยู่ที่กระทรวงมหาดไทย", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#11", "text": "ส่วนการชันสูตรพลิกศพโดยการผ่าศพตรวจ เป็นการกระทำเมื่อมีเหตุจำเป็นเพื่อหาสาเหตุการตาย ในกรณีที่การพลิกศพไม่สามารถบ่งบอกสาเหตุการตายได้ชัดเจน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความคดีอาญา มาตรา 151 บัญญัติว่า \"ในเมื่อมีความจำเป็นเพื่อพบเหตุของการตาย เจ้าพนักงานผู้ชันสูตรพลิกศพมีอำนาจสั่งให้ผ่าศพเพื่อแยกธาตุส่วนใด หรือจะให้ส่งทั้งศพ หรือบางส่วนไปยังแพทย์ หรือพนักงานแยกธาตุของรัฐบาลก็ได้\" การผ่าศพเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์หาสาเหตุการตาย สามารถตอบปัญหา และข้อสงสัยจากการพลิกศพได้เช่น เมื่อพลิกศพพบบาดแผลเป็นรูลึกเข้าไปในร่างกาย รูลึกนี้อาจเกิดจากกระสุนปืน หรือตะปูขนาดใหญ่ก็ได้ การผ่าศพจะทำให้ทราบว่าบาดแผลนั้นเกิดจากอาวุธหรือวัตถุอะไร และยังทำให้ทราบต่อไปว่าอาวุธหรือวัตถุนั้น ถูกอวัยวะสำคัญอะไรจึงทำให้ตาย หรือในกรณีที่การพลิกศพไม่พบบาดแผลปรากฏภายนอกให้เห็น การผ่าศพจะบอกได้ว่า การตายเกิดจากตับแตก ม้ามแตก ฯลฯ อันเป็นผลให้เกิดการบาดเจ็บ หรือเกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง เส้นโลหิตในสมองแตก ฯลฯ อันเป็นโรคภัยไข้เจ็บธรรมดา เป็นต้น", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#6", "text": "ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้แบ่งแย่งการชันสูตรพลิกศพออกจากการผ่าศพทางนิติเวชศาสตร์อย่างชัดเจน คือแพทย์ผู้ทำการผ่าตรวจพิสูจน์ศพ จะสามารถกระทำการผ่าศพได้ก็ต่อเมื่อเจ้าพนักงานผู้ชันสูตรศพ มีความเห็นสมควรให้ผ่าพิสูจน์ศพ รวมทั้งการส่งชิ้นเนื้อของศพให้นิติพยาธิแพทย์ เพื่อทำการตรวจพิสูจน์", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#7", "text": "ในกรณีที่แพทย์และพนักงานสอบสวนไปทำการชันสูตร ณ สถานที่พบศพ แพทย์และพนักงานสอบสวนต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำและก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อการตรวจหาพยานหลักฐานของเจ้าพนักงาน ผู้ทำหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย แพทย์สามารถใช้การตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อสำหรับเป็นข้อมูลที่ช่วยประกอบการผ่าศพ เพื่อที่จะสันนิษฐานพฤติการณ์ตายได้ใกล้เคียงขึ้นดังคำว่า \"การผ่าศพทางนิติพยาธิวิทยาเริ่มตั้งแต่ที่เกิดเหตุ\" แต่ถ้าเจ้าพนักงานสอบสวนทำการชันสูตรศพในเบื้องต้นและรู้สาเหตุการตายแล้ว รวมทั้งพอใจต่อผลของการพิสูจน์ศพในสถานที่เกิดเหตุ ให้ถือว่าการชันสูตรพลิกศพนั้น เสร็จสิ้นตามกฎหมาย", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#23", "text": "สถานที่ชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย หากพิจารณาตามกฎหมายแล้ว กฎหมายมีเจตนารมณ์ให้ทำการชันสูตร ณ สถานที่ที่พบศพ โดยเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนท้องที่ที่พบศพ ส่วนแพทย์ผู้ร่วมชันสูตรศพนั้นได้แก่ แพทย์ตามที่ ป.วิ อาญา มาตรา 150 กำหนดไว้ ได้แก่ นิติเวชแพทย์ , แพทย์ประจำโรงพยาบาลของรัฐ , นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด , หรือแพทย์อาสาสมัครที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงสาธารณสุข หลังจากได้มีการชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นแล้ว หากยังหาสาเหตุการตายไม่ได้ หรือไม่ชัดแจ้ง จะส่งศพให้แพทย์ทำการผ่าศพตรวจโดยละเอียดได้ (ตาม ป.วิ อาญา ม.151) ณ สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชเช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นต้น สำหรับต่างจังหวัดอาจส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ,โรงพยาบาลของคณะแพทยศาสตร์ในแต่ละภูมิภาค หรือโรงพยาบาลศูนย์ขนาดใหญ่ของกระทรวงสาธารณสุขที่มีแพทย์นิติเวชประจำอยู่เป็นต้น การนำศพไปชันสูตร ณ โรงพยาบาล มักเป็นการดำเนินการโดยอนุโลม เช่น แพทย์ไม่สะดวกในการเดินทางไปชันสูตรในพื้นที่ที่เกิดเหตุ หรือเป็นการเคลื่อนย้ายศพมาชันสูตรเพิ่มเติม เช่น เอ๊กซเรย์ศพเพื่อหาวัตถุแปลกปลอมภายใน ในกรณีเสียชีวิตจากท้องที่อื่นแล้วนำศพมาทิ้งไว้ จะต้องประสานความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนท้องที่ที่เกิดเหตุด้วย แต่พนักงานสอบสวนท้องที่ที่พบศพยังคงถือเป็นเจ้าหน้าที่หลักผู้รับผิดชอบในการชันสูตรศพนั้น", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#14", "text": "การชันสูตรพลิกศพคือการตรวจดูศพแต่เพียงภายนอก ซึ่งกฎหมายมีความมุ่งหมายให้ดำเนินการในสถานที่พบศพ ยกเว้นแต่ว่าการดูในสถานที่นั้นอาจจะทำให้การจราจรติดขัดมาก หรืออาจจะเป็นที่อุดจาด หรืออาจเป็นอันตรายต่อประชาชนทั่วไป ก็สามารถเคลื่อนย้ายไปทำยังสถานที่อื่นที่เหมาะสมได้ เห็นได้ว่าสภาพการจราจรในปัจจุบันทำให้อุบัติเหตุจราจรเกือบทุกรายต้องย้ายศพไปตรวจยังที่อื่นซึ่งก็มักจะเป็นสถานที่ผ่าศพนั่นเอง เมื่อแพทย์และพนักงานสอบสวนไปทำการชันสูตร ณ ที่พบศพ แพทย์และพนักงานสอบสวนต้องระมัดระวังที่จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อการตรวจหาพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" } ]
[ { "docid": "169340#10", "text": "วิธีการชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย มีด้วยกัน 2 วิธี คือ การชันสูตรพลิกศพโดยไม่ผ่าและการชันสูตรพลิกศพโดยการผ่าศพตรวจ สำหรับการการชันสูตรพลิกศพโดยไม่ผ่าคือ การตรวจสภาพภายนอกของศพ ดูเพศ อายุ เชื้อชาติ สิ่งของติดตัว ฯลฯ เพื่อพิจารณาว่าผู้ตายคือใคร ดูสภาพการเปลี่ยนแปลงของศพภายหลังตาย เพื่อประมาณเวลาตาย ดูลักษณะบาดแผลที่ปรากฏเพื่อสันนิษฐานสาเหตุของการตายการตรวจ ดังกล่าวจะต้องพลิกศพดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังของศพ จึงใช้คำว่า \"พลิกศพ\"", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#13", "text": "ในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยยังแยกการชันสูตรพลิกศพกับการผ่าศพออกจากกันคือ ระบุว่าจะทำการผ่าศพต่อเมื่อเจ้าพนักงานผู้ชันสูตรเห็นควรส่งศพ หรือชิ้นส่วนของศพให้แพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐทำการผ่าศพหรือแยกธาตุ ถ้าเจ้าพนักงานเห็นว่าการชันสูตรพอรู้สาเหตุการตายแล้ว ถือว่าการชันสูตรศพรายนั้นเสร็จสิ้นแล้วตามกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่วิชานิติเวชศาสตร์ในปัจจุบัน ถือว่าการชันสูตรพลิกศพแต่เพียงอย่างเดียวมักไม่เพียงพอ นิติพยาธิแพทย์ควรพิจารณาเป็นราย ๆ ไปว่าจะมีเพียงบางรายเท่านั้นที่อาจไม่จำเป็นต้องผ่าศพ", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#8", "text": "การชันสูตรพลิกศพในประเทศไทย เป็นกระบวนการที่กำหนดขึ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า \"เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงาน ให้มีการชันสูตรพลิกศพเว้นแต่ตายโดยประหารชีวิตตามกฎหมาย\" ซึ่งการตายโดยผิดธรรมชาติคือ การตาย 5 ลักษณะ ดังต่อไปนี้", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#20", "text": "วัตถุประสงค์ของการชันสูตรพลิกศพกรณีตายโดยผิดธรรมชาติ เมื่อแพทย์นิติเวชได้รับแจ้งเหตุกรณีฆ่าตัวตาย การชันสูตรพลิกศพจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ตายตายเพราะฆ่าตัวเอง ไม่ใช่ถูกผู้อื่นฆ่า และแม้เป็นการฆ่าตัวตายจริง ผลการชันสูตรพลิกศพอาจแสดงให้เห็นพฤติการณ์ของการตายว่า มีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นและสามารถนำผู้ที่เกี่ยวข้องไปลงโทษทางอาญาได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 292 เอาผิดแก่ผู้ปฏิบัติทารุณแก่คนที่ต้องพึ่งอาศัยตนเพื่อให้บุคคลนั้นฆ่าตัวเอง หรือ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 293 เอาผิดแก่คนที่ช่วยหรือยุยงเด็ก หรือคนที่จิตใจไม่ปกติให้ฆ่าตัวเอง", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" }, { "docid": "169340#1", "text": "ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 148 ความว่า \"เมื่อปรากฏแน่ชัดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า บุคคลใดตายโดยผิดธรรมชาติ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานให้มีการชันสูตรพลิกศพ เว้นแต่ตายโดยการประหารชีวิตตามกฎหมาย\" อาจเห็นได้ว่าสภาพการจราจรในปัจจุบันก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางด้านจราจรเป็นจำนวนมาก เกือบทุกรายที่ประสบอุบัติเหตุจะเสียชีวิต จึงจำเป็นที่จะต้องเคลื่อนย้ายศพจากสถานที่เกิดเหตุเพื่อไปทำการชันสูตรพลิกศพและตรวจสอบสาเหตุการตายในสถานที่อื่นเช่น สถาบันนิติเวชวิทยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งก็มักจะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการผ่าศพนั่นเอง", "title": "การชันสูตรพลิกศพ" } ]
1942
บริษัท ปตท. จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ใด?
[ { "docid": "78603#0", "text": "บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (, ชื่อย่อ: PTT) เป็นบริษัทด้านพลังงานของไทยที่แปรรูปมาจาก การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งมาจากการรวมกิจการพลังงานของรัฐทั้ง 2 องค์กร คือองค์การเชื้อเพลิงและองค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันปิโตรเลียมครบวงจร และธุรกิจปิโตรเคมีที่เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจต่อเนื่อง มีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่ 555 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900", "title": "ปตท." } ]
[ { "docid": "78603#7", "text": "บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เริ่มแปรรูปเป็นบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2544 มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2 พันล้านหุ้น โดยมี กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2544รายชื่อของบริการในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ทั่วประเทศ ทั้งบริการโดย ปตท. และบริการจากภายนอก", "title": "ปตท." }, { "docid": "236389#10", "text": "บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท.) ยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตั้งอยู่ที่ อาคารสำนักงานใหญ่ ปณท. ถนนแจ้งวัฒนะ โดยปฏิรูปภาพลักษณ์ใหม่ ปรับปรุงบริการและการให้บริการไปรษณีย์แก่ประชาชนทั่วไปและพัฒนาการให้บริการเชิงธุรกิจ เพื่อให้ ปณท. ก้าวไกล ทันสมัย ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตลอดไป", "title": "การไปรษณีย์ในประเทศไทย" }, { "docid": "321485#0", "text": "บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทด้านพลังงานของไทยที่เกิดจากการควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ATC) และ บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) (RRC) ปัจจุบันยุบเลิกและรวมกิจการกับบริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จัดตั้งเป็นบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554บริษัทดำเนินการกลั่นน้ำมันและจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปซึ่งประกอบด้วย", "title": "ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น" }, { "docid": "39370#1", "text": "ปัจจุบัน ปตท.สผ. มี โครงการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 36 โครงการ ใน 10 ประเทศ โดยอยู่ในระยะการสำรวจ 13 โครงการ และระยะการผลิต 23 โครงการ ปี พ.ศ. 2530 ปตท.สผ. เข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนในปัจจุบัน มีทุนจดทะเบียน 3,322 ล้านบาท โดยมีผู้ถือหุ้นหลัก คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)\nปริมาณสำรองพิสูจน์แล้วรวมทุกโครงการของ ปตท.สผ. และบริษัทย่อย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 คิดเป็นปริมาณ 631 ล้านบาร์เรลทียบเท่าน้ำมันดิบเว็บไซต์ ปตท.สผ.", "title": "ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม" }, { "docid": "78990#4", "text": "หลังจากนั้นมีการ ปรับโครงสร้างปตท. จึงได้นั่งตำแหน่งเป็นผู้จัด การใหญ่ ปตท.น้ำมัน ก่อนจะถูกโยกย้ายให้ดูแล ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ในตำแหน่ง ผู้จัดการใหญ่ ปตท. ก๊าซธรรมชาติ ในปี 2543 รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ ยังได้ดำรงตำแหน่ง กรรมการ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัททรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด", "title": "ประเสริฐ บุญสัมพันธ์" }, { "docid": "321485#11", "text": "PTTUT เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง PTTAR ปตท. และปตท.เคมิคอล ในสัดส่วนร้อยละ 20/40/40 เพื่อผลิตและจำหน่ายสาธารณูปโภค ได้แก่ ไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำทุกประเภทที่ ใช้ในอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และสาธารณูปการอื่น ให้กับโครงการต่าง ๆ ของบริษัทในเครือ ปตท. โดยปัจจุบัน PTTUT ได้เริ่มจำหน่ายสาธารณูปโภคให้กับบาง บริษัทแล้ว เช่น โครงการผลิตสาร EO/EG ของ บริษัท ทีโอซี ไกลคอล จำกัด นอกจากนี้ PTTUT อยู่ระหว่างการก่อสร้างหน่วยผลิตต่าง ๆ ตามแผนธุรกิจที่วางไว้เพื่อ รองรับโครงการใหม่ ๆ ของบริษัทในกลุ่ม ปตท. เช่น โครงการ PPCL และ CPX II ของ PTTAR เป็นต้น", "title": "ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น" }, { "docid": "315721#5", "text": "PTTUT เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง PTTAR ปตท. และปตท.เคมิคอล ในสัดส่วนร้อยละ 20/40/40 เพื่อผลิตและจำหน่ายสาธารณูปโภค ได้แก่ ไฟฟ้า ไอน้ำ และน้ำทุกประเภทที่ ใช้ในอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และสาธารณูปการอื่น ให้กับโครงการต่าง ๆ ของบริษัทในเครือ ปตท. โดยปัจจุบัน PTTUT ได้เริ่มจำหน่ายสาธารณูปโภคให้กับบาง บริษัทแล้ว เช่น โครงการผลิตสาร EO/EG ของ บริษัท ทีโอซี ไกลคอล จำกัด นอกจากนี้ PTTUT อยู่ระหว่างการก่อสร้างหน่วยผลิตต่าง ๆ ตามแผนธุรกิจที่วางไว้เพื่อ รองรับโครงการใหม่ ๆ ของบริษัทในกลุ่ม ปตท. เช่น โครงการ PPCL และ CPX II ของ PTTAR เป็นต้น", "title": "ปตท. เคมิคอล" }, { "docid": "15807#2", "text": "ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2528 บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ได้เข้ามาเป็นผู้ร่วมทุนในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่สัมปทานเอส 1 โดยที่บริษัท ปตท.สผ. ถือหุ้นร้อยละ 25 และบริษัทไทยเชลล์ถือหุ้นร้อยละ 75 ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 บริษัท ปตท.สผ. ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัทไทยเชลล์ ทำให้บริษัท ปตท.สผ. เป็นเจ้าของสัมปทานเอส 1 ทั้งหมด และกลายเป็นผู้ดำเนินการแหล่งน้ำมันสิริกิติ์ แหล่งน้ำมันอันทรงคุณค่าของประเทศไทย", "title": "อำเภอลานกระบือ" }, { "docid": "39370#0", "text": "บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ตัวย่อภาษาอังกฤษ PTTEP ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2528 โดยคณะรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จัดตั้ง \"บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด\" ขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจหลัก คือ สำรวจ พัฒนา และผลิตปิโตรเลียมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ รวมทั้งลดการพึ่งพาการนำเข้าปิโตรเลียมจากต่างประเทศ", "title": "ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม" } ]
1950
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ก่อตั้งโดยใคร?
[ { "docid": "95689#1", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1909 โดยกลุ่มคนหนุ่มที่ไม่พอใจในสโมสรฟุตบอล \"Trinity Youth\" ของโบสถ์ประจำเมือง ชื่อ \"โบรุสเซีย\" (Borussia) นั้นมาจากภาษาละตินที่หมายถึงปรัสเซีย ช่วงแรกทีมใช้ชุดสีฟ้าขาว ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้สีเหลืองดำใน ค.ศ. 1913", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" } ]
[ { "docid": "95689#6", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์เป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกและแห่งเดียวของเยอรมนีที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่หลังจากแพ้ในรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพ ปี 2002 สโมสรก็ประสบปัญหาทางการเงิน จนต้องขายสนามเว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน โดยทีมใช้วิธีเช่าสนามจากเจ้าของใหม่ ซึ่งเปลี่ยนชื่อสนามเป็น ซิกนาลอีดูนาพาร์ค สโมสรเริ่มตกต่ำในบุนเดสลีกาฤดูกาล 2005-06 ก่อนจบด้วยอันดับ 7 ในฤดูกาลถัดมาคือ 2006-2007 สโมสรต้องเผชิญสถานกาณ์หนีตกชั้นครั้งแรกในรอบหลายปี ได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมถึงสามครั้งก่อนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 10", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#0", "text": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ () ย่อว่า เบเฟาเบ (BVB) หรือ ดอร์ทมุนท์ (Dortmund) เป็นสโมสรฟุตบอลจากเมืองดอร์ทมุนท์ รัฐนอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน ประเทศเยอรมนี ปัจจุบันเล่นอยู่ในบุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของประเทศ", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#7", "text": "ในปี 2011 โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาภายใต้การนำของเยือร์เกิน คล็อพ ซึ่งทำให้สาวกแฟนเสือเหลือง โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ จำนวนกว่า 500,000 คน ออกมาร่วมเฉลิมฉลองตำแหน่งแชมป์บุนเดสลีกา หรือแชมป์ลีกฟุตบอลเยอรมัน ฤดูกาล 2010 - 2011 กับบรรดานักเตะและ เยือร์เกิน ค็ลอพ เฮดโคชที่นำความสำเร็จมาสู่ทีมหลังต้องรอคอยมาอย่างยาวนานกว่า 9 ปี ในปี 2011-2012 โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถป้องกันแชมป์บุนเดสลีกาได้สำเร็จพร้อมทั่งทุบสถิติเป็นทีมที่เก็บแต้มสูงสุดในฤดูกาลเดียวของลีกเมืองเบียร์ 81 คะแนน ทำลายสถิติเดิม 79 แต้มที่ บาเยิร์น มิวนิค ทำไว้ในฤดูกาล 1971-1972 (คิดเทียบแบบผู้ชนะได้ 3 แต้มเช่นเดียวกับปัจจุบัน)\nและเท่านั่นยังไม่พอโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ก็สามารถคว้าแชมป์เดเอฟเบโพคาล หลังจากที่สามารถเอาชนะบาเยิร์น มิวนิค ไปด้วยสกอร์ 5-2 คว้าดับเบิ้ลแชมป์ไปในที่สุด \nหลังจากนั่นโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ต้องใช้เวลากว่า 5 ปีในการที่จะกลับมาคว้าแชมป์อีก โดยเป้นการคว้าแชมป์ เดเอฟเบโพคาล ปี 2017 โดยการเอาชนะ ไอน์ทรัคท์ แฟรงค์เฟิร์ต 2–1 นับเป็นแชมป์ครั้งแรกในรอบ 5 ปี และเป็นการชนะในนัดชิงได้ หลังจากที่เคยเข้าชิงมาสามครั้งติดต่อกันก่อนหน้านั่นในปี 2013–14, 2014–15, 2015–16", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "39227#1", "text": "ดอร์ทมุนท์เป็นบ้านของสโมสรฟุตบอลโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ (BVB 09) ซึ่งเตะในสนาม Signal Iduna Park (ชื่อเดิมคือ Westfalenstadion) ซึ่งเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1974 ปัจจุบันเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี จุผู้ชมได้ 82,932 คน เคยใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 1974 และ ฟุตบอลโลก 2006", "title": "ดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#3", "text": "เมื่อสมาพันธ์ฟุตบอลเยอรมนี ก่อตั้งบุนเดสลีกาเป็นลีกสูงสุด สโมสรได้รับการเสนอชื่อให้ร่วมแข่งขัน และนักเตะของสโมสรคือ Timo Konietzka ได้เป็นนักฟุตบอลที่ยิงประตูในบุนเดสลีกาเป็นคนแรก ในเกมที่แพ้ 2:3 ต่อแวร์เดอร์ เบรเมน", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#2", "text": "ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สโมสรเข้าเล่นใน Oberliga West ซึ่งเป็นลีกสูงสุดของเยอรมนีตะวันตกในช่วงนั้น และประสบความสำเร็จเป็นแชมป์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1956 สโมสรกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของสโมสรฟุตบอลชาลเก้ 04 ซึ่งอยู่ในเมืองใกล้เคียงกัน", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "95689#4", "text": "ดอร์ทมุนท์ชนะเยอรมันคัพเป็นครั้งแรกในปี 1965 และชนะยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ ในปีถัดมา พอ ค.ศ. 1972 สโมสรตกชั้นไปเล่นในลีกาสอง ก่อนจะกลับขึ้นมาใหม่ใน ค.ศ. 1976 ช่วงนี้สโมสรได้สร้างสนามใหม่คือเว็สท์ฟาเลินชตาดีอ็อน ซึ่งแล้วเสร็จในปีค.ศ. 1974", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" }, { "docid": "532993#4", "text": "ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2008 สโมสรโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ได้ยืมตัวฮุมเมลส์จากบาเยิร์นมิวนิก และเขากลายเป็นกองหลังตัวเลือกแรกอย่างรวดเร็ว เขามักจะจับคู่กับเนเวน ซูบอติช ที่พึ่งเซ็นมาด้วยกันในการเป็นเซ็นเตอร์แบ็กคู่ แต่น่าเสียดายที่ว่าในเดือนสุดท้ายเขาได้รับบาดเจ็บ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 เขาก็ได้บรรลุสัญญากับสโมสรดอร์ทมุนท์ โดยซื้อตัวมาในราคา 4.2 ล้านยูโร", "title": "มัทซ์ ฮุมเมิลส์" }, { "docid": "95689#5", "text": "สโมสรกลับมาเริ่มประสบความสำเร็จอีกครั้งในยุค 90 เริ่มจากเข้าชิงยูฟ่าคัพในปี ค.ศ. 1993 (แต่แพ้ให้สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส 7-1) ได้แชมป์บุนเดสลีกา 2 ปีติดกันใน ค.ศ. 1995-1996 และได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ประจำปี ค.ศ. ​1997 โดยเอาชนะยูเวนตุส 3-1 หลังจากนั้นได้เว้นช่วงอีกระยะและได้แชมป์บุนเดสลีกาในปี 2002", "title": "โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์" } ]
1955
นกตบยุงหางยาวอุปนิสัย มักพบโดดเดี่ยวใช่หรือไม่?
[ { "docid": "571903#0", "text": "นกตบยุงหางยาว () เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังจำพวกสัตว์ปีก (Aves) อยู่ในวงศ์นกตบยุง (Family Caprimulgidae) นกวงศ์นี้มีเพียง ๑ สกุล คือ สกุลนกตบยุง (\"Caprimulgus\") ในประเทศไทยมีนกตบยุง 6 ชนิด ได้แก่ นกตบยุงพันธุ์มลายู (\"Eurostopodus temminckii\") นกตบยุงยักษ์ (\"Eurostopodus macrotis\") นกตบยุงภูเขา (\"Caprimulgus indicus\") นกตบยุงหางยาว (\"Caprimulgus macrurus\") นกตบยุงเล็ก (\"Caprimulgus asiaticus\") และนกตบยุงป่าโคก (\"Caprimulgus affinis\") ซึ่งนกตบยุงจะมีจะงอยปากแบนกว้าง ไม่ค่อยแข็งแรง ช่องปากกว้าง รูจมูกเป็นหลอดเล็กน้อยคล้ายกับจมูกของนกจมูกหลอด บริเวณมุมปากมีขนยาว ลำตัวเพรียว หางยาว ปีกยาวปลาย ปีกแหลม ดวงตากลมโต อาหารได้แก่ แมลงต่าง ๆ หากินโดยการบินโฉบจับแมลงกลางอากาศ มีนิสัยชอบอยู่โดดเดี่ยว นกตบยุงไม่สร้างรัง แต่จะวางไข่บนพื้นดิน วางไข่ครอกละ ๒ ฟอง ปกติไข่ไม่มีลายขีด ลูกนกอยู่ในไข่จนโตพอสมควรก่อนออกจากไข่ มีขนดาวน์หรือขนอุยขึ้นปกคลุมลำตัว ลืมตาได้ แต่ลูกนกยังคงต้องให้พ่อแม่หาอาหารมาป้อนให้", "title": "นกตบยุงหางยาว" } ]
[ { "docid": "570885#4", "text": "มีพฤติกรรมหากินผลไม้บนระดับเรือนยอดของป่า บางครั้งพบกระโดดเก็บผลไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นดิน เสียงร้องคล้ายเสียงเห่าของสุนัข ในประเทศไทยพบทำรังวางไข่ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคม นกเงือกทำรังบนโพรงไม้สูงราว 10-30 เมตร จากพื้นดิน นกตัวเมียจะปิดโพรงจากภายในโดยใช้มูล เศษผลไม้และอาหารที่นกสำรอกออกมาผสมกันดินโคลนที่นกตัวผู้นำมา วางไข่สีขาวครั้งละ 2 ฟอง ระยะฟักไข่ประมาณ 30 วัน นอกฤดูผสมพันธุ์นกเงือกคอแดงจะอยู่กันเป็นคู่ ๆ หรือเป็นฝูงเล็ก ๆ 4-5 ตัว", "title": "นกเงือกคอแดง" }, { "docid": "571903#1", "text": "ขนาดตัว: 31.5-33 เซนติเมตร ขณะเกาะปลายหางยาวเลยปลายปีกออกมามากกว่านกชนิดอื่นๆ ตัวผู้: หัวสีน้ำตาลเหลือง แถบกลางหัวสีน้ำตาลคล้ำ แถบหนวดและแถบข้างคอขาวชัดเจน ปลายขนคลุมปีกมีแต้มสีน้ำตาลอ่อนหรือขาวต่อเนื่องเป็นแถบ 4 แถบขวางแนวลำตัว ท้ายทอยแกมสีน้ำตาลแดง ไหล่มีลายขีดดำชัดเจน ขณะบินปลายขนปีกบินมีจุดขาวใหญ่ชัด ปลายหางคู่นอกๆ ขาว ตัวเมีย: จุดขาวที่ปีกมีสีน้ำตาลเหลือง ปลายหางขาวแกมเหลืองไม่ชัดเจน เสียงร้อง: ก้อง “ชุก ชุก” หรือ “จุ๋ง จุ๋ง” ต่อเนื่องเป็นจังหวะ อุปนิสัย: มักพบโดดเดี่ยวหรือเป็นคู่ ออกหากินเวลากลางคืน กินแมลงเป็นอาหาร โดยหมอบตามพื้นดินหรือเกาะกิ่งไม้แห้ง เมื่อแมลงบินผ่านมาก็บินโฉบด้วยปาก ส่วนเวลากลางวันมักหมอบพักบนต้นไม้หรือหมอบนอนหลับตามพื้นดิน ใต้ร่มเงาต้นไม้ หรือพื้นหญ้า ซึ่งมีใบไม้หรือใบหญ้าที่ร่วงหล่นค่อนข้างหนาแน่น การผสมพันธุ์: ผสมพันธุ์ในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม ในการเกี้ยวพาราสี นกตัวผู้จะวิ่งรอบตัวเมีย ส่ายหางไปมา พองขนสีขาวที่คอ พร้อมทั้งส่งเสียงร้องคล้ายกบ นกชนิดนี้ไม่สร้างรัง แต่จะวางไข่บนพื้นดิน ในรังมักพบไข่ 2 ฟอง ไข่สีครีมแกมเหลือง หรือสีเนื้อแกมชมพู มีลายจุดเป็นลายดอกดวงสีเทาหรือเทาแกมแดง ทั้งพ่อแม่นกจะช่วยกันฟักไข่ ระยะฟักไข่ 16 – 20 วัน ถิ่นอาศัย: ป่าโปร่ง ชายป่า พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่เปิดโล่งต่างๆ ที่ราบถึงความสูง 2,135 เมตร มักพบอยู่ตามเส้นทางลำคลองในป่า ทั้งป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง เขตแพร่กระจาย: พบในปากีสถาน อินเดีย จีนด้านตะวันตกเฉียงใต้ ไหหลำ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะอันดามัน หมู่เกาะซุนดาใหญ่ และออสเตรเลียตอนเหนือสถานภาพ: นกประจำถิ่น พบบ่อย บางส่วนเป็นนกอพยพระยะสั้น \nอาหารหลักของนกตบยุงเป็นพวกแมลงกลางคืนนานาชนิด ทั้งผีเสื้อกลางคืน ด้วงปีกแข็ง และมวนต่าง ๆ รวมทั้งแมลงเม่า หรือแม้แต่พวกจิ้งหรีดตามพื้นดินเป็นอาหาร ส่วนยุงกลับไม่ใช่อาหารของมัน แต่ด้วยลีลาการบินที่ค่อยกระพือปีก สลับร่อน และยกปีกเป็นรูปตัววี บินกลับตัวฉวัดเฉวียน จึงดูคล้ายกำลังตบยุงกลางอากาศ เมื่อตะวันตกดิน นกตบยุงก็จะเริ่มออกหากินเรื่อยไปตลอดทั้งคืน ด้วยการบินโฉบจับแมลงกลางอากาศในระดับเรือนยอดไม้ หรือหมอบอยู่ตามพื้นดินหรือเกาะบนกิ่งไม้ เมื่อแมลงบินผ่านก็โฉบจับด้วยปากอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้นกตบยุงหางยาวจึงเป็นนกที่ช่วยควบคุมปริมาณแมลงที่มีมากมายในธรรมชาติให้อยู่ในภาวะสมดุลได้ \nจากการศึกษาความสัมพันธ์เชิงวิวัฒนาการของนกในอันดับ Caprimulgiformes โดยใช้ลำดับเบสจำนวน 2.8 kb ของ RAG-1 exon นั้น พบว่า นกในอันดับนี้ไม่เป็น monophylatic group โดยนกในวงศ์ Aegothelidae (owlet-nightjars) เป็น sister group กับนกในอันดับ Apodiformes (swifts and hummingbirds) และพบว่านกในวงศ์นกปากกบ Podargidae (frogmouths) และนกในวงศ์นกตบยุง Caprimulgidae (nightjars) มีความใกล้ชิดกัน สำหรับนกตบยุงหางยาว (\"C. macrurus\") เป็น sister group กับ นก \"C. europaeus\" นกในสกุล \"Semeiophorus\" และนกในสกุล \"Scotornis\" \nขนที่ขึ้นปกคลุมร่างกายของนกมีลักษณะแตกต่างไปจากขนของสัตว์ชนิดอื่นคือ มีโครงสร้างที่แข็งและมีโครงสร้างบางส่วนที่เป็นตะขอทำหน้าที่เกาะเกี่ยวกันจนเกิดเป็นแผ่นเรียกว่า ขนนก (Feathers) ขนที่มีลักษณะนี้เป็นลักษณะจำเพาะของสัตว์ที่อยู่ใน Class Aves เท่านั้น ทั้งนี้ขนที่ขึ้นปกคลุมลำตัวนกในแต่ละส่วนของร่างกายจะมีลักษณะและรูปร่างแตกต่างกัน ซึ่งขนแบบคอนทัวร์ (Contour) จะพบมากที่สุดบนตัวนก อันได้แก่ ขนปกคลุมลำตัวทั่วไป ขนปีก ขนหาง โดยขนปีกและขนหางมีขนาดใหญ่กว่าขนที่ปกคลุมลำตัว และเส้นขนก็มีความแข็งแรงกว่า ขนประเภทนี้ทำหน้าที่ในการบิน นอกจากนี้ นกตบยุงหางยาวยังมีขนแบบบริสเติล (Blistle) ซึ่งเป็นขนที่มีก้านขนยาว และอาจมีเส้นขนเล็กน้อยหรือไม่มีเลย พบอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในส่วนของหัว ที่ช่วยในการกรองแมลงเข้าปากขณะบิน และเพื่อใช้รับความรู้สึกเวลามีแมลงบินผ่าน \nจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ ใช้พรางตัวเพื่อให้รอดพ้นอันตรายจากการล่าโดยศัตรู หรือในทางตรงข้าม นกใช้ประโยชน์จากการพรางตัวเพื่อการล่าเหยื่อ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า นกที่หากินอยู่บนพื้นดินส่วนใหญ่จะมีสีน้ำตาลสลับดำเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในนกเพศเมียที่ต้องทำหน้าที่ฟักไข่ ด้วยเหตุนี้ นกตบยุงหางยาวจึงเป็นนักพรางตัวที่ดีเลิศ เนื่องจากมีขนสีน้ำตาลคล้ำอมเทาผสมกับแถบสีดำและจุดประสีน้ำตาลปกคลุมจนทั่วตัว ทำให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมที่เป็นพุ่มไม้หรือกองใบไม้แห้งตามพื้นป่า ทำให้ยากต่อการสังเกตเห็น ซึ่งต้องเข้าใกล้เกือบถึงตัวนกจึงจะรู้ว่ามีนกชนิดนี้อยู่ก็เมื่อตอนมันบินหนีไป นอกจากนี้การมีไข่สีน้ำตาลที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เช่นเดียวกับลูกนกที่แรกเกิดจะยังลืมตาไม่ได้แต่การมีสีขนลำตัวเป็นสีน้ำตาลแก่นั้นจะช่วยพรางตัวจากสัตว์ผู้ล่า เนื่องจากขนคล้ายใบไม้แห้งที่หล่นทับถมตามรังนอนมาก \nเนื่องจากนกต้องปรับตัวให้มีน้ำหนักเบา เพื่อให้เหมาะสมกับการบิน จึงจำเป็นต้องลดรูปกระดูกขากรรไกรให้มีขนาดเล็กลงและไม่มีฟัน แต่นกได้เพิ่มความสามารถในการฉีกและจับอาหารของปากโดยมีจะงอยปากที่แข็ง และกระเพาะอาหารที่พัฒนาเพื่อการบดเคี้ยวอาหารแทนกระดูกขากรรไกรและฟัน เป็นผลทำให้ขนาดและรูปร่างของจะงอยปากของนกแตกต่างกันไปตามชนิดของอาหารที่นกกิน ทั้งนี้นกตบยุงมีจะงอยปากที่สั้นแบน ใช้สำหรับกินแมลงเป็นอาหาร จึงทำให้นิ้วที่ 3 มีเล็บเป็นเล็บหยักคือ มีซี่หวี (Pectimate) เพื่อใช้ในการจัดเรียงระเบียบขนแทนจะงอยปาก เนื่องจากนกต้องดูแลขนของตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะถ้าขนสกปรกจะทำให้ขนปีกติดกัน และนกอาจตกลงมาในเวลาบินได้ ทั้งยังเป็นการขับไล่แมลงและไรที่เกาะหากินอยู่บนตัวนก \nเนื่องจากนกตบยุงหางยาวกินแมลงเป็นอาหารและออกหากินในเวลากลางคืน ด้วยวิธีบินโฉบจับแมลงกลางอากาศในระดับเรือนยอดไม้ หรือหมอบอยู่ตามพื้นดินหรือเกาะบนกิ่งไม้ ดังนั้นการมีปากสั้นแบนกว้างและมีขนแข็งที่โคนปาก จึงเพิ่มโอกาสในการจับแมลงที่บินผ่านในขณะที่โฉบจับกลางอากาศด้วยปากอย่างรวดเร็ว \nนกมีตาขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว โดยนกที่หากินกลางวันมีลูกตารูปทรงกลมหรือแบน ส่วนนกหากินกลางคืนมีลูกตาทรงกระบอก นกมีหนังตาชั้นที่ 3 เป็นอวัยวะเด่นที่แตกต่างจากสัตว์อื่น ใช้สำหรับเปิดปิดนัยน์ตาแทนการกระพริบตาด้วยหนังตาชั้นนอก และช่วยป้องกันตาเมื่อนกบินปะทะลม ด้วยเหตุนี้นกตบยุงหางยาวซึ่งออกหากินในเวลากลางคืนจึงมีหนังตาและตาขนาดใหญ่ เพื่อช่วยในการหาเหยื่อ", "title": "นกตบยุงหางยาว" }, { "docid": "430827#3", "text": "มีพฤติกรรมอาศัยโดยการรวมฝูงประมาณ 10 ตัว อยู่ตามพงหญ้าหรือในป่าเพื่อหาอาหาร หากมีเหตุหรือศัตรูเข้ามาใกล้จะส่งเสียงดังพร้อมทั้งบินขึ้นพร้อม ๆ กันไปเกาะดูเหตุการณ์อยู่บนต้นไม้ การทำรังส่วนใหญ่ใช้เศษไม้ กิ่งไม้เล็ก ๆ ขัดสานเป็นรังหยาบ ๆ ทรงแบนคล้ายตะกร้าตามคาคบไม้ที่ไม่สูงนัก วางไข่คราวละ 2 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ราว 28-30 วันจึงออกเป็นตัว ในระยะฟักไข่และเลี้ยงลูกจะมีนิสัยก้าวร้าวอาจทำร้ายนกอื่นได้", "title": "นกพิราบหงอนวิคตอเรีย" }, { "docid": "491996#3", "text": "มีพฤติกรรมมักหากินตัวเดียวโดดเดี่ยว ด้วยการกระโดดหากินตามพื้นชายเลนที่น้ำทะเลลดลงแล้ว ชอบร้องตลอดเวลาที่หากิน เสียงคล้ายนกแต้วแร้วธรรมดาแต่เบาไม่ก้องกังวาน โดยร้องว่า \"วิ๊วว วิ๊วว\" เมื่อตกใจจะบินขึ้นต้นไม้ แต่ไม่สูงมากนัก บินเร็วและตรงแหล่งอาศัยหากิน อาศัยอยู่เฉพาะในป่าชายเลนซึ่งมีไม้ประเภทโกงกาง, เสม็ดขาว, เสม็ดแดง, ตะบูน, ทองหลางป่า หากินตามพุ่มไม้และพื้นดิน ในช่วงน้ำทะเลลดจะลงมาหากินแถวหาดเลน จับกุ้ง, ปู, หอย, ปูเปี้ยว และสัตว์ชายเลนหน้าดินชนิดมีและไม่มีเปลือกกิน นอกจากนี้ก็ขุดรังปลวก หากินปลวก ตัวอ่อนและไข่ของปลวก และแมลงตามพื้นดินหรือโคนไม้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะพบหากินตามที่ดอนที่เป็นโคกหรือเนินสูงในป่าชายเลนมากกว่าตามพื้นที่มีรากหายใจของต้นโกงกางขึ้น เมื่ออิ่มจะขึ้นพักเกาะนอนตามกิ่งไม้ที่ทอดเอนเหนือน้ำหรือในที่รกทึบใกล้น้ำ ฤดูผสมพันธุ์ทำรังวางไข่ จับคู่ทำรังในเดือนมีนาคม-สิงหาคม รังคล้ายรังนกแต้วแร้วธรรมดา คือ เป็นรูปทรงกลมมีทางเข้าออกอยู่ด้านข้าง ภายนอกใช้กิ่งไม้เล็ก ๆ เป็นโครงแบบหลวม ๆ ปิดภายนอกด้วยใบไม้แห้ง, เส้นใยพืช หรือเถาวัลย์เส้นเล็ก ๆ ภายในเป็นแอ่งวางไข่ ปูพื้นรังด้วยรากฝอยของพืชหรือเส้นโครงใบที่พื้นใบย่อยสลายแล้วการแพร่กระจายพันธุ์ เป็นนกประจำถิ่นของบังคลาเทศ, สุมาตรา สำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบยาก หรืออาจพบบ่อยในบางท้องที่ตามชายฝั่งทะเลของพม่า, ชายฝั่งทะเลทางใต้ด้านตะวันตกของไทย, คาบสมุทรมลายู, มาเลเซียและสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบตามชายฝั่งทะเลในภาคใต้ด้านตะวันตก โดยแหล่งที่พบเห็นได้ง่ายและพบบ่อย คือ ป่าชายเลนในตัวอำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่", "title": "นกแต้วแร้วป่าโกงกาง" }, { "docid": "791560#3", "text": "ทำรังวางไข่บนต้นไม้ มีพฤติกรรมอาศัยอยู่รวมกันเป็นอาณานิคมปะปนกับนกน้ำประเภทอื่น ๆ โดยเฉลี่ยในตัวเมียจะมีเส้นขนยาวคล้ายเปียที่ท้ายทอยสั้นกว่าตัวผู้ และมีขนาดตัวเล็กกว่า ม่านตาจะค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดงก่ำเมื่ออายุได้ 3 ปีขึ้นไป ในวัยที่ยังไม่โตเต็มที่มีลำตัวเต็มไปด้วยลวดลายสีน้ำตาลกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม มีแต้มสีขาวตามขนปีก ซึ่งลวดลายเหล่านี้จะหายไปและแทนที่ด้วยกระหม่อมและหลังสีเทาเข้ม ตัดกับลำตัวสีเทาอ่อนจนเกือบขาวเมื่อมีอายุมากขึ้น", "title": "นกแขวก" }, { "docid": "490558#2", "text": "มีอุปนิสัยปกติจะอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว เว้นแต่ว่าเมื่อจับคู่แล้วจึงไม่แยกห่างจากกัน มีบ้างในบางครั้งจะอยู่รวมกันเป็นฝูงราว 4-6 ตัว ชอบบินสูงเหนือยอดไม้ ไม่ส่งเสียงร้องในขณะบินเหมือนนกชนิดอื่นในอันดับเดียวกัน อาหารหลักคือ ผลไม้สุกที่มีรสหวาน โดยมีตอนปลายของลิ้นก็ตรงที่ลิ้นที่ม้วนเป็นหลอดได้ สำหรับดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้ และมีหนอนหรือแมลงเป็นอาหารเสริม โดยปกติแล้วจะวางไข่ครั้งละไม่เกิน 2 ฟองเท่านั้น", "title": "นกโนรี" }, { "docid": "476542#4", "text": "มักพบอยู่โดดเดี่ยวไม่รวมฝูง หากินเวลากลางวัน โดยจะเกาะอยู่ตามกิ่งไม้แห้ง ตอไม้ ในแหล่งน้ำ เพื่อคอยจับปลาตัวเล็กๆ ลูกอ๊อด กบขนาดเล็ก กุ้งน้ำจืดขนาดเล็ก ปลาตีน ตามแต่ที่จะจับได้บริเวณที่ไปอยู่อาศัย และแมลงในน้ำ เช่น แมลงปอ ตั๊กแตน เมื่อพบเหยื่อมันจะบินโฉบใช้ปากคาบเหยื่อ หรือบางครั้งลำตัวของมันจะจมลงไปในน้ำด้วย เมื่อได้เหยื่อมันจะกลับมาเกาะตรงที่เดิมแล้วจึงกลืนกิน หากเหยื่อเป็นปลามันจะหันทางด้านหัวปลาเข้าปาก หากยังไม่อิ่มก็จะคอยจ้องจับเหยื่อต่อไป นกกระเต็นน้อยธรรมดาจัดเป็นนกอพยพเข้ามาหากินในเขตประเทศไทย และยังไม่มีการรายงานพบการทำรังวางไข่ในประเทศไทย นกกระเต็นน้อยธรรมดาจัดเป็นนกอพยพที่พบได้บ่อยและมีปริมาณมากทั่วทุกภาค", "title": "นกกระเต็นน้อยธรรมดา" }, { "docid": "473296#4", "text": "ชอบอยู่ตามลำพังตัวเดียว เหยื่อของนกตะขาบทุ่งได้แก่ ตั๊กแตน จิ้งหรีด แมลงหางหนีบ ผีเสื้อกลางคืน บุ้ง ต่อ ด้วง แมลงปอและแมงมุม และสัตว์มีกระดูกสันหลังตัวเล็กๆ เช่น กิ้งก่า จิ้งเหลน คางคก งู หนู หนูผีและลูกนก นกตะขาบทุ่งนับว่าเป็นนกล่าเหยื่อที่พิเศษกว่านกล่าเหยื่ออื่นๆ เช่น นกอีเสือ นกกระเต็น หรือนกแซงแซว เพราะมันสามารถล่าเหยื่อที่นกชนิดอื่นๆไม่กล้าแตะต้องเนื่องจากมีพิษได้ อย่างเช่น ตั๊กแตนหรือผีเสื้อกลางคืนที่มีสีเตือนภัย แมงป่อง ตะขาบหรืองูพิษเป็นต้น นกตะขาบทุ่งจะล่าเหยื่อตั้งแต่ตอนเช้าจนกระทั่งพลบค่ำ หรือแม้กระทั่งในเวลากลางคืน นกตะขาบทุ่งเป็นนกที่หวงถิ่นมาก ถ้าหากมีนกตัวอื่นบุกรุกเข้ามา มันจะบินขึ้นไปบนเหนือยอดไม้ แล้วบินม้วนตัวลงมายังผู้บุกรุกอย่างรวดเร็วเพื่อขับไล่ โดยใช้เวลาราว 30 วินาที บางครั้งอาจบินผาดโผนพลิกแพลงราว 48 วินาที และจะร้องเสียงดัง \"ค๊าบ แค๊บ ค๊าบ\" ไปเรื่อยๆจนถึง 120 ครั้ง และเพราะเหตุที่นกตะขาบทุ่งมีความสามารถในการบินม้วนตัวกลางอากาศได้ ชาวตะวันตกจึงเรียกมันว่า \"Roller\" ซึ่งแปลว่า \"ลูกกลิ้ง\" หรือ\"ผู้กลิ้งม้วนตัว\"นกตะขาบทุ่งผสมพันธุ์ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ทำรังบนต้นไม้บริเวณโพรงไม้ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในบางครั้งจะแย่งรัง หรือโพรงเก่าของนกอื่นเพื่อวางไข่ ตัวเมียวางไข่ครั้งละ 2-5 ฟอง", "title": "นกตะขาบทุ่ง" }, { "docid": "492587#1", "text": "มีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ด้านบนลำตัวสีดำมีแถบเป็นจุดสีขาว ด้านล่างลำตัวสีขาวลายดำ ด้านบนหัวสีเทา มีแถบสีดำคาดเหนือตา ตัวผู้มีแถบสีแดงเล็ก ๆ เหนือคิ้ว ซึ่งบางครั้งมองเห็นได้ยากมาก ไม่มีหงอน มีพฤติกรรมเวลาบินจะใช้กระพือบินสลับกับการร่อนกันไป ขณะบินจะส่งเสียงร้องดัง เวลาหากินจะใช้ปากเจาะเข้าไปในต้นไม้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และตายแล้ว พร้อมกับใช้ลิ้นที่ยาวซึ่งมีน้ำลายเหนียวและหนามแหลมยื่นยาวออกไปแมลงและหนอน กินเป็นอาหาร วางไข่ครั้งละ 2-3 ฟอง มีพฤติกรรมหากินร่วมกับนกขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ เช่น นกไต่ไม้, นกเฉี่ยวดง เรียกว่า \"เบิร์ดเวฟ\"", "title": "นกหัวขวานด่างแคระ" } ]
1958
ใครเป็นผู้ก่อตั้ง นิกายเจได?
[ { "docid": "6175#2", "text": "นิกายเจไดเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มผู้เรียนรู้ปรัชญาบนดาวไทธอน (Tython) เจไดได้รับการเคารพว่าเป็นผู้รักษาความสงบและความยุติธรรมของกาแลคซี่ ด้วยอาวุธวิเศษจากพลังและพลังและด้านสว่างของพวกเขา ที่เรียกว่า กระบี่แสง (Lightsabers) พลังของเจไดจึงเป็นที่น่าเกรงขามของประชาชนในกาแลคซี่ ความสุขุมเยือกเย็น และ ความประพฤติของเจได ทำให้พวกเขาเป็นสุดยอดผู้นำมาซึ่งความสงบสุขในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งหรือสงคราม สำหรับพลังของเจไดและความหลากหลายที่เจไดมีน้อย บ่อยครั้งจึงถูกห้อมล้อมด้วยศัตรูในช่วงเวลาแห่งปัญหาและความสับสน พลังชั่วร้ายที่แฝงอยู่ได้ท้ายทายนิกายเจไดและสถาบันที่เจไดปกป้อง หนึ่งในนั้นคือ ซิธ นักรบมืดที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของเจได ซิธสาปแช่งศัตรู สงครามระหว่างเจไดและซิธได้นำกาแลคซี่เข้าสู่สงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ในช่วงวิกฤต อำนาจของซิธสามารถสกัดกั้นการรู้เห็นของนิกายเจไดให้มืดบอดได้", "title": "เจได" } ]
[ { "docid": "6175#0", "text": "เจได เป็นสมาชิกของ นิกายเจได ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องสตาร์ วอร์ส นิกายเจไดเป็นนิกายที่ศึกษาและทำหน้าที่และใช้พลังลึกลับของสิ่งที่เรียกว่าพลังในด้านสว่าง เจไดได้ต่อสู้เพื่อสันติภาพและความยุติธรรมเพื่อความสงบเรียบร้อยในสาธารณรัฐกาแลคติค รวมทั้งต่อต้านกับ ซิธ ศัตรูที่ร้ายกาจ ผู้ที่เรียนรู้และใช้พลังด้านมืด แม้ว่านิกายนี้เกือบจะถูกทำลายถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดยจักรวรรดิซิธของดาร์ธ รีแวน และ ครั้งต่อมาเมื่อผ่านไปอีก 4,000 ปี โดยการชำระบาปครั้งใหญ่ของดาร์ธ ซิเดียส นิกายยังคงอยู่จนกระทั่งรุ่งเรืองขึ้นด้วยความพยายามของ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ผู้ก่อตั้งนิกายเจไดใหม่เพื่อปกป้องสาธารณรัฐใหม่ หลังจากนั้นก็ได้เป็นตัวแทนของ สหพันธรัฐพันธมิตรอิสระกาแลกติก (Galactic Federation of Free Alliances)", "title": "เจได" }, { "docid": "70816#2", "text": "ด้วยการที่ได้รับการฝึกสอนในวิถีแห่งพลังจากสองอาจารย์เจไดคือโอบีวัน เคโนบี และ โยดา ลุคได้ยุติบทบาททางทหารและก่อตั้งเจไดพราเซียม (สถาบันฝึกสอนเจได) ขึ้น เพื่อสร้างนิกายเจไดใหม่ให้เป็นผู้พิทักษ์ความสงบสุขของสาธารณรัฐใหม่ ทำให้ลุคกลายเป็น \"เจไดใหม่คนแรก\" ตามที่โอบีวันได้กล่าวไว้ เขาได้แต่งงานกับเจไดชื่อมารา เจด และมีลูกชื่อเบน สกายวอล์คเกอร์ ในปีที่ 36 หลังยุทธการยาวิน ลุคได้รับขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์แห่งนิกายเจได ลุค สกายวอล์คเกอร์ ได้ชื่อว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสงครามกลางเมืองกาแลกติกและความขัดแย้งที่ตามมาจำนวนมาก รวมไปถึงสงครามยูซาน วอง และวิกฤติการณ์ดาร์คเนสท์", "title": "ลุค สกายวอล์คเกอร์" }, { "docid": "71085#2", "text": "การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในระยะแรกนั้นนิกายเจไดใหม่มีสถานะเป็นกลุ่มของผู้มีสัมผัสแห่งพลังจำนวนหนึ่งที่มีพื้นฐานการฝึกฝนต่างๆ กัน ความพยายามในการฝึกสอนอัศวินใหม่ๆ นั้นถูกทำลายลงโดยจักรพรรดิที่คืนชีพขึ้นมาใหม่ อย่างไรก็ดีลุค สกายวอล์คเกอร์ ก็สามารถก่อตั้งสถาบันฝึกสอนเจไดได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีในชื่อ เจไดพราเซียม บนดวงจันทร์ยาวิน 4 เริ่มแรกด้วยผู้เรียนจำนวน 12 คน นิกายเริ่มเติบโตทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณจนกลายเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญของสาธารณรัฐใหม่ที่เป็นผู้ให้การสนับสนุน ทำให้นิกายเจไดใหม่กลายเป็นเป้าโจมตีโดยศัตรูของสาธารณรัฐ อย่างเช่นพลเรือตรีดาลา (Admiral Daala), จักรวรรดิคืนชีพ (The Empire Reborn) และอาณาจักรที่สอง (The Second Imperium) สมาชิกของนิกายได้เข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งครั้งสำคัญๆ ของกาแลกซี รวมไปถึงสงครามนาไก-ทอฟ (Nagai-Tof War), ปฏิบัติการเงื้อมมือเงา (Operation Shadow Hand), วิกฤติการณ์กองยานทมิฬ (Black Fleet Crisis) และการจลาจลคอเรลเลียนครั้งที่หนึ่ง (First Corellian Insurrection)", "title": "นิกายเจไดใหม่" }, { "docid": "71085#3", "text": "การมีส่วนร่วมครั้งสำคัญที่สุดของเหล่าเจไดเกิดขึ้นในระหว่างสงครามยูซาน วอง การปกป้องกาแลกซีจากการคุกคามครั้งนี้ทำให้นิกายเจไดใหม่ถูกใส่ความจากประชาชนกาแลกซีและถูกทรยศหักหลังในหลายครั้งหลายครา ทั้งๆ ที่การเข้าร่วมสงครามครั้งนี้ทำให้นิกายต้องสูญเสียอัศวินไปเกือบครึ่งหนึ่ง หลังจากความขัดแย้งครั้งนี้แล้ว นิกายก็เพิ่มความดุดันและรวมศูนย์อำนาจเข้ามากขึ้น จนเริ่มเติบโตและรับใช้กาแลกซีได้ในอีกหลายสิบปีต่อมา จนกระทั่งเข้าสู่สงครามจักรวรรดิ-ซิธซึ่งทำให้นิกายเจไดใหม่ต้องกระจัดกระจายออกไปอีกครั้งและทำให้สมาชิกนิกายหลายคนต้องหลบซ่อนตัว กลายเป็นผู้ลี้ภัยอีกครั้ง", "title": "นิกายเจไดใหม่" }, { "docid": "790362#7", "text": "ด้านธุรกิจ นายประสิทธิ์ เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทอนามัยภัณฑ์ เมื่อปี พ.ศ. 2507 ด้วยการร่วมหุ้นกันในหมู่เครือญาติตระกูลณรงค์เดช จำหน่ายและนำเข้าสินค้าประเภทผ้าอนามัยและกระดาษชำระจากสหรัฐอเมริกา และยังก่อตั้งอีกหลายบริษัท เช่น บริษัทประสิทธิ์อินเตอร์เนชั่นแนล เมื่อปี พ.ศ. 2513, บริษัทบีดีเอฟ-อินทนิล เมื่อปี พ.ศ. 2515 เป็นผู้ผลิตพลาสเตอร์และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จากประเทศเยอรมนี และบริษัทสุราทิพย์ในปี พ.ศ. 2516 เป็นผู้ผลิตสุราไทยยี่ห้อต่าง ๆ", "title": "ประสิทธิ์ ณรงค์เดช" }, { "docid": "133183#1", "text": "นายอุเทน เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท สุรามหาคุณ ที่ได้สัมปทานในการผลิตและจำหน่ายสุราของโรงงานสุราบางยี่ขัน ในชื่อ “แม่โขง” และ “กวางทอง” เมื่อ พ.ศ. 2502 ก่อนจะสูญเสียธุรกิจนี้ไปจากการพ่ายแพ้การประมูลให้แก่นายเจริญ สิริวัฒนภักดี นอกจากนี้นายอุเทนยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท วังเพชรบูรณ์ ผู้ก่อสร้างโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (ปัจจุบัน คือ เซ็นทรัลเวิลด์)", "title": "อุเทน เตชะไพบูลย์" }, { "docid": "80139#49", "text": "เพื่อปกป้องพลเมืองของสาธารณรัฐและเกื้อหนุนความเหมาะสมของประชาธิปไตยและความสงบภายใน สมาชิกของนิกายเจไดจึงได้สาบานตนเป็นผู้พิทักษ์ความสงบและความยุติธรรมในสาธารณรัฐ ด้วยการตอบรับอำนาจของวุฒิสภา (ถึงจะไม่ใช่ทุกกรณี) เจไดจะรับบทบาทเป็นตัวแทนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภากาแลกติก ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นที่ไว้ใจของรัฐบาลด้วยความรับผิดชอบสูง คุมกฎหมายของสาธารณรัฐเพื่อทำตัวเป็นตัวแทนของสาธารณรัฐและสื่อกลางในการทะเลาะเบาะแว้ง พวกเขาคือ\"ผู้รักษาความสงบ\" ทั้งรักษาสมดุลของกฎระเบียบและควบคุมกาแลกซี่ไปในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่านิกายเจไดจะภักดีต่อวุฒิสภากาแลกติก เจไดมากมายถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด เกลียดความคิดในการเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่โกงกิน เนื่องมาจากความไม่ไว้ใจในตัวในวุฒิสภาที่โงกินของเจได เจไม่ได้ตอบรับวุฒิสมภาโดยตรงและบางครั้งก็ทำตัวต่อต้านเพื่อสิ่งที่ดีกว่าแก่สาธารณรัฐ อย่างที่ได้เป็นมาก่อน เจไดได้ช่วยเหลือสาธารณรัฐในหลายสงครามซึ่งอาจชี้เป็นชี้ตายพลเมืองและรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐ หากปราศจากนิกายเจได สาธารณรัฐกาแลกติกอาจล่มสลายก่อนที่มันจะถูกครอบงำและกลายมาเป็นหน่วยงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเสียอีก", "title": "สาธารณรัฐกาแลกติก" }, { "docid": "412052#0", "text": "โรเบิร์ต นอร์ตัน นอยซ์ (), 12 ธันวาคม ค.ศ. 1927 - 3 มิถุนายน ค.ศ. 1990) เจ้าของฉายา \"นายกเทศมนตรีแห่งซิลิกอนวัลเลย์\" เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทแฟร์ไชลด์เซมิคอนดักเตอร์ใน ค.ศ. 1957 และบริษัทอินเทลใน ค.ศ. 1968 เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้ประดิษฐ์แผงวงจรรวมหรือไมโครชิปร่วมกับแจ็ก คิลบี ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเป็นที่มาของชื่อซิลิกอนวัลเลย์ นอยซ์ยังเป็นที่ปรึกษาและเปรียบเสมือนบิดาของผู้ประกอบการทั้งรุ่น", "title": "โรเบิร์ต นอยซ์" }, { "docid": "289114#0", "text": "รอย โอลิเวอร์ ดิสนีย์ (24 มิถุนายน ค.ศ. 1893 - 20 ธันวาคม ค.ศ. 1971) เป็นพี่ชายของวอลต์ ดิสนีย์ ทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันก่อตั้งดิสนีย์บราเธอส์คาร์ูตูนสตูดิโอ ในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งปัจจุบันคือ เดอะวอลต์ดิสนีย์ โดยรอยเป็นผู้บริหารด้านการเงินของบริษัท มีหน้าที่หาเงินทุนมาสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของผู้เป็นน้องชาย โดยดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท (1923-1971) ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท (president) ตั้งแต่ปี 1945 และตำแหน่งประธานกรรมการ (chairman) หลังจากวอลต์ ดิสนีย์ เสียชีวิตเมื่อปี 1966", "title": "รอย โอ. ดิสนีย์" } ]
1959
มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นของรัฐบาลหรือไม่ ?
[ { "docid": "11674#2", "text": "มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เดิมคือ \"โรงเรียนประณีตศิลปกรรม สังกัด กรมศิลปากร\" เปิดสอนวิชาจิตรกรรมและประติมากรรมให้แก่ข้าราชการและนักเรียนในสมัยนั้นโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ศิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ Corrado Feroci) ชาวอิตาลีซึ่งเดินทางมารับราชการในประเทศไทยในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น และได้เจริญเติบโตเป็นลำดับเรื่อยมา จนกระทั่งได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น \"มหาวิทยาลัยศิลปากร\" เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 คณะจิตรกรรมและประติมากรรม ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์) ใน พ.ศ. 2498 จัดตั้งคณะสถาปัตยกรรมไทย (ซึ่งต่อมาได้ปรับหลักสูตรและเปลี่ยนชื่อเป็น คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) และ คณะโบราณคดี หลังจากนั้นได้จัดตั้ง คณะมัณฑนศิลป์ ขึ้นในปีต่อมา", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" } ]
[ { "docid": "11674#28", "text": "ปัจจุบัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิต มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากร\nปัจจุบัน มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็น มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2559 ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศใช้ \"พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2559\" โดยได้ยกเลิก \"พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2530 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2541\" และกำหนดให้มหาวิทยาลัยมีสถานภาพเป็นนิติบุคคล และมีฐานะเป็นหน่วยงานในกำกับของรัฐ ที่ไม่เป็นส่วนราชการและไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาคือวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "11674#20", "text": "สาเหตุที่เลือกจังหวัดนครปฐมเป็นที่ตั้งวิทยาเขตแห่งใหม่ พระราชวังสนามจันทร์ เหมาะสมที่จะเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยศิลปากรด้วยเหตุผลดังนี้สืบเนื่องจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบโครงการขยายโอกาสทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาไปสู่ภูมิภาคของประเทศไทยในรูปแบบของวิทยาเขตสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศิลปากรจึงมีปณิธานและปรัชญาการขยายโอกาสทางการศึกษาแก่พื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์ ให้ใช้ที่ราชพัสดุ ณ ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 621 ไร่ และได้รับอนุญาตจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี โดยกรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ให้ใช้พื้นที่เพิ่มเติม จำนวน 200 ไร่ เพื่อรองรับการเรียนการสอนของ คณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "11674#11", "text": "พระพิฆเนศวร เป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ทั้งยังเป็นเทพแห่งศิลปวิทยาการและการประพันธ์ พระหัตถ์ขวาบนถือตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนถือปาศะ (เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างถือครอบน้ำ ประทับบนบัลลังก์เมฆที่เขียนด้วยลายกนก ภายใต้มีอักษรว่า \"มหาวิทยาลัยศิลปากร\" โดยประกาศใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2494 ซึ่งคล้ายคลึงกับกรมศิลปากร", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "307409#0", "text": "คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร () เป็นคณะวิชาแรกของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 ซึ่งถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร มีรากฐานมาจากหลักสูตรจิตรกรรมและประติมากรรมของโรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง (ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร) มีคณะจิตรกรรมและประติมากรรมเป็นคณะวิชาเดียวของมหาวิทยาลัยศิลปากร", "title": "คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "14722#6", "text": "ศาสตรจารย์คอร์ราโดได้วางหลักสูตรวิชาจิตรกรรมและประติมากรรขึ้นพร้อมกับก่อตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้น สังกัดกรมศิลปากร ภายหลังได้รวมโรงเรียนเข้ากับโรงเรียนนาฏยดุริยางคศาสตร์และเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนศิลปากรแผนกช่าง” และพัฒนาการเรียนการสอนเรื่อยมา จนในปี พ.ศ. 2485 กรมศิลปากรได้แยกจากกระทรวงศึกษาธิการไปขึ้นอยู่กับสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลในขณะนั้นโดย ฯพณฯจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความสำคัญของศิลปะว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งสาขาหนึ่งของชาติ จึงได้มีคำสั่งให้ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้นคือ พระยาอนุมานราชธน ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตร และตราพระราชบัญญัติ ยกฐานะโรงเรียนศิลปากรขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 โดยจัดตั้งคณะจิตรกรรมและประติมากรรม ขึ้นเป็นคณะวิชาแรก ซึ่งศาสตราจารย์คอร์ราโดก็ได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยควบคู่ไปกับตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนอีกด้วย", "title": "ศิลป์ พีระศรี" }, { "docid": "308706#7", "text": "ปัจจุบันบัณฑิตวิทยาลัย มีที่ทำการตั้งอยู่ที่ ชั้น 7 อาคาร 50 ปี มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ และชั้น 2 อาคารสำนักงานอธิการบดี ตลิ่งชัน ต่อมาใน พ.ศ. 2556 ได้ขยายพื้นที่ทำการเพื่อบริการคณาจารย์และนักศึกษาเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารหอประชุม และบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร เพชรบุรี ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารสำนักงานอธิการบดี เพชรบุรีบัณฑิตวิทยาลัย ร่วมกับคณะวิชาต่าง ๆ", "title": "บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "104700#5", "text": "ปี พ.ศ. 2509 พระตำหนักทับขวัญตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของมหาวิทยาลัยศิลปากร สภาพพระตำหนักในตอนนั้นทรุดโทรมมาก หลังคาชำรุดและรั่ว พื้นพัง โดยเฉพาะพื้นชานไม่สามารถใช้ได้ ในปี พ.ศ. 2511 มหาวิทยาลัยศิลปากรมีความคิดที่จะใช้พระตำหนักทับขวัญเป็นพิพิธภัณฑ์ทางภาษาและวัฒนธรรมไทย และคิดจะบูรณะแต่ขาดเงินซึ่งภายหลังกรมศิลปากรร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ของบประมาณ และขอรับบริจาคจากหน่วยงานต่าง ๆ จนสามารถดำเนินการบูรณะจนเสร็จสมบูรณ์ โดยวิธีรื้อของเก่าออกทั้งหลังแล้วประกอบใหม่ให้เหมือนเดิมโดยเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาแทนจาก", "title": "พระตำหนักทับขวัญ" }, { "docid": "79324#1", "text": "ประเทศไทยเห็นความสำคัญของการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ประโยชน์มากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ทันต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมกับสามารถประยุกต์ศาสตร์แขนงดังกล่าวไปใช้งานให้บังเกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยเหตุนี้ มหาวิทยาลัยศิลปากร เป็นมหาวิทยาลัยที่มีเป้าหมายหลักในการผลิตบัณฑิตทุกระดับให้มีภูมิปัญญาสูง มีความคิดสร้างสรรค์ ยึดมั่นในคุณธรรม เพียบพร้อมด้วยจรรยาบรรณและจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคม จึงเล็งเห็นความสำคัญในการผลิตบัณฑิตที่สามารถประยุกต์ความรู้และมีทักษะความคิดสร้างสรรค์ เพื่อเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กรและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน โดยผลิตบัณฑิตจากพื้นฐานของการนำศักยภาพที่มีอยู่ของมหาวิทยาลัยมาประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพด้านศิลปะซึ่งมหาวิทยาลัยศิลปากรจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของประเทศไทย", "title": "คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "22740#3", "text": "พ.ศ. 2496 มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้เปิดเตรียมคณะโบราณคดีขึ้นอีกแผนกหนึ่ง ในโรงเรียนศิลปศึกษา (เตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร) ปัจจุบันคือ วิทยาลัยช่างศิลป ในครั้งนั้นโรงเรียนศิลปศึกษา แบ่งเป็น 3 แผนกคือ จิตรกรรม โบราณคดี และช่างสิบหมู่ เตรียมคณะโบราณคดีมีหลักสูตร 3 ปี ผู้ที่เรียนจบชั้นปีที่ 2 ถ้าสอบได้คะแนนถึงตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ ก็จะมีสิทธิที่จะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยศิลปากร สำหรับผู้ที่สอบได้คะแนนไม่ถึงหรือต้องการประกอบอาชีพ ไม่ต้องการที่จะเรียนต่อ ในมหาวิทยาลัยก็เรียนต่อจนจบชั้นปีที่ 3 ก็จะได้รับประกาศนียบัตรเทียบเท่าชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบัน (ม.8 เดิม)", "title": "คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร" } ]
1965
ริวอิจิ คาวามุระ เริ่มเล่นดนตรีขณะเป็นนักเรียนและเป็นนักร้องนำของวงอะไร?
[ { "docid": "375203#1", "text": "ริวอิชิ คะวะมุระ เริ่มเล่นดนตรีขณะเป็นนักเรียนและเป็นนักร้องนำของวง Slaughter ต่อมาได้รับการชักชวนจากอิโนะรันให้ไปร่วมตั้งวงดนตรีใหม่กับสุงิโซ เจ และชินยะ โดยทั้งห้าได้ใช้ชื่อวง \"ลูนาซี่\" (Lunacy) ที่มีความหมายว่า \"ความบ้าคลั่ง\" และเริ่มเล่นดนตรีตามผับ ขณะนั้น Lunacy เริ่มผลิตงานเพลงเป็นของตัวเองในรูปแบบเทปเดโมวางขายหน้าผับที่พวกเขาไปแสดงและร่วมกันขายบัตรเข้าชมด้วยตัวเองซึ่งสามารถเรียกผู้ชมและเกิดแฟนคลับกลุ่มเล็กๆ คอยติดตามชมการแสดงสดของพวกเขาในเวลาต่อมา กระทั่งปี 1991 Lunacy เปลี่ยนชื่อเป็น \"Luna Sea\" (ลูนาซี) และออกอัลบั้มแรกใช้ชื่อเดียวกันกับวง ฝีมือดนตรีของลูนาซีประทับใจ ฮิเดะโตะ มัทซึโมะโตะ มือกีตาร์วงร็อกชื่อดัง เอ็กซ์ เจแปน จนทั้งห้าคนได้เซ็นสัญญาเป็นวงดนตรีสังกัดเอ็กสเตซี่ย์ เร็คคอร์ดส์ (Exstasy Records) ของ โยะชิกิ ฮะยะชิ มือกลองวงเอ็กซ์ เจแปนในปี 1992 ก่อนจะย้ายมาอยู่สังกัด Sweet Child และออกผลงานอัลบั้มอีก 5 ชุดจนถึงปี 2000 ซึ่งได้รับความนิยมล้นหลามจนสามารถก้าวขึ้นเป็นวงร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งของญี่ปุ่นในทศวรรษ 90", "title": "ริวอิชิ คะวะมุระ" } ]
[ { "docid": "375203#0", "text": "ริวอิจิ คาวามุระ () เป็นนักร้อง โปรดิวเซอร์ และนักประพันธ์ของญี่ปุ่นในเครือ เอเว็กซ์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ริวอิจิสร้างชื่อเสียงในฐานะนักร้องนำวงร็อกญี่ปุ่น ลูน่าซี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 จนถึงปี พ.ศ. 2543 ก่อนจะผันตัวเองเป็นศิลปินเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งของญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน", "title": "ริวอิชิ คะวะมุระ" }, { "docid": "375203#8", "text": "คาวามูระ ริวอิจิออกผลงานชุดแรกในปี 2011 ใช้ชื่อ \"The Voice\" เป็นอัลบั้มคัฟเวอร์ชุดที่สามและเป็นงานคัฟเวอร์เพลงสากลชุดแรกของริวอิจิ โดยมีเพลงโอเปร่าร่วมสมัยมากมายอาทิ \"How Deep Is Your Love\" ของ Bee Gees ,\"Over The Rainbow\" ของ Judy Garland ,\"My Way\" โดย Frank Sinatra ,\"Ave Maria\" ซึ่งริวอิจิปรับเนื้อร้องใหม่เป็นภาษาญี่ปุ่น ในวันเดียวกัน ริวอิจิยังมีผลงานซิงเกิลใหม่กับวง m.o.v.e ที่ญี่ปุ่นที่ชื่อ \"oVertakers\" โดยริวอิจิร้องดูเอ็ทในเพลงคู่กับยูริ มัทสึดะ นักร้องของวงและมีสุงิโซ จากวงลูนาซีมาเล่นกีตาร์ประกอบด้วย", "title": "ริวอิชิ คะวะมุระ" }, { "docid": "666206#0", "text": "รีวอิจิ ซากาโมโตะ () เป็นนักดนตรี, นักกิจกรรม, นักประพันธ์เพลง, นักเขียน, นักแสดง และนักเปียโนชาวญี่ปุ่น เขามีแหล่งพำนักหลักอยู่ในโตเกียว และ นิวยอร์ก เขาเริ่มเข้าสู่เส้นทางอาชีพด้านดนตรีเมื่อปี 1978 ด้วยแนวเพลงอิเล็กทรอนิกส์ ในฐานะสมาชิกของวง เยลโล แมจิก ออร์เคสตรา (YMO) ซึ่งซากาโมโตะรับหน้าที่คีย์บอร์ดและบางครั้งเป็นผู้ร้อง ในที่สุด วง YMO ก็ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติและระดับโลก", "title": "รีวอิจิ ซากาโมโตะ" }, { "docid": "98458#1", "text": "ชินยะ ยามาดะ เริ่มเข้าสู้วงการครั้งแรกด้วยการเป็นมือกลองให้กับวงดนตรีของโรงเรียนที่ชื่อ PINOCCHIO ทำให้เขาได้พบกับ สึกิโซะ ซึงตอนนั้นเป็นมือเบส หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็ออกจากวง PINOCCHIO และไปรวมตัวกับ เจ, อิโนรัน และ ริวอิจิ ตั้งวง LUNACY ขึ้นมา หลังจากนั้นทั้งห้าก็ได้เซ็นสัญญากับค่าย Extasy Records จากการชักชวนของ ฮิเดะ(จาก X Japan) และเปลี่ยนชื่อวงเป็น ลูน่า ซี (Luna Sea) โดยวงประสพความสำเร็จอย่างสูง และในปี ค.ศ. 2000 ลูน่า ซี ได้ประกาศยุบวงอย่างเป็นทางการ สมาชิกทุกคนต่างแยกไปทำงานของตัวเอง ยกเว้นแต่ชินยะเท่านั้นที่ออกจากวงการเพลง เขาได้แต่งงานกับ อายะ อิชิงูโระ อดีตนักร้องรุ่นก่อตั้งของกลุ่ม มอร์นิงมุซุเมะ และมีลูกด้วยกัน 2 คน", "title": "ชินยะ ยะมะดะ" }, { "docid": "46427#2", "text": "คาโอริ อีดะ เข้าสู่วงการเพลงอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2540 ในปีนั้นเธอได้เข้าร่วมการประกวดเพื่อคัดเลือกเป็นนักร้องเพลงร็อคของวง \"ชารัม คิว\" ซึ่งตำแหน่งที่เธอได้รับ คือตำแหน่งรองชนะเลิศเท่านั้น แต่หลังจากการประกวดได้เสร็จสิ้นลง สึงกุ (เทราดะ มิตสึโอะ) โปรดิวเซอร์และผู้ที่จัดการประกวดครั้งนี้ขึ้นมา ได้ให้โอกาสเธอและเพื่อนร่วมตำแหน่งรองชนะเลิศอีก 4 คน ซึ่งได้แก่ นัตสึมิ อาเบะ, ยูโกะ นากาซาวะ, อายะ อิชิงูโระ และอาซูกะ ฟูกูดะ ที่จะพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง โดยสึงกุได้ตั้งข้อเสนอว่า ถ้าหากพวกเธอทั้ง 5 คนสามารถทำให้เพลงซิงเกิลที่ชื่อ \"ไอโนะทาเนะ\" (愛の種) ขายได้เป็นจำนวน 50,000 ชุดขึ้นไป ภายในระยะเวลา 5 วัน พวกเธอจะได้เข้ามาทำงานอยู่ในสังกัดเฮลโล! โปรเจกต์ ของสึงกุทันที ซึ่งผลปรากฏว่า พวกเธอสามารถบรรลุข้อเสนอของสึงกุได้ก่อนเวลาที่กำหนด 1 วัน เป็นผลให้สึงกุรับตัวเธอและเพื่อนอีก 4 คนมาเป็นศิลปินในสังกัดของเขา โดยจัดให้ทุกคนเข้าเป็นสมาชิกรุ่นแรกของกลุ่มนักร้องมอร์นิงมูซูเมะที่เพิ่งได้รับการก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในขณะนั้น", "title": "คาโอริ อีดะ" }, { "docid": "47362#2", "text": "นอกจากการร้องเพลง คุซุมิยังได้เป็นสมาชิกของทีมคิกค์บอลประจำสังกัดเฮลโล! โปรเจกต์ ที่ชื่อเมโทรแรบบิตส์ เอช.พี. มาตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งทีมตอนต้นปี พ.ศ. 2549 และตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน ของปีเดียวกัน เธอยังได้รับเลือกให้เป็นผู้พากษ์เสียงของตัวการ์ตูนชื่อ สึคิชิมะ คิราริ ในอะนิเมะเรื่องคิราริ สาวใสหัวใจเกินร้อย งานพากษ์ครั้งนี้ยังได้เปิดโอกาสให้เธอได้สร้างผลงานเพลงเดี่ยวชื่อโคะอิ☆คะนะ ซึ่งนำมาใช้เป็นเพลงประกอบอะนิเมะเรื่องนี้ ด้วย", "title": "โคะฮะรุ คุซุมิ" }, { "docid": "375203#9", "text": "ริวอิจิปล่อยซิงเกิลใหม่ \"YO GA YONARA…\" เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งจะอยู่ในอัลบั้มใหม่ชุดที่ 14 \"Fantasia\" ที่กำหนดวางจำหน่าย 31 สิงหาคมนี้ ริวอิจิขึ้นคอนเสิร์ตการกุศล \"SMILE AGAIN II〜SONG OF HOPE\" ในวันที่ 11 สิงหาคมโดยรายได้ทั้งหมดนำไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุแผ่นดินไหวและสีนามิเมื่อต้นปีที่ผ่านมา\nริวอิชิมีความสามารถในการแต่งกลอนบทกวีตั้งแต่ยังเป็นนักเรียนและเป็นสมาชิกหลักในการแต่งเนื้อร้องเพลงของวงลูนาซี \nริวอิชิชื่นชอบกีฬามวย กอล์ฟ แข่งรถและเล่นกระดานโต้คลื่นเป็นงานอดิเรก ในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร ริวอิชิแสดงความเห็นว่าอาจเปิดธุรกิจขายกระดานโต้คลื่นหากเกษียณจากอาชีพนักร้อง \nริวอิชิเริ่มคบหากับซาโน คุมิ นางงามญี่ปุ่นเจ้าของตำแหน่ง \"มิส แจแปน ปี 2002\" จากคำแนะนำของเพื่อนก่อนที่จะแต่งงานกันในเดือนมกราคม 2549 กระทั่งวันที่ 19 มิถุนายน 2552 ทั้งคู่มีบุตรชายด้วยกัน 1 คน", "title": "ริวอิชิ คะวะมุระ" }, { "docid": "604005#2", "text": "มิซุกิ ฟุกุมุระ ได้เข้าร่วมเป็นนักร้องฝึกหัด เฮลโล!โปร เคนชูวเซย์ (ハロプロ研修生) (เฮลโล!โปรเอ้กก์ ในขณะนั้น) ในค่าย เฮลโล! โปรเจกต์ โดยได้รับการผลักดันจากคุณแม่ของเธอ เนื่องจากในวัยเด็กเธอชื่นชอบศิลปินในสังกัดค่าย เฮลโล! โปรเจกต์เป็นอย่างมาก เธอได้เข้าร่วมพร้อมกันกับ เรอิ คะเนโกะ (金子りえ) และอาคาริ ทาเคอุจิ (竹内朱莉) ในวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551 มิซุกิ ฟุกุมุระได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการต่อหน้าสาธารณชนในคอนเสิร์ต 2008 ชินจินโคเอ็น 6กัตสุ ~อะกะซาระ ฮอป!~", "title": "มิซุกิ ฟุกุมุระ" }, { "docid": "42059#2", "text": "โยะชิซะวะเริ่มงานในวงการบันเทิงด้วยการได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกรุ่นที่ 4 ของกลุ่มนักร้องหญิงมอร์นิงมุซุเมะ ของสังกัดเฮลโล! โปรเจกต์ เมื่อปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) โดยมีสมาชิกร่วมรุ่นได้แก่ ริกะ อิชิกาวะ, โนโซมิ สึจิ และไอ คาโงะ ผลงานเปิดตัวครั้งแรกคือเพลง \"แฮปปีซัมเมอร์เวดดิง\" (\"Happy Summer Wedding\") ซึ่งเป็นเพลงซิงเกิลลำดับที่ 9 ของกลุ่ม ในช่วงแรกที่เธอเป็นสมาชิกของกลุ่มนั้น เธอได้รับบทบาทเป็นสมาชิกทอมบอยประจำกลุ่ม เนื่องมาจาก เสียง บุคลิกลักษณะ และงานอดิเรกของเธอ ผลงานที่มาสนับสนุนความเป็นผู้ชายของเธอให้โดดเด่นยิ่งขึ้นคือการต้องสวมบทบาทของหนุ่มเจ้าสำราญเพื่อมาถ่ายทอดเนื้อหาในเพลงซิงเกิลที่ชื่อ \"มร. มูนไลท์ ~ไอโนะบิกแบนด์~\" (\"Mr. Moonlight ~Ai no Big Band~\", ค.ศ. 2001) แต่ต่อมาบทบาทการเป็นทอมบอยของเธอก็ถูกลดทอนลงไป และถูกแทนที่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น", "title": "ฮิโตะมิ โยะชิซะวะ" } ]
1968
ตัวอักษรจีน เผยแพร่มาสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านหนังสือต่างๆ จากประเทศจีนใช่หรือไม่?
[ { "docid": "11140#2", "text": "ตัวอักษรจีน เผยแพร่มาสู่ประเทศญี่ปุ่นโดยผ่านหนังสือต่างๆ จากประเทศจีน หลักฐานอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น คือ ตราประทับทองคำที่ได้รับจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออกในพ.ศ. 600 ชาวญี่ปุ่นเริ่มเรียนรู้ภาษาจีนโบราณด้วยตัวเองตั้งแต่เมื่อใดนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด เอกสารลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของญี่ปุ่นนั้น คือ หนังสือตอบกลับทางการทูตจากกษัตริย์ทั้งห้าแห่งวา (倭の五王 \"Wa no go-ō\") (วา (倭,和 [\"Wa\"]) เป็นชื่อแรกของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์) ถึง ซุ่นฮ่องเต้ ((劉) 宋順帝) แห่งราชวงศ์หลิวซ่ง (劉宋) ของจีน ซึ่งเขียนขึ้นโดยชาวจีนที่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น เมื่อพ.ศ. 1021 และได้รับการยกย่องว่าใช้สำนวนอุปมาอุปมัยได้อย่างยอดเยี่ยม ต่อมา จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นทรงก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า “ฟุฮิโตะ” ขึ้นเพื่ออ่านและเขียนภาษาจีนโบราณ ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 6 เป็นต้นมา เอกสารภาษาจีนที่เขียนในญี่ปุ่นมักจะได้รับอิทธิพลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งแสดงว่าอักษรจีนได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในญี่ปุ่น", "title": "คันจิ" } ]
[ { "docid": "11140#3", "text": "ในสมัยที่อักษรจีนเผยแพร่เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นนั้น ภาษาญี่ปุ่นเองยังไม่มีตัวอักษรไว้เขียน อักษรจีนหรือคันจิจะถูกเขียนเป็นภาษาจีน และอ่านเป็นเสียงภาษาจีนทั้งหมด ต่อมาจึงเริ่มมีการใช้ระบบคัมบุน (漢文 \"kanbun\") คือ การใช้อักษรจีนร่วมกับเครื่องหมายแสดงการออกเสียง (Diacritic) เพื่อช่วยให้ชาวญี่ปุ่นสามารถออกเสียงตัวอักษรจีนนั้นๆได้ เมื่ออ่านออกเสียงได้แล้ว ชาวญี่ปุ่นก็จะสามารถเรียงประโยคใหม่ และเติมคำช่วยตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นที่ตนเองเข้าใจ และสามารถเข้าใจประโยคภาษาจีนนั้นได้ในที่สุด", "title": "คันจิ" }, { "docid": "28492#1", "text": "ตัวอักษรจีนได้แพร่เข้าสู่อาณาจักรเกาหลีผ่านพระพุทธศาสนา และชาวเกาหลีได้ปรับใช้ให้เข้ากับไวยากรณ์ภาษาเกาหลี และต่อมาได้แพร่สู่ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ตำราที่นำตัวอักษรฮันจาเผยแพร่สู่เกาหลีมิได้เป็นวรรณกรรมทางศาสนา ตำรานั้นมีชื่อว่า \"อักษรพันตัว\" (จีน: 千字文, ฮันกึล: 천자문 Cheonjamun, อังกฤษ: Thousand Character Classic) อักษรฮันจาได้ใช้ในการเขียนภาษาเกาหลีตลอดมา จนกระทั่งพระเจ้าเซจง ได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรฮันกึลขึ้นระหวางปี พ.ศ. 1987 - 1989 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเผยแพร่อักษรฮันกึลแล้ว บัณฑิตเกาหลีจำนวนมากก็ยังคงใช้ตัวอักษรฮันจา จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 อักษรฮันกึลได้แทนอักษรฮันจาโดยสมบูรณ์ เกาหลีเหนือได้ยกเลิกการใช้อักษรฮันจาตั้งแต่มิถุนายน พ.ศ. 2492 (โดยให้เขียนอักษรแนวนอนจากที่แต่เดิมเขียนแนวตั้ง) เนื่องจากคิม อิล-ซ็องได้กล่าวว่าตัวอักษรฮันจาเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมญี่ปุ่น นอกจากนี้ หลายคำที่ยืมจากภาษาจีนได้ถูกแทนที่โดยคำเกาหลีดั้งเดิม", "title": "อักษรฮันจา" }, { "docid": "22853#9", "text": "สาธารณรัฐประชาชนจีนมักจะทำสื่อที่เผยแพร่ใน ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า และต่างประเทศ โดยใช้อักษรจีนตัวเต็ม ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์พีเพิ้ลส์เดลี่ที่มีทั้งรูปแบบอักษรจีนตัวเต็มและตัวย่อ เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์พีเพิ้ลส์เดลี่และสำนักข่าวซินหัวที่ให้เลือกอ่านเป็นอักษรจีนตัวเต็ม โดยใช้รหัสอักษร Big5 ตัวอย่างอื่น เช่น นมที่ผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่และส่งไปขายในฮ่องกง ก็พิมพ์ฉลากโดยใช้อักษรจีนตัวเต็ม และการปกครองแบบหนึ่งประเทศสองระบบ ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนก็ไม่อยากเปลี่ยนให้ฮ่องกงและมาเก๊ามาใช้อักษรจีนตัวย่อ", "title": "อักษรจีนตัวย่อ" }, { "docid": "11140#25", "text": "การอ่านคันจิด้วยภาษาท้องถิ่นของญี่ปุ่น ก็จัดอยู่ในเสียงคุนเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาษาริวกันอัน ในแถบหมู่เกาะทางใต้ของญี่ปุ่นยังเป็นที่โต้เถียงว่า จำนวนอักษรจีนหรืออักษรคันจิมีทั้งหมดกี่ตัว พจนานุกรมไดคันวะ จิเตน (大漢和辞典 \"Dai Kan-Wa jiten\" แปลว่า มหาพจนานุกรมจีนญี่ปุ่น) ได้รวบรวมอักษรคันจิไว้ประมาณ 50,000 ตัว ซึ่งถือว่าครอบคลุมมาก ส่วนในประเทศจีน มีพจนานุกรมภาษาจีนเล่มหนึ่งรวมรวมไว้ถึง 100,000 ตัว ซึ่งรวมถึงอักษรที่มีรูปแบบคลุมเครือด้วย แต่อักษรคันจิที่ใช้กันจริงในประเทศญี่ปุ่นมีอยู่เพียงประมาณ 2,000-3,000 ตัวเท่านั้น", "title": "คันจิ" }, { "docid": "2568#38", "text": "ศิลปะของนักปราชญ์ เดิมรูปแบบตัวอักษรเกาหลีและญี่ปุ่นเป็นอักษรจีน ซึ่งเป็นตัวเขียนที่ยังใช้อยู่ในเอเชียตะวันออกร่วมพันปี แม้ว่าหลังจากที่เกาหลี ประดิษฐ์อักษรฮันกึล ในปี พ.ศ. 1989 (ค.ศ. 1446) ตัวอักษรจีนยังคงใช้ในภาษาทางการ จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพราะว่าตัวอักษรจีนมีอยู่นับหมื่นตัว แต่ละตัวมีความแตกต่างกัน มีวิธีเขียนหลายแบบ หลายความหมาย การเรียนอ่านและการเขียนตัวอักษรจีนไม่ใชเรื่องง่าย ศิลปะการเขียนอักษรจีนได้เข้ามาในประเทศเกาหลีเมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว", "title": "ประเทศเกาหลีใต้" }, { "docid": "22850#5", "text": "ในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ตามปกติแล้ว ประชาชนในจีนแผ่นดินใหญ่และสิงคโปร์นิยมใช้อักษรจีนตัวย่อ ซึ่งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน พัฒนาขึ้นในยุค 1950 อย่างไรก็ตาม ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนพิมพ์สื่อที่จะนำเผยแพร่นอกจีนแผ่นดินใหญ่โดยใช้อักษรจีนตัวเต็ม ส่วนในการเขียน คนส่วนมากจะเขียนตัวอักษรแบบหวัด ขีดบางขีดของตัวอักษรอาจถูกย่อ ซึ่งแล้วแต่ลายมือของแต่ละบุคคล โดยส่วนมากแล้ว คนนิยมเขียนโดยใช้ตัวอักษรที่เลือกได้ (異體字) คือการเลือกเขียนตัวอักษรที่มีความหมายเดียวกัน แต่เลือกตัวที่ขีดน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น เขียน 体 แทน 體 ตัวอักษรที่เลือกได้เหล่านี้ยังคงเป็นตัวอักษรตัวเต็ม แต่ผู้คนมักเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆว่าเป็นอักษรจีนตัวย่อ แม้การใช้ตัวอักษรที่เลือกได้จะไม่เป็นมาตรฐาน แต่ก็เป็นที่ยอมรับโดยที่วไป และใช้กันอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างที่สำคัญเช่น คำว่า ไต้หวัน (台灣 Táiwān \"ไถวาน\") นิยมใช้ 台 แทน 臺 ซึ่งเป็นตัวอักษรมาตรฐาน", "title": "อักษรจีนตัวเต็ม" }, { "docid": "11140#4", "text": "ในยุคต่อมา เริ่มมีการนำตัวอักษรจีนมาเขียนเป็นประโยคภาษาญี่ปุ่น โดยใช้ระบบที่เรียกว่า มันโยงะนะ (万葉仮名, まんようがな \"Man'yōgana\") คือ การใช้ตัวอักษรจีนหนึ่งตัวเขียนแทนภาษาญี่ปุ่นหนึ่งพยางค์ โดยจะใช้ตัวอักษรจีนที่มีเสียงในภาษาจีนใกล้เคียงกับพยางค์ของภาษาญี่ปุ่นพยางค์นั้นๆ โดยไม่คำนึงถึงความหมายของอักษรจีนตัวนั้นเลย ระบบการเขียนนี้ปรากฏอยู่ในหนังสือรวมบทกวีชื่อมันโยชู (万葉集 \"Man'yōshū\") แต่งขึ้นประมาณพ.ศ. 1302 ในยุคนะระ ถือเป็นวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ของญี่ปุ่น", "title": "คันจิ" }, { "docid": "22853#5", "text": "แม้ว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นผู้เริ่มใช้อักษรจีนตัวย่ออย่างจริงจังใน พ.ศ. 2492 แต่อักษรจีนตัวย่อก็ปรากฏก่อนหน้านั้นมานานแล้ว โดยเฉพาะการเขียนแบบหวัด และในสมัยราชวงศ์จิ๋น (พ.ศ. 322 - 337) ได้นำมาใช้ในการพิมพ์ ในสมัยที่พรรคก๊กมินตั๋งปกครองประเทศจีนอยู่นั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและนักเขียนก็ได้เสนอความคิดว่า การใช้อักษรจีนตัวย่อจะช่วยเพิ่มอัตราการอ่านออกเขียนได้ของชาวจีนมากขึ้น สาเหตุที่สมัยก่อน มีประชาชนรู้หนังสือน้อยก็เพราะว่าภาษาจีน ใช้ระบบตัวอักษรรูปภาพ หนึ่งตัวแทนหนึ่งเสียง-หนึ่งคำ ดังนั้นจึงมีตัวอักษรจำนวนมหาศาล ต่างกับหลายภาษาทั่วโลก ที่ใช้ระบบอักษรผสมตัวอักษรสะกดแทนเสียง", "title": "อักษรจีนตัวย่อ" }, { "docid": "11437#13", "text": "ทางด้านวัฒนธรรม การแต่งตัว สถาปัตยกรรม ฯลฯ ยังปรากฏให้เห็นวัฒนธรรมที่ยังคงแบบจีนอยู่ อาจจะมีความแตกต่างกันนิดหน่อยในรายระเอียดย่อยๆ เช่นบันทึกที่เขียนเป็นตัวอักษรจีนแต่อ่านเป็นภาษาญี่ปุ่น โคะจิกิ (古事記, บันทึกทางประวัติศาสตร์) นิฮงโชะกิ (日本書紀, บันทึกทางประวัติศาสตร์) มังโยชู (万葉集, บันทึกเกี่ยวกับวรรณกรรม) ฟูโดะกิ (風土記, บันทึกเกี่ยวกับภูมิอากาศ) อิทธิพลดังกล่าวน่าจะมาจากการที่ราชสำนักญี่ปุ่นได้ส่งคณะราชทูตสู่ราชวงศ์ถังของจีน \"\"เคนโตชิ\"\" (遣唐使) ไปสู่แผ่นดินใหญ่เป็นจำนวนมากเพื่อรับวัฒนธรรม และสิ่งของต่างๆ จากเส้นทางสายไหม เช่นถ้วยแก้วจากยุโรปตะวันออกกลับมาสู่ญี่ปุ่นอีกด้วย ตามบันทึกของวรรณคดีประวัติศาสตร์ทั้ง 2 ฉบับนั้น ได้กล่าวถึงการสถานปนาประเทศญี่ปุ่นไว้ว่า ประเทศญี่ปุ่นได้ถูกสถาปนาขึ้นในปี 660 ปีก่อนคริสตกาล โดยจักรพรรดิจิมมุ ผู้เป็นเชื้อสายโดยตรงของเทพเจ้าอะมาเตระสุ เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ไม่มีใครทราบแน่นอน แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าบางส่วนของบันทึกดังกล่าวเป็นเรื่องจริง แต่จักรพรรดิที่มีพระองค์จริงพระองค์แรกคือจักรพรรดิโอจิง จักรพรรดิลำดับที่ 15 และพระราชสันตติวงศ์ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และหลังจากยุคนะระเป็นต้นมา อำนาจในการบริหารประเทศโดยตรงได้เริ่มออกห่างออกจากราชสำนักญี่ปุ่น มาสู่ขุนนางในราชสำนัก โชกุน ทหาร และนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันในที่สุด", "title": "ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น" } ]
1972
ความเครียดเรื้อรังส่งผลต่อการนอนหลับหรือไม่ ?
[ { "docid": "974698#46", "text": "การนอนหลับเป็นการพักผ่อนและฟื้นกำลังหลังจากทำงานทั้งวัน\nดังนั้น การนอนให้พอจึงสำคัญมากสำหรับคนเครียดเพราะช่วยให้คิดได้ดีขึ้น\nแต่โชคไม่ดีว่า ความเครียดเปลี่ยนแปลงสภาพทางเคมีของร่างกายแล้วทำให้นอนยาก\nเช่น ฮอร์โมนสเตอรอยด์ที่หลั่งตอบสนองความเครียดคือ glucocorticoid สามารถขัดการนอน\nการนอนหลับมี 4 ระยะและระยะที่ลึกสุดและทำให้พักผ่อนได้มากสุด จะได้ก็ต่อเมื่อหลับแล้ว 1 ชม.\nถ้าการนอนถูกขัดเรื่อย ๆ ก็จะไม่สามารถพักผ่อนได้เพียงพอ\nซึ่งทำให้หงุดหงิดและไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ", "title": "ความเครียด (จิตวิทยา)" }, { "docid": "806287#19", "text": "การมีความเครียดเรื้อรังหรือโรคซึมเศร้าอาจมีผลทางชีวเคมีเช่นเดียวกัน เช่น การทำงานเรื้อรังของเขต HPA มีผลเป็นการผลิต corticotrophin-releasing hormone (CRH), adreno-corticotrophin hormone (ACTH), และในที่สุดฮอร์โมนความเครียดคือ cortisol โดยฮอร์โมนต่าง ๆ ผลิตในช่วงต่อของการทำงานแบบลูกโซ่ ถ้า cortisol เพิ่มขึ้นอย่างชั่วคราวก็จะมีผลเป็นปฏิกิริยาการตอบสนองโดยสู้หรือหนี โดยระงับภูมิคุ้มกันของร่างกาย เพิ่มแหล่งพลังงานให้ส่วนที่จำเป็น เพิ่มสมรรถภาพการรู้คิด และอาจเพิ่มความมั่นใจ แต่ว่า การเพิ่มขึ้นของ cortisol อย่างเรื้อรังเนื่องจากการทำงานของ HPA ดังที่พบในกลุ่มอาการคุชชิง บ่อยครั้งมีผลเป็นโรคซึมเศร้าและโรคนอนไม่หลับ", "title": "ชีววิทยาของความซึมเศร้า" }, { "docid": "974698#6", "text": "ความเครียดอาจทำให้บุคคลเสี่ยงโรคกายต่าง ๆ เช่น เป็นหวัด\nเหตุการณ์เครียดในชีวิต เช่น การเปลี่ยนงาน อาจทำให้นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือมีปัญหาทางสุขภาพอื่น ๆ", "title": "ความเครียด (จิตวิทยา)" } ]
[ { "docid": "801596#8", "text": "อาการนอนไม่หลับรวมทั้งปัญหาในการหลับ ปัญหาตื่นง่าย และ/หรือตื่นเช้าเกินไป\nส่วนการนอนมากเกินไปสามัญน้อยกว่า\nซึ่งอาจจะเป็นการนอนยาวตอนกลางคืน หรือนอนมากขึ้นตอนกลางวัน\nการนอนอาจจะไม่ทำให้รู้สึกว่าได้พักผ่อน คือบุคคลอาจจะรู้สึกเพลียแม้ว่าจะได้นอนหลายชั่วโมง\nซึ่งมีผลต่อกิจกรรมชีวิตประจำวันและสมาธิในที่ทำงานหรือที่บ้าน\nตามห้องสมุดการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (United States National Library of Medicine) คนซึมเศร้าแบบ SAD อาจจะนอนนานกว่าในช่วงหน้าหนาว\nการนอนมากเกินไปบ่อยครั้งสัมพันธ์กับความซึมเศร้าแบบ atypical depression\nและไม่สามัญเท่ากับนอนไม่หลับ และคนไข้ประมาณ 40% จะนอนมากเกินไปเป็นบางครั้งบางคราว", "title": "คราวซึมเศร้า" }, { "docid": "556382#51", "text": "แต่ทัศนคตินี้ว่า มีการทำงานของระบบประสาทบางอย่างระหว่างการนอนหลับที่ทำความจำชัดแจ้งให้มั่นคง ไม่ได้เป็นที่ยอมรับทั่วไปกับนักวิจัยทุกพวก\nยกตัวอย่างเช่น เอ็ลเล็นโบเก็นและคณะเสนอว่า การนอนหลับสามารถป้องกันการรบกวนแบบสัมพันธ์ (associative interference) ต่อความจำชัดแจ้ง คือการเรียนรู้รายการสัมพันธ์คำไม่เกิดการรบกวนจากการเรียนรายการอีกรายการหนึ่งก่อนการทดสอบ ถ้ามีการนอนหลับหลังจากการเรียนรายการแรก\nนอกจากนั้นแล้ว วิกซ์เท็ดเชื่อว่า บทบาทเดียวของการนอนหลับต่อกระบวนการทำความจำชัดแจ้งให้มั่นคงไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการสร้างสภาวะที่เลิศเพื่อกระบวนการนั้น \nยกตัวอย่างเช่น เมื่อตื่นอยู่ เรามักจะมีเรื่องในใจมากมายที่รบกวนการทำความจำให้มั่นคง\nแต่ว่า เมื่อนอนหลับ การรบกวนนั้นมีน้อยที่สุด ดังนั้นความจำจึงเกิดการทำให้มั่นคงได้โดยไม่มีการรบกวนแบบสัมพันธ์\nอย่างไรก็ดี ยังต้องมีงานวิจัยเพิ่มขึ้นอีกเพื่อที่จะตัดสินให้เด็ดขาดว่า การนอนหลับเพียงแค่สร้างสถานการณ์ที่เหมาะสมต่อการทำความจำให้มั่นคง\nหรือว่า มีกระบวนการอะไรบางอย่างเกิดการทำงานเพื่อทำความจำให้มั่นคง", "title": "ความจำชัดแจ้ง" }, { "docid": "840918#21", "text": "คนไข้ผู้หายใจลำบากเพราะโรคหืดหรือภูมิแพ้ อาจมีอุปสรรคนอนหลับให้มีคุณภาพ และดังนั้น จึงอาจใช้ข้อแนะนำต่าง ๆ จากสุขศาสตร์การนอนหลับได้\nปัญหาการหายใจสามารถขัดจังหวะการนอน ทำให้พักผ่อนไม่พอ\nสำหรับคนไข้โรคทั้งสอง ต้องพิจารณาว่ามีอะไรในห้องนอนที่จะจุดชนวนอาการโรคหรือเปล่า\nยาที่ช่วยให้หายใจสะดวกเวลานอนอาจสร้างปัญหาการนอนอย่างอื่น ดังนั้น ต้องบริหารการใช้ยาลดน้ำมูก ยาบรรเทาหอบหืด และสารต้านฮิสตามีน (ยาแก้แพ้) อย่างระมัดระวัง", "title": "สุขศาสตร์การหลับ" }, { "docid": "629009#0", "text": "ภาวะง่วงเกิน () เป็นความผิดปกติทางประสาทเรื้อรังที่เกิดจากสมองไม่สามารถกำกับวงจรหลับ-ตื่นได้ตามปกติ ผู้ที่มีภาวะง่วงเกินมักนอนกลางคืนลำบากและมีรูปแบบการนอนเวลากลางวันผิดปกติ ซึ่งมักสับสนกับการนอนไม่หลับ ผู้ที่มีภาวะง่วงเกิน เมื่อผลอยหลับไปแล้ว โดยปกติจะเข้าสู่ระยะ REM ของการนอนหลับภายใน 5 นาที ขณะที่คนส่วนมากไม่เข้าสู่ระยะ REM จนเวลาล่วงไปแล้วหนึ่งชั่วโมงเป็นต้นไป", "title": "ภาวะง่วงเกิน" }, { "docid": "840918#1", "text": "ผู้รักษาอาจประเมินอนามัยการนอนของผู้ที่มีปัญหานอนหลับหรือภาวะอื่น ๆ เช่น ความซึมเศร้า แล้วให้คำแนะนำตามการประเมิน\nรวมทั้งไม่ออกกำลังกายหรือใช้หัวคิดใกล้เวลานอน, จำกัดความกังวล, จำกัดอยู่ในที่สว่าง ๆ หลาย ชม. ก่อนนอน,\nลุกจากที่นอนถ้าไม่หลับ, ไม่ใช้ที่นอนเว้นแต่นอนหรือมีเพศสัมพันธ์,\nงดแอลกอฮอล์ นิโคติน กาเฟอีน และสารกระตุ้นอื่น ๆ หลาย ชม. ก่อนนอน, และมีที่นอนอันสงบสบายและมืด", "title": "สุขศาสตร์การหลับ" }, { "docid": "355856#1", "text": "การหลับไม่อิ่มเรื้อรัง ทำให้เกิดความล้า (fatigue), ความง่วงซึมในเวลากลางวัน (daytime sleepiness), ความซุ่มซ่าม (clumsiness) ตลอดจนน้ำหนักลด และน้ำหนักเพิ่ม นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบสมองและการรับรู้จดจำ และจากการทดลองกับสัตว์ในห้องปฏิบัติการ พบว่า สัตว์ทดลองที่หลับไม่อิ่มติดต่อกันเป็นเวลานาน ถึงแก่ความตายในที่สุด", "title": "ภาวะขาดการนอนหลับ" }, { "docid": "813135#5", "text": "วิธีการอิงสติได้ทดลองใช้กับปัญหาทางสุขภาพหลายอย่างรวมทั้งโรควิตกกังวล ความผิดปกติทางอารมณ์ (mood disorder) การเสพสารเสพติด ความผิดปกติในการรับประทาน ความเจ็บปวดเรื้อรัง โรคสมาธิสั้น (ADHD) การนอนไม่หลับ การรับมือกับปัญหาสุขภาพ และกับกลุ่มชนหลายพวกรวมทั้งเด็ก วัยรุ่น พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู ผู้ให้การบำบัด และแพทย์\nเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจจากนักวิจัยเพิ่มขึ้น คือจากงานที่ตีพิมพ์ 52 งานในปี 2546 เพิ่มเป็น 477 งานในปี 2555\nมีงานทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCT) เกือบ 100 งานที่ได้ตีพิมพ์แล้วโดยต้นปี 2557", "title": "การลดความเครียดอิงสติ" } ]
1979
กบฏแมนฮัตตัน ทำการกบฏจี้ตัวใคร?
[ { "docid": "56281#4", "text": "ในส่วนของกองบัญชาการฝ่ายรัฐบาลที่ตั้งขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ฝ่ายกองทัพเรือ โดย พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ส่งผู้แทนหลายคนเข้าพบนายทหารบกชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการระดับสูงของทางรัฐบาล เพื่อยืนยันว่า กรณีนี้ทางฝ่ายทหารเรือส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย เป็นเพียงการกระทำการของนายทหารชั้นผู้น้อยไม่กี่นายเท่านั้น เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดระหว่างกองทัพ แต่กระนั้น ทาง พล.อ.ผิน ชุณหะวัณ ผู้บัญชาการทหารบก รวมถึง พล.ท.สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ยืนยันว่า การกระทำเช่นนี้นับว่าอุกอาจมาก เพราะเป็นการกระทำต่อหน้าทูตต่างชาติหลายประเทศ รวมทั้งจะให้ทางฝ่ายทหารเรือแอบขึ้นเรือรบหลวงศรีอยุธยาในยามวิกาลเพื่อบุกชิงตัวจอมพล ป. กลับคืนมาให้ได้ภายในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ไม่เช่นนั้นจะยิงทุกจุดที่มีทหารเรืออยู่ เพราะถือว่าเป็นการถ่วงเวลาเพื่อรอกำลังฝ่ายกบฏมาสมทบ แต่ทางฝ่ายทหารเรือไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้น โดยให้เหตุผลว่าหากทำเช่นนั้น เกรงว่าจอมพล ป. จะได้รับอันตรายได้\nการสู้รบกันขึ้นเมื่อเวลา 04.30 น. ของวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เริ่มจากฝ่ายรัฐบาล โดยกองทัพบกภายใต้การนำของ พลโท สฤษดิ์ ธนะรัชต์ กองทัพอากาศภายใต้การบัญชาของพลอากาศเอก ฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี และกำลังตำรวจโดยพลตำรวจโท เผ่า ศรียานนท์ การสู้รบแพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง ทหารบกเริ่มโจมตีจากด้านพระนคร กองทัพอากาศเริ่มทิ้งระเบิดที่กรมอู่ทหารเรือ และตำแหน่งคลังเชื้อเพลิง", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "23827#8", "text": "ต่อมาเมื่อเกิดกบฏแมนฮัตตันขึ้นในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2494 มีพิธีส่งมอบเรือขุดสันดอนแมนฮัตตันจากอุปทูตสหรัฐอเมริกา โดยจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่ท่าวรดิษฐ แต่แล้วทหารเรือกลุ่มหนึ่ง เข้าจี้นำลงเรือเร็วไปควบคุมตัวไว้ที่เรือรบหลวงศรีอยุธยา ซึ่งลอยลำอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาตอนหน้ากองทัพเรือ รุ่งขึ้นเวลา 10.00 น.เศษ กำพลและเลิศเช่าเรือสำปั้นจากท่าปากคลองตลาด โดยกำพลเป็นฝีพายเรือมุ่งหน้าไปยังเรือหลวงศรีอยุธยา หมายจะได้สัมภาษณ์จอมพล ป.และให้เลิศเป็นช่างภาพกำพลสมรสกับคุณหญิงประณีตศิลป์ (สกุลเดิม: ทุมมานนท์) เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2493 มีบุตรธิดารวม 3 คน คือยิ่งลักษณ์, สราวุธ และอินทิรา (ญ) นอกจากนี้ กำพลยังมีบุตรธิดากับภรรยาอื่นอีก 5 คน คือฟูศักดิ์ (ช), นำพร (ญ), เกรียงศักดิ์ (ช), พีระพงษ์ (ช) และเพ็ชรากรณ์ (ญ)", "title": "กำพล วัชรพล" } ]
[ { "docid": "56281#0", "text": "กบฏแมนฮัตตัน หรือ กรณีแมนฮัตตัน ชื่อเรียกเหตุการณ์การกบฏในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เมื่อทหารเรือกลุ่มหนึ่ง เรียกตัวเองว่า \"คณะกู้ชาติ\" นำโดย น.ต.มนัส จารุภา ร.น.ผู้บังคับการเรือหลวงรัตนโกสินทร์ พลเรือตรี ทหาร ขำหิรัญ นายทหารนอกราชการ อดีตผู้บังคับการกรมนาวิกโยธิน นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกาภา ผู้บังคับการกองสำรองเรือรบ นาวาตรี ประกาย พุทธารี สังกัดกรมนาวิกโยธิน และ นาวาตรี สุภัทร ตันตยาภรณ์ สังกัดกรมนาวิกโยธิน ทำการกบฏจี้ตัวจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ระหว่างเป็นประธานในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนสัญชาติอเมริกัน ชื่อ \"แมนฮัตตัน\" ที่ท่าราชวรดิฐ โดยนำไปกักขังไว้ในเรือรบหลวงชื่อ \"ศรีอยุธยา\" ที่จอดรออยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยา", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "56281#9", "text": "การดำเนินคดีมีการจับกุมผู้ต้องหาร่วม 1,000 คน ซึ่งควบคุมตัวไว้ที่สนามกีฬาแห่งชาติ เนื่องจากมีจำนวนมาก ในที่สุดก็ต้องปล่อยตัวเพราะหาหลักฐานไม่เพียงพอจนเหลือฟ้องศาลประมาณ 100 คน ภายหลังนักโทษคดีนี้ส่วนใหญ่ได้รับการนิรโทษกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2500 เนื่องในโอกาสครบ 25 พุทธศตวรรษ ในส่วนของกองทัพเรือ แม้ทหารที่ก่อการจะไม่ใช่ทหารระดับสูงและทหารเรือส่วนใหญ่ก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย กระนั้น พล.ร.อ.สินธุ์ กมลนาวิน ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายทหารเรือระดับสูงหลายคน ก็ยังต้องโทษตัดสินจำคุกนานถึง 3 ปี โดยที่ไม่มีความผิด และได้มีการปรับลดอัตรากำลังพลของกองทัพเรือลงไปมาก เพราะถือเป็นความพยายามก่อรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันของทหารเรือ ต่อจากกบฏวังหลวง ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้นเพียง 2 ปี โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เช่น ยุบกรมนาวิกโยธินกรุงเทพ, ยุบกองการบินกองทัพเรือไปรวมกับกองทัพอากาศ, ย้ายกองสัญญาณทหารเรือที่ถนนวิทยุ ที่ต่อมากลายเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งในปัจจุบันคือที่ตั้งของ วัน แบงค็อก นั่นเอง", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "56281#3", "text": "ในเหตุการณ์กบฏ หัวหน้าคณะก่อการ คือ น.อ.อานนท์ ปุณฑริกกาภา ร.น. สั่งการให้ทหารเรือกลุ่มที่สนับสนุนการก่อการมุ่งหน้าและตรึงกำลังไว้ที่พระนคร และประกาศตั้ง พระยาสารสาสน์ประพันธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม กระจายเสียงในฐานะนายกรัฐมนตรีจากในเรือ แต่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ยอม ได้กระจายเสียงตอบโต้ไปโดยใช้วิทยุของกรมการรักษาดินแดน (ร.ด.) โดยได้ให้นายวรการบัญชา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รักษาการนายกรัฐมนตรีแทน และตั้งกองบัญชาการขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล (ในขณะนั้นคือ พระที่นั่งอนันตสมาคม) จึงเกิดการต่อสู้ยิงกันอย่างหนักระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาลและทหารฝ่ายก่อการ ซึ่งตามแผนการของผู้ก่อการแล้ว ฝ่ายก่อการต้องยึดโรงไฟฟ้าและสถานีโทรศัพท์กลาง ที่หน้าวัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) ให้ได้ โดยเรือรบหลวงศรีอยุธยาจะต้องแล่นผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้า ซึ่งเปิดรอ เพื่อไปตั้งกองบัญชาการที่ฝั่งพระนคร และมีกำลังทหารจากต่างจังหวัดยกเข้ามาสมทบทั้งทหารเรือและทหารบก แต่เมื่อลงมือจริง ๆ แล้วกลับไม่เป็นไปตามนั้น สะพานพระพุทธยอดฟ้าก็ไม่เปิด และในที่สุดเครื่องยนต์เรือก็เสียจากการถูกโจมตีหนัก โดยในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ใช้อำนาจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ใช้กำลังทหารเพื่อปราบจลาจล และในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2494 เวลา 10.00 น. ต่อมาพระบรมราชโองการประกาศกฎอัยการศึกในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีโดยผ่านพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร นับว่าเป็นการใช้กฎอัยการศึกครั้งแรกในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีวรการบัญชาเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "10452#3", "text": "ก่อนหน้าที่ศึกครั้งนี้จะเกิดขึ้นหลายเดือน นายพลฝ่ายสหพันธรัฐ โจเซฟ อี. จอห์นสตัน จะเป็นผู้นำทำการโจมตีแล้วถอยทัพทุกครั้งเมื่อปะทะกับกองกำลังที่เหนือกว่าของเชอร์แมน เป็นแนวยาวขนานกับทางรถไฟ ตั้งแต่เมืองแชททานูกา รัฐเทนเน็ซซี ไปจนถึงเมืองมาริเอ็ตตา รัฐจอร์เจีย, ซึ่งการโจมตีแต่ละครั้งจะมีลักษณะเดียวกันตลอด ลักษณะคือ: จอห์นสตันจะวางทัพของเขาอยู่ในตำแหน่งตั้งรับ, ส่วนเชอร์แมนก็จะเคลื่อนทัพของเขาเข้ามาโอบล้อมแนวป้องกันของกองทัพสหพันธรัฐ, และจอห์นสตันก็จะทำการถอยทัพก่อนที่กองทัพของเชอร์แมนจะโอบล้อมสำเร็จ แต่ในที่สุดกองทัพทั้งสองก็เข้าปะทะกันเต็มรูปแบบในศึกแห่งภูเขาเคนนีซอว์, ซึ่งการกระทำของจอห์นสตันดังกล่าว ทำให้คณะผู้นำของฝ่ายสหพันธรัฐกังวล และคลางแคลงความสมัครใจในการสู้รบกับกองทัพสหรัฐของจอห์นสตัน แม้จะรู้ว่าโอกาสที่จอห์นสตันจะรบชนะกองทัพของเชอร์แมนนั้นมีอยู่น้อยมากก็ตามที เป็นเหตุให้จอห์นสตันผู้ที่กำลังเตรียมการรบในศึกแห่งบึงพีชทรี ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1864 (พ.ศ. 2407) และให้ฮูดเข้าไปเป็นผู้บังคับบัญชาแทน ซึ่งทันทีที่ฮูดเข้ามาสั่งการแล้ว เขาก็สั่งให้กองทัพของเขาเร่งเข้าปะทะกับกองทัพของเชอร์แมนที่ตั้งทัพอยู่ที่บึงพีชทรีในทันที, แต่การโจมตีไม่เป็นผลและทำให้ทหารในกองทัพของเขาบาดเจ็บและเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก", "title": "ยุทธการที่แอตแลนตา" }, { "docid": "320365#2", "text": "อ๋องฉิน (หง จินเป่า) ต้องการก่อกบฏต่อฮ่องเต้ จึงร่วมกับขันทีเฒ่า เจีย หัวหน้าขันทีในราชสำนักก่อการกบฏ เมื่อ ชิงหลง (เจิ้น จื่อตัน) และ เสียนอู่ (ชี อวี้อู่) สองสุดยอดฝีมือจินยี่เหว่ยถูกมอบหมายให้ไปขโมยรายชื่อของผู้ที่ยังจงรักษ์ภักดีต่อฮ่องเต้ ด้วยเลห์กลของขันทีเจีย เสียนอู่จึงหักหลังชิงหลงและสังหารเหล่าจินยี่เหว่ยตายทั้งหมดได้ตามไล่ล่าชิงหลง ชิงหลงต้องหลบหนีไปยังทะเลทราย และได้พบกับ เฉียวฮวา (เจ้า เวย) บุตรสาวของหัวหน้าสำนักคุ้มภัยคุณธรรมที่กำลังจะเลิกกิจการเข้าช่วยเหลือ ทั้งหมดไม่ทราบว่าชิงหลงเป็นใคร แต่ก็ให้ความช่วยเหลือ", "title": "8 ดาบทรมาน 6 ดาบสังหาร" }, { "docid": "10106#16", "text": "ในขณะนั้นเมื่อมีใครเอ่ยถึงออพเพนไฮเมอร์ ทุกคนจะนึกถึงชายวัย 38 ปี ผู้เป็นหัวหน้าทีมวิทยาศาสตร์ในโครงการแมนฮัตตัน ที่ได้รวบรวมนักฟิสิกส์ นักเคมี และวิศวกรระดับสุดยอดนับ 6,000 คน มาสร้างระเบิดปรมาณู เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยให้มาทำงานร่วมกันที่ลอสอาลาโมสในรัฐนิวเม็กซิโก อย่างลับสุดยอด คือ ไม่ให้ฝ่ายเยอรมนีรู้อย่างเด็ดขาด ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังสร้างระเบิดมหาประลัย และให้กองทัพนักวิทยาศาสตร์ทำงานร่วมกับกองทัพทหารอย่างใกล้ชิด อย่างหนัก และอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็ประจักษ์ว่าเขาคือ บุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถประคับประคองและประสานความแตกต่างระหว่างความคิดเห็น อย่างเสรีของบรรดานักการเมืองและนักวิชาการกับความลับของทหารได้ เช่น เวลา ฮันส์ เบเทอ ขัดแย้งกับเออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ และEdward Teller (บิดาของระเบิดไฮโดรเจน) เขาต้องเก่งพอที่จะตัดสินได้ว่า เทคนิคใดเหมาะสม และเป็นไปได้ หรือเวลาประธานาธิบดีแฮร์รี เอส. ทรูแมนขัดแย้งกับ J. Edgar Hoover แห่งเอฟบีไอ และนายพล Leslie Groves ผู้เป็นหัวหน้าโครงการแมนฮัตตัน เขาต้องถูกมะรุมมะตุ้มด้วยกระสุนวาจาจากบุคคลเหล่านี้ตลอดเวลาทำงาน และเขาก็ตระหนักว่า ถึงจะเป็นนักวิชาการที่เก่ง แต่อำนาจทางการเมืองก็เหนือกว่า ฉะนั้นเมื่อใดที่ทั้งสองข้างปะทะกัน นักวิชาการก็ต้องถอย", "title": "โครงการแมนฮัตตัน" }, { "docid": "56281#7", "text": "ในส่วนของผู้ก่อการได้ถูกบีบบังคับให้ขึ้นรถไฟไปทางภาคเหนือ จากนั้นจึงแยกย้ายกันหลบหนีข้ามพรมแดนไปพม่าและสิงคโปร์ ในส่วนของ น.ต.มนัส จารุภา ร.น. ผู้ทำการจี้จอมพล ป. ได้หลบหนีไปพม่าได้สำเร็จ แต่ถูกจับกุมได้หลังจากลักลอบกลับเข้าประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2495", "title": "กบฏแมนฮัตตัน" }, { "docid": "10106#15", "text": "ทั้งแฟร์มีและออพพีมาถึงลอสอาลาโมสโดยมีผู้คุ้มกันส่วนตัวอย่างดี หลังจากที่นายพลโกรฟส์ได้รับคำสั่งให้เป็นหัวหน้าโครงการแมนแฮนตัน ดิสทริกส์เพียงไม่นาน เขาได้ส่งผู้คุ้มกันไปประจำตัวนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงประมาณ 6 คน ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในหลายวิธีที่เขาจะป้องกันนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทางด้านพลังงานอะตอม ผู้คุ้มกันจะติดตามนักวิทยาศาสตร์ไปทุกหนทุกแห่งเมื่ออยู่นอกลอสอาลาโมส โดยเฉพาะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ให้นักวิทยาศาสตร์เดินทางคนเดียวหรือเดินคนเดียวในเวลากลางคืน ในลอสอาลาโมส เมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแรง แฟร์มีและออพพีสามารถเดินไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องมีผู้คุ้มกัน แต่เมื่อเขาเดินทางไปที่อื่นผู้คุ้มกันจะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง", "title": "โครงการแมนฮัตตัน" } ]
1981
ชัยปุระยุคใหม่นั้นก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. ใด?
[ { "docid": "543960#3", "text": "ชัยปุระยุคใหม่นั้นก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1727 โดยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของมหาราชาสวาอี ชัยสิงห์ที่ 2 แห่งอาเมร์ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากราชปุตราชวงศ์กาญจวาหา (Kachchwaha) ซึ่งปกครองระหว่างปีค.ศ. 1699 - ค.ศ. 1744 ซึ่งปกครองที่เมืองหลวงชื่อว่า \"อาเมร์\" (Amber) ตั้งอยู่ห่างจากชัยปุระเป็นระยะทางประมาณ 11 กิโลเมตร โดยเหตุผลในการย้ายเมืองหลวงนั้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งตามมาด้วยการขาดแคลนแหล่งน้ำที่รุนแรงมากขึ้น พระองค์ได้ทรงศึกษาตำราสถาปัตยกรรมมากมาย พร้อมทั้งที่ปรึกษาต่างๆก่อนจะทำผังเมืองของชัยปุระ ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของสถาปนิกคนสำคัญคือ \"วิทยาธร ภัตตาจารย์\" (Vidyadhar Bhattacharya) ปราชญ์วรรณะพราหมณ์จากเบงกอล ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้าสถาปนิกของมหาราชา ซึ่งช่วยวางแผนและออกแบบอาคารต่างๆ รวมถึงพระราชวังหลวงใจกลางเมือง พร้อมทั้งกำแพงเมืองอย่างหนาแน่นที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามกับจักรวรรดิมราฐา นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นผู้ที่รักทางด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ทำให้ชัยปุระนั้นเกิดขึ้นได้อย่างสำเร็จด้วยองค์ประกอบสถาปัตยกรรมตามหลักของวัสดุศาสตร์ (Vastu Shastra) และหลักจากตำราอื่นๆ", "title": "ชัยปุระ" } ]
[ { "docid": "165799#1", "text": "โบสถ์นิกายแบบติสต์ในตรีปุระเริ่มก่อตั้งโดยมิชชันนารีชาวนิวซีแลนด์เมื่อราว พ.ศ. 2483 จนกระทั่ง พ.ศ. 2523 มีชาวตรีปุระไม่กี่พันคนที่เปลี่ยนศาสนา จนหลังการจลาจลทางเชื้อชาติระหว่าง พ.ศ. 2523 – 2532 จำนวนผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์มีมากขึ้น แนวร่วมกู้ชาติแห่งตรีปุระก่อตั้งใน พ.ศ. 2532 โดยความช่วยเหลือของนิกายแบบติสต์ และต่อมาขบวนการนี้ได้พัฒนามาเป็นกองกำลังกบฏติดอาวุธ", "title": "แนวร่วมกู้ชาติแห่งตรีปุระ" }, { "docid": "115051#3", "text": "รูปแบบการดำรงชีวิตของมนุษย์ที่เริ่มมีรูปแบบคงที่นั้น เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชถึงยุคหินกลาง หากแต่นักวิชาการบางคนเสนอว่าเป็นยุคหินใหม่ที่มีคุณลักษณะบางอย่างของทั้งยุคหินกลางและหินใหม่ ในยุคดังกล่าวนี้ สมาชิกของวัฒนธรรมโจมงซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม และเป็นไปได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวไอนุในญี่ปุ่นปัจจุบัน ได้ทิ้งร่องรอยทางโบราณคดีไว้อย่างชัดเจนที่สุด วัฒนธรรมโจมงนี้อาจนับได้อย่างคร่าว ๆ ว่าอยู่ร่วมสมัยกับอารยธรรมในเมโสโปเตเมีย ลุ่มแม่น้ำไนล์ และลุ่มแม่น้ำสินธุ", "title": "ยุคโจมง" }, { "docid": "543960#5", "text": "ในปีค.ศ. 1876 ในรัชสมัยของมหาราชาสวาอี ราม สิงห์ (Sawai Ram Singh) ได้มีพระบัญชาให้ทาสีอาคารบ้านเรือนต่างๆในเมืองเป็นสีชมพูเพื่อเป็นการต้อนรับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ในคราที่เสด็จเยือนชัยปุระอย่างเป็นทางการ ซึ่งสีชมพูนั้นก็ยังคงไว้จนถึงปัจจุบันและได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของชัยปุระจนทุกวันนี้ ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชัยปุระได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยในปีค.ศ. 1900 ประชากรทั้งหมดมีประมาณ 160,000,000,000 คน ได้มีการปูพื้นถนนด้วยปูน และยังมีโรงพยาบาลหลายแห่ง อุตสาหกรรมหลักได้แก่ โลหะ และหินอ่อน", "title": "ชัยปุระ" }, { "docid": "207028#0", "text": "ยุคหินใหม่ () อยู่ในช่วงเวลาประมาณ 10,200-4,500/2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นช่วงเวลาระหว่างยุคหินกลางกับยุคโลหะซึ่งมนุษย์ในยุคนี้อาศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่บ้าน เริ่มรู้จักทำการเกษตรอย่างเป็นระบบ สามารถเพาะปลูกพืชและเก็บไว้เป็นอาหาร รู้จักทอผ้าและทำเครื่องปั้นดินเผา และเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์จากสังคมล่าสัตว์มาเป็นสังคมเกษตรกรรม ที่ตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่ง มีการสร้างที่พักอาศัยถาวรเป็นกระท่อมดินเหนียวและตั้งหลักแหล่งตามบริเวณลุ่มน้ำ ยุคหินใหม่เป็นยุคเกษตรกรรม", "title": "ยุคหินใหม่" }, { "docid": "323534#0", "text": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล (; ) เป็นอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ขั้นร้ายแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล ตั้งอยู่ที่นิคมเชียร์โนบีล ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมืองพริเพียต แคว้นเคียฟ ทางตอนเหนือของยูเครน ใกล้ชายแดนเบลารุส (ในขณะนั้นยูเครนและเบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) อุบัติเหตุที่เชียร์โนบีลนี้เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ในแง่ของค่าใช้จ่ายและชีวิต", "title": "ภัยพิบัติเชียร์โนบีล" }, { "docid": "543960#23", "text": "ป้อมจัยการห์ หรือ ป้อมชัยคฤห์ (ราชสถาน/ฮินดี: जयगढ़ क़िला, ) ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา\"ชีลกาทีลา\" ใกล้กับป้อมแอมแมร์ โดยตั้งอยู่บนยอดที่สูงกว่าป้อมแอมแมร์ ชานเมืองชัยปุระ ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย สร้างโดยมหาราชาสะหวายจัย สิงห์ที่ 2 ในปีค.ศ. 1726 เพื่อใช้อารักขาป้อมแอมแมร์และพระราชวังแอมแมร์ซึ่งตั้งอยู่เบื้องล่างซึ่งภายเป็นพระราชฐานของมหาราชา ป้อมปราการแห่งนี้สร้างในแบบสถาปัตยกรรมเดียวกับป้อมแอมแมร์ โดยใช้หินทรายสีแดงเป็นวัตถุดิบหลักในการก่อสร้าง ภายในกำแพงเมืองมีพระตำหนักที่ประทับ และสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมทั้งบ่อเก็บน้ำอีกด้วย", "title": "ชัยปุระ" }, { "docid": "295646#0", "text": "ลัทธิสัจนิยมใหม่ () คือขบวนการศิลปะที่ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1960 โดยนักวิพากษ์ศิลป์ปิแยร์ เรสตานีย์ และจิตรกรอีฟว์ ไคลน์ระหว่างนิทรรศการที่ห้องแสดงภาพอพอลลิแนร์ในมิลาน ปิแยร์ เรสตานีย์เป็นผู้เขียน “แถลงการณ์” (manifesto) ฉบับแรกสำหรับกลุ่มชื่อ “\"ประกาศบัญญัติของลัทธิสัจนิยมใหม่\"” (Constitutive Declaration of New Realism) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1960 ที่ประกาศว่า “ลัทธิสัจนิยมใหม่ - วิธีมองความเป็นจริงตามแนวใหม่” แถลงการณ์ร่วมได้รับการลงนามเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1960 ในห้องศิลป์ของอีฟว์ ไคลน์โดยบุคคลเก้าคนที่รวมทั้ง: Yves Klein, Arman, Martial Raysse, Pierre Restany, Daniel Spoerri, Jean Tinguely และ Ultra-Lettrist, Francois Dufrêne, Raymond Hains, Jacques de la Villeglé ส่วนCésar, Mimmo Rotella และต่อมา Niki de Saint Phalle และ Gérard Deschamps เข้าร่วมในปี ค.ศ. 1961 และคริสโตในปี ค.ศ. 1963", "title": "ลัทธิสัจนิยมใหม่" }, { "docid": "543960#19", "text": "ป้อมนหาร์การห์ () หรือรู้จักกันดีในชื่อว่า \"ป้อมเสือ\" (Tiger Fort) เป็นป้อมปราการที่สามารถมองเห็นได้จากใจกลางเมืองชัยปุระ สร้างในปีค.ศ. 1734 ในรัชสมัยของมหาราชาสะหวายจัย สิงห์ที่ 2 เพื่อช่วยคุ้มครองป้องกันพระนครจากการรุกรานของข้าศึก ในปัจจุบันด้านบนยังหลงเหลือตำหนักเก่าให้ชมอยู่บ้าง", "title": "ชัยปุระ" }, { "docid": "125454#1", "text": "พรรคความหวังใหม่ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2533 โดยทำการเปิดตัวที่โรงแรมเจบี อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และมีที่ทำการพรรคแห่งแรกที่สำนักงานกฎหมายธรรมนิติในสังกัดของนายไพศาล พืชมงคล ที่เขตบางซื่อ ในขั้นต้นมีนายวีระ สุวรรณกุล เป็นหัวหน้าพรรคคนแรกและมีนางสาวปราณี มีอุดร เป็นเลขาธิการพรรคคนแรกต่อมาในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2533 ได้มีการจัดประชุมใหญ่สามัญครั้งแรกของพรรคที่ประชุมมีมติเลือก พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีต ผู้บัญชาการทหารบก และอดีต ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าพรรค", "title": "พรรคความหวังใหม่" } ]
1982
อาสนวิหารนักบุญสเทเฟน หรือ ชเตฟันสโดม ตั้งอยู่ประเทศอะไร ?
[ { "docid": "300644#0", "text": "อาสนวิหารนักบุญสเทเฟน หรือ ชเตฟันสโดม (, ) เป็นอาสนวิหารโรมันคาทอลิกในอัครมุขมณฑลเวียนนา และเป็นที่ตั้งอาสนะของอาร์ชบิชอปแห่งเวียนนา ตัวอาสนวิหารตั้งอยู่ใจกลางกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบโรมานเนสก์ และ กอทิก ริเริ่มโดยรูดอล์ฟที่ 4 ดยุกแห่งออสเตรีย โบสถ์ปัจจุบันตั้งอยู่บนซากโบสถ์เดิมที่สร้างก่อนหน้านั้นสองโบสถ์ โบสถ์แรกเป็นโบสถ์ประจำเขตแพริชที่ได้รับการเสกในปี ค.ศ. 1147 อาสนวิหารนักบุญสเทเฟนเป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเวียนนาที่เห็นได้อย่างเด่นชัดจากหลังคากระเบื้องหลากสี", "title": "ชเตฟันสโดม" } ]
[ { "docid": "526354#0", "text": "อาสนวิหารตูล () เรียกชื่อเต็มว่า อาสนวิหารนักบุญสเทเฟนแห่งตูล () เป็นอาสนวิหารในนิกายโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญสเทเฟน (ปฐมมรณสักขี) ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าของตูล จังหวัดเมอร์เตมอแซล ในแคว้นกร็องแต็สต์ ประเทศฝรั่งเศส เป็นที่ตั้งของมุขนายกประจำมุขมณฑลน็องซี-ตูลร่วมกับอาสนวิหารแม่พระรับสารและนักบุญซีฌแบร์แห่งน็องซี", "title": "อาสนวิหารตูล" }, { "docid": "526237#0", "text": "อาสนวิหารลีมอฌ () เรียกชื่อเต็มว่า อาสนวิหารนักบุญสเทเฟนแห่งลีมอฌ () เป็นทั้งอาสนวิหารในนิกายโรมันคาทอลิก เป็นที่ตั้งของมุขนายกประจำมุขมณฑลลีมอฌ ตั้งอยู่ติดกับ \"สวนพระสังฆราช\" () ในเขตเมืองเก่า \"ลาซีเต\" () ของลีมอฌ จังหวัดโอต-เวียน แคว้นนูแวลากีแตน ประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญสเทเฟน (ปฐมมรณสักขี) เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานสำคัญที่สุดในลีมอฌคู่กับสถานีรถไฟลีมอฌ และยังถือเป็นคริสต์ศาสนสถานแห่งเดียวในภูมิภาคลีมูแซ็งที่สร้างในแบบกอธิกที่สมบูรณ์แบบ", "title": "อาสนวิหารลีมอฌ" }, { "docid": "523989#0", "text": "อาสนวิหารแม็ส () หรือมีชื่อเต็มว่า อาสนวิหารนักบุญสเทเฟนแห่งแม็ส () เป็นอาสนวิหารโรมันคาทอลิกและที่ตั้งของมุขนายกประจำมุขมณฑลแม็ส ตั้งอยู่ที่เมืองแม็ส จังหวัดมอแซล แคว้นกร็องแต็สต์ ประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญสำคัญคือนักบุญสเทเฟน", "title": "อาสนวิหารแม็ส" }, { "docid": "300644#17", "text": "แท่นเทศน์ที่ตั้งอยู่ด้านนอก (SJC บนผัง) เป็นแท่นที่นักบุญจอห์นคาพิสทราโนใช้เทศน์เรื่องสงครามครูเสดในปี ค.ศ. 1454 เพื่อเรียกร้องให้ทำการยุติการรุกรานของมุสลิมเข้ามาในยุโรป ประติมากรรมบาโรกของคริสต์ศตวรรษที่ 18 แสดงภาพนักบุญฟรานซิสภายใต้รัศมีพระอาทิตย์อันเรืองรองเหยียบย่ำชนเตอร์ก แท่นเทศน์นี้เดิมเป็นแท่นเทศน์เอกของมหาวิหารที่ตั้งอยู่ภายในจนกระทั่งมาแทนที่ด้วย แท่นเทศน์พิลแกรมในปี ค.ศ. 1515", "title": "ชเตฟันสโดม" }, { "docid": "806950#0", "text": "อาสนวิหารร่วมนักบุญเทเรซา บ้างเรียก โบสถ์คาทอลิกนักบุญเทเรซา (; ) เป็นอาสนวิหารประจำมิสซังโรมันคาทอลิกสุวรรณเขต-คำม่วน ตั้งอยู่ในเมืองไกสอน พมวิหาน แขวงสุวรรณเขต ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศลาวใกล้พรมแดนประเทศไทย ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของคริสต์ศาสนิกชนชาวลาวเชื้อสายเวียดนาม", "title": "อาสนวิหารร่วมนักบุญเทเรซา (สุวรรณเขต)" }, { "docid": "300644#6", "text": "อาสนวิหารเป็นคริสต์ศาสนสถานที่อุทิศให้แก่นักบุญสเทเฟนผู้ที่ก็เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์อาสนวิหารพัสเซาด้วย ฉะนั้นตัวโบสถ์จึงหันทางที่พระอาทิตย์ขึ้นในวันสมโภชที่ตรงกับวันที่ 26 ธันวาคม ตัวอาสนวิหารที่สร้างด้วยหินปูนมีความยาว 107 เมตร กว้าง 70 เมตร และ สูง 136.7 เมตร โดยมีทางเดินกลางที่ยาว 38.9 เมตร ในช่วงเวลาที่ผ่านมาสิ่งสกปรกจากเขม่าไฟ และ มลพิศต่างก็หมักหมมเกาะตัวบนตัวมหาวิหารจนกลายเป็นสีดำ แต่การบูรณปฏิสังขรณ์ที่เพิ่งดำเนินการไปเมื่อไม่นานมานี้ทำให้มหาวิหารกลับไปเป็นสีขาวตามเดิม", "title": "ชเตฟันสโดม" }, { "docid": "724626#0", "text": "อาสนวิหารนักบุญไอแซค () เป็นอาสนวิหารของศาสนจักรออร์โธดอกซ์รัสเซีย ตั้งอยู่ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของประเทศรัสเซีย อาสนวิหารนักบุญไอแซคเป็นอาสนวิหารออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นอาสนวิหารคริสต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ตั้งชื่อตามนักบุญไอแซคแห่งดัลเมเชีย ผู้เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช ซึ่งทรงเสด็จพระราชสมภพตรงกับวันสมโภชฉลองนักบุญไอแซค", "title": "อาสนวิหารนักบุญไอแซค" }, { "docid": "524376#0", "text": "อาสนวิหารตูลูซ () มีชื่อเต็มว่า อาสนวิหารนักบุญสเทเฟนแห่งตูลูซ () เป็นอาสนวิหารโรมันคาทอลิกและที่ตั้งของอัครมุขนายกประจำอัครมุขมณฑลตูลูซ ตั้งอยู่ที่กร็อง-รง (Grand-Rond) ในเขตเมืองตูลูซ จังหวัดโอต-การอน ในแคว้นอ็อกซีตานี ประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่นักบุญสเทเฟน", "title": "อาสนวิหารตูลูซ" }, { "docid": "941682#0", "text": "อาสนวิหารนักบุญอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (, Hram-pametnik \"Sveti Aleksandar Nevski\") เป็นคริสตจักรนิกายออร์โธดอกซ์บัลแกเรียในกรุงโซเฟีย เมืองหลวงของประเทศบัลแกเรีย มีสถาปัตยกรรมแบบนีโอไบเซนไทน์ เป็นอาสนวิหารของอัครบิดรแห่งบัลแกเรียและเป็นอาสนวิหารอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เช่นเดียวกับสัญลักษณ์หนึ่งของกรุงโซเฟีย และสถานที่ท่องเที่ยวหลัก อาสนวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟกสีมีพื้นที่ 3,170 ตารางเมตร และจุคนได้ 10,000 คน เป็นอาสนวิหารใหญ่ที่สุดอันดับที่สองในคาบสมุทรบอลข่าน ถัดจากมหาวิหารเซนต์ซาวาในเบลเกรด", "title": "อาสนวิหารอเล็กซานเดอร์ เนฟสกี (โซเฟีย)" } ]
1983
ตราสารทางการเงิน หมายถึงอะไร?
[ { "docid": "130629#0", "text": "ตราสารทางการเงิน () คือ เอกสารทางการเงินที่ผู้ออกหลักทรัพย์นำออกมาจำหน่ายเพื่อระดมเงินจากผู้ลงทุน อาจนำมาจดทะเบียนเพื่อให้มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตราสารทางการเงินอาจแบ่งออกได้เป็นตราสารแห่งหนี้ ตราสารแห่งทุน ตราสารอนุพันธ์ และ ตราสารที่มีลักษณะผสม (เช่น กึ่งหนี้กึ่งทุน)", "title": "ตราสารทางการเงิน" } ]
[ { "docid": "43476#0", "text": "ตราสารอนุพันธ์ ( บางตำราอาจเรียกว่า \"สัญญาอนุพันธ์\") เป็นตราสารทางการเงินประเภทหนึ่ง ที่มูลค่าของตราสารจะขึ้นอยู่กับกระแสเงินของสินทรัพย์อ้างอิง ไม่ได้มีค่าจากกระแสเงินของตัวตราสารเองโดยตรง ตัวอย่างของตราสารอนุพันธ์ ได้แก่ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบมาตรฐาน (futures), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบไม่มาตรฐาน (forward), ตราสารแลกเปลี่ยน (swap), ตราสารสิทธิ (option) เป็นต้น และมีสินทรัพย์ที่สามารถอ้างอิงได้คือ เงินตราต่างประเทศ ตราสารหนี้ ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น โลหะมีค่า สินค้าเกษตร น้ำมัน หรือสินค้าอื่นใดที่มีดัชนีแน่นอนรองรับการออกตราสารอนุพันธ์ได้", "title": "ตราสารอนุพันธ์" }, { "docid": "85946#0", "text": "ตราสารหนี้ หรือ ตราสารแห่งหนี้() คือ ตราสารทางการเงินที่ผู้ออกตราสาร ซึ่งเรียกว่า ผู้กู้ หรือ ลูกหนี้ มีข้อผูกพันทางกฎหมายว่าจะจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ และเงินต้น หรือ ผลประโยชน์อื่นๆ ตามกำหนดในตราสารให้แก่ผู้ซื้อ ซึ่งเรืยกว่า เจ้าหนี้ หรือ ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดที่ตกลงกันไว้ โดยทั่วไปตราสารหนี้ในตลาดทุนมักจะหมายถึง ตราสารหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป", "title": "ตราสารหนี้" }, { "docid": "210211#0", "text": "ตราสารทุน หรือ ตราสารแห่งทุน () เป็นตราสารทางการเงินที่แสดงถึงการจัดแหล่งเงินทุนจากการเป็นเจ้าของ ซึ่งจะมีความผูกพันในฐานะเจ้าของหุ้นส่วนกิจการ", "title": "ตราสารทุน" }, { "docid": "997512#0", "text": "อิสรภาพทางการเงิน () คือคำพูดที่หมายถึง การที่บุคคลหรือครอบครัวใดมีมูลค่าของทรัพย์สินมากพอที่จะดำรงชีวิตโดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับรายได้จากจากการจ้างงาน คนที่มีอิสรภาพทางการเงินมีสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (กระแสเงินสด) ที่อย่างน้อยเท่ากับที่ต้องจ่ายไป รายได้ที่มีอิสระของงานนั้นโดยทั่วไปจะเป็นบ่งถึงรายได้ทางอ้อม (รายได้ที่ไหลเข้ามาต่อเนื่อง โดยไม่ต้องใช้ทั้งแรงและเวลา หรือใช้น้อยที่สุด) และเป็นฐานรากต่อการบรรลุสู่อิสรภาพทางการเงิน", "title": "อิสรภาพทางการเงิน" }, { "docid": "43210#0", "text": "ตราสารสิทธิ หรือ ออปชัน ( บางตำราอาจเรียกว่า \"สัญญาสิทธิ\" หรือ \"ตราสารทางเลือก\") เป็นหนังสือสัญญาหรือตราสารระหว่างบุคคลสองคนตามที่ระบุในหนังสือสำคัญ มีรายละเอียดคือ ชื่อผู้ซื้อสิทธิและชื่อผู้ขายสิทธิในสินค้าอย่างหนึ่ง มีการกำหนดหมดอายุสัญญา การกำหนดราคา ในอดีตการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าบุคคลเริ่มต้นทำกันเอง เมื่อมีความเจริญติดต่อกันซื้อขายมากขึ้น จึงมีสถานที่เป็นตลาดกลาง ตราสารสิทธิก็ได้พัฒนามาจนได้รับความนิยมมากขึ้น", "title": "ตราสารสิทธิ" }, { "docid": "44240#1", "text": "ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินของสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมป์ ได้กำหนดเกณฑ์มาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ ฉบับที่ 3 เรื่องการรวมธุรกิจ โดยได้ให้ความหมายของคำว่า ค่าความนิยม หมายถึง สินทรัพย์ที่แสดงถึงผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตที่จะได้รับจากสินทรัพย์อื่นที่ได้มาจากการรวมธุรกิจ ซึ่งไม่สามารถระบุและรับรู้เป็นรายได้ แยกออกมาให้ชัดเจนได้", "title": "ค่าความนิยม" }, { "docid": "43476#16", "text": "ตลาดทางการเป็นตลาดที่มีสถานที่การทำการซื้อขายแน่นอน มีกระบวนการในการดำเนินงานเป็นไปตามกฎหมาย มีพระราชบัญญัติรองรับในการเปิดดำเนินงาน มีเวลาเปิดเวลาปิดแน่นอน ราคาซื้อขายมีการเสนอซื้อหรือขายอย่างเป็นระบบ มีช่วงห่างของการขึ้นหรือลงของราคา มีการประกาศราคาและข้อมูลในการลงทุนให้ผู้ลงทุนทราบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการประกาศผ่านระบบอินเทอร์เน็ต สถานีโทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์", "title": "ตราสารอนุพันธ์" }, { "docid": "258467#0", "text": "สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ( บางตำราอาจเรียกว่า \"ตราสารซื้อขายล่วงหน้า\" หรือ \"ตราสารล่วงหน้า\") ในทางการเงินหมายถึงสัญญามาตรฐานที่ใช้ในการซื้อหรือขายสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) หรือ ตราสารทางการเงิน (financial instrument) ตามปริมาณมาตรฐานที่ระบุ ในเวลาที่ระบุไว้ในอนาคต และตามราคาตลาดที่ระบุในอนาคต (“ราคาล่วงหน้า”) การซื้อขาย “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” ทำกันในตลาดซื้อขายล่วงหน้า (futures exchange) “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” มิใช่ ตราสารโดยตรงเช่นหุ้น พันธบัตร ใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ ใบค้ำประกัน ตามที่ระบุในรัฐบัญญัติหลักทรัพย์มาตรฐาน (Uniform Securities Act) ของสหรัฐอเมริกา แต่ก็เป็นตราสารประเภทหนึ่งของประเภทที่เรียกว่าสัญญาอนุพันธ์ (derivative contract)", "title": "สัญญาซื้อขายล่วงหน้า" }, { "docid": "19671#2", "text": "ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม เป็นความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรม โดยอาจเป็นความคิดในการประดิษฐ์คิดค้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกระบวนการ หรือเทคนิคในการผลิตที่ได้ปรับปรุงหรือคิดค้นขึ้นใหม่ หรือที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นองค์ประกอบและรูปร่างสวยงามของตัวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องหมายการค้าหรือยี่ห้อ ชื่อและถิ่นที่อยู่ทางการค้า ที่รวมถึงแหล่งกำเนิดสินค้าและการป้องกันการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม", "title": "ทรัพย์สินทางปัญญา" } ]
1985
แชคิล ราชอน โอนีลเกิดวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "22214#0", "text": "แชคิล ราชอน โอนีล () (เกิด 6 มีนาคม พ.ศ. 2515 ในเมืองนีวอร์ค รัฐนิวเจอร์ซีย์) เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า แชค (Shaq) เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลเอ็นบีเอที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง โอนีลเริ่มเล่นให้กับออร์แลนโด แมจิก ต่อมาเซ็นสัญญากับลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ ก่อนจะถูกเทรดย้ายไปไมอามี ฮีท, ฟีนิกส์ ซันส์ และ คลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ ตามลำดับ มีชื่อเสียงเรื่องตัวใหญ่ด้วยความสูง 7 ฟุต 1 นิ้ว (2.16 ม.) หนัก 340 ปอนด์ (154 กก.) และใส่รองเท้าเบอร์ 22 (ของทางสหรัฐ) มีชื่อเล่นหลายชื่อ เช่น ดีเซล (Diesel) บิ๊กอริสโตเติล (Big Aristotle) ซูเปอร์แมน (Superman) และล่าสุดเมื่อได้รับปริญญาโทบริหารธุรกิจคือ ดอกเตอร์แชค (Doctor Shaq) ซึ่งส่วนใหญ่แชคเป็นคนตั้งเอง เขาเริ่มเล่นในเอ็นบีเอตั้งแต่อายุ 20 ปี และตลอดเวลาการเล่น 13 ปี สร้างผลงานที่เยี่ยมยอดและหลายคนถือว่าเขาเป็นเซ็นเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเท่าที่เคยมีมาทีเดียว", "title": "แชคิล โอนีล" } ]
[ { "docid": "22214#1", "text": "แชคิล ราชอน (Shaquille Rashaun มาจากภาษาอาหรับ แปลว่า นักรบน้อย) เป็นชื่อที่บิดาแท้ ๆ คือ โจเซฟ โทนี (Joseph Toney) เป็นคนตั้งให้ แต่โอนีลก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับพ่อมากนัก มารดาของเขา ชื่อ ลูซีลล์ โอนีล แฮริสัน (Lucille O'Neal Harrison) แต่งงานใหม่กับทหารอเมริกันชื่อ ฟิลิป แฮริสัน (Phillip Harrison) ซึ่งแชคเห็นเขาเป็นบิดาที่แท้จริง แชคได้ใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนหนึ่งในประเทศเยอรมนี ที่ที่พ่อ (ฟิลิป) ของเขาประจำการอยู่ และได้เรียนรู้วิธีการเล่นบาสเกตบอลที่นั่น", "title": "แชคิล โอนีล" }, { "docid": "232329#0", "text": "นิโคล ริชชี () เกิดเมื่อวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1981 เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน นักเขียน สาวสังคม นักร้องและพิธีกรรายการโทรทัศน์ เธอเป็นบุตรสาวของนักร้องแนวอาร์แอนด์บี/ป็อป ไลโอเนล ริชชี เธอโด่งดังจากผลงานในรายการเรียลลิตี้ ทางช่องฟ็อกซ์ ที่ชื่อ \"The Simple Life\" ที่ร่วมกับสาวสังคมอีกคน ปารีส ฮิลตัน เพื่อนสนิทของเธอ เธอมีบุตรสาวชื่อ ฮาร์โลว์ วินเทอร์ เคต แมดเดน กับแฟนหนุ่มโจเอล แมดเดน แห่งวงกู้ด ชาร์ล็อตต์", "title": "นิโคล ริชชี" }, { "docid": "55592#4", "text": "ไมเคิล โจเซฟ แจ็กสัน เกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1958 เขาเป็นบุตรคนที่ 8 ในจำนวน 10 คน ของครอบครัวชาวแอฟริกัน-อเมริกันชั้นแรงงาน อาศัยอยู่ในบ้านสองห้องนอน บนถนนแจ็กสันสตรีท ที่เมืองแกรี รัฐอินดีแอนา ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองของชิคาโก บิดาชื่อโจเซฟ วอลเตอร์ \"โจ\" แจ็กสัน และมารดาชื่อแคเทอรีน เอสเตอร์ (สกุลเดิม สคริวส์) พ่อของเขา โจเซฟ เคยเป็นอดีตนักมวยและทำงานเป็นลูกจ้างโรงงานเหล็ก โจยังเล่นกีต้าร์ให้วงดนตรีท้องถิ่นแนวอาร์แอนด์บี ที่ชื่อ \"เดอะฟอลคอนส์\" เพื่อเสริมรายได้ให้ครอบครัว แม่ของเขา แคเทอรีน เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนาพยานพระยะโฮวา เธอเล่นคลาริเน็ตและเปียโนและเคยมีแรงบันดาลใจเป็นนักแสดงประเทศตะวันตก เธอทำงานนอกเวลาที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อสนับสนุนครอบครัว ไมเคิลเติบโตมาด้วยกันกับพี่น้องคือ รีบี แจ็กกี ติโต เจอร์เมน ลา โทยา มาร์ลอน แรนดี และเจเน็ต", "title": "ไมเคิล แจ็กสัน" }, { "docid": "214964#1", "text": "แอชลีย์ โคลเกิดวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1980ในแถบตะวันออกของลอนดอน มีส่วนสูง ประมาณ 176 เซนติเมตร น้ำหนัก 66 กิโลกรัม มีพ่อเป็นชาวบาร์เบโดส เป็นผลผลิตนักเตะเยาวชนของทีมอาร์เซนอล ในปี 1999/2000 ได้ย้ายไปเล่นกับทีมคริสตัลพาเลซ ในแบบยืมตัว 3 เดือน ลงเล่น 14 นัดทำได้ 1 ประตู และในฤดูกาลนี้เองที่ได้ลงเล่นนัดแรกในเวทีพรีเมียร์ลีกกับอาร์เซนอลในเกมสุดท้ายของลีก", "title": "แอชลีย์ โคล" }, { "docid": "348324#0", "text": "เชอรีล แอน เฟอร์นันเดส-เวอร์ซินี่ () หรือ เชอรีล โคล () หรือที่รู้จักกันในนาม เชอรีล เกิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1983 ที่นิวคาสเซิลอะพอนไทน์ ประเทศอังกฤษ เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลง นักเต้น นางแบบ ชาวอังกฤษ เชอรีลเริ่มมีชื่อเสียงเมื่อเธอเป็น 1 ในสมาชิกเกิร์ลกรุปชื่อ เกิร์ลสอะลาวด์ วงจากรายการเรียลลิตี้ทางช่องไอทีวีชื่อ \"Popstars The Rivals\" ปลายปี ค.ศ. 2002 วงประสบความสำเร็จมีซิงเกิลท็อป 10 ติดต่อกัน 20 ซิงเกิล (อันดับ 1 อยู่ 4 ซิงเกิล) ในสหราชอาณาจักร และ 5 สตูดิโออัลบั้มได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวจากองค์กรตัวแทนอุตสาหกรรมสิ่งบันทึกเสียงอังกฤษ (BPI) มี 2 อัลบั้มที่ติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร ยังได้รับการเสนอชื่อบริตอวอร์ดส 5 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005-2010 หลังจากที่วงเกิร์ลสอะลาวด์แยกย้ายกันไป เชอรีลมีอัลบั้มเดี่ยวที่ติดอันดับ 1 ในสหราชอาณาจักร 2 อัลบั้มติดต่อกัน คือชุด \"3 Words\" และ \"Messy Little Raindrops\" โดยมี 2 ซิงเกิลอันดับ 1 อย่าง \"Fight for This Love\" และ \"Promise This\" นอกจากนั้นยังได้รับเสนอบริตอวอร์ดส 1 สาขา", "title": "เชอรีล โคล" }, { "docid": "148718#0", "text": "คริสโตเฟอร์ แอชตัน คุชเชอร์ (เกิดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1978) เป็นนักแสดงชาวอเมริกันและรู้จักกันดีในสหรัฐฯในการเล่นเป็นไอเคิล เคลโซในละครโทรทัศน์เรื่อง \"That '70s Show\" เขาเป็นผู้สร้าง ผู้ผลิตพิเศษ และโฮสต์ของ MTV ช่วงโชว์คนดังในรายการ \"Punk'd\" เขายังมีชื่อเสียงมาจากบทในภาพยนตร์อย่างเช่น \"นายดุด รถตูอยู่ไหนหว่า\" \"คู่วิวาห์ หกคะเมนอลเวง\" \"เปลี่ยนตายไม่ให้ตาย\" และ \"วีรบุรุษพันธุ์อึดฝ่าทะเลเลือด\"", "title": "แอชตัน คุชเชอร์" }, { "docid": "87726#4", "text": "คริสเตียโน โรนัลโด เกิดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ที่เกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส เป็นบุตรชายของนายฌูแซ ดีนิช อาไวรู (เสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2548 ขณะมีอายุ 52 ปี) กับนางมารีอา ดูโลรึช อาไวรู เป็นบุตรชายคนเล็กในพี่น้อง 4 คน ถึงแม้ตอนเกิดเขาจะคลอดก่อนกำหนดแต่ก็มีน้ำหนักสมบูรณ์ถึง 8 ปอนด์ ทวดฝ่ายมารดาของเขา อีซาเบล ดา ปีดาดึ มีพื้นเพมาจากประเทศกาบูเวร์ดี (เคปเวิร์ด)", "title": "คริสเตียโน โรนัลโด" }, { "docid": "22214#36", "text": "จุดอ่อนอีกอย่างหนึ่งของเขาคือเรื่องน้ำหนัก โอนีลมักปรากฏตัวในแคมป์ฝึกซ้อมก่อนฤดูกาลด้วยน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ในช่วงสองสามปีสุดท้ายกับทีมลอสแอนเจลิส เลเกอรส์ เขาหนักประมาณ 350 ปอนด์ (160 กิโลกรัม) เมื่อแชคมีน้ำหนักตัวมากเกินไป เขามักมีปัญหาการบาดเจ็บโดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่โป้งเท้าข้างขวา เขามีอาการเจ็บปวดเรื้อรังที่ข้อต่อนิ้วโป้งเท้าขวาจากการวิ่ง กระโดด และดังก์ ด้วยน้ำหนักตัวที่สูงเป็นเวลามากกว่าสิบปี", "title": "แชคิล โอนีล" }, { "docid": "22214#3", "text": "เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างเมื่อเล่นที่ไฮสกูล Robert G. Cole Junior-Senior High School ในเมืองซานแอนโตนิโอ รัฐเทกซัส และได้เป็นผู้เล่นดีเด่นของโรงเรียนระหว่างเวลาที่เล่นอยู่ที่นั่น เขาเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยหลุยเซียนาสเตต (Louisiana State University, LSU) และจบปริญญาตรีในสาขาพาณิชยศาสตร์ ได้รับตำแหน่ง first team All-American สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีของ Southeastern Conference (SEC) สองครั้ง ผู้เล่นแห่งปีระดับประเทศในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) และเป็นเจ้าของสถิติของระดับมหาวิทยาลัย (NCAA) สำหรับจำนวนบล็อกสูงสุดในหนึ่งเกม ถึง 17 ครั้ง เมื่อแข่งกับมหาวิทยาลัยมิสซิสซิปปีสเตต (Mississippi State University) เมื่อ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2533", "title": "แชคิล โอนีล" } ]
2006
เมืองหลวงกัมพูชาคือเมืองอะไร?
[ { "docid": "25625#0", "text": "พนมเปญ หรือ ภนุมปึญ ( \"ภฺนุํเพญ\" ออกเสียง: ; ) อีกชื่อหนึ่งคือ \"ราชธานีพนมเปญ\" เป็นเมืองหลวงของประเทศกัมพูชา และยังเป็นเมืองหลวงของนครหลวงพนมเปญด้วย ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า ไข่มุกแห่งเอเชีย (เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1920 พร้อมกับเมืองเสียมราฐ) นับเป็นเมืองที่เป็นเป้าการท่องเที่ยวทั้งจากผู้คนในประเทศและจากต่างประเทศ พนมเปญยังมีชื่อเสียงในฐานะที่มีสถาปัตยกรรมแบบเขมรดั้งเดิมและแบบได้รับอิทธิพลฝรั่งเศส", "title": "พนมเปญ" }, { "docid": "353070#3", "text": "น้ำ ข้าว และปลาน้ำจืดเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมากต่ออาหารกัมพูชา แม่น้ำโขงไหลผ่านใจกลางประเทศกัมพูชา เมืองหลวงของประเทศคือพนมเปญตั้งอยู่ระหว่างจุดตัดของแม่น้ำโขงกับแม่น้ำโตนเลสาบและแม่น้ำบาสัก ทำให้กัมพูชามีปลาน้ำจืดอุดมสมบูรณ์ และเหมาะสมต่อการปลูกข้าว ในปัจจุบันอาหารกัมพูชามีความใกล้เคียงกับอาหารของประเทศเพื่อนบ้านคืออาหารไทยในด้านการใช้พริก น้ำตาลหรือกะทิ และอาหารเวียดนามในด้านที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารฝรั่งเศสเช่นกัน และยังได้รับอิทธิพลจากอาหารจีนอีกด้วย โดยเฉพาะอาหารจำพวกที่ใช้เส้นก๋วยเตี๋ยว อาหารจำพวกแกงที่ในภาษาเขมรเรียกว่า \"การี\" (ការី) แสดงถึงอิทธิพลของอาหารอินเดีย และยังมีอิทธิพลบางส่วนจากอาหารโปรตุเกสและอาหารสเปน ซึ่งเป็นผลจากการติดต่อค้าขาย อย่างไรก็ตามอาหารกัมพูชาไม่ได้มีรสจัดเท่าอาหารไทย อาหารลาว และอาหารมาเลเซีย", "title": "อาหารกัมพูชา" }, { "docid": "1937#1", "text": "ด้วยประชากรกว่า 14.8 ล้านคน กัมพูชาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดอันดับที่ 66 ของโลก ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งประชากรกัมพูชานับถือประมาณ 95% ชนกลุ่มน้อยในประเทศมีชาวเวียดนาม ชาวจีน ชาวจาม และชาวเขากว่า 30 เผ่า เมืองหลวงและเมืองใหญ่สุด คือ พนมเปญ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกัมพูชา", "title": "ประเทศกัมพูชา" } ]
[ { "docid": "863013#4", "text": "เมืองลำทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่ม เมื่อถึงฤดูฝนน้ำจากลำห้วยมุเคไหลบ่าท่วมบ้านเรือนราษฎรเกือบทุกปี เป็นเหตุให้ได้รับความลำบากมาก ท้าวบัวเจ้าเมืองได้อพยพราษฎรย้ายบ้านเรือนข้ามห้วยมุเคมาสร้างบ้านเรือนใหม่บนพื้นที่ดอนน้ำท่วมไม่ถึง ชาวบ้านเรียกว่า โคกจั๊กจั่น คือบริเวณหมู่บ้านรามราชในปัจจุบัน แล้วแจ้งความแก่เจ้าเมืองนครพนม เจ้าเมืองนครพนมพิจารณาเห็นว่าเมืองลำที่ย้ายมาสร้างใหม่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีจำนวนราษฎรมากขึ้น บ้านเรือนสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง มั่นคงถาวรและแข็งแรงดี อีกทั้งท้าวบัวเจ้าเมืองก็มีความเข้มแข็ง ปกครองราษฎรด้วยความสงบเรียบร้อยดี พ.ศ. ๒๓๘๗ เจ้าเมืองนครพนมจึงมีใบบอกแจ้งไปยังกรุงเทพมหานคร นำความขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฯ พ.ศ. ๒๓๘๘ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) เห็นเป็นโอกาสดีที่ไพร่พลหัวเมืองลาวเข้ามาเป็นกำลังแก่สยาม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราฯ ยกบ้านเมืองลำ (ภาษาไทยออกนามว่าบ้านเมืองราม) เป็น เมืองรามราช และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ท้าวบัวเป็นที่ พระอุทัยประเทศ เจ้าเมืองรามราช ขึ้นตรงต่อเมืองนครพนมต่อไปตามเดิม บรรดาศักดิ์ของพระอุทัยประเทศ (บัว) นี้หมายถึงเมืองพระอาทิตย์แรกขึ้น สันนิษฐานว่าทรงตั้งให้มีความหมายสอดคล้องกับชื่อเมืองท่าอุเทน นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะอาญาเมืองรามราชตามขนบธรรมเนียบการปกครองของหัวเมืองลาว ดังนี้", "title": "พระอุทัยประเทศ (บัว นิวงษา)" }, { "docid": "877781#0", "text": "กระแจะ () เป็นเมืองศูนย์กลางของจังหวัดกระแจะ ประเทศกัมพูชา มีประชากร 38,215 คน เป็นเมืองตลาดการค้า และมีตึกเก่าสมัยอาณานิคม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงซึ่งมีชายหาด และยังเป็นแหล่งอาศัยของโลมาอิรวดีอีกด้วย จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2007 โดยโครงการอนุรักษ์โลมาแม่น้ำโขง (CMDCP) พบว่า มีโลมาเหลืออยู่ 66-68 ตัวในกัมพูชา", "title": "กระแจะ (เมือง)" }, { "docid": "154047#8", "text": "อสูรกายภูมิในเรื่องนี้เป็นภพอสูร มีเมืองเอกอยู่ด้วยกันสี่เมือง คือเมืองอุตรกุรุทางทิศเหนือ เมืองบุรพวิเทหะทางตะวันออก เมืองอมรโคยานทางตะวันตก เมืองชมพูทางใต้ ตรงกลางมีต้นจิตตปาลิ (ต้นแคฝอย) ใหญ่ เป็นต้นไม้หลักทวีป มีคำอธิบายในเรื่องว่า \"พวกอสูรกินผลของจิตตปาลิ ถากเปลือกไม้จิตตปาลิมาสร้างบ้าน แต่กิ่งก้านของมหาพฤกษายังถูกนำมาม้วน แล้วชุบน้ำมันทำเป็นกระบองแน่นเหนียวซึ่งพวกอสูรใช้เป็นอาวุธกันอย่างแพร่หลาย\"", "title": "ลำนำหกพิภพ" }, { "docid": "178200#0", "text": "กันดาล หรือ ก็อนฎาล () เป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศกัมพูชา มีตาเขมาเป็นเมืองหลักของจังหวัด พื้นที่ของจังหวัดนี้โอบล้อมกรุงพนมเปญซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ", "title": "จังหวัดกันดาล" }, { "docid": "671844#2", "text": "เมืองหลักของจังหวัดคือเมืองแสนมโนรมย์ซึ่งตั้งอยู่ในตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัด ห่างจากเมืองหลวงของกัมพูชา พนมเปญ ประมาณ 390 กิโลเมตร (240 ไมล์)", "title": "จังหวัดมณฑลคีรี" }, { "docid": "819637#1", "text": "แขวงไชยสมบูรณ์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เป็นแขวงลำดับที่ 18 ของประเทศ (รวมนครหลวง) ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะปกครองแขวงและเมืองมีความสะดวกที่จะพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวให้เจริญอย่างรวดเร็วและทั่วถึงเหมือนเมืองอื่น ๆ โดยพร้อมกันนั้นได้เปลี่ยนชื่อเมืองเอกจากเมืองไชยสมบูรณ์เป็นเมืองอะนุวงตามพระนามเจ้าอนุวงศ์ พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์พระองค์สุดท้าย และแบ่งเขตปกครองออกเป็น 5 เมือง ในจำนวนนี้ตั้งขึ้นใหม่ 3 เมือง ได้แก่ เมืองล้องซาน แยกออกจากเมืองฮ่ม เมืองล้องแจ้ง และเมืองอะนุวง ตั้งขึ้นจากเมืองไชยสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังย้ายเมืองท่าโทมซึ่งเคยเป็นเขตปกครองของแขวงเชียงขวางมาขึ้นต่อแขวงไชยสมบูรณ์ด้วย", "title": "แขวงไชยสมบูรณ์" }, { "docid": "178295#0", "text": "พระวิหาร หรือ เปรียะวิเฮีย () เป็นจังหวัดสำคัญทางภาดเหนือของประเทศกัมพูชา มีชายแดนติดกับประเทศไทยทางด้านจังหวัดศรีสะเกษ มีเมืองพนมตะแบงมีชัยเป็นเมืองหลักของจังหวัด จังหวัดนี้เป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหารซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่มีปัญหาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน และได้เกิดกรณีพิพาทเรื่องปราสาทหินนี้จนต้องมีการตัดสินในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2505", "title": "จังหวัดพระวิหาร" }, { "docid": "934066#0", "text": "ไพรแวง หรือ กรุงไพรแวง () เป็นเมืองหลักของจังหวัดไพรแวง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศกัมพูชา เมืองนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวฝรั่งเศสในยุคอินโดจีน ซึ่งสถาณที่หลายแห่งทรุดโทรมแล้ว มีทะเลสาบขนาดใหญ่ทางตะวันตกของเมือง ซึ่งโดยปกติจะแห้งตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนสิงหาคม", "title": "ไพรแวง (เมือง)" } ]
2016
ประเทศโรมาเนียตั้งอยู่ที่ภูมิภาคไหน?
[ { "docid": "5360#0", "text": "โรมาเนีย (; , ) แต่ก่อนเรียกว่า รูมาเนีย () เป็นประเทศในทวีปยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ มีอาณาเขตทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดประเทศยูเครนและประเทศมอลโดวา ทิศตะวันตกจดประเทศฮังการีและประเทศเซอร์เบีย ทิศใต้จดประเทศบัลแกเรีย โรมาเนียมีชายฝั่งบนทะเลดำด้วย", "title": "ประเทศโรมาเนีย" } ]
[ { "docid": "33171#14", "text": "รายชื่อของรีโอนีทั้งหมดในยุคใหม่ มีดังต่อไปนี้โรมตั้งอยู่ในแคว้นลัตซีโยทางตอนกลางของอิตาลี ริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ นิคมแรกเริ่มตั้งขึ้นบนเนินเขาที่หันหน้าไปทางบริเวณน้ำตื้นด้านข้างเกาะไทเบอร์ ซึ่งเป็นบริเวณน้ำตื้นตามธรรมชาติเพียงแห่งเดียวตามลำน้ำในพื้นที่นี้ Rome of the Kings สร้างขึ้นบนเนินเขาเจ็ดแห่ง ได้แก่ เนินเขา Aventine เนินเขา Caelian เนินเขา Capitoline เนินเขา Esquiline เนินเขา Palatine เนินเขา Quirinal และเนินเขา Viminal นอกจากนี้ โรมในยุคใหม่ยังมีพื้นที่พาดผ่านแม่น้ำอานีเอเน ที่บรรจบกับแม่น้ำไทเบอร์บริเวณทางเหนือของศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์", "title": "โรม" }, { "docid": "189043#0", "text": "เขตฝั่งโรมาเนีย (, ) เป็นดินแดนที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน ระหว่างการบุกครองโปแลนด์ ในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1939 ผู้บัญชาการกองทัพโปแลนด์ จอมพลเอ็ดเวิร์ต ริดซ์ สมิกลี่ ออกคำสั่งให้กองทัพโปแลนด์ทั้งหมดถอยมาทำการสู้รบทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำวิสตูล่า และหลบหนีไปทางแนวเขาที่ติดกับชายแดนโรมาเนียและสหภาพโซเวียต", "title": "หัวสะพานโรมาเนีย" }, { "docid": "605841#0", "text": "สฟานตูกีออร์เก หรือ สฟินตูกีออร์เก () เป็นเมืองในประเทศโรมาเนียตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศ ในภูมิภาคทรานซิลเวเนีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำออลต์", "title": "สฟานตูกีออร์เก" }, { "docid": "8109#9", "text": "สโลวีเนียตั้งอยู่ในบริเวณภูมิภาคกลางและตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปติดกับเทือกเขาแอลป์และมีชายฝั่งติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตั้งอยูที่ละติจูด 45 องศาถึง 47 องศาเหนือและจากลองจิจูด 13 องศาถึง 17 องศาตะวันออก โดยเส้นเมริเดียนที่ 15 องศาตะวันออกเป็นเส้นที่เกือบจะแบ่งประเทศเป็น2ฝั่งพอดี เซนทรอยด์ของสโลวีเนียตั้งอยู่ที่พิกัด 46°07'11.8\" N และ 14°48'55.2\" E ในซิลิบนาเขตเทศบาลลิทิยา ทริกลาฟคือจุดสูงสุดของสโลวีเนียมีความสูง 2,864 เมตร ประเทศสโลวีเนียมีค่าเฉลี่ยอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 557 เมตร", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" }, { "docid": "273411#0", "text": "พอเมอเรเนีย () หรือ พ็อมเมิร์น () หรือ โพมอร์ซ () เป็นอาณาบริเวณในประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยูทางฝั่งใต้ของทะเลบอลติก เป็นบริเวณที่แบ่งระหว่างโปแลนด์กับเยอรมนีปัจจุบัน ภูมิภาคพอเมอเรเนียครอบคลุมตั้งแต่แม่น้ำเรคนิทซ์ (Recknitz) ใกล้เมืองชตรัลซุนด์ทางตะวันตก ไปทางปากแม่น้ำโอเดอร์ไกล้เมืองชเชตชีน ไปยังปากแม่น้ำวิสตูลาไกล้เมืองกดัญสก์ (Gdańsk) ทางตะวันออก ภูมิภาคพอเมอเรเนียเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวโปแลนด์ ชาวเยอรมัน และชาวคาชูเบีย (Kashubians) เป็นบริเวณที่ได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักในคริสต์ศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อมีการเคลื่อนย้ายประชากร", "title": "พอเมอเรเนีย" }, { "docid": "5360#14", "text": "ประเทศโรมาเนียแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 41 เทศมณฑล (counties) กับ 1 เทศบาลนคร (municipality) ได้แก่\nโรมาเนียประสบปัญหาเศรษฐกิจถดถอยกว่า 3 ปี ก่อนที่จะสามารถฟื้นตัวขึ้นได้ในปี 2543 จากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นของตลาดสหภาพยุโรป ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา โรมาเนียประสบปัญหาหลัก 4 ประการ คือ (1) การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้สินทั้งของภาครัฐและเอกชน (2) ปัญหาค่าเงินเลตกต่ำ (3) ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ (4) ปัญหาระบบธนาคาร ซึ่งรัฐบาลโรมาเนียได้พยายามดำเนินมาตรการจำเป็นต่างๆ เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ และระบบราชการ รวมทั้งแก้ปัญหาการขาดความชัดเจนด้านกฎหมาย ปัญหาด้านศุลกากร และปัญหาคอรัปชั่น ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการระดมทุนจากต่างประเทศ", "title": "ประเทศโรมาเนีย" }, { "docid": "498191#0", "text": "ทรานส์นีสเตรีย () หรือ พรีดเนสโตรวี () เป็นภูมิภาคแห่งหนึ่งของประเทศมอลโดวา ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำนีสเตอร์กับชายแดนมอลโดวา (ด้านที่ติดกับประเทศยูเครน) ปัจจุบันบริเวณนี้ถูกปกครองโดย สาธารณรัฐมอลเดเวียพรีดเนสโตรวี () ซึ่งมีอยู่เพียงสามประเทศเท่านั้นที่ให้การรับรองเอกราช ได้แก่ อับฮาเซีย, เซาท์ออสซีเชีย และสาธารณรัฐนากอร์โน-คาราบัค (สามประเทศนี้ ประเทศส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้การรับรองเช่นกัน) รัฐบาลมอลโดวาถือว่าทรานส์นีสเตรียอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยและยังคงเป็นส่วนหนึ่งของตน โดยมีสถานะเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมกันในประเทศอดีตสหภาพโซเวียต แม้ว่ารัฐบาลมอลโดวาจะไม่มีอำนาจปกครองในดินแดนนี้แล้วก็ตาม", "title": "ทรานส์นีสเตรีย" }, { "docid": "8109#10", "text": "4 ภูมิภาคหลักในยุโรปเจอได้ในสโลวีเนีย: เทือกเขาแอลป์ ที่ราบพันโนเนีย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและไดนาริกแอลป์ ถึงแม้ว่าชายฝั่งทะเลเอเดรียติกจะใกล้กับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแต่พื้นที่ของสโลวีเนียส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณลุ่มน้ำของทะเลดำ เทือกเขาแอลป์รวมทั้งจูเลียนแอลป์ เทือกเขาแคมนิก-ซาวินยาแอลป์ เทือกเขาคาราเวกซ์ร่วมทั้งเทือกเขาโพโฮเจห์ครอบคลุมสโลวีเนียตอนเหนือตามแนวชายแดนออสเตรีย ชายฝั่งของประเทศสโลวีเนียจากอิตาลีถึงโครเอเชียยาวประมาณ 47 กิโลเมตร", "title": "ประเทศสโลวีเนีย" }, { "docid": "31637#31", "text": "เยอรมนีตั้งอยู่ในเขตที่ราบต่ำตอนกลางทวีปยุโรป มีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่สามแห่ง ได้แก่ เขตที่ราบต่ำตอนเหนือ เขตภูเขาตอนกลาง และเขตที่ราบสูงและลุ่มแม่น้ำทางใต้ ดินทางตอนเหนือนั้นมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมาก และมีป่าสนกินอาณาเขตกว้างขวางตามตีนเขาของเทือกเขาที่ลากผ่านตอนกลางของประเทศ", "title": "นาซีเยอรมนี" }, { "docid": "44961#0", "text": "ไมโครนีเซีย () เป็นชื่อกลุ่มเกาะที่อยู่ทางตอนเหนือของทวีปโอเชียเนีย ส่วนใหญ่ในอดีตมักตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐอเมริกาในฐานะดินแดนในภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติแทบทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อก่อนนี้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศเยอรมนี ซึ่งต่อมาประเทศญี่ปุ่นได้ไปยึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1และถูกยึดไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยกเว้นสาธารณรัฐคิริบาสเท่านั้นที่เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ที่สำคัญคือภูมิภาคนี้ยังเป็นสมรภูมิการรบภาคพื้นแปซิฟิกระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาด้วย ทั้งที่ประเทศคิริบาส เกาะเวก เกาะนิวกินี และที่อื่น ๆ ด้วย สำหรับภูมิภาคไมโครนีเซียประกอบด้วย 5 ประเทศและ 2 ดินแดน คือ", "title": "ไมโครนีเซีย (ภูมิภาค)" } ]
2019
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "6349#27", "text": "ในปี พ.ศ. 2525 ทรงพระราชดำริให้ก่อตั้งโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับบุตรหลานข้าราชบริพารและประชาชนทั่วไป เปิดทำการสอนครั้งแรกในปีการศึกษา 2525 โดยทรงดำรงตำแหน่งเป็นองค์ประธานกรรมการคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ และทรงเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทุกครั้ง รวมถึงเสด็จพระราชดำเนินไปในงานปิดภาคเรียนของโรงเรียนทุกครั้ง เพื่อพระราชทานทุนพระราชทานส่งเสริมการเรียนดี และพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานจากสถานศึกษาต่าง ๆ คือ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ วิทยาลัยในวังชาย วิทยาลัยในวังหญิง โรงเรียนผู้ใหญ่พระดาบส ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) กาญจนาภิเษกวิทยาลัย (ช่างทองหลวง)", "title": "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี" } ]
[ { "docid": "199432#2", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยสระบุรี เดิมมีชื่อว่า โรงเรียนปากเพรียววิทยาคม สังกัดกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 โดยเปิดสอนระดับมัธยม โดยเปิดเรียนวันแรก ในวันที่ 12 พฤษภาคมพ.ศ. 2537 มีนักเรียนจำนวน 109 คน ครูจำนวน 6 คน มีนายไพบูรย์ เพ็งพูล เป็นผู้บริหารคนแรกและบุกเบิกก่อตั้ง ในระยะแรกอาคารเรียนยังก่อตั้งไม่เสร็จ ได้ขออาศัยวัดสุวรรณคีรี ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามในปัจจุบันเป็นที่ทำการเรียนการสอนนักเรียนอยู่ประมาณ 2 ปีเศษ จึงได้ย้ายมาพื้นที่ปัจจบัน ตั้งแต่วันที่ 12 กันยนยน 2539 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน โรงเรียนมีอาคารเรียน 3 อาคารต่อมาผู้อำนวยการ จตุรงค์ เกิดปั้น เป็นผู้นำสู่การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาโรงเรียนครั้งสำคัญ จากโรงเรียนปากเพรียววิทยาคม\nจากมติที่ประชุมของโรงเรียน ซึ่งดำรงโดยผู้อำนวยการจตุรงค์ เกิดปั้น ได้ดำเนินการ สมาคมศิษย์เก่า และสมาคมครูผู้ปกครอง ในพระบรมราชูปถัมป์ พร้อมด้วยโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มีมติให้โรงเรียนปากเพรียววิทยาคม เป็นเครือข่ายของโรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่ 8 โดยให้ชื่อว่า \" โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี \" ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2549ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา โรงเรียนจึงเปลี่ยนชื่อย่างเป็นทางการว่า โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี SuanKularb Wittayalai Saraburi โดยผู้อำนวยการ จตุรงค์ เกิดปั้น จนกระทั่งเกษียณอายุราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2552 ในปัจจุบันท่านที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี คือ ท่านผู้อำนวยการธนิต มูลสภา", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี" }, { "docid": "390184#0", "text": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช () (อักษรย่อ: ส.ก.นศ., S.K.NS.) เดิมชื่อ \"โรงเรียนลานสกาประชาสรรค์\" ก่อตั้งเมื่อปีพุทธศักราช 2516 ต่อมาได้รับการยกฐานะโดยอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายชินวรณ์ บุญเกียรติ มีดำริจะให้มีโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยภาคใต้ และมองเห็นความพร้อมของโรงเรียนลานสกาประชาสรรค์ในด้านต่างๆ จึงได้ออกประกาศลงวันที่ 3 มีนาคม 2554 ยกฐานะจากโรงเรียนลานสกาประชาสรรค์ เป็นโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช หรือเรียกโดยย่อว่า “สวนนคร” เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา ประเภทสหศึกษา ในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย ลำดับที่สิบเอ็ด ให้การศึกษาในระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 12 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ รหัสสถานศึกษา 1080210784 มีเนื้อที่ 42 ไร่ 3 งาน 69 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 109 หมู่ที่ 11 ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช" }, { "docid": "37324#46", "text": "สมาคมผู้ปกครองและครู สวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี () ก่อตั้งในนามชมรม เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2523 ตามมติของที่ประชุมร่วมกันระหว่าง นางอัมพา แสนทวีสุข ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ, ศิษย์เก่าโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และผู้มีอุปการคุณต่อโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี เพื่อเป็นหน่วยงานสนับสนุนการดำเนินงานพัฒนาโรงเรียนในด้านต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว เนื่องจากศักยภาพของภาครัฐมีจำกัด โดยมี นาวาอากาศเอก ยุทธพงศ์ กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) เป็นประธานชมรม (และนายกสมาคมฯ คนแรก) ต่อมา คณะกรรมการชมรมฯ จึงยื่นคำขออนุญาตจดทะเบียนในรูปสมาคม เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ปัจจุบันมีนายวิชัย บรรดาศักดิ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครปากเกร็ด เป็นนายกสมาคมฯ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "37324#1", "text": "โดยกรมสามัญศึกษา (ปัจจุบัน : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) ได้รับบริจาคที่ดุน จากนายผาสุก และนางเง็ก มณีจักร สองสามีภรรยา คหบดีชาวอำเภอปากเกร็ด ที่มีความประสงค์ให้สร้างโรงเรียนในเครือสวนกุหลาบวิทยาลัย บนพื้นที่ดังกล่าว จึงเกิดการประสานงานจัดตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2521 เดิมให้ชื่อไว้ว่า “โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ๒ (ผาสุก มณีจักร)” และมอบหมายให้ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รักษาราชการในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน จนถึงปลายปีถัดมา จึงเปลี่ยนชื่อโรงเรียน เป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และในปีเดียวกัน นางอัมพา แสนทวีสุข ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรก และเลื่อนฐานะขึ้นเป็นผู้อำนวยการคนแรกของโรงเรียนฯ ในเวลาต่อมา", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "37324#48", "text": "ชมรมครูเก่า สวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ก่อตั้งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 เพื่อเป็นหน่วยประสานงานกลาง ระหว่างอดีตครู-อาจารย์ของโรงเรียนฯ รวมทั้งจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกชมรมฯ ตลอดจนให้การสนับสนุน ส่งเสริมโดยประการต่างๆ แก่สมาชิก โรงเรียนฯ และชุมชน โดยมีการประสานงานจัดประชุมครูเก่าเป็นครั้งแรก เพื่อลงมติจัดตั้งชมรมฯ อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ กลุ่มอดีตคณาจารย์ จำนวน 18 ท่าน ลงความเห็นให้ นางกอบเกื้อ โคกสีอำนวย อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ทำหน้าที่รักษาการประธานชมรมฯ เป็นการชั่วคราว", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "390184#2", "text": "โรงเรียนลานสกาประชาสรรค์ ปัจจุบันชื่อ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช เปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2516 โดยระยะเริ่มแรกได้อาศัยสถานที่ชั่วคราว ที่อาคารเรียนของโรงเรียนวัดดินดอน และโรงฉันวัดดินดอน โดยมี นายสถิต ไชยรัตน์ ครูตรีจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศได้รับแต่งตั้งมาดำรงตำแหน่งครูใหญ่ และขอครูประชาบาลมาช่วยสอนสองท่าน คือ นายภิรมณ์ รอดสรี และนายโสภณ จิราสิต ระยะแรกเปิดเรียนชั้น ม.ศ.1 มีนักเรียน 90 คน เปิดห้องเรียนและในปีเดียวกันนี้เองได้รับอัตราครูประจำการมาจำนวน 4 อัตรา", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นครศรีธรรมราช" }, { "docid": "279703#1", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี ประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2535 โดยเป็นโรงเรียน 1 ใน 9 โรงเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งเพื่อเฉลิมพระเกียรติในมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมมายุ 60 พรรษา ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถว่า \"นวมินทราชินูทิศ\" และโดยที่กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้อยู่ในความดูแลของโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในระยะเริ่มแรก กระทรวงศึกษาธิการจึงให้เติมต่อท้ายชื่อ ว่า \"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี\" และได้รับมอบหมายให้นายผจง อุบลเลิศ ครูโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในขณะนั้นเป็นผู้ประสานการจัดตั้งและดูแล โดยต่อมาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานีคนแรก", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี" }, { "docid": "37324#49", "text": "สมาคมศิษย์เก่า สวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ก่อตั้งเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2544 ตามหนังสืออนุญาตจัดตั้งสมาคม โดยคณะศิษย์เก่าของโรงเรียนฯ จำนวน 18 คน มีมติร่วมกันก่อตั้งเป็นสมาคม โดยผู้อำนวยการโรงเรียนฯ อนุญาตให้ใช้สถานที่ของโรงเรียนฯ เป็นที่ทำการของสมาคมฯ รวมถึงขออนุญาตใช้ชื่อโรงเรียนเป็นชื่อสมาคมฯ จากสำนักงานสามัญศึกษาจังหวัดนนทบุรีด้วย", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี" }, { "docid": "279703#4", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ พร้อมกันนี้ พระองค์ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อโรงเรียนมัธยมศึกษาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ว่า \"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ\"และเนื่องจากในระยะเริ่มต้นของการก่อตั้งโรงเรียนนั้น กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นผู้ประสานงานการจัดตั้งโรงเรียน ดังนั้น โรงเรียนนวมินทราชินูทิศแห่งนี้ จึงลงท้ายชื่อโรงเรียนว่า \"สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี\" โดยความหมายของชื่อโรงเรียนนั้น สามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ \nดังนั้น นาม \"นวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี\" จึงมีความหมายว่า โรงเรียนสาขาแห่งสวนกุหลาบวิทยาลัย ณ จังหวัดปทุมธานี ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อถวายแด่พระราชินีแห่งพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี" }, { "docid": "7078#3", "text": "เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2325 เมื่อแรกสร้างพระบรมมหาราชวังในสมัยรัชกาลที่ 1 บริเวณวังข้าง ด้านใต้หมดเพียงป้อมอนันตคิรี กำแพงพระราชวังหักตรงไปทางตะวันตกจนถึงป้อมสัตบรรพตในระหว่าง กำแพงพระบรมมหาราชวังกับวัดพระเชตุพนมีบ้านเสนาบดีและวังเจ้า คั่นอยู่หลายบริเวณ", "title": "โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย" } ]
2022
จังหวัดสุโขทัย อยู่ทางภาคใดของไทย ?
[ { "docid": "5487#1", "text": "จังหวัดสุโขทัยเป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อ 700 ปีที่แล้ว คำว่า \"สุโขทัย\" มาจากสองคำ คือ \"สุข+อุทัย\" หมายความว่า \"รุ่งอรุณแห่งความสุข\" รอยอดีตแห่งความรุ่งเรืองเห็นได้จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัยซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวไทยและต่างประเทศ\nตามการแบ่งจังหวัดเป็นภาคโดยคณะกรรมการภูมิศาสตร์แห่งชาติและราชบัณฑิตยสภา จังหวัดสุโขทัยตั้งอยู่ในภาคกลาง บริเวณตอนบนของภาค หากแบ่งเขตตามการพยากรณ์อากาศและเศรษฐกิจ สังคม จะจัดอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง ห่างจากกรุงเทพมหานครตามระยะทางหลวงแผ่นดินประมาณ 440 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้", "title": "จังหวัดสุโขทัย" }, { "docid": "5487#0", "text": "สุโขทัย (, เดิมสะกดว่า ศุโขไทย) เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของประเทศไทย มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดแพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร ตาก และลำปาง (เรียงตามเข็มนาฬิกาจากด้านเหนือ)", "title": "จังหวัดสุโขทัย" } ]
[ { "docid": "5487#2", "text": "พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดสุโขทัยจะเป็นที่ราบลุ่ม ทางตอนเหนือและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นที่ราบสูง มีเขาหลวงเป็นภูเขาที่มีความสูงที่สุด วัดจากระดับน้ำทะเลมีความสูงประมาณ 1,200 เมตร โดยมีแนวภูเขายาวเป็นพืดทางด้านทิศตะวันตก ส่วนพื้นที่ตอนกลางของจังหวัดจะเป็นที่ราบ มีแม่น้ำยมไหลผ่านจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ผ่านอำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ ช่วงที่ไหลผ่านจังหวัดสุโขทัยยาวประมาณ 170 กิโลเมตร", "title": "จังหวัดสุโขทัย" }, { "docid": "60397#11", "text": "ตั้งอยู่บนถนนจรดวิถีถ่อง ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยมาตามทางหลวงหมายเลข 12 (สุโขทัย-ตาก) ประมาณ 12 กม. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00-21.00 น. นักท่องเที่ยวชาวไทย 5 บาท ชาวต่างชาติ 500 บาท และเวลา 9.00-21.00 น. โบราณสถานต่างๆ ถูกสาดส่องด้วยแสงไฟ{{อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย}", "title": "วัดศรีชุม (จังหวัดสุโขทัย)" }, { "docid": "109238#1", "text": "อำเภอนครไทยห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 107 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้\nขอมเป็นชนชั้นปกครองเมืองของชาวไทยต่างๆอยู่ก่อน ต่อมาพ่อขุนศรีนาวนำถุมเป็นคนแรกที่รวบรวมเมืองแถบลุ่มแม่น้ำยมแม่น้ำน่านจัดตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้น ต่อมาถูกขอมสบาดโขลญลำพงยึดอำนาจได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรสุโขทัย ขอมจึงกลับมามีอำนาจอีก ทำให้พ่อขุนศรีอินทราทิตย์(พ่อขุนบางกลางหาว) ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าเมืองบางยาง คือ นครไทยในปัจจุบัน จึงมือร่วมกับพ่อขุนผาเมือง(พระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถุม) เจ้าเมืองลุ่ม เมืองหล่มเก่าในปัจจุบัน ยกทัพไปชิงเอาคืน โดยพ่อขุนบางกลางหาวไปตีเมืองศรีสัชนาลัย พ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัย ได้ชัยชนะทั้งสองเมือง พ่อขุนผาเมืองยกเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาว พ่อขุนบางกลางหาวก็ขึ้นเป็นเจ้าเมืองสุโขทัย ในพ.ศ. 1792 เฉลิมพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์", "title": "อำเภอนครไทย" }, { "docid": "114522#3", "text": "ถนนในช่วงสุโขทัย–พิษณุโลก มีชื่อเรียกว่า ถนนสิงหวัฒน์ เริ่มต้นในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย มุ่งไปยังทิศตะวันออก บรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 125 หรือถนนเลี่ยงเมืองสุโขทัย จากนั้นผ่านอำเภอกงไกรลาศ เข้าสู่จังหวัดพิษณุโลก ผ่านอำเภอพรหมพิราม จากนั้นเข้าสู่อำเภอเมืองพิษณุโลก ตัดกับถนนวงแหวนรอบเมืองพิษณุโลกด้านทิศเหนือ หรือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 126 ที่แยกเลี่ยงเมือง (บ้านกร่าง) จากนั้นผ่านศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พิษณุโลก ศาลหลักเมืองพิษณุโลก ศาลากลางจังหวัดพิษณุโลก สิ้นสุดที่เชิงสะพานนเรศวรริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก ภายในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก", "title": "ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12" }, { "docid": "296771#0", "text": "สโมสรฟุตบอลจังหวัดสุโขทัย เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย ปัจจุบันลงแข่งขันในระดับไทยลีก โดยสโมสรลงแข่งขันในลีกสูงสุดของประเทศไทยเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2559 หลังจากคว้าอันดับ 3 ได้ในไทยลีกดิวิชัน 1 2558 และได้เลื่อนชั้นขึ้นสู่ไทยลีก สโมสรยังเคยได้ตำแหน่งชนะเลิศร่วม ช้าง เอฟเอคัพ 2559 และได้สิทธิ์แข่งขัน เอเอฟซีแชมเปียนส์ลีก ด้วย ในปี 2560\nสโมสรฟุตบอลจังหวัดสุโขทัย ได้เริ่มก่อตั้งและส่งทีมแข่งขันในฟุตบอลลีกระดับประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2552 โดยมี จักรินทร์ เปลี่ยนวงษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย (ในขณะนั้น) เป็นประธานสโมสร โดยลงทำการแข่งขัน ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 2552 โดยมีฉายาของทีมว่า \"ค้างคาวไฟ\" เนื่องจากใน จังหวัดสุโขทัย มีแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถพบ ค้างคาว ได้จำนวนมาก ณ เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าถ้ำเจ้าราม ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อำเภอทุ่งเสลี่ยม และ อำเภอศรีสำโรง โดยในระยะแรกสโมสรใช้นักฟุตบอลท้องถิ่นในจังหวัด ผสมกับ นักฟุตบอลจาก สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุโขทัย ซึ่งผลงานในปีแรก จบอันดับที่ 7 จาก 12 สโมสร โซนภาคเหนือ โดยผลงานในช่วงนั้น สโมสรจบในอันดันค่อนท้ายตารางเป็นส่วนใหญ่", "title": "สโมสรฟุตบอลสุโขทัย" }, { "docid": "7585#1", "text": "จังหวัดสุรินทร์ตั้งอยู่ทางตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างลองติจูด 103 และ 105องศาตะวันออก ละติจูด 15 และ 16 องศาเหนือ ระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 420 กิโลเมตร อาณาเขตทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ดและจังหวัดมหาสารคาม ทิศใต้ ติดต่อกับประเทศกัมพูชา ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ และทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดสุรินทร์ตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบสูงมีลักษณะพื้นที่ดังนี้ลักษณะของดินในจังหวัดสุรินทร์ เป็นดินร่วนปนทราย มีบางพื้นที่ เช่น อำเภอเขวาสินรินทร์ เป็นดินเหนียวปนทราย ฉะนั้นดินในจังหวัดสุรินทร์จึงอุ้มน้ำได้น้อย", "title": "จังหวัดสุรินทร์" }, { "docid": "108913#0", "text": "อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีอำนาจอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 - 19 ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (เขตเทศบาลตำบลเมืองเก่า) อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน (เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี) ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (ถนนจรดวิถีถ่อง)", "title": "อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย" }, { "docid": "6744#4", "text": "จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดชายทะเลอ่าวไทย มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่ากลางจังหวัด เป็นจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคกลางตอนล่างของประเทศไทยประมาณเส้นรุ้งที่ 13 องศาเหนือ และเส้นแวงที่ 100 องศาตะวันออก เป็นจังหวัดปริมณฑล มีพื้นที่ติดกับเขตหนองแขม เขตบางบอน และเขตบางขุนเทียนของกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 872.347 ตารางกิโลเมตรจังหวัดสมุทรสาครมีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1.00 - 2.00 เมตร มีแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านตอนกลางจังหวัด ไหลคดเคี้ยวจากแนวเหนือลงใต้สู่อ่าวไทยที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร ระยะทางยาวประมาณ 70 กิโลเมตร พื้นที่ตอนบนในเขตอำเภอบ้านแพ้วและอำเภอกระทุ่มแบน มีความอุดมสมบูรณ์ของดินและมีโครงข่ายแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงถึงกันกระจายอยู่ทั่วพื้นที่กว่า 170 สาย จึงเหมาะที่จะทำการเพาะปลูกพืชนานาชนิด และบางส่วนเป็นย่านธุรกิจ อุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย พื้นที่ตอนล่างของจังหวัดในเขตอำเภอเมืองสมุทรสาครอยู่ติดชายฝั่งทะเลยาว 41.8 กิโลเมตร จึงเหมาะที่จะประกอบอาชีพประมงทะเล เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งและทำนาเกลือ ในช่วงฤดูฝนบางพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมหนัก ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเสียหายอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการเกษตร", "title": "จังหวัดสมุทรสาคร" } ]
2026
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก่อตั้งเมื่อไหร่?
[ { "docid": "102559#0", "text": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคใต้ เริ่มก่อตั้งที่ตำบลรูสมิแล อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี เมื่อปี พ.ศ. 2509 ในระยะแรกใช้ชื่อว่า \"มหาวิทยาลัยภาคใต้\" (UNIVERSITY OF SOUTHERN THAILAND) ต่อมา ในเดือนกันยายน 2510 มหาวิทยาลัยฯได้รับพระราชทานชื่อว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (PRINCE OF SONGKLA UNIVERSITY) ตามพระนามฐานันดรศักดิ์ สมเด็จพระบรมราชชนก เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์ ในวันที่ 12 มีนาคม 2511 ได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศใชัพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้วันที่ 13 มีนาคม ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้ เป็นวันสถาปนามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้กำหนดเป้าหมาย เพื่อการพัฒนาภาคใต้ ตามแผนพัฒนาการศึกษา อันเป็นพื้นฐาน ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และเสมอภาคของประชาชน และเพื่อเป็นแหล่งบริการวิชาการชุมชน ทั้งในชนบทและในเมือง", "title": "คณะพาณิชยศาสตร์และการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "3703#31", "text": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้เริ่มดำเนินการก่อตั้งที่ตำบลรูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อ พ.ศ. 2509 โดยในเวลาดังกล่าวมหาวิทยาลัยมีสำนักงานชั่วคราวอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ต่อมาในปี 2510 มหาวิทยาลัย ได้เปิดรับนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์เป็นคณะแรก และในปี 2511 ก็เปิดรับนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ โดยอาศัยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นที่ทำการเช่นเดียวกัน เมื่อการก่อสร้างอาคารที่ปัตตานีแล้วเสร็จเป็นบางส่วนในภาคการศึกษาที่ 2 นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ และบุคลากรมหาวิทยาลัยก็ได้ย้ายมาอยู่ที่วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี พร้อมกันเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2511 ดังนั้นในวันที่ 9 พฤศจิกายนของทุกปีจึงเรียกว่าวัน “รูสะมิแล” ซึ่งมีความหมายว่า “สนเก้าต้น” ตามชื่อตำบลที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเพื่อระลึกถึงการมาอยู่ที่ตำบลรูสะมิแลวันแรก", "title": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "3703#0", "text": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (อังกฤษ: Prince of Songkla University; อักษรย่อ: ม.อ.) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคใต้ของประเทศไทย ตาม พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พ.ศ. ๒๕๑๑ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2510 ต่อมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานชื่อเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2510 จึงถือว่าวันที่ 22 กันยายนของทุกปี เป็นวันสงขลานครินทร์ ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552", "title": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" } ]
[ { "docid": "335862#1", "text": "การก่อสร้างมหาวิทยาลัยที่ศูนย์ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลานั้น เริ่มก่อสร้างในปี 2512 เมื่อการก่อสร้างบางส่วนแล้วเสร็จในปี 2514 วันที่ 5 กรกฎาคม 2514 อาจารย์และนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ ปีที่ 2, 3 และ 4 ประมาณ 200 คน ก็ย้ายมาอยู่ประจำที่ศูนย์หาดใหญ่ ส่วนนักศึกษาปีที่ 1 ก็ยังคงเรียนที่กรุงเทพฯ และย้ายตามลงมาในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2515 สำหรับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ซึ่งเริ่มเปิดรับรุ่นแรกในปี 2512 จำนวน 60 คน และบุคลากรหน่วยต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ก็ย้ายมายังศูนย์หาดใหญ่ในภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2515เช่นเดียวกัน จึงถือว่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ย้ายที่ทำการมาอยู่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา อย่างถาวรภายในปี 2514", "title": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่" }, { "docid": "102562#1", "text": "เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางด้านการแพทย์ และสาธารณสุข รวมทั้งปัญหาด้านสาธารณสุขของภาคใต้ สภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงได้ขอจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ขึ้นในวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2511 และได้รับการอนุมัติให้ก่อตั้งได้ในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2514 ซึ่งจัดเป็นคณะลำดับที่ 4 ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมีประกาศลงราชกิจานุเบกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2515", "title": "คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "62063#1", "text": "คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ () ได้จัดตั้งขึ้นตามโครงการ ที่ได้กำหนดไว้ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ( พ.ศ. 2515 - 2519 ) เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2517 โดยทบวงมหาวิทยาลัยได้ อนุมัติให้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดตั้ง \"คณะมนุษยศาสตร์\" ต่อมา ได้อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อเป็น \"คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์\" เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2518 เพื่อสนองนโยบายที่คณะกรรมการพัฒนาภาคใต้ได้วางไว้ว่าจะให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี เป็นศูนย์ทางด้านศิลปวัฒนธรรมและสังคม", "title": "คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "64956#0", "text": "วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ () ตั้งอยู่ในวิทยาเขตปัตตานี โดยจัดตั้งเมื่อ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2532 จัดการเรียนการสอนในสาขาอิสลามศึกษาทั้งในระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งจัดตั้งขึ้นจากการเสนอของสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อจัดให้เป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลามจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มีนโยบายในการเปิดสาขาวิชาการศึกษาอิสลาม ขึ้นในคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยเตรียมจัดตั้งภาควิชาการศึกษาอิสลาม และร่างหลักสูตรอิสลามศึกษาในระดับปริญญาตรีแล้ว โดยได้ผ่านการอนุมัติจากทบวงมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2532 นอกจากนั้น ยังเตรียมโครงการจัดตั้งศูนย์อิสลามศึกษา โดยได้รับความเห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัย ทบวงมหาวิทยาลัย และเมื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี จึงได้อนุมัติให้จัดตั้งเป็น วิทยาลัยอิสลามศึกษา เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2532 มีฐานะเป็นคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์", "title": "วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "3703#3", "text": "หลังจากนั้น คณะกรรมการพัฒนาภาคใต้ โดย พันเอก (พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานชื่อให้แก่มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่มหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานนามมหาวิทยาลัยว่า \"\"มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์\"\" เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2510 ตามพระนามทรงกรมของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก คือ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงถือว่าวันที่ 22 กันยายน ของทุกปีเป็น \"วันสงขลานครินทร์\"", "title": "มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "730615#0", "text": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นคณะที่ตั้งในวิทยาเขตหาดใหญ่ จัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ระดับอุดมศึกษา เป็นที่รู้จักแห่งหนึ่งในภาคใต้ ทั้งในด้านการเรียนการสอน งานวิจัยและบริการวิชาการ จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2510 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการก่อตั้งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์", "title": "คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" }, { "docid": "115307#0", "text": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ฝ่ายมัธยมศึกษา เป็นโรงเรียนสาธิตในสังกัดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เริ่มก่อตั้งในปีพ.ศ. 2512 เป็นหน่วยงานเทียบเท่าสาขาวิชา (เดิม : ภาควิชา) ปัจจุบันมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์บัณฑิต ดุลยรักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน (หัวหน้าสาขาวิชา)", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์" } ]
2036
ลิซ่า มีชือจริงว่าอะไร?
[ { "docid": "848451#0", "text": "ลลิษา มโนบาล หรือชื่อเดิม ปราณปรียา มโนบาล (เกิด 27 มีนาคม ค.ศ. 1997) หรือชื่อในวงการคือ ลิซ่า เป็นนักร้องชาวไทย รู้จักกันในฐานะสมาชิกวงดนตรีเคป็อปจากประเทศเกาหลีใต้ แบล็กพิงก์", "title": "ลิซ่า (นักร้องชาวไทย)" }, { "docid": "848451#1", "text": "ลลิษา มโนบาล เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1997 ที่จังหวัดบุรีรัมย์ เติบโตและเข้าเรียนที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เดิมมีชื่อจริงว่า ปราณปรียา ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น ลลิษา หมายถึง คนที่ได้รับการยกย่อง ชื่อป๊อกแป๊กนั้น เป็นชื่อเล่นในสมัยเด็ก และได้ใช้ชื่อเล่นว่า ลลิซ หลังเปลี่ยนชื่อจริงเป็น ลลิษา ลิซ่าใช้ชีวิตในวัยเด็กอยู่กับแม่ซึ่งเป็นชาวบุรีรัมย์ โดยมีพ่อบุญธรรมชื่อ Marco Brueschweiler ชาวสวิส เป็นที่ปรึกษาการประกอบธุรกิจร้านอาหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านอาหารไทยในกรุงเทพมหานคร ลิซ่าจบการศึกษาระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษาที่โรงเรียนประภามนตรี 1 และ 2 ในสมัยที่เรียนประถมลิซาเป็นเด็กกิจกรรมตัวยง เธอเคยเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประกวดร้องเพลงในโครงการ 3 คุณธรรมนำไทย ที่จัดโดยศูนย์คุณธรรม และได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ประเภททีม ในปี ค.ศ. 2009", "title": "ลิซ่า (นักร้องชาวไทย)" } ]
[ { "docid": "957640#2", "text": "หลังจากขึ้นไปนั่งประจำที่อยู่บนเครื่องบิน ลิซ่าต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเธอนั่งติดกับ แจ็คสัน ผู้ชายท่าทางมีเสน่ห์คนที่เธอเคยนั่งดื่มอยู่ด้วยกันที่อาคารผู้โดยสารในสนามบิน และเป็นคนที่ทำท่าเหมือนจะเข้ามาจีบเธออยู่ชั่วขณะหนึ่งแต่หลังจากเครื่องทะยานขึ้นจากสนามบินไม่นาน แจ็คสันทิ้งหน้าฉากของตัวเอง และเปิดเผยเหตุผลที่แท้จริงที่เขาขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินลำนี้ว่าเขามีแผนที่จะสังหารเลขาธิการหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของประเทศ และลิซ่าคือกุญแจที่จะไขไปสู่ความสำเร็จของแผนการนี้ ถ้าเธอปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ พ่อของเธอจะต้องถูกสังหารโดยมือสังหารที่กำลังรอโทรศัพท์จากแจ็คสันอยู่เมื่อต้องติดอยู่ภายในเครื่องบินที่บินอยู่สูงถึง 30,000 ฟุต", "title": "เรดอาย เที่ยวบินระทึก" }, { "docid": "808080#0", "text": "เอลิซ่า ลัม (; ) เป็นนักศึกษาชาวแคนาดาเชื้อสายจีน ที่มีการระบุว่าหายสาบสูญตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556 ก่อนที่จะพบเป็นศพในแทงค์น้ำในโรงแรมเซซิลล์ (Cecil Hotel) ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 ซึ่งการเสียชีวิตของเธอทำให้มีการคาดการณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะกระแสความลึกลับจากคลิปในลิฟต์ที่มีเรื่องสงสัยต่าง ๆ ทางอินเทอร์เน็ต", "title": "เอลิซ่า ลัม" }, { "docid": "372083#9", "text": "ในเรื่องจากวันที่ 5 ตุลาคม 2002 ปัญหาของจดหมายข่าวโปรมวยปล้ำไฟฉาย มันก็ปรากฏว่าผู้เข้าประกวด \"ลิซ่า\" จะถูกลบออกจากรายการหลังจากสิ่งที่ถูกเรียกว่า \"การสลายโรคจิต.\" หลังจากที่ถูกทิ้งไว้ที่บ้านในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ก็ออกไปทานอาหารเย็นเธอเริ่มขว้างปาตัวเองกับผนังของบ้านในที่สุดก็บุกเข้าไปในห้องควบคุมเอ็มทีวีที่ซ่อนอยู่และวิธีการทำงานของเธอบนหลังคา หลังจากที่มีการพูดคุยกันโดยผู้ผลิตลงเธอก็มุ่งมั่นที่จะอำนวยความสะดวกในโรงพยาบาลได้รับการรักษาทางจิตเวช พ่อแม่ของเธอบินจากเม็กซิโกไปรับเธอ แต่เธอร่างกายโจมตีพวกเขาอ้างว่าเธอไม่ได้รู้ว่าพวกเขา จากนั้นเธอก็หนีออกมาดูแลภายในสนามบิน LAX ปิดปีกของสนามบินจนเธอตั้งอยู่ อีกครั้งที่เธอได้รับการรักษาในโรงพยาบาล แต่เธอก็สามารถที่จะตรวจสอบตัวเองออกมาไม่นานหลังจากที่ จากนั้นเธอก็ติดต่อผู้ผลิตยากพออ้างว่าเธอก็พร้อมที่จะกลับไปแสดง ผู้ผลิตแจ้งว่าเธอถูกถอดออกจากการแข่งขันเนื่องจากการกระทำของเธอ แข่งขันคนอื่น ๆ (และต่อมาผู้ชม) เป็นครั้งแรกบอกว่าลิซ่าก็ตัดสินใจมวยปล้ำ \"ไม่ได้เป็นอาชีพที่เหมาะสมสำหรับเธอ.\" ลิซ่าแล้วโผล่ขึ้นมาใน Louisville, เคนตั๊กกี้ที่ศูนย์ฝึกอบรมหุบเขาโอไฮโอมวยปล้ำอ้างฝึกสอนอัลหิมะที่และผู้ผลิตจอห์น \"บิ๊ก\" Gaburick ได้ส่งเธอสำหรับการฝึกอบรมเพิ่มเติมทั้งในแหวนและเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างของระบบการพัฒนาภูมิภาค . ในชุดของการแสดงในรัฐแคลิฟอร์เนียในเดือนกันยายนปี 2002 เธอได้รับการจัดการที่จะพูดคุยทางของเธอหลังเวทีและได้รับอนุญาตแม้กระทั่งให้ความช่วยเหลือกับการเล่นดอกไม้เพลิงทางเข้าสำหรับนักมวยปล้ำที่เทปโทรทัศน์ แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกว่าเธอมีการสนทนาที่ใบหน้าเพื่อใบหน้ากับวินซ์แม็คมานที่เห็นได้ชัดว่าไม่ทราบถึงสถานะของเธอกับโปรแกรมแกร่งพอ ไม่นานหลังจากนั้นการถ่ายภาพของเธอถูกแพร่กระจายไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและเธอก็ถูกกันออกจากพื้นที่หลังเวทีใด ๆ", "title": "ดับเบิลยูดับเบิลยูอี ทัฟ อีนัฟ" }, { "docid": "848451#2", "text": "ลิซ่าเริ่มสนใจวัฒนธรรมเคป็อปตั้งแต่ยังเด็ก และตัดสินใจที่จะเป็นศิลปินเกาหลี เธอสนใจการเต้นในช่วงชั้นประถมศึกษา และสามารถเต้นท่าฟรีซ (Freeze) เมื่ออายุได้ 11 ปี ไปจนถึงการเต้นหางเครื่องและรำไทย เคยเรียนร้องเพลงกับประภัสสร เทียมประเสริฐ (ผู้ชนะรางวัลโทรทัศน์ทองคำ) และสุภาพรรณ ผลากรกุล (ผู้ฝึกสอนการร้องใน \"ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย\") ลิซ่าเคยลงแข่งขันการเต้นในโครงการทูบีนัมเบอร์วัน และเป็นหนึ่งในสมาชิกของ \"วีซาคูล\" (We Zaa Cool) ทีมเต้นที่มีสมาชิกทั้งหมด 11 คน ไปแข่งขันในรายการ \"แอลจีเอนเตอร์เทนเนอร์ ล้านฝันสนั่นโลก\" ทางช่อง 9 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 หลังการแข่งขันจบลง วีซาคูลได้รางวัลพิเศษในประเภททีม และแบมแบม เป็นสมาชิกเพียงคนเดียวที่ได้ออดิชันกับทางค่ายเจวายพีเอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่งปัจจุบันอยู่วงก็อตเซเวน", "title": "ลิซ่า (นักร้องชาวไทย)" }, { "docid": "480874#1", "text": "อาลิซาเบธ แซ๊ดเลอร์ ลีนานุไชย หรือ อาลิซาเบธ แซ๊ดเลอร์ มีชื่อเล่นว่า ลิซ่า พิธีกร นางแบบ นักแสดงและผู้ประกาศข่าวทางช่อง 5 เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2523 จบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโททางด้านธุรกิจออนไลน์ มหาวิทยาลัยแอสตัน ประเทศอังกฤษ นอกจากนี้ยังเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์หลายรายการ เป็นนางแบบภาพยนตร์โฆษณา และนางเอกมิวสิกวิดีโอ", "title": "อาลิซาเบธ แซ๊ดเลอร์ ลีนานุไชย" }, { "docid": "86746#19", "text": "15 พฤศจิกายน 1967\nLisa's Letters : ลิซ่าได้พบกับแม่ของเธอ และทั้งคู่ก็กินอาหารด้วยกัน แต่ลิซ่ากลับว่านั่นไม่ใช่แม่ที่แท้จริง เพราะมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติอยู่ภายใน ลิซ่าได้ถลกใบหน้าของเจสลิก้าออกมาและใส่ให้กับตัวเอง", "title": "อัมเบรลลาคอร์ปอเรชัน" }, { "docid": "194331#19", "text": "ในระหว่างการถ่าย สาวๆ ต่างพากันวิจารณ์ลิซ่า แต่เจนิสบอกให้คิดว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นคือความอิจฉาของสาวๆ นิคเป็นคนเดียวที่ต้องถ่ายเปลือยเพราะเจย์ กับเจนิส ไม่ชอบชุดของเธอ ดังนั้นนิคจึงมีเพียงแค่ผมปลอมคลุมตัวเท่านั้น ซึ่งทำให้เธอกังวลเล็กน้อยเพราะกลัวว่าครอบครัวของเธอจะไม่พอใจ ที่ห้องตัดสินภาพถ่ายของนิค, ลิซ่า และไคล์ สร้างความประทับใจให้กับกรรมการเป็นอย่างมาก ในขณะที่ไดแอนไม่สามารถแสดงความเป็นนางแบบของเธอออกมาได้ และทำให้เธอต้องกลายเป็นสองคนสุดท้ายกับบรีที่ถึงแม้จะได้ภาพที่ดีแต่ไม่สามารถทนรับฟังคำวิจารณ์ต่างๆ ได้ และไดแอนต้องถูกคัดออกเพราะขาดความมั่นใจและศักยภาพในตัวเอง", "title": "อเมริกาส์เน็กซต์ท็อปโมเดล ฤดูกาลที่ 5" }, { "docid": "602602#0", "text": "อุมา ไพบูลย์พันธ์ เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ลิซ่า ไปรพิศ ชื่อเล่น ลิซ่า (เกิดปี พ.ศ. 2519) เป็นนักแสดง นักร้อง นางแบบ และนักมายากลชาวไทย และเป็นภริยาของเฉลิมสวรรค์ ไพบูลย์พันธ์", "title": "ลิซ่า ไปรพิศ" }, { "docid": "918463#5", "text": "ระหว่างงานวันเกิดของจอห์นนี หนึ่งในเพื่อนของเขาจับได้ขณะลิซ่ากำลังจูบกับมาร์ก ระหว่างที่แขกคนอื่นอยู่ข้างนอก และเข้าไปหาเธอ จอห์นนีประกาศว่าเขากับลิซ่ากำลังจะมีลูก แต่ลิซ่ากลับบอกกับแขกว่าเธอโกหกเกี่ยวกับการตั้งท้อง ในคืนนั้น ลิซ่าแสดงว่าเธอเป็นชู้กับมาร์กต่อหน้าจอห์นนีผู้เข้าโจมตีมาร์ก", "title": "เดอะรูม" }, { "docid": "708615#4", "text": "มิชิม่า ลิซ่า (พากย์โดย : Atsumi Tanezaki)\nLisa Mishima (三島 リサ)\nเด็กสาวที่ได้ต้องเข้ามาพัวพันกับกลุ่มสฟิงซ์ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด ด้วยความที่เป็นคนที่เงียบและดูอ่อนแอ เป็นเด็กมีปัญหาทางบ้าน เลยทำให้เธอมักจะถูกเพื่อนๆ ในชั้นกลั่นแกล้งอยู่เสมอ พอหลังจากที่ได้พบกับพวกของไนน์ ที่ต้องการจะสร้างความสั่นสะเทือนต่อความสงบสุข เธอจึงได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยที่ไม่รู้ว่าหนทางที่เธอได้เลือกนั้นจะทำให้เธอกลายเป็นศัตรูต่อประเทศนี้ก็ตาม", "title": "ความหวาดกลัวในโตเกียว" } ]
2049
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ คือรัชกาลที่เท่าไหร่ ?
[ { "docid": "4226#0", "text": "พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พระราชสมภพ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 — สวรรคต 7 กันยายน พ.ศ. 2352) เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 1 ในราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ เดือน 4 แรม 5 ค่ำ ปีมะโรงอัฐศก เวลา 3 ยาม ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2279 ปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 ขณะมีพระชนมายุได้ 46 พรรษา และทรงย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรีมาอยู่ฝั่งพระนคร และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประทับ", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" } ]
[ { "docid": "18659#1", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ มีพระราชปรารภว่า ในสมัยอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงหล่อพระศรีสรรเพชญ์ และพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อๆ มา ทรงหล่อพระรูปสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ผู้ทรงเป็นบรมกษัตริย์ขึ้นไว้สักการบูชา ด้วยอาศัยปรารภเหตุทั้งสองอย่างนี้ จึงทรงพระราชศรัทธาสร้างพระพุทธรูปใหญ่ หุ้มด้วยทองคำ เพื่อให้เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ รัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 เมื่อทรงปรึกษาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังผนวช จึงมีพระราชดำริว่าพระพุทธรูปความมีความสูงในราวหกศอก จึงได้ทรงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง อย่างจักรพรรดิราช 2 องค์ จารึกพระนามองค์หนึ่งว่า พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช จักรพรรดินารถบพิตร อีกพระองค์หนึ่งจารึกพระนามว่า พระพุทธเลิศหล้าสุลาลัย ทรงพระราชอุทิศถวายสมเด็จพระบรมชนกนารถธรรมิกราชบพิตร ซึ่งเดิมเรียกว่า แผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงหวั่นวิตกว่าประชาชนจะเรียกแผ่นดินของพระองค์ว่า \"แผ่นดินปลาย\" ซึ่งหมายถึงสิ้นสุดสมัยรัตนโกสินทร์ อันจะเป็นอัปมงคล จึงมีพระบรมราชโองการให้ตั้งนามแผ่นดินตามพระพุทธปฏิมากรทั้ง 2 พระองค์ แผ่นดินต้นให้ใช้ว่าแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แผ่นดินกลางให้ใช้ว่าแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าสุลาลัย ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้เปลี่ยนสร้อยพระนามเป็น “นภาลัย”", "title": "พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระพุทธเลิศหล้านภาลัย" }, { "docid": "561061#2", "text": "\"\"ในวันอังคาร เดือน 11 ขึ้น 6 ค่ำนั้น มีรับสั่งให้ภูษามาลาเชิญหีบพระเครื่องมาถวาย แล้วทรงเลือกพระประคำทองสาย 1 อันเป็นของพระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (พระประคำทองสายนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จ ฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสวรรคต จะพระราชทานพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอรรณพ ซึ่งได้เป็นกรมหมื่นอุดมรัตนราศีในรัชกาลที่ 4 แต่บังเอิญเจ้าพนักงานหยิบผิดสาย กรมหมื่นอุดมไม่ได้ไป จึงถือว่าเป็นของสิริมงคลสำหรับแต่ผู้มีบุญญาภินิหาร) กับพระธำมรงค์เพ็ชร์องค์ 1 ให้พระราชโกษา (ชื่อ จัน ในรัชกาลที่ 5 เป็นพระยา เป็นบิดาพระยาอุทัยธรรม (หรุ่น วัชโรทัย)) เชิญตามเสด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดี ไปพระราชทานสมเด็จเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า ฯ กรมขุนพินิตประชานาถ พระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีเสด็จออกมาทูลกรมหลวงวงศาธิราชสนิท และบอกให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ ซึ่งพร้อมกันอยู่ที่ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้ทราบตามกระแสรับสั่ง กรมหลวงวงศาธิราชสนิทและเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ ก็ไปยังพระตำหนักสวนกุหลาบ ด้วยเวลานั้นปิดความไม่ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯทรงทราบว่าสมเด็จพระบรมชนกนาถประชวรพระอาการมาก เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ จึงแนะพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีให้ทูลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ฯ ว่าของทั้ง 2 สิ่งนั้นพระราชทานเป็นของขวัญ โดยทรงยินดีที่ได้ทรงทราบว่าพระอาการ ที่ประชวรค่อยคลายขึ้นเมื่อพระองค์เจ้าหญิงโสมาวดีไปทูล สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอฯ ดำรัสถามว่า ของขวัญเหตุใดจึงพระราชทานพระประคำ พระบาทสมเด็จ ฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกด้วย แต่ก็ไม่มีผู้ใดทูลตอบว่ากระไร เมื่อถวายสิ่งของแล้วต่างก็กลับมา\"\"", "title": "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอุดมรัตนราษี" }, { "docid": "127203#2", "text": "ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ในปี พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อประดิษฐานไว้ให้พระมหากษัตริย์องค์ต่อมา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนได้ถวายบังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นธรรมเนียมปีละครั้ง และโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่มีการย้ายสถานที่ในการประดิษฐานหลายครั้ง เช่น พระที่นั่งสุทไธสวรรยปราสาท และพระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท เป็นต้น ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ย้ายพระบรมรูปมาไว้ ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมกับพระบรมรูปของรัชกาลที่ 5 พระบรมชนกนาถ", "title": "วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์" }, { "docid": "562186#6", "text": "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิ ของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก และสมโภชพระบรมอัฐิสมเด็จพระราชชนนี ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2338 เนื่องในวโรกาสที่มีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ และมีเครื่องมหรสพสมโภช เหมือนอย่างงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยา", "title": "พระอัครชายา (หยก)" }, { "docid": "4226#18", "text": "ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ 1 ว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรงสร้างอุทิศถวาย และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เพิ่มพระปรมาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า \"\"พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก\"\"", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" }, { "docid": "564086#2", "text": "เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเจ้าจอมทองคำ ซึ่งเป็นพระราชภาคิไนยขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าฝ่ายในพระองค์หนึ่ง ประทับ ณ พระตำหนักเขียวเบื้องหลังหมู่พระมหามณเทียรร่วมกับพระมารดา พระองค์ไม่มีเจ้ากรมต่างหาก แต่เป็นสังกัดในกรมพระยาเทพสุดาวดี จนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชนั้นเอง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นปีใด", "title": "สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้าทองคำ" }, { "docid": "4226#14", "text": "ด้วยพระปรีชาสามารถในการทำสงคราม ได้ทรงให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทไปสกัดทัพพม่าที่บริเวณทุ่งลาดหญ้า ทำให้พม่าต้องชะงักติดอยู่บริเวณช่องเขา แล้วทรงสั่งให้จัดทัพแบบกองโจรออกปล้นสะดม จนทัพพม่าขัดสนเสบียงอาหาร เมื่อทัพพม่าบริเวณทุ่งลาดหญ้าแตกพ่ายไปแล้วสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทจึงยกทัพไปช่วยทางอื่น และได้รับชัยชนะตลอดทุกทัพตั้งแต่เหนือจรดใต้ในสงครามครั้งนี้ ทัพพม่าเตรียมเสบียงอาหารและเส้นทางเดินทัพอย่างดีที่สุด โดยแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ จากศึกครั้งก่อน โดยพม่าได้ยกทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ มาตั้งค่ายอยู่ที่ท่าดินแดงและสามสบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงยกทัพหลวงเข้าตีพม่าที่ค่ายดินแดงพร้อมกับให้ทัพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเข้าตีค่ายพม่าที่สามสบ หลังจากรบกันได้ 3 วันค่ายพม่าก็แตกพ่ายไปทุกค่าย และพระองค์ยังได้ทำสงครามขับไล่อิทธิพลของพม่าได้โดยเด็ดขาด และตีหัวเมืองต่าง ๆ ขยายราชอาณาเขต ทำให้ราชอาณาจักรสยามมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดินแดนล้านนา ไทใหญ่ สิบสองปันนา หลวงพระบาง เวียงจันทน์ เขมร และด้านทิศใต้ไปจนถึงเมืองกลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปะลิส และเประก์หลังจากที่พม่าพ่ายแพ้แก่สยาม ก็ส่งผลทำให้เมืองขึ้นทั้งหลายของพม่า เช่น เมืองเชียงรุ้งและเชียงตุง เกิดกระด้างกระเดื่อง ตั้งตนเป็นอิสระ พระเจ้าปดุงจึงสั่งให้ยกทัพมาปราบปราม รวมถึงเข้าตีลำปางและป่าซาง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทราบเรื่องจึงสั่งให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 6,000 นาย มาช่วยเหลือและขับไล่พม่าไปเป็นผลสำเร็จครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เกณฑ์ไพร่พล 20,000 นาย ยกทัพไปตีเมืองทวาย แต่สงครามครั้งนี้ไม่มีการรบพุ่ง เพราะต่างฝ่ายต่างก็ขาดแคลนเสบียงอาหาร รี้พลก็บาดเจ็บจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพในครั้งนั้นเมืองทวาย ตะนาวศรี และมะริด ได้เข้ามาขอสวามิภักดิ์ต่อไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกทัพไปช่วยป้องกันเมือง แต่เมื่อพระเจ้าปดุงยกทัพมาปราบปรามเมืองทั้งสามก็หันกลับเข้ากับทางพม่าอีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้ถอยทัพกลับกรุงเทพฯเนื่องจากสงครามในครั้งก่อน ๆ พระเจ้าปดุงไม่สามารถตีหัวเมืองล้านนาได้ จึงทรงรับสั่งไพร่พล 55,000 นาย ยกทัพมาอีกครั้งโดยแบ่งเป็น 7 ทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึง โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทคุมไพร่พล 20,000 นาย ขึ้นไปรวมไพร่พลกับทางเหนือเป็น 40,000 นาย ระดมตีค่ายพม่าเพียงวันเดียวเท่านั้นทัพพม่าก็แตกพ่ายยับเยินในครั้งนั้นพระเจ้ากาวิละได้ยกทัพไปตีเมืองสาด หัวเมืองขึ้นของพม่า พระเจ้าปดุงจึงยกทัพลงมาตีเมืองเชียงใหม่เพื่อแก้แค้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงทราบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปช่วยเหลือ และสงครามครั้งนี้ก็จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายไทย", "title": "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช" }, { "docid": "28051#5", "text": "เมื่อถึงวัยพอสมควรแล้ว ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. 2343 ต่อมาปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดและเมตตาสามเณรโตเป็นอย่างยิ่ง ครั้นอายุครบอุปสมบทปี พ.ศ. 2350 จีงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนาคหลวง อุปสมบท ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) เป็นพระอุปัชฌาย์ มีฉายานามในพุทธศาสนาว่า \"พฺรหฺมรํสี\" เนื่องจากเป็นนาคหลวงจึงเรียกว่า \"พระมหาโต\" มานับแต่นั้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ ให้รับพระมหาโตไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์", "title": "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)" }, { "docid": "185372#1", "text": "ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นพระราชาคณะที่พระวินัยรักขิต ซึ่งเทียบเท่าพระอุบาลีแต่เดิม ที่ต้องเปลี่ยนเพราะเห็นว่าสมณศักดิ์นี้ไปพ้องกับพระอุบาลี ต่อมาในปี พ.ศ. 2337 ก็ทรงได้รับพระกรุณาธิคุณเลื่อสมณศักดิ์ให้สูงขึ้นในระดับพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระพิมลธรรม ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพนรัตน ต่อมาในปี พ.ศ. 2359 สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ได้สิ้นพระชนม์ลง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในราชทินนามที่ สมเด็จพระอริยวงษญาณ", "title": "สมเด็จพระอริยวงษญาณ (มี)" }, { "docid": "63575#8", "text": "พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกและพระราชชนนีขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2338 เนื่องในวโรกาสที่มีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่ และมีเครื่องมหรสพสมโภช เหมือนอย่างงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินในสมัยกรุงศรีอยุธยา", "title": "สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก" } ]
2052
ซามูไรนิยมใช้ดาบเป็นอาวุธหรือไม่ ?
[ { "docid": "54270#81", "text": "อาวุธที่ซามูไรใช้มีอยู่หลายชนิด แต่ดาบคะตะนะก็ไม่ได้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของซามูไร เพราะว่าซามูไรไม่สามารถนำคะตะนะติดตัวเข้าไปในบางสถานที่ได้ วะกิซะชิ คือ อาวุธติดตัวซามูไรที่สำคัญที่สุด หลักบูชิโดได้สอนว่าจิตวิญญาณของซามูไรก็คือคะตะนะของพวกเขาแต่ละคน และบางครั้งซามูไรก็ถูกจินตนาการให้ต้องพึ่งพาคะตะนะเพื่อการต่อสู้ด้วย แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับหน้าไม้ของยุโรป หรือดาบของอัศวินที่ส่วนใหญ่ใช้เป็นแค่เครื่องมือในการต่อสู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดาบคะตะนะมักจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในสมรภูมิกัน จนกระทั่งยุคคะมะกุระ ตัวดาบคะตะนะเองก็ยังไม่ได้เป็นอาวุธหลักจนกระทั่งเกิดยุคเอโดะขึ้นมา", "title": "ซามูไร" }, { "docid": "62520#4", "text": "ในระหว่างยุคสมัยสงครามโอนิน ชุดเกราะโยะโรยสำหรับนักรบซามูไรขี่ม้า เริ่มที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้น้ำหนักของชุดเกราะถ่ายเทไปยังส่วนร่างกายของผู้สวมใส่มากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยในการให้นักรบซามูไรใช้ดาบ คะตะนะ เพราะการเคลื่อนไหวในบริเวณช่วงไหล่ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทนฝืนแบกรับน้ำหนักของชุดเกราะที่สวมใส่ และน้ำหนักของดาบคู่สองเล่ม คือดาบยาว คะตะนะ และ ดาบสั้น วาคิซาชิ แต่การที่ใช้เส้นไหมหรือเชือกเชื่อมร้อยชิ้นส่วนต่างๆ ของชุดเกราะชนิดนี้ยังคงอยู่ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ทั้งในการผลิตและในการดูแลชุดเกราะชนิดวันต่อวัน เพื่อให้ชุดเกราะสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง สำหรับประเทศญี่ปุ่นสมัยโบราณที่พื้นที่ที่เต็มไปด้วยทุ่งนา การใช้ชุดเกราะโยะโรยที่ยึดด้วยเส้นไหมหรือเชือกร้อยดูจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับบุคคลทั่วไป เส้นไหมหรือเชือกที่ใช้ร้อยแผ่นเหล็กชิ้นเล็กนั้นสามารถดูดซับน้ำได้ง่าย จึงทำให้ชุดเกราะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น และในสภาวะที่มีอากาศหนาวเย็น เส้นไหมหรือเชือกที่ใช้ร้อยจะแข็งตัวได้ง่าย", "title": "เกราะญี่ปุ่น" } ]
[ { "docid": "54270#84", "text": "ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ยะริ (หอก) ได้กลายเป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมพร้อมๆ กับนะงินะตะ (ง้าว) ยะริมักจะถูกนำมาใช้ในสมรภูมิ ที่ซึ่งการบริหารกองทหารเดินเท้าราคาถูกจำนวนมากเป็นปัจจัยที่สำคัญความกล้าหาญส่วนบุคคล การจู่โจมของทั้งทหารราบและทหารม้าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อใช้หอกแทนดาบคะตะนะ และเมื่อปะทะกับซามูไรที่ใช้ดาบคะตะนะเป็นอาวุธ ผู้ที่ใช้หอกก็มีมักจะได้เปรียบกว่าเสมอ", "title": "ซามูไร" }, { "docid": "214086#5", "text": "อาวุธหลักของอะชิการุคือยาริ(หอกยาว)เพราะว่าการฝึกหัดนั้นง่ายกว่าการใช้ดาบมาก เพียงแค่หันชี้ไปที่เป้าหมายเท่านั้น แถมยังมีราคาถูกกว่าดาบมาก ยาริที่ใช้โดยทหารหอกของตระกูลโอดะจะ ยาวกว่า 5 เมตร ส่วนหนึ่งก็เพื่อใช้เป็น”โล่กำบัง”ให้กับกองปืนคาบศิลา ซึ่งต้องการ สหายศึกที่จะหยุดยั้งศัตรูขณะที่พวกเขาบรรจุกระสุนใหม่\nขณะที่ยุคเซ็นโกคุดำเนินไป อะชิการุยิ่งเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในกองทัพของทุกๆ ตระกูล ในระดับหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ไม่ อาจหลีกเลี่ยง แค่ความต้องการนักรบหมายความว่าซามูไรจะต้องมีกำลังหนุนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ซามูไรไม่เคย เข้าสนามรบตามลำพัง ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ซามูไรแต่ละคนจะมีผู้รับใช้สองคน (เกะนิน หรือโชจู) ซึ่งจะเป็นเหมือน “ทีมช่วยเหลือ” ที่คอยช่วยนำอาวุธชนิดที่ถูกต้องมาให้ในเวลาที่เหมาะสม ลำเลียงลูกธนูมาให้เพิ่ม หรือแม้แต่ช่วยนับสมบัติที่ยึดได้", "title": "อะชิการุ" }, { "docid": "54270#17", "text": "ช่างตีดาบที่ชื่อ มะซะมุเนะ ได้พัฒนาเหล็กกล้าที่มีโครงสร้างสองชั้นผสมกันระหว่างเหล็กอ่อนและเหล็กแข็งขึ้นเพื่อใช้ในการตีดาบ โครงสร้างนี้ได้สร้างความก้าวหน้าในพลังและคุณภาพการตัดอย่างมาก ซึ่งเทคนิคการผลิตดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างดาบญี่ปุ่น (ดาบคะตะนะ) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะของหนึ่งในอาวุธคู่มือที่ทรงอานุภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกช่วงยุคก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม ดาบหลาย ๆ เล่มที่สร้างขึ้นมาโดยเทคนิคดังกล่าวนี้ได้ถูกส่งออกข้ามทะเลจีนตะวันออกไป ซึ่งจุดที่ไกลที่สุดที่ดาบเดินทางไปถึงคือดินแดนอินเดีย", "title": "ซามูไร" }, { "docid": "305275#0", "text": "ดาบฟันวิญญาณ หรือ ซัมาคุโต จัดเป็นอาวุธของยมทูต ไวเซิร์ต หรือเม้กระทั่งอารันคาร์นับเป็นอาวุธหลักไม่ว่าจะเป็นตัวดี หรือตัวร้ายในเรื่องบลีช ดาบฟันวิญญาณของยมทูต ปลดปล่อยได้ 2 ขั้น คือ ปลดปล่อยขั้นต้น (ชิไค) และปลดปล่อยสวัสดิกะ (บังไค) สภาพการปลดปล่อยของดาบฟันวิญญาณของยมทูตและไวเซิร์ตคือการเปลี่ยนอาวุธดาบ ไปเป็นอาวุธหนึ่ง แต่การปลดปล่อยดาบของอารันคาร์หรือแก่นพลังของอารันคาร์ สภาพปลดปล่อยของดาบฟันวิญญาณก่อนปลดปล่อยมี 3 ประเภท", "title": "ดาบฟันวิญญาณ" }, { "docid": "54270#82", "text": "หลังจากที่บุตรชายของซามูไรได้ถือกำเนิดขึ้น เขาจะได้รับดาบเล่มแรกของเขาในพิธีฉลองที่เรียกว่า \"มะโมะริ-คะตะนะ\" อย่างไรก็ตาม ดาบที่ให้ไปเป็นเพียงแค่ดาบเครื่องรางเท่านั้น โดยจะห่อหุ้มด้วยไหมยกดอกเงินหรือทองเพื่อที่จะให้เด็กอายุไม่เกินห้าขวบพกเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ เมื่อถึงอายุสิบสามปี ในพิธีฉลองที่เรียกว่า \"เก็มบุกุ\" () บุตรชายจะได้รับดาบจริงเล่มแรกพร้อมกับชุดเกราะ ชื่อในวัยผู้ใหญ่ และกลายเป็นซามูไรในที่สุด ดาบคะตะนะและวะกิซะชิเมื่อใช้ร่วมกันแล้วจะเรียกว่าไดโช (แปลตามตัวอักษรว่า “ใหญ่กับเล็ก”)", "title": "ซามูไร" }, { "docid": "230084#1", "text": "เป็นดาบที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเพื่อใช้ในการโจมตีทางกายภาพเป็นหลัก โดยเน้นการสร้างความเสียหายทางร่างเนื้อให้แหลกสลายหรือติดเชื้ออย่างใดอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเคลื่อนไหว\nเช่น โฮซึคิมารุ (อิกคาคุ) ซาบิมารุ (เร็นจิ) ซันเงสึ (อิจิโกะ) คาเสะชินิ (ชูเฮย์) เกะเกะซึบุริ (โอมาเอดะ) เท็นเค็น (โคมามูระ) และใช้รูปแบบบินโดยใช้พลังวิญญาณควบคุม เช่น เซมบ้งซากุระ (เบียคุยะ) และ ไฮเนโกะ (รันงิคุ) \nดาบฟันวิญญาณสายวิถีมาร คิโด เป็นดาบประเภททางการควบคุมประสาททั้งหลายและการโจมตีทางการใช้เสียง แสดง แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท\nวิถีทำลาย (ฮาโด)", "title": "รายชื่ออาวุธและวิชาโจมตีในเทพมรณะ" }, { "docid": "54270#35", "text": "เมื่อสิ้นยุคของโทะกุงะวะ ซามูไรก็กลายเป็นข้าราชการชนชั้นสูงรับใช้ผู้ที่เป็นไดเมียว ในยุคนี้ไดโชะของซามูไร (ดาบยาวและสั้นที่ซามูไรพกพาไว้คู่กัน หรือที่เรียกว่าคะตะนะ และวะกิซะชิ) ได้กลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พวกเขายังคงได้อำนาจตามกฎหมายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่ไม่แสดงความเคารพอย่างเหมาะสมต่อตัวเขาอีกด้วย", "title": "ซามูไร" }, { "docid": "258218#0", "text": "ซามูไร สปิริตส์ ( \"Samurai Supirittsu\") หรือ ซามูไร โชดาวน์ () เป็นเกมต่อสู้ (Vs.Fighting) ผลิตโดยบริษัท SNK Playmore จากประเทศญี่ปุ่น โดยที่ตัวละครในเกมจะเป็นพวกซามูไร, นักดาบ, นินจา และจอมยุทธ ซึ่งใช้อาวุธประจำกาย (อย่างเช่น ดาบ, มีดสั้น, ดาบคู่ หรืออาวุธลับต่างๆ) มาต่อสู้กัน โดยแต่ละภาคมักมี \"กรรมการ\" ในชุดดำถือธงมาคอยตัดสิน", "title": "ซามูไรสปิริตส์" }, { "docid": "54270#6", "text": "หลังจากการผ่านพ้นของซามูไรพเนจรศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ผู้ที่จะมาเป็นซามูไรต่างได้รับการคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมและอ่านออกเขียนได้ โดยพวกเขาจะต้องสามารถใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับคำกล่าวโบราณที่ว่า \"บุง บุ เรียว โดะ\" (สว่าง, ศิลปะอักษร, ศิลปะการทหาร, วิถีทั้งสอง) หรือ \"ความกลมกลืนแห่งพู่กันและดาบ\" ให้ได้ โดยจะเห็นจากชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกเหล่านักรบในช่วงแรกๆ ว่า \"อุรุวะชิ\" คำนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรคันจิที่มีการผสมรวมระหว่างลักษณะเฉพาะตัวของศิลปะอักษร ( ตรงกับภาษาจีน \"บุ๋น\") และศิลปะการทหาร ( ตรงกับภาษาจีน \"บู๊\") เข้าด้วยกัน และมโนทัศน์เช่นเดียวกันนี้ ยังถูกกล่าวไว้ในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะ (เฮเกะ โมะโนะงะตะริ, สมัยปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12) โดยมีการอ้างอิงไว้ในคำกล่าวของตัวละครที่มีต่อการตายของ ไทระ โนะ ทะดะโนริ นักดาบ-นักกวีผู้มีการศึกษาคนหนึ่งว่า:", "title": "ซามูไร" }, { "docid": "54270#57", "text": "แต่ในประวัติศาสตร์ ซามูไรผู้ที่มีชื่อเสียงหลายคนก็ไม่ได้มีคุณสมบัติตามวุฒิการศึกษาที่กล่าวไว้ข้างต้น ตัวอย่างเช่น โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพื้นเพเป็นชาวนา ก็มีอุปสรรคสำคัญอยู่ตรงที่เขาสามารถอ่านและเขียนได้แต่ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตัวอักษรฮิรางานะเท่านั้น อีกผู้หนึ่งคือ โอดะ โดกัง บุคคลผู้ที่ปกครองเอะโดะเป็นคนแรก ก็เคยเขียนระบายความในใจของเขาว่า เขาละอายใจเหลือเกินที่ได้พบว่า แม้แต่ประชาชนธรรมดายังมีความรู้ทางด้านการกวีมากกว่าตัวเขาเอง ทำให้เขารู้สึกอัปยศจนต้องยอมสละสมบัติและตำแหน่งของเขาไปในที่สุด", "title": "ซามูไร" } ]
2067
เคสเซียส มาเซลลัส เคลย์ จูเนียร์ เริ่มต่อยมวยตอนอายุเท่าไหร่ ?
[ { "docid": "220283#1", "text": "อาลีขึ้นชกมวยครั้งแรกเมื่ออายุได้เพียง 12 ปี โดยมีครูฝึกเป็นตำรวจเชื้อสายไอริชชื่อ โจ มาร์ติน จุดประสงค์แรกก็คือให้อาลีใช้เป็นทักษะการต่อสู้เพื่อปกป้องจักรยานราคา 60 ดอลลาร์ของตนจากเด็กละแวกบ้านเดียวกัน อาลีได้พัฒนาฝีมือการชกขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งคว้าแชมป์มวยสากลสมัครเล่นรุ่นไลท์เฮฟวี่เวทของเมืองหลุยส์วิลล์ จากนั้นได้ครองแชมป์ระดับภูมิภาคของชิคาโก ได้แชมป์มวยสากลสมัครเล่นแห่งชาติ และประสบความสำเร็จสูงสุดจากการได้เหรียญทองในรุ่นไลท์เฮฟวี่เวทในการแข่งขันโอลิมปิคที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี แต่การเดินทางด้วยเครื่องบินในครั้งนั้น อาลีกลัวเครื่องบินจะตกมาก ถึงขนาดสวมใส่เสื้อชูชีพไว้ตลอดการเดินทาง", "title": "มูฮัมหมัด อาลี" } ]
[ { "docid": "220283#0", "text": "มูฮัมหมัด อาลี () เป็นอดีตยอดนักมวยชาวอเมริกันในรุ่นเฮฟวี่เวทผู้เป็นตำนาน อาลีมีชื่อจริงแต่กำเนิดว่า เคสเซียส มาเซลลัส เคลย์ จูเนียร์ (Cassius Marcellus Clay Jr.) แต่นิยมเรียกว่า เคสเซียส เคลย์ (Cassius Clay) เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1942 ที่เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ สหรัฐอเมริกา", "title": "มูฮัมหมัด อาลี" }, { "docid": "745871#7", "text": "มีชื่อจริงๆว่า โคโระไนเซนเซย์หรือ อาจารย์ที่ฆ่าไม่ได้ มีรูปร่างสูงประมาณ 3 เมตร มีความเร็วถึง 20มัค เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความฉลาด ว่องไว แต่ถึงกระนั้นกลับมีจุดอ่อนเต็มไปหมด.. เริ่มต้นเรื่อง เขาประกาศว่ามีเป้าหมายจะทำลายโลกในเดือนมีนาคมปีถัดไป โดยเขาได้เสนอตัวเข้าไปสอนหนังสือให้กับเด็กม.3 ห้อง E โรงเรียน คุนุกิกาโอกะ ก่อนจะถึงเวลานั้น", "title": "อัสแซสซิเนชันคลาสรูม" }, { "docid": "120639#1", "text": "เคสเซียส เคลย์ นักมวยจากสหรัฐอเมริกาผู้ชนะเลิศการแข่งขันชกมวยในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 17 การแข่งขันครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ เช่น มีการให้ความสนับสนุนในเรื่องการเดินทางทางอากาศแก่นักกีฬา นักกีฬามีการเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันในครั้งนี้มาอย่างเต็มที่นักกีฬาทุกคนให้ความสำคัญในการได้รับชัยชนะในการแข่งขันอย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้สถิติที่นักกีฬาโอลิมปิกปีก่อนๆ ทำไว้จึงถูกลบล้างไปเกือบหมด", "title": "โอลิมปิกฤดูร้อน 1960" }, { "docid": "368258#8", "text": "มาร์คัส เคลาดิอัส มาร์เซลลัส ออกคำสั่งว่าอาร์คิมิดีส นักคณิตศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันดี และอาจเป็นที่รู้จักมากพอ ๆ กับมาร์เซลลัส ในฐานะเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องกลไกที่มีอิทธิพลต่อการล้อมอย่างมาก ไม่ควรจะถูกสังหาร อาร์คิมิดีส ซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 78 ปี ยังคงศึกษาค้นคว้าต่อไปหลังจากฝ่ายโรมันสามารถบุกเข้าเมืองได้แล้ว และขณะที่อยู่ที่บ้าน งานของเขาถูกรบกวนโดยทหารโรมัน อาร์คิมิดีสประท้วงการรบกวนนี้และกล่าวอย่างหยาบคายให้ทหารนายนั้นออกไปเสีย ทหารนายนั้นไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร จึงสังหารอาร์คิมิดีส ณ จุดนั้นเอง", "title": "การล้อมซีราคิวส์ (214-212 ปีก่อนคริสตกาล)" }, { "docid": "604052#0", "text": "มอร์ริส เค หรือชื่อจริงว่า มอร์ริสเค คริสตชน (ชื่อเดิม: พนมชัย สมัครพันธ์; เกิด: 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2508) เป็นนักแสดง นายแบบ และพิธีกรลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เข้าสู่วงการจากการประกวดโดมอนแมนเมื่อปี พ.ศ. 2531 และได้ตำแหน่งรองอันดับหนึ่ง จากนั้นจึงเป็นหนึ่งในพิธีกรของรายการ\"แบบว่า…โลกเบี้ยว\" ร่วมกับ ภิญโญ รู้ธรรม, ยุวดี เรืองฉาย และก้าว พึ่งบางกรวย ต่อมาได้แสดงภาพยนตร์และละคร ควบคู่กับการเป็นพิธีกรในรายการต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน", "title": "มอริส เค" }, { "docid": "949413#0", "text": "โจเซ่ เจา อัลตาฟินี่ (; เกิด 24 กรกฎาคม 2481) หรือ มาซโซล่า อดีตนักฟุตบอลชาวอิตาลี-บราซิลในตำแหน่งกองหน้าเริ่มต้นเส้นทางอาชีพกับสโมสร แต่เป็นที่จดจำมากที่สุดกับสโมสร เอซี มิลาน ซึ่งประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและระดับทวีปก่อนจะย้ายมาร่วมทีม นาโปลี และ ยูเวนตุส และยุติเส้นทางอาชีพกับสโมสรใน สวิตเซอร์แลนด์", "title": "โจเซ่ อัลตาฟินี่" }, { "docid": "600452#1", "text": "จูลส์ วินน์ฟิลด์ (ซามูเอล แอล. แจ็กสัน)และ วินเซนต์ เวก้า (จอห์น ทราโวลต้า)คู่หูมือปืนได้รับภารกิจจากหัวหน้ากลุ่มอาชญากร มาเซลลัส วอลเลค (วิง เรมส์) โดยให้นำเอากระเป๋าเดินทางที่ถูกขโมยไปกลับคืน และยังสั่งให้เอาภรรยาสาว มีอา วอลเลค (อูม่า เธอร์แมน) ไปเที่ยวตอนไม่อยู่ด้วย อีกด้าน บุตช์ คูลิดจ์ (บรู๊ซ วิลลิส) รับค่าจ้างให้ล้มมวยจาก มาเซลลัส วอลเลค แต่พอชกจริงกลับทำให้คู่ต่อสู้เสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงต้องหนีหัวหน้าอาชญากรแต่ว่าลืมนาฬิกาของพ่อจึงต้องกลับไปเอา ขณะเดียวกัน พัมคิน (ทิม รอธ) และ ฮันนี่ บันนี่ (อแมนด้า พลัมเมอร์) คู่รักที่ตัดสินใจปล้นร้านอาหารที่ทั้งสองกำลังบริการอยู่ แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิด ชีวิตของคนหลากหลายที่ดูไม่เกี่ยวโยงกัน ได้บรรจบในที่สุด", "title": "เขย่าชีพจรเกินเดือด" }, { "docid": "718576#1", "text": "22 ปี หลังเหตุการณ์บนเกาะ อิสลา นูบลาร์ มีการสร้างสวนสนุกแห่งใหม่ชื่อ จูราสสิค เวิลด์ เป็นสวนสนุกไดโนเสาร์ที่ดำเนินการเต็มรูปแบบ สองพี่น้อง แซค (นิค โรบินสัน)และเกรย์ มิทเชลล์ (ไท ซิมป์สกินส์) เดินทางไปยังเกาะนี้เพื่อพบกับแคลร์ เดียริง(ไบรซ ดัลลาส โฮเวิร์ด) ผู้เป็นน้าและดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของสวน เมื่อมาถึงเกาะแล้วทั้งสองได้รับการดูแลโดยผู้ช่วยของแคลร์ชื่อซารา (เคธี แมคเกรธ) ในขณะเดียวกัน ไซมอน มัซรานี (อีร์ฟาน ข่าน) นายทุนผู้เป็นเจ้าของสวนได้เดินทางมาถึง และให้แคลร์พาไปชมไดโนเสาร์ดัดแปลงพันธุกรรมตัวใหม่ อินดอมินัส เร็กซ์ ซึ่งผสมมาจากดีเอ็นเอของ \"อเบลิซอรัส\", \"คาร์โนทอรัส\", หมึกกระดอง, ปาด, \"จิกแกนโนโตซอรัส\", \"มาจุงกาซอรัส\", \"รูกอปส์\", \"ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์\", และ \"เวโลซีแรปเตอร์\" ระหว่างการตรวจเยี่ยมครั้งนี้ มัซรานีได้บอกให้แคลร์เชิญโอเวน เกรดี (คริส แพรตต์) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลและฝึก\"เวโลซีแรปเตอร์\"มาร่วมประเมิน เพื่อดูว่าสถานที่ดูแลอินดอมินัสนี้มีช่องโหว่ที่ต้องแก้ไขหรือไม่", "title": "จูราสสิค เวิลด์" }, { "docid": "772023#0", "text": "กัปตันมาร์เวล () หรือ ชาแซม () เขาเป็นซูเปอร์ฮีโรสัญชาติอเมริกัน ของฟาวเซ็ทคอมิกส์ แต่ปัจจุบันเป็นของดีซีคอมิกส์ ปรากฏตัวครั้งแรกในวิซ คอมิกส์ #2 (ก.พ. 1940) ถูกสร้างขึ้นโดยซี. ซี. เบ็ค, บิล ปาร์คเกอร์ โดยเขาคือบิลลี่ แบทสันเด็กชายจอมเวทย์ที่เพียงพูดคำว่า\"ชาแซม!\" จะทำให้เขามีความสามารถพิเศษ คือมีร่างกายแข็งแรง, ทรงพลัง ,บินได้, ใช้พลังเวทมนตร์ได้, ควบคุมสายฟ้าได้", "title": "กัปตันมาร์เวล (ดีซีคอมิกส์)" }, { "docid": "309681#0", "text": "มิเชล คิซซี () หรือ ธงหรือ ทอง โพธิ์ () เกิดวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1962 ที่ประเทศโมร็อกโก เป็นนักแสดงซึ่งมีผลงานการแสดงภาพยนตร์แอคชั่นหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง \"คิกบอกเซอร์\" ทั้งภาค 1 และ 2 ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงจากการรับบทเป็นนักมวยไทยชาวไทยนามว่า \"ทอง โพธิ์\" ปัจจุบันเขาถือสัญชาติเบลเยี่ยม\nมิเชล คิซซี มีชื่อเล่นว่า \"ทอง โพธิ์\" ซึ่งเป็นชื่อตัวละครที่เขารับบทเป็นนักมวยไทยในภาพยนตร์เรื่อง \"คิกบอกเซอร์\" นั่นเอง", "title": "มิเชล คิซซี" } ]
2070
สีประจำของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สีอะไร?
[ { "docid": "12289#3", "text": "\"ธุรกิจบัณฑิตย์\" หมายถึง ความรอบรู้ทางด้านธุรกิจโดยตราสัญลักษณ์ใหม่นั้นได้มีการปรับเปลี่ยนในปี 2555 โดยใช้ตัวอักษรตัวย่อ \"DPU\" และมีสัญลักษณ์ลูกโลกอยู่ที่ปลายด้านบนของตัว U ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ Infinity (∞) ซึ่งหมายถึงการเรียนรู้ที่ไม่ที่สิ้นสุด พร้อมกับสโลแกนใหม่ที่ว่า Progressive University หรือมหาวิทยาลัยแห่งอนาคตที่มุ่งสร้างโอกาส และสร้างอนาคตให้กับนักศึกษาทุกคน ม่วง-ฟ้า หมายถึง การปฏิบัติทางธุรกิจดำเนินการสอนโดยคณาจารย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ มีความรู้และประสบการณ์ในสาขาวิชานั้นในระดับนานาชาติ", "title": "มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์" } ]
[ { "docid": "6858#7", "text": "มหาวิทยาลัยทักษิณมีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยเป็นรูปตำราการศึกษา 3 เล่ม สีเทา (สีประจำมหาวิทยาลัย) สะท้อนปรัชญาของมหาวิทยาลัย “ปัญญา จริยธรรม และการพัฒนา” ล้อมรอบด้วยอักษรสีฟ้า (สีประจำมหาวิทยาลัย) เป็นภาษาไทย “มหาวิทยาลัยทักษิณ” และภาษาอังกฤษ “THAKSIN UNIVERSITY” ซึ่งหมายถึงมหาวิทยาลัยแห่งภาคใต้ ด้านบนเหนือรูปตำราการศึกษาเป็นมงกุฎเปล่งรัศมีสีฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศและเกียรติยศ ด้วยในปีพุทธศักราช 2539 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตภาคใต้ ได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยทักษิณ ตรงกับวโรกาสอันเป็นมหามงคลสมัยปีกาญจนาภิเษก ในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 50 ปี", "title": "มหาวิทยาลัยทักษิณ" }, { "docid": "6858#9", "text": "สีประจำมหาวิทยาลัยทักษิณ สืบเนื่องมาจากสีประจำวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา คือสีเทา-ฟ้า\nสีเทา - ฟ้า จึงหมายถึง ความคิดที่กว้างไกล หรือคิดอย่างมีวิสัยทัศน์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธศรีศากยมุนินทร์ ศรีนครินทรวิโรฒมงคล” ซึ่งมีความหมายว่า “องค์พระพุทธเจ้า ที่เป็นมิ่งมหามงคล แห่งมหาวิทยาลัย” และมหาวิทยาลัยได้กระทำพิธัอัญเชิญพระพุทธศรีศากยมุนินทร์ศรีนครินทรวิโรฒมงคลมาประดิษฐาน ณ มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 \nนับแต่ปี พ.ศ. 2511 เป็นต้นมา วิทยาลัยวิชาการศึกษา สงขลา,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สงขลา,มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต้,มหาวิทยาลัยทักษิณ มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารมาแล้ว ดังนี้", "title": "มหาวิทยาลัยทักษิณ" }, { "docid": "50748#18", "text": "เสื้อครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยเป็นเสื้อคลุม ผ้าโปร่งสีขาว ผ่าอกตลอดรอบขอบและที่ต้นแขนกับปลายแขน มีแถบสีทองและฟ้าเข้มทาบทับด้วยแถบทองบริเวณอกเสื้อทั้งสองข้างมีวงมีตรามหาวิทยาลัย ปริญญาตรี และเส้นมีการจัดสีพื้นกับสีประจำคณะ สีของเส้นที่แสดงระดับของวุฒิคือ ปริญญาตรี 1 เส้น ปริญญาโทและเอกใช้ 2 และ 3 เส้น ตามลำดับนั้นเนื่องจากมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ขึ้นตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2548 แต่ยังไม่ได้มีการกำหนดตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้เสนอว่าควรกำหนดให้มีตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นรูปมงกุฎสีทองซึ่งเป็นตราพระสัญลักษณ์ประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ส่วนบนเป็นมงกุฎสีทอง ส่วนกลางมีอักษรย่อพระนาม กว.สีฟ้าน้ำทะเล ส่วนล่างเป็นโบว์สีทองวงซ้อนพับกัน ภายในแถบโบว์มีชื่อ\"มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์\"สีฟ้าน้ำทะเล ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ มีพระวินิจฉัยและพระราชทานอนุญาต เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2549 และสภามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการและต่อมาจึงได้ประกาศ \"พระราชกฤษฎีกากำหนดตราสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ พ.ศ. 2551\" โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายโดยสมบูรณ์", "title": "มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์" }, { "docid": "61536#8", "text": "สีประจำมหาวิทยาลัย\nสีน้ำตาลทอง หมายถึงความเจริญรุ่งเรืองที่ยั่งยืน เปรียบได้กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ที่ตั้งอยู่ในดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านการศึกษา ศิลปวัฒนธรรม อันเป็นฐานความพร้อมในการเสริมสร้างบัณฑิตนักปฏิบัติที่มีคุณธรรม จริยธรรม และการพัฒนามหาวิทยาลัยให้เจริญก้าวหน้าเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้สืบไป", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพเชียงใหม่" }, { "docid": "1847#9", "text": "แต่เดิม สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ได้กำหนดให้สีเหลืองและสีน้ำเงินเป็นสีประจำสถาบัน \nสืบเนื่องจากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลมีการปรับโครงสร้างตาม พรบ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลทั้ง 9 แห่งจึงได้กำหนดสีประจำมหาวิทยาลัยดังนี้", "title": "มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล" }, { "docid": "641229#4", "text": "ตราสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนเป็นรูปสัตภัณฑ์สีขาวบนพื้นหลังรูปศิลาจารึกยอดกลีบดอกบัวสีม่วง เหนือตัวอักษร \"มพ\" รูปอักษรฝักขามด้านล่างมีชื่อมหาวิทยาลัยพะเยาสีม่วง และชื่อภาษาอังกฤษ \"UIVERSITY OF PHAYAO\" ภายใต้ชายธงสีทอง ล้อมรอบด้วยวงกลมพื้นสีม่วงและแถบสีทองชื่อโรงเรียนว่า \"โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา\" ไว้ส่วนบนของวงโค้ง ส่วนวงโค้งด้านล่างเขียนเป็นชื่อโรงเรียนด้วยตัวอักษรโรมันว่า \"Demonstration School ๐ University of Phayao\" และวงโค้งด้านซ้ายกับด้านขวามีรูปลายไทยเส้นสีขาว", "title": "โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยพะเยา" }, { "docid": "11674#13", "text": "\"สีเขียวเวอร์ริเดียน\" หรือที่เรียกตามสีไทยโทนว่า \"สีเขียวตั้งแช\" เป็นสีของน้ำทะเลระดับลึกที่สุด แต่ในระยะแรกก่อตั้งมหาวิทยาลัยได้กำหนดใช้สีเขียว ซึ่งเป็นสีพื้นป้ายมหาวิทยาลัยป้ายแรก แต่ช่วงนั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยมหิดล ก็ใช้สีเขียวเป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเช่นกัน จึงมีแนวคิดที่จะสร้างความแตกต่าง และเนื่องจากนักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ นิยมพารุ่นน้องปี 1 ไปทำกิจกรรมรับน้องที่เกาะเสม็ด จึงได้มีโอกาสชื่นชมสีของน้ำทะเลใส และได้นำมาเป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสีที่บ่งบอกถึงความสร้างสรรค์ของชาวศิลปากร\nนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน มหาวิทยาลัยศิลปากรมีนายกคณะกรรมการและนายกสภามหาวิทยาลัยมาแล้ว 12 คน ดังรายนามต่อไปนี้", "title": "มหาวิทยาลัยศิลปากร" }, { "docid": "12279#6", "text": "ปัจจุบัน ได้เปลี่ยนมาใช้ \"สีม่วง\" และ \"สีแสด\" เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย โดยการเปลี่ยนแปลงสีประจำมหาวิทยาลัยนั้น เพื่อเป็นเกียรติกับสองบูรพาจารย์ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย เนื่องจากสีม่วงเป็นสีประจำวันเสาร์ และสีแสดเป็นสีประจำวันพฤหัสบดี", "title": "มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" }, { "docid": "12279#5", "text": "ที่มาของสีสัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัยนั้น จากหลักฐานและบันทึกทางประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย แต่เดิมมหาวิทยาลัยใช้ \"สีเขียวอมฟ้า\" เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ดังจะเห็นได้จาก ปกเสื้อครุยของบัณฑิตรุ่นแรก ๆ ที่เป็นสีเขียวอมฟ้า และจากเพลงมาร์ชของมหาวิทยาลัย ที่ยังคงมีเนื้อร้องว่า \"ธงเขียวเชิดให้เด่นไกลนานเนาว์\" มาจนถึงปัจจุบัน", "title": "มหาวิทยาลัยกรุงเทพ" }, { "docid": "31412#4", "text": "สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนเพาะช่างพระองค์แรก ทรงกำหนดสีประจำโรงเรียนเพาะช่าง คือ \"สีแดง–สีดำ\" โดยทรงให้เหตุผลว่า \"สีแดง\" หมายถึงเลือดของช่างที่สดใสอยู่เสมอ \"สีดำ\" หมายถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับช่าง ฉะนั้นอย่าให้สีแดงเจือจางหรือหมองคล้ำจนกลายเป็นสีดำ", "title": "วิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์" } ]
2072
ประเทศฝรั่งเศสมีเนื้อที่เท่าไหร่?
[ { "docid": "1820#9", "text": "พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศส รวมทั้งจังหวัดและดินแดนโพ้นทะเล (ไม่รวมดินแดนอาเดลี) คือ 674,843 ตารางกิโลเมตร (260,558 ตารางไมล์) นับเป็น 0.45% ของพื้นแผ่นดินโลกทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามประเทศฝรั่งเศสครอบครองพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นอันดับสองของโลก ด้วยเนื้อที่ 11,035,000 ตารางกิโลเมตร (4,260,000 ตารางไมล์) นับเป็น 8% ของพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะทั้งหมดในโลก ตามหลังสหรัฐอเมริกา ไปเพียง 316,000 ตารางกิโลเมตร และนำประเทศออสเตรเลียกว่า 2,886,750 ตารางกิโลเมตร", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "1820#7", "text": "ประเทศฝรั่งเศสภาคพื้นทวีปยุโรปนั้นมีพื้นที่ 543,935 ตารางกิโลเมตร (210,013 ตารางไมล์) ทำให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งใหญ่กว่าประเทศสเปนเพียงนิดเดียว ประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศที่หลากหลายมาก ตั้งแต่ที่ราบชายฝั่งในภาคเหนือและตะวันตก ซึ่งติดกับทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก ไปจนถึงเทือกเขาแอลป์ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ราบสูงมาซิฟซ็องทราลทางภาคใต้ตอนกลางและเทือกเขาพิเรนีสทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ประเทศฝรั่งเศสยังมีจุดที่สูงที่สุดในทวีปยุโรปตะวันตกคือ ยอดเขามงบล็อง (Mont Blanc) ซึ่งสูง 4,807 เมตร (15,770 ฟุต) ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ บริเวณชายแดนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "154785#6", "text": "ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 551,695 กม.² (213,011 ตร.ไมล์) ในขณะที่ประเทศฝรั่งเศสโพ้นทะเลครอบคลุมพื้นที่ 123,148 กม.² (47,548 ตร.ไมล์) โดยรวมกันเป็น 674,843 กม.² (260,558 ตร.ไมล์) (ซึ่งไม่รวมกับดินแดนอาเดลีในแอนตาร์กติกาที่มีปัญหา) ซึ่งเมื่อคำนวณดูแล้ว พื้นที่ของประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่นั้นเท่ากับ 81.8% ของพื้นที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส", "title": "ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่" } ]
[ { "docid": "64261#10", "text": "ในทางบริหาร เรอูนียงแบ่งออกเป็น 4 เขต 24 เทศบาล 47 อำเภอ เรอูนียงมีสถานะเป็นทั้งจังหวัดโพ้นทะเลและแคว้นโพ้นทะเล อย่างไรก็ตามเรอูนียงมีจำนวนเทศบาลน้อยกว่าเขตการปกครองอื่น ๆ ที่มีพื้นที่เท่ากันในประเทศฝรั่งเศสและยังมีประชากรที่มีลักษณะพิเศษอีกด้วย เทศบาลในเรอูนียงส่วนมากจะล้อมรอบถิ่นที่อยู่ และบางครั้งแยกออกจากกันเนื่องจากระยะทาง เรอูนียงยังเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการมหาสมุทรอินเดียอีกด้วย เกาะเรอูนียงมีความยาว 63 กิโลเมตร (39 ไมล์) กว้าง 45 กิโลเมตร (28 ไมล์) มีเนื้อที่ 2,512 ตารางกิโลเมตร (970 ตารางไมล์) เรอูนียงมีความเหมือนกับเกาะฮาวายเพราะทั้งสองตั้งอยู่บนจุดร้อนบนเปลือกโลก", "title": "เรอูนียง" }, { "docid": "1820#26", "text": "ประเทศฝรั่งเศสมีจำนวนพื้นที่ถือครองเพื่อการเกษตรกว่า 590,000 แห่ง มีประชากรในวัยทำงานในภาคการเกษตร 1,189,000 คน และมีพื้นที่เพาะปลูก 27,668,000 เฮกตาร์หรือเท่ากับร้อยละ 50.7 ของประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ โดยมีผลิตผลทางการเกษตรหลักดังนี้ส่วนด้านการทำปศุสัตว์และการผลิตเนื้อสัตว์นั้น มีดังนี้ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ภายกลุ่มประชาคมยุโรปกว่าร้อยละ 58.6 ของการค้าทั้งหมดของประเทศฝรั่งเศสคือ ประเทศเยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก สหราชอาณาจักร สเปนและอิตาลี ที่เหลือได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และแอลจีเรีย", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "1820#29", "text": "จำนวน 81.9 ล้านคนนี้ ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่อาศัยในประเทศฝรั่งเศสน้อยกว่า 24 ชั่วโมง เช่น ชาวยุโรปทางตอนเหนือที่เดินทางผ่านประเทศฝรั่งเศสเพื่อไปประเทศสเปนหรืออิตาลีในฤดูร้อน ประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ท่องเที่ยวในทุก ๆ บรรยากาศไม่ว่าจะเป็น สถานที่ท่องเที่ยวทางด้านวัฒนธรรมหรือธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยทะเล หาดทราย ป่า แม่น้ำ ภูเขา บ้านพักตากอากาศ ฯลฯ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดมีดังนี้ หอไอเฟล (6.2 ล้าน), พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (5.7 ล้าน) , พระราชวังแวร์ซายส์ (2.8 ล้าน) , พิพิธภัณฑ์ออร์เซ (2.1 ล้าน) , ประตูชัยฝรั่งเศส (1.2 ล้าน) , ซองตร์ ปอมปิดู (1.2 ล้าน) , มง-แซ็ง-มีแชล (1 ล้าน) , พระราชวังช็องบอร์ (711,000) , วิหารแซ็งต์-ชาแปล (683,000) , ชาโต ดู โอต์-โคนิคบูร์ก (549,000) , ปุย เดอ โดม (5 แสน) , พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ (441,000) และการ์กาซอน (362,000)", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "1820#24", "text": "ในปี พ.ศ. 2547 ประเทศฝรั่งเศสเสียเปรียบดุลการค้าถึง 6.6 พันล้านยูโร ถือเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกทางด้านสินค้าทุน (ส่วนมากจะเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์) และเป็นอันดับ 2 ในส่วนของภาคบริการและทางด้านเกษตรกรรม (โดยเฉพาะธัญพืชและอุตสาหกรรมอาหาร) ส่วนในระดับภูมิภาคยุโรป ประเทศฝรั่งเศสนับเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าการเกษตรรายใหญ่ที่สุด นอกจากนี้ สัดส่วนการค้าระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปคิดเป็นร้อยละ 70 (ร้อยละ 50 เฉพาะประเทศในโซนยูโร)", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "1820#0", "text": "ฝรั่งเศส ( \"ฟร็องส์\") หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐฝรั่งเศส () เป็นประเทศที่มีศูนย์กลางตั้งอยู่ในภูมิภาคยุโรปตะวันตก ทั้งยังประกอบไปด้วยเกาะและดินแดนอื่น ๆ ในต่างทวีป ประเทศฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่ทอดตัวตั้งแต่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจนถึงช่องแคบอังกฤษและทะเลเหนือ และจากแม่น้ำไรน์จนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม \" (L'Hexagone) \" เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ ประเทศฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยยึดอุดมการณ์จากปฏิญญาว่าด้วยสิทธิของมนุษย์และของพลเมือง", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "2026#4", "text": "หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 3 เป็นต้นมา จักรวรรดิโรมันก็เสื่อมอำนาจ ดินแดนหลายส่วนของจักรวรรดิโรมันตกอยู่ในเงื้อมมือของชนเผ่าป่าเถื่อนหลายพวก ชนเผ่าป่าเถื่อนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน ได้แก่ ชนเผ่าแฟรงก์ที่อาศัยอยู่ทางเหนือ ชนเผ่าวิซิกอทที่อาศัยอยู่ทางใต้ ชนเผ่าเบอร์กันดีในบริเวณริมแม่น้ำโรน และชนเผ่าเอลแมนที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนของประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี ชนเผ่าป่าเถื่อนเหล่านี้พูดภาษากลุ่มเจอร์แมนิก สำเนียงของชนเหล่านี้ได้ส่งผลต่อภาษาละตินที่เคยพูดอยู่เดิมในฝรั่งเศส และคำจากภาษาของชนป่าเถื่อน ได้แก่ คำที่มีความหมายเกี่ยวกับยุทธวิธีในการรบ และชนชั้นทางสังคม ได้ถูกนำมาใช้ในภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศส โดยภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันมีคำที่มีที่มาจากคำในภาษาของชนป่าเถื่อนอยู่ประมาณ ร้อยละ 60", "title": "ภาษาฝรั่งเศส" }, { "docid": "813942#1", "text": "ประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ 37 แห่งที่ได้รับการจารึกไว้ในรายชื่อแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกและมีเมืองที่น่าสนใจทางวัฒนธรรมสูง (กรุงปารีสมีความสำคัญมากที่สุด แต่ก็รวมถึงตูลูซ, สทราซบูร์, บอร์โด, ลียง และอื่น ๆ), ชายหาดและรีสอร์ตริมทะเล, สกีรีสอร์ต และภูมิภาคชนบทหลายแห่งที่สามารถเพลิดเพลินไปกับความงามและความเงียบสงบเหล่านั้น (การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์) หมู่บ้านฝรั่งเศสขนาดเล็กและงดงามเป็นมรดกทางวัฒนธรรม (เช่น กอลงฌ์-ลา-รูฌ หรือลอครอน็อง) ต่างก็ได้รับการส่งเสริมผ่านสมาคม \"เลปลูว์โบวีลาฌเดอฟร็องส์\" (\"หมู่บ้านที่สวยที่สุดของประเทศฝรั่งเศส\") ส่วนการติดป้าย \"สวนที่โดดเด่น\" จะเป็นรายการของสวนกว่าสองร้อยแห่งที่จัดขึ้นโดยกระทรวงวัฒนธรรมแห่งประเทศฝรั่งเศส ซึ่งป้ายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องและส่งเสริมสวนและสวนสาธารณะที่โดดเด่น", "title": "การท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส" } ]
2075
ประเทศรัสเซียใช้สกุลเงินอะไร ?
[ { "docid": "314570#0", "text": "เงินรูเบิล (, \"รูบิ\") เป็นสกุลเงินของประเทศ รัสเซีย, เบลารุส, อับฮาเซีย, โอเซตเตียใต้, ทรานนิสเตรียใต้ สกุลเงินนี้เคยใช้ในหลายประเทศที่อยู่ใต้อิทธิพลของรัสเซียและสหภาพโซเวียตหนึ่งรูเบิลสามารถแลกเป็นเงินได้ 100 โคเปกส์ (ภาษารัสเซีย: копейка, คาเปียก้า) และหนึ่งร้อย ฮีฟย์เยียยูเครน", "title": "รูเบิล" }, { "docid": "265137#0", "text": "รูเบิล เป็นสกุลเงินตราของสหพันธรัฐรัสเซีย อับฮาเซีย และออสเซเตียใต้ รูเบิลเคยเป็นสกุลเงินตราของจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียตตามลำดับ หน่วยย่อยของรูเบิลคือโคเปค โดยที่หนึ่งรูเบิลมีมูลค่าเท่ากับหนึ่งร้อยโคเปค รหัส ISO 4217 ของสกุลเงินนี้คือ RUB โดยก่อนที่จะมีการปรับค่าเงินในปีค.ศ. 1998 รูเบิลเคยใช้รหัส RUR มาก่อน (หนึ่งรูเบิลใหม่เท่ากับหนึ่งพันรูเบิลเดิม)", "title": "รูเบิลรัสเซีย" }, { "docid": "265137#2", "text": "รูเบิลเป็นสกุลเงินตราของรัสเซียมากราว ๆ 500 ปีแล้ว ในปีค.ศ. 1704 ปีเตอร์ที่ 1 ได้กำหนดให้เงิน 28 กรัมมีมูลค่าเท่ากับหนึ่งรูเบิล และแม้ว่าเหรียญรูเบิลจะทำจากเงิน แต่ก็มีเหรียญมูลค่าสูงที่ทำจากทองคำและแพลทินัมเช่นกัน ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 หนึ่งรูเบิลมีมูลค่าเท่ากับเงิน 4 ซาลัตนิค 21 ดอลยา (ราว ๆ 18 กรัม) หรือทองคำ 27 ดอลยา โดยโลหะทั่งสองประเภทมีมูลค่าในอัตราส่วน 15:1 ในปีค.ศ. 1828 ได้มีการผลิตเหรียญแพลทินัมโดนหนึ่งรูเบิลมีค่าเท่ากับแพลทินัม 77⅔ ดอลยา (3.451 กรัม)", "title": "รูเบิลรัสเซีย" } ]
[ { "docid": "17218#18", "text": "สกุลเงินที่ใช้คือโครนาไอซ์แลนด์ (króna – ISK) ออกโดยธนาคารกลางไอซ์แลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลนโยบายการเงินด้วย ค่าเงินโครนามีความผันผวนกับสกุลเงินยูโรสูง จึงทำเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนมาใช้เงินยูโรโดยไม่เข้าร่วมกับกลุ่มสหภาพยุโรป จากการสำรวจในปี 2550 พบว่า 53% ของชาวไอซ์แลนด์สนับสนุนการร่วมใช้สกุลเงินยูโร 37% ต่อต้าน และ 10% ไม่ตัดสินใจ ไอซ์แลนด์มีอัตราการใช้จ่ายด้วยเงินสดในประเทศต่ำมาก (น้อยกว่า 1% ของ GDP) และนับได้ว่าเป็นประเทศที่ใช้ปัจจัยอื่นทดแทนเงินสดได้มากที่สุด ประชากรส่วนใหญ่ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแม้จะเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย\nพลังงานทดแทน ได้แก่พลังงานน้ำและพลังงานความร้อนใต้พิภพ เป็นส่วนประกอบถึงมากกว่า 70% ของการบริโภคพลังงานของไอซ์แลนด์", "title": "ประเทศไอซ์แลนด์" }, { "docid": "8538#45", "text": "แม้ว่าก่อนสงครามรัสเซียจะมีทองคำสำรองในท้องพระคลังมูลค่ากว่า 106.3 ล้านปอนด์ แต่รัสเซียกลับขาดดุลงบประมาณแผ่นดินติดต่อกันหลายปีจนต้องกู้เงินจากต่างประเทศ งบประมาณด้านสงครามส่วนใหญ่ของรัสเซียใช้เงินกู้จากฝรั่งเศสเป็นหลัก แม้ว่าฝรั่งเศสจะไม่ต้องการเข้ามีส่วนร่วมในการสงครามทั้งทางตรงและอ้อม แต่รัฐบาลฝรั่งเศสตลอดจนธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของฝรั่งเศสก็จำใจต้องให้เงินกู้แก่รัสเซียด้วยตระหนักว่าผลประโยชน์ตลอดจนเศรษฐกิจของสองประเทศนั้นถูกผูกไว้ด้วยกัน วงเงินกู้แรกมีมูลค่า 800 ล้านฟรังก์ (30.4 ล้านปอนด์) วงเงินกู้ครั้งต่อมาจะมีมูลค่า 600 ล้านฟรังก์แต่ก็ถูกยกเลิกก่อน นอกเหนือไปจากการกู้เงินจากฝรั่งเศส รัสเซียยังได้ทำการกู้เงินจำนวน 500 ล้านมาร์กจากเยอรมัน ซึ่งเยอรมันเองก็จัดสรรเงินกู้เพื่อการสงครามให้แก่รัฐบาลญี่ปุ่นด้วย", "title": "สงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น" }, { "docid": "5449#33", "text": "ระบบภาษีที่เข้าใจง่ายกว่าเดิมเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งทำให้ภาระต่อประชาชนลดลงในขณะที่รายได้ของรัฐเพิ่มขึ้น รัสเซียใช้ระบบอัตราภาษีคงที่ที่ร้อยละ 13 กับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และทำให้กลายเป็นประเทศที่มีระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ดึงดูดผู้บริหารได้ดีเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จากการสำรวจในปี 2007 งบประมาณของรัฐเกินดุลตั้งแต่ปี 2001 และจนถึงสิ้นปี 2007 มีงบประมาณเกินดุลมาร้อยละ 6 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ รัสเซียใช้รายได้จากน้ำมันที่ได้รับผ่านกองทุนความมั่นคงของสหพันธรัฐรัสเซียในการจ่ายหนี้ซึ่งเกิดขึ้นในยุคโซเวียตคืนแก่ปารีสคลับและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ รายได้จากการส่งออกน้ำมันยังสามารถทำให้รัสเซียมีเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มจาก 1 หมื่น 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1999 เป็น 5.97 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2008 ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของโลก รัสเซียยังสามารถลดหนี้ต่างประเทศที่ก่อขึ้นในอดีตได้อย่างมาก", "title": "ประเทศรัสเซีย" }, { "docid": "5449#32", "text": "รัสเซียสามารถฟื้นตัวจากวิกฤติทางการเงินในปี 1998 และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปี เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของการบริโภคในประเทศ และความมั่นคงทางการเมือง ในปี 2007 รัสเซียมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ของโลก (มูลค่า 2.088 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อวัดด้วยความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ) ค่าแรงเฉลี่ยต่อเดือนในรัสเซียเพิ่มขึ้นจาก 80 ดอลลาร์ในปี 2000 เป็น 640 ดอลลาร์ในต้นปี 2008 ชาวรัสเซียที่ยากจนมีประมาณร้อยละ 14 ในปี 2007 ซึ่งลดลงอย่างมากจากร้อยละ 40 ในปี 1998 ซึ่งสถิติสูงสุดหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย อัตราว่างงานในรัสเซียลดลงจากร้อยละ 12.4 ในปี 1999 เหลือร้อยละ 6 ในปี 2007 การที่ประชากรมีรายได้เพิ่มขึ้นนี้ทำให้ตลาดของชนชั้นกลางในรัสเซียขยายตัวหลายเท่า", "title": "ประเทศรัสเซีย" }, { "docid": "86503#4", "text": "ในอดีตมีการค้นพบว่าหมาจิ้งจอกแดงสามารถนำมาเลี้ยงให้เชื่องได้ แต่ไม่สามารถเลี้ยงไว้ได้นาน ปัจจุบันมีหมาจิ้งจอกเงินในประเทศรัสเซียที่มนุษย์สามารถนำไปเลี้ยงเป็นแบบหมาบ้านได้ เพราะหมาจิ้งจอกเงินดังกล่าวได้ผ่านการผสมพันธุ์เพื่อที่จะให้เป็นสัตว์เชื่องโดยเฉพาะมาเป็นเวลา 50 ปี พฤติกรรมของหมาจิ้งจอกเงินเหล่านี้คล้ายกับหมาบ้านมาก มนุษย์สามารถลูบหัวหรืออุ้มกอดได้ มักร้องเรียกคนและเลียคนโดยไม่มีความหวาดกลัว ที่ญี่ปุ่น มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดมิยะงิ เป็นสถานที่เลี้ยงหมาจิ้งจอกเอาไว้มากกว่า 6 สายพันธุ์ จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว", "title": "หมาจิ้งจอก" }, { "docid": "73009#6", "text": "เงินในที่นี้จะให้เป็นเงินสกุล ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ว่าทีมจะอยู่ในประเทศใด ๆ ก็ตาม (กฎนี้มีข้อยกเว้นในเลก 4 ของ ซีซั่นที่ 10 ในประเทศเวียดนาม ที่ให้เงินเป็นเงินสกุลท้องถิ่น (ด่อง) โดยจำนวนเงินที่ให้ในแต่ละเลกนั้นแตกต่างออกไปตั้งแต่ไม่ให้เงินจนถึงหลายร้อยดอลลาร์ (ในซีซั่นที่ 1 , ซีซั่นที่ 10 , ซีซั่นที่ 12 มีอยู่หนึ่งเลกที่ทางรายการไม่ได้ให้เงินและในซีซั่นที่ 4 ทางรายการให้เงินเพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับ 2 เลกสุดท้าย และตั้งแต่ ซีซั่นที่ 5 ถึง ซีซั่นที่ 9 ทีมที่เข้าสุดท้ายในเลกที่ไม่มีการคัดออกจะถูกบังคับให้คืนเงินทั้งหมด และจะไม่ได้รับเงินใช้ในเลกต่อไป", "title": "ดิอะเมซิ่งเรซ" }, { "docid": "83504#6", "text": "ในปี พ.ศ. 2547 นักสืบอาชญากรรมของสวิสได้เลิกสืบสวนคดีการโกงเงินที่รัสเซียกู้ยืมจากไอเอ็มเอฟ (IMF) มูลค่า 4,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศรัสเซียไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลลับเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้กับนักสืบ ซึ่งเรื่องนี้มีนายอับราโมวิชเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ นาย Laurent Kasper-Ansermet ผู้พิพากษาซึ่งเป็นผู้ควบคุมดูแลคดี ได้ถูกทำร้ายจนหมดสติตอนที่มาเยือนเมืองเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก", "title": "โรมัน อับราโมวิช" } ]
2079
จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศสเริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคใด ?
[ { "docid": "209744#1", "text": "ในปี ค.ศ. 1804 นโปเลียน โบนาปาร์ต หนึ่งในสามผู้นำของคณะกงสุลฝรั่งเศส ได้ปราบดาภิเษกตนเองเป็นจักรพรรดิและเริ่มต้นจักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง จักรพรรดินโปเลียนทรงปรับปรุงกองทัพฝรั่งเศสเป็น \"กองทัพใหญ่\" (Grand Armée) ในปี ค.ศ. 1805 การประกาศฝรั่งเศสเป็นจักรวรรดิทำให้ชาติต่างๆ รวมตัวกันอีกครั้งเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่สาม จักรพรรดินโปเลียนที่ 1ทรงนำทัพบุกเยอรมนี ชนะกองทัพออสเตรียที่อุล์ม แต่ทางทะเลต้องพ่ายแพ้อังกฤษที่แหลมทราฟัลการ์ในยุทธนาวีทราฟัลการ์ ชัยชนะที่อุล์มทำให้จักรพรรดินโปเลียนทรงรุกคืบเข้าไปในออสเตรีย และชนะออสเตรียกับรัสเซียที่เอาสเทอร์ลิทซ์ เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรพรรดินโปเลียน ทำให้สัมพันธมิตรครั้งที่สาม สลายตัวด้วยสนธิสัญญาเพรสบูร์ก (Treaty of Pressburg) ผลของสนธิสัญญาคือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องล่มสลายไป พระเจ้านโปเลียนตั้งสมาพันธรัฐแห่งแม่น้ำไรน์ (Confederation of the Rhine) ขึ้นมาแทนที่ ยังผลให้จักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องเปลี่ยนพระอิสริยยศเป็นจักรพรรดิแห่งออสเตรีย ซึ่งในช่วงต้นของสงครามกับนานาประเทศ ฝรั่งเศสบุกชนะในหลายประเทศอาทิเช่น ออสเตรีย ปรัสเซีย โปรตุเกส และชาติพันธมิตรชาติอื่น ๆ อีกทั้งยังยึดครองดินแดนในทวีปยุโรปไว้ได้มากมาย", "title": "จักรวรรดิฝรั่งเศสที่หนึ่ง" }, { "docid": "1820#13", "text": "ฝรั่งเศสปกครองด้วยระบอบกษัตริย์จนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16ในปี ค.ศ. 1792 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบอบสาธารณรัฐ หลังจากนั้นนโปเลียน โบนาปาร์ตได้ตั้งตัวเองเป็นจักรพรรดิและรุกรานประเทศอื่น ๆ ในทวีปยุโรป เมื่อนโปเลียนพ่ายแพ้ ฝรั่งเศสจึงกลับมาใช้ระบบสาธารณรัฐอีกครั้ง เรียกว่ายุคสาธารณรัฐที่สอง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะหลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของนโปเลียนได้ยึดประเทศและตั้งจักรวรรดิที่สองอีกครั้ง", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "4496#67", "text": "ใน ค.ศ. 1804 นโปเลียนปราบดาภิเษกตนเองเป็นจักรพรรดิ เริ่มจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 (First Empire) พระเจ้านโปเลียนทรงปรับปรุงกองทัพฝรั่งเศสเป็น \"กองทัพใหญ่\" (\"Grand Armée\") ในค.ศ. 1805 การประกาศฝรั่งเศสเป็นจักรวรรดิทำให้ชาติต่างๆรวมตัวกันอีกครั้งเป็นสัมพันธมิตรครั้งที่สาม (Third Coaltion) พระเจ้านโปเลียนทรงนำทัพบุกเยอรมนี ชนะทัพออสเตรียที่อุล์ม (Ulm) แต่ทางทะเลพ่ายแพ้อังกฤษที่แหลมทราฟัลการ์ (Trafalgar) ชัยชนะที่อุล์มทำให้พระเจ้านโปเลียนทรงรุกคืบเข้าไปในออสเตรีย ชนะออสเตรียและรัสเซียที่เอาสเทอร์ลิทซ์ (Austerlitz) เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียน สัมพันธมิตรครั้งที่สาม จึงสลายตัวด้วยสนธิสัญญาเพรสบูร์ก (Pressburg) จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิล่มสลายไป พระเจ้านโปเลียนตั้งสมาพันธรัฐแห่งไรน์ (Confederation of the Rhine) ขึ้นมาแทนที่ พระจักรพรรดิเปลี่ยนตำแหน่งเป็นจักรพรรดิออสเตรีย", "title": "ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส" }, { "docid": "59917#4", "text": "นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังเคยใช้ระบอบจักรวรรดิสองครั้งคือ จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 ตั้งแต่ พ.ศ. 2347 - 2358 ซึ่งสถาปนาและปกครองโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ต่อมาคือ จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2395 - 2413 ซึ่งซึ่งสถาปนาและปกครองโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พระนัดดาในนโปเลียนที่ 1", "title": "รายพระนามพระมหากษัตริย์และจักรพรรดิฝรั่งเศส" }, { "docid": "59917#0", "text": "พระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส () ทรงปกครองดินแดนฝรั่งเศสมาตั้งแต่การสถาปนาราชอาณาจักรแฟรงก์ในปี พ.ศ. 1029 ไปจนถึงการล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2 ในปี พ.ศ. 2413 โดยฝรั่งเศสถูกปกครองด้วยตำแหน่งพระมหากษัตริย์ตลอดช่วงระยะเวลาส่วนมากบนหน้าประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตามยังมีพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์กาโรแล็งเชียงสี่พระองค์ที่ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งโรมันและบุคคลจากตระกูลโบนาปาร์ตดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งชาวฝรั่งเศสด้วย", "title": "รายพระนามพระมหากษัตริย์และจักรพรรดิฝรั่งเศส" } ]
[ { "docid": "139873#0", "text": "จักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส () ประกอบด้วยอาณานิคมโพ้นทะเล, รัฐในอารักขา และ รัฐบริวารที่อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลฝรั่งเศสในกรุงปารีส ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศสถูกแบ่งออกเป็นสองยุค คือจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศสที่หนึ่ง ซึ่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1814 เมื่อนโปเลียนถูกถอดจากราชบัลลังก์ และเริ่มเข้าสู้ยุคจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศสที่ 2 อีกครั้งในปี 1830 เมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดครองแอลจีเรีย และเริ่มเสื่อมถอยลงจากสงครามในเวียดนาม (1955) และแอลจีเรีย (1962) ซึ่งนำไปสู่การประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสในอีกหลายๆประเทศภายหลังปี 1960", "title": "จักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส" }, { "docid": "12125#27", "text": "ถ้าจะว่ากันไปแล้ว จักรวรรดิฝรั่งเศสเกิดขึ้นจากคำขอของวุฒิสภา นักประวัติศาสตร์สตีเฟน อิงลุนด์เชื่อในแนวความคิดที่ว่า การสถาปนาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิของนโปเลียนนั้นเป็นไปเพื่อปกป้องสาธารณรัฐ หากนโปเลียนถูกโค่น กลุ่มคนต่างๆ จะล่มสลายไปกับเขาด้วย จักรพรรดิได้กลายมาเป็นสถาบัน ตอกย้ำความยั่งยืนของความเชื่อในการปกครองระบอบสาธารณรัฐ หากนโปเลียนตาย นั่นคือการสูญเสียผู้สืบทอดตำแหน่งที่มีหน้าที่ปกป้องประเทศจากความโกลาหล และนั่นหมายถึงความสูญเสียของสิ่งที่ได้มาจากการปฏิวัติฝรั่งเศส (\"ความเสมอภาค\" \"อิสรภาพ\" และ \"ความยุติธรรม\") การที่เงินเหรียญของทางการฝรั่งเศสจารึกคำว่า \"จักรพรรดินโปเลียน - สาธารณรัฐฝรั่งเศส\" นั้น มิใช่คำพูดเสียดสีแต่อย่างใด", "title": "จักรพรรดินโปเลียนที่ 1" }, { "docid": "5951#9", "text": "การปฏิวัติอุตสาหกรรม จักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 2และยุคสวยงาม (\"Belle Époque\") ช่วยนำพากรุงปารีสไปสู่การพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1840 เป็นต้นมา การเดินทางโดยรถไฟทำให้มีประชากรจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามายังกรุงปารีสเพื่อมาทำงานในอุตสาหกรรมต่างๆ กรุงปารีสได้ผ่านการบูรณะครั้งยิ่งใหญ่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3และบารงโอสส์มันน์ ซึ่งได้เปลี่ยนถนนเล็กๆ ในยุคกลางจนกลายเป็นถนนขนาดกว้างและมีตึกรามบ้านช่องร่วมสมัยจำนวนมากมาย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีจุดประสงค์ให้กรุงปารีสมีความสวยงามและความสะอาดมากขึ้นกว่าเดิม ถึงกระนั้นก็มีประโยชน์ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ปฏิวัติหรือเหตุการณ์รุนแรง เพราะกองทหารม้าและปืนไรเฟิลสามารถต่อกลอนกับกลุ่มพวกจลาจล ในขณะที่กลยุทธ์ในการซุ่มโจมตีหรือสกัดกั้นที่ใช้มากในสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศสจะเป็นการล้าสมัย", "title": "ปารีส" }, { "docid": "1820#14", "text": "ตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง ทศวรรษที่ 60 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคม จักรวรรดิฝรั่งเศสมีพื้นที่ใหญ่มาก โดยช่วงที่ใหญ่ที่สุดคือช่วงยุคทศวรรษที่ 20 ถึง 30 ซึ่งมีกว่า 12,898,000 ตารางกิโลเมตร และเป็นจักรวรรดิอันดับสองของโลก รองมาจากจักรวรรดิอังกฤษ", "title": "ประเทศฝรั่งเศส" }, { "docid": "4496#47", "text": "พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ยังทรงพระเยาว์จนต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนหลายคน เริ่มที่ดยุคแห่งออร์เลียงส์ เข้าร่วมสงครามจตุรมิตร (War of the Quadraple Alliance - ประกอบด้วยฝรั่งเศส อังกฤษ ออสเตรีย และเนเธอร์แลนด์)เมื่อพระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปนและราชินีอลิซาเบธ ฟาร์เนสที่ทะเยอทะยาน ต้องการกอบกู้ดินแดนในอิตาลีและกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำที่เสียไปในสงครามสืบราชสมบัติสเปน ผลคือความพ่ายแพ้ของสเปน ต่อมาคาร์ดินัล เฟลอรี (Cardinal Fleury) ทำสงครามสืบราชสมบัติโปแลนด์ สตานิสลาส เลสเซนสกี ต้องการเป็นพระมหากษัตริย์โปแลนด์ แต่จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อต้าน ฝรั่งเศสเห็นโอกาสที่จะทำลายอำนาจออสเตรีย จึงทำสงคราม แต่สนธิสัญญาเวียนนาใน ค.ศ. 1735 เลสเซนสกีได้เป็นดยุคแห่งลอร์เรน ซึ่งเมื่อเลสเซนสกีเสียชีวิตใน ค.ศ. 1766 แคว้นลอร์เรนจึงตกเป้นของฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสมีอาณาเขตถึงปัจจุบัน", "title": "ประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส" }, { "docid": "810934#0", "text": "ฝรั่งเศสใหม่ () หรืออีกชื่อหนึ่งคือ จักรวรรดิอเมริกาเหนือของฝรั่งเศส คือชื่อเรียกเขตอาณานิคมของฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ฌัก การ์ตีเยค้นพบทวีปอเมริกาเหนือในปี ค.ศ. 1534 และสิ้นสุดลงหลังฝรั่งเศสยอมยกดินแดนส่วนนี้ให้แก่อังกฤษและสเปนในค.ศ. 1763 รวมเป็นระยะเวลากว่า 229 ปีที่ฝรั่งเศสเข้ามามีอำนาจในอเมริกาเหนือ ยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของฝรั่งเศสใหม่คือช่วงค.ศ. 1712 (ก่อนสนธิสัญญายูเทรกต์) อาณานิคมนี้ กินพื้นที่ตั้งแต่เกาะนิวฟันด์แลนด์ไปจนถึงเทือกเขาร็อกกี และจากอ่าวฮัดสันไปจนถึงอ่าวเม็กซิโก ซึ่งรวมไปถึงมหาทะเลสาบทั้งห้าแห่งอเมริกาเหนือ", "title": "ฝรั่งเศสใหม่" } ]
2084
ใจกลางเนบิวลาปูเป็นที่อยู่ของอะไร?
[ { "docid": "336885#1", "text": "ณ ใจกลางเนบิวลาปูเป็นที่อยู่ของพัลซาร์ปู ดาวนิวตรอนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 28-30 กิโลเมตร ซึ่งปลดปล่อยรังสีตั้งแต่รังสีแกมมาไปจนถึงคลื่นวิทยุด้วยอัตราการหมุน 30.2 รอบต่อวินาที เนบิวลาปูเป็นวัตถุทางดาราศาสตร์วัตถุแรกที่สามารถระบุได้จากการระเบิดซูเปอร์โนวาในประวัติศาสตร์", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#13", "text": "ณ ใจกลางเนบิวลาปูมีดาวฤกษ์ที่ไม่สว่างนักสองดวง ซึ่งดาวฤกษ์หนึ่งในนั้นทำให้เนบิวลาปูสามารถถือกำเนิดขึ้นได้ การระบุข้อเท็จจริงนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2485 เมื่อรูดอล์ฟ มินคอฟสกีค้นพบว่าคลื่นที่ตามองเห็นในบริเวณดังกล่าวมีความผิดปกติสูง ปี ค.ศ. 1949 มีการค้นพบแหล่งคลื่นวิทยุอย่างเข้มในบริเวณโดยรอบดาวฤกษ์นี้ และพบแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ในปี พ.ศ. 2506 นอกจากนี้ยังจัดดาวฤกษ์นี้ว่าเป็นหนึ่งในวัตถุที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้าที่มองเห็นในช่วงรังสีแกมมา ในปี ค.ศ. 1967 ต่อมาในปี ค.ศ. 1968 มีการค้นพบว่าดาวฤกษ์ปลดปล่อยรังสีออกมาเป็นจังหวะถี่ ๆ ซึ่งทำให้มันเป็นหนึ่งในพัลซาร์แห่งแรก ๆ ที่มีการค้นพบ", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#16", "text": "การปลดปล่อยพลังงานสูงได้ทำให้เกิดย่านความเปลี่ยนแปลงสูงอย่างผิดปกติที่ใจกลางของเนบิวลาปู ในขณะที่วัตถุทางดาราศาสตร์ส่วนใหญ่วิวัฒนาการตัวเองอย่างช้า ๆ จนต้องใช้เวลาหลายปีในการสังเกตหาความแตกต่าง แต่ส่วนในของเนบิวลาปูแสดงความเปลี่ยนแปลงจนสังเกตเห็นได้ในเวลาไม่กี่วัน ลักษณะความเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดในส่วนในของเนบิวลาปู คือ จุดที่ลมเส้นศูนย์สูตรของพัลซาร์ปะทะกับส่วนกั้นเนบิวลา ซึ่งทำให้เกิดคลื่นชะงัก รูปร่างและตำแหน่งของปรากฏการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะลมเส้นศูนย์สูตรปรากฏขึ้นมาเป็นวงๆ จำนวนมากที่ทั้งสูงชั้นและสว่าง แล้วจึงจางหายไปเมื่อมันเคลื่อนออกจากพัลซาร์ไปยังส่วนหลักของเนบิวลา", "title": "เนบิวลาปู" } ]
[ { "docid": "336885#14", "text": "พัลซาร์เป็นแหล่งรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังสูง ซึ่งปลดปล่อยพลังงานออกมาในเวลาสั้น ๆ ด้วยความถี่ที่รวดเร็วหลายครั้งต่อวินาที พวกมันเป็นปริศนาที่ยิ่งใหญ่เมื่อครั้งถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2510 และทีมนักดาราศาสตร์ถึงกับคิดว่ามันอาจเป็นสัญญาณจากอารยธรรมที่เจริญแล้วทีเดียว อย่างไรก็ตาม การค้นพบว่ามันเป็นแหล่งคลื่นวิทยุที่มีการปลดปล่อยออกมาเป็นจังหวะที่ใจกลางของเนบิวลาปู ได้กลายมาเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ว่าพัลซาร์ถือกำเนิดขึ้นมาจากซูเปอร์โนวา ปัจจุบันนี้เป็นที่เข้าใจกันว่ามันเป็นดาวนิวตรอนที่หมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง ซึ่งมีสนามแม่เหล็กกำลังแรงที่รวมการปลดปล่อยรังสีออกมาเป็นลำแคบ ๆ", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "3746#20", "text": "เมื่อย่านเนบิวลาก่อนสุริยะ ซึ่งน่าจะเป็นจุดกำเนิดของระบบสุริยะเกิดแตกสลายลง โมเมนตัมเชิงมุมที่มีอยู่ทำให้มันหมุนตัวไปเร็วยิ่งขึ้น ที่ใจกลางของย่านซึ่งเป็นศูนย์รวมมวลอันหนาแน่นมีอุณหภูมิเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าแผ่นจานที่หมุนอยู่รอบ ๆ ขณะที่เนบิวลานี้หดตัวลง มันก็เริ่มมีทรงแบนยิ่งขึ้นและค่อย ๆ ม้วนตัวจนกลายเป็นจานดาวเคราะห์ก่อนเกิด ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 200 AU พร้อมกับมีดาวฤกษ์ก่อนเกิดที่หนาแน่นและร้อนจัดอยู่ ณ ใจกลาง เมื่อการวิวัฒนาการดำเนินมาถึงจุดนี้ เชื่อว่าดวงอาทิตย์ได้มีสภาพเป็นดาวฤกษ์ชนิด T Tauri ผลจากการศึกษาดาวฤกษ์ชนิด T Tauri พบว่ามันมักมีแผ่นจานของมวลสารดาวเคราะห์ก่อนเกิดที่มีมวลประมาณ 0.001-0.1 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ กับมวลของเนบิวลาในตัวดาวฤกษ์เองอีกเป็นส่วนใหญ่จำนวนมหาศาล ดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้นจากแผ่นจานรวมมวลเหล่านี้", "title": "ระบบสุริยะ" }, { "docid": "336885#7", "text": "ในคลื่นที่ตามองเห็น เนบิวลาประกอบด้วยมวลของเส้นใยทรงรีกว้าง ยาว 6 ลิปดาและกว้าง 4 ลิปดา(เทียบกับจันทร์เพ็ญที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 30 ลิปดา) ล้อมรอบบริเวณใจกลางสีน้ำเงินที่กระจายตัวออก ส่วนในสามมิติคาดว่าเนบิวลาปูจะมีรูปร่างคล้ายทรงคล้ายทรงกลมแบนข้าง เส้นใยที่เห็นเป็นซากที่เหลือจากชั้นบรรยากาศของดาวฤกษ์ต้นกำเนิดซูเปอร์โนวา ส่วนใหญ่ประกอบด้วยฮีเลียมและไฮโดรเจนไอออน ตลอดจนคาร์บอน ออกซิเจน ไนโตรเจน เหล็ก นีออน และซัลเฟอร์ อุณหภูมิของเส้นใยอยู่ที่ระหว่าง 11,000-18,000 เคลวิน และความหนาแน่นของมันอยู่ที่ 1,300 อนุภาคต่อตารางเซนติเมตร", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#21", "text": "เนบิวลาปูอยู่ห่างจากสุริยวิถี 1½ ° ซึ่งเป็นระนาบของวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งหมายความว่า ดวงจันทร์ และโลกในบางครั้ง สามารถเคลื่อนผ่านหรือบดบังเนบิวลาได้ และถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะไม่เคลื่อนผ่านเนบิวลา แต่ชั้นโคโรน่าของดวงอาทิตย์ได้ผ่านด้านหน้าเนบิวลา การเคลื่อนผ่านและการผ่านหน้าสามารถใช้วิเคราะห์ทั้งเนบิวลาและวัตถุที่ผ่านหน้ามันได้ โดยการสังเกตลักษณะการเปลี่ยนแปลงของรังสีจากเนบิวลาที่เกิดขึ้นจากวัตถุที่เคลื่อนผ่าน", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#8", "text": "ในปี พ.ศ. 2496 ไอโอซิฟ ชคล็อฟสกีเสนอว่าบริเวณการกระจายตัวสีน้ำเงินนั้นส่วนมากเกิดจากการแผ่รังสีซิงโครตรอน ซึ่งมีการปล่อยรังสีออกไปเป็นแนวโค้งของอิเล็กตรอนที่มีความเร็วสูงเกือบครึ่งหนึ่งของอัตราเร็วของแสง สามปีให้หลัง ทฤษฎีดังกล่าวได้รับการพิสูจน์จากการสังเกต ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1960 มีการค้นพบว่าแหล่งกำเนิดอิเล็กตรอนแนวโค้งนั้นเป็นสนามแม่เหล็กเข้มสร้างจากดาวนิวตรอนซึ่งอยู่ใจกลางเนบิวลา", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "336885#9", "text": "ถึงแม้ว่าเนบิวลาปูจะเป็นที่สนใจของบรรดานักดาราศาสตร์อย่างมาก แต่ระยะห่างจากโลกของมันยังคงเป็นปริศนาเนื่องจากวิธีการที่ใช้ในการประมาณระยะห่างยังไม่ชัดเจน จนถึงปี พ.ศ. 2551 จึงได้ข้อสรุปที่เห็นตรงกันว่ามันอยู่ห่างจากโลก 2.0 ± 0.5 กิโลพาร์เซก (6.5 ± 1.6 ปีแสง) เนบิวลาปูกำลังขยายตัวออกไปด้วยอัตราเร็ว 1,500 กิโลเมตรต่อวินาที ภาพถ่ายเมื่อหลายปีก่อนแสดงให้เห็นถึงการขยายตัวอย่างช้า ๆ ของเนบิวลา และเมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวเชิงมุมกับสเปกโทรสโคปีซึ่งวัดจากอัตราเร็วในการขยายตัวของมัน ทำให้สามารถประมาณระยะห่างจากโลกของเนบิวลาปูได้ ในปี พ.ศ. 2516 การวิเคราะห์จากหลายวิธีที่แตกต่างกันซึ่งใช้เพื่อคำนวณระยะห่างไปยังเนบิวลาได้ข้อสรุปว่าอยู่ที่ราว 6,300 ปีแสง ขนาดของเนบิวลาด้านที่ยาวที่สุดซึ่งมองเห็นได้ วัดได้ราว 13 ± 3 ปีแสง", "title": "เนบิวลาปู" }, { "docid": "50516#5", "text": "ครั้นต่อมาได้มีการศึกษาสเปกตรัมของแสงอาทิตย์ พบว่ามีฮีเลียม แต่ไม่พบเนบิวเลียม จนเฮนรี นอร์ริส รัสเซล (Henry Norris Russel) นักดาราศาสตร์ชาวอเมริกัน เสนอว่า \"เนบิวเลียม\" เป็นธาตุที่เราคุ้นเคยกันดี แต่อยู่ในสภาวะที่เราไม่ทราบ ต่อมาค้นพบว่าใจกลางของเนบิวลาดาวเคราะห์ (คือดาวแคระขาว) มีอุณหภูมิสูงมากแต่มีแสงจางมาก ขณะที่ชั้นนอกของดาวยักษ์แดงดวงเดิมขยายตัวออกสู่อวกาศเสมอ จนเกิดแนวคิดว่าเนบิวลาดาวเคราะห์เป็นจุดจบของดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย (ต่างกับซูเปอร์โนวาที่เป็นจุดจบของดาวฤกษ์ที่มีมวลมาก)", "title": "เนบิวลาดาวเคราะห์" } ]
2089
สิบสองปันนา หมายถึงอะไร?
[ { "docid": "17168#2", "text": "สิบสองปันนา หรือ สิบสองพันนา เป็นคำภาษาไทลื้อ มีความหมายว่า \"สิบสองเมือง\" คำว่า \"พันนา\" เป็นหน่วยการปกครองของคนไทในอดีต ตามหนังสือพงศาวดารโยนก ชื่อนี้สอดคล้องกับเขตปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทในอินโดจีนของฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2433 ถึง พ.ศ. 2488 ซึ่งก็คือสิบสองจุไท", "title": "เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา" }, { "docid": "20501#0", "text": "สิบสองปันนา เป็นชื่อปาล์มชนิดหนึ่ง อยู่ในสกุลเดียวกับอินทผลัม เป็นพืชพื้นเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป", "title": "ปาล์มสิบสองปันนา" }, { "docid": "17168#8", "text": "เมื่อ พุทธศตวรรษที่ 21 พม่าได้ก่อตั้งอาณาจักรตองอู และขยายอาณาเขตของตนไปทางตะวันออก พม่าได้โจมตีสิบสองปันนา ต่อจากนั้นจึงได้แบ่งเมืองเชียงรุ้งเป็น สิบสองปัน และก็เป็น เมืองในปัจจุบัน ได้แก่ เมืองฮาย ม้าง หุน แจ้ ฮิง ลวง อิงู ลา พง อู่ เมืองอ่อง และ เชียงรุ่ง จึงเรียกเรียกเมีองแถวๆ นี้รวมกันว่า สิบสองปันนา ในช่วงสมัยนี้เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมพม่า และ ศาสนาได้เข้าไปในสิบสองปันนา", "title": "เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา" }, { "docid": "17168#5", "text": "สิบสองปันนานั้นได้เป็นราชอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง เมื่อประมาณ 825 ปีก่อน โดย พญาเจือง หรือสมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ 1 ในตำราของไทย เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 ชาวมองโกลได้รุกรานอาณาจักรล้านนา ส่วนสิบสองปันนานั้นจึงได้เป็นของมองโกล และก็ได้เป็นของจีนต่อมา(ตามประวัติศาสตร์จีน)", "title": "เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา" }, { "docid": "17168#3", "text": "เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนามีเนื้อที่ประมาณ 19,700 ตารางกิโลเมตร มีอาณาเขตติดกับแขวงหลวงน้ำทา แขวงพงสาลี ของประเทศลาว และรัฐชานของพม่า โดยมีชายแดนยาวถึง 966 กิโลเมตร และมีแม่น้ำโขงไหลผ่านตอนกลาง", "title": "เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา" }, { "docid": "17168#0", "text": "เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา (อักษรธรรม : ᩈᩥ᩠ᨷᩈ᩠ᩋᨦᨻᩢ᩠ᨶᨶᩣ ไทลื้อใหม่ : ᦈᦹᧈᦈᦹᧈᦋᦵᦲᧁᦘᦱᦉᦱᦑᦺ᧑᧒ᦗᧃᦓᦱ ; ) หรือชื่อย่อว่า ซีไต่ () เป็นเขตปกครองตนเองระดับจังหวัดของชาวไทลื้อ ตั้งอยู่ทางใต้สุดของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีเมืองเอก คือ เมืองเชียงรุ่ง เมืองที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่และมีแม่น้ำโขงไหลผ่าน ซึ่งในประเทศจีนเรียกว่า \"แม่น้ำหลานชาง\"", "title": "เขตปกครองตนเองชนชาติไท สิบสองปันนา" } ]
[ { "docid": "106765#0", "text": "เสาวรสสิบสองปันนา () เป็นพืชในวงศ์Passifloraceae เป็นพืชพื้นเมืองในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน เถายาว 1–3 เมตร ดอกสีเขียวและเหลือง เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.2–3.8 เซนติเมตรเมื่อบานเต็มที่ มี 1-2 ดอกต่อข้อ เจริญในที่ชื้นและมีแสงแดดส่องถึงในที่สูงถึง 1200 เมตร", "title": "เสาวรสสิบสองปันนา" }, { "docid": "554212#0", "text": "นางสิบสอง เป็นนิทานที่สืบต่อกันมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสิบสองคนที่ต้องผจญภัยในที่ต่าง ๆ เนื่องจาก นนท์และภรรยาของเขาชื่อ พราหมณี ด้วยความที่ลูกเยอะฐานะทางบ้านจึงค่อย ๆ ตกต่ำลง เงินทองที่เก็บไว้ก็หายไปหมดเนื่องจากต้องเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสิบสองคน พ่อของนางสิบสองก็ได้คิดอุบายว่าจะนำลูก ๆ ทั้งสิบสองคนไปปล่อยป่า", "title": "นางสิบสอง (นิทาน)" }, { "docid": "66896#2", "text": "คองสิบสี่ เป็นคำและข้อปฏิบัติคู่กับฮีตสิบสอง คอง หมายถึง แนวทาง หรือ \"ครรลอง\" ซึ่งหมายถึง ธรรมเนียมประเพณี หรือแนวทาง และ สิบสี่ หมายถึง ข้อวัตรหรือแนวทางปฏิบัติสิบสี่ข้อ ดังนั้นคองสิบสี่จึงหมายถึง ข้อวัตรหรือแนวทางที่ประชาชนทุกระดับ นับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ ผู้มีหน้าที่ปกครองบ้านเมือง พระสงฆ์ และคนธรรมดาสามัญพึงปฏิบัติสิบสี่ข้อ อาจสรุปได้หลายมุมมองดังนี้", "title": "ฮีตสิบสอง คลองสิบสี่" }, { "docid": "96221#6", "text": "ประเพณีการจุดบั้งไฟของชาวไทลื้อแห่งอาณาจักรสิบสองปันนาว่า ชาวไทลื้อมีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ที่แคว้นสิบสองปันนามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยพบหลักฐานว่า ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เจ้า ไม่ต่ำกว่า 3,000 ปี ดังนั้น การจุดบั้งไฟจึงเป็นภูมิปัญญาก่อนประวัติศาสตร์ของชาวไทลื้อแห่งอาณาจักรสิบสองปันนา ในมณฑลยูนนาน ก่อนที่จะอพยพมาอยู่ในประเทศไทย", "title": "บุญบั้งไฟ" }, { "docid": "20501#3", "text": "ปาล์มสิบสองปันนานิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะมีขนาดเล็กเติบโตช้า รูปใบสวยงาม เหมาะสำหรับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นในประเทศไทย แต่ก็สามารถเติบโตได้ในหลายภูมิภาคของโลก", "title": "ปาล์มสิบสองปันนา" } ]
2099
ความเชื่อเรื่อง นัยน์ตาปีศาจกำเนิดจากที่ใด?
[ { "docid": "307962#11", "text": "ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจพบในบทเขียนของอิสลามที่ศาสดามุฮัมมัด กล่าวว่า “อิทธิพลของนัยน์ตาปีศาจเป็นเรื่องที่จริง...” นอกจากนั้นกิจการการขจัดนัยน์ตาปีศาจก็ยังเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกันอย่างแพร่หลายโดยมุสลิม เช่นแทนที่จะกล่าวชมความงามของเด็กโดยตรง ก็มักจะกล่าวว่า “ما شاء الل” ที่แปลว่า “ถ้าเป็นสิ่งพระเจ้ามีพระสงค์” แทนที่ ซึ่งเท่ากับเป็นการกล่าวว่าเป็นพรที่เป็นอำนาจของพระเจ้าที่ประทานให้บุคคลที่ได้รับการชื่นชม นอกจากจะมีหลักฐานสนับสนุนในบทเขียนของอิสลามแล้ว ก็ยังมีความเชื่ออื่นๆ ในเรื่องนัยน์ตาปีศาจที่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่พบในศาสนาพื้นบ้านที่มักจะเกี่ยวกับการใช้เครื่องรางในการป้องกันจากภัยที่อาจจะประสบ", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#28", "text": "“นัยน์ตาปีศาจ” ได้รับการกล่าวถึงหลายครั้งใน “\"Ethics of Our Fathers\"” (หลักจริยธรรมของบรรพบุรุษ) โดย Pirkei Avot ในบทที่ 2 กล่าวถึงลูกศิษย์ห้าคนของราไบโยคานัน เบน ซาไคที่ให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับการดำรงชีวิตในแนวทางที่ดีและเลี่ยงการทำความชั่ว ราไบเอลิเอเซอร์กล่าวว่านัยน์ตาปีศาจเลวร้ายกว่าเพื่อน หรือ เพื่อนบ้านที่เลว หรือ ผู้ประสงค์ร้าย ศาสนายูดาห์เชื่อว่า “ตาดี” เป็นตาที่ส่งความประสงค์ดีและความกรุณาต่อผู้อื่น ผู้ที่มีทัศนคติดังกล่าวจะมีความสุขกับการได้ดีของผู้อื่น และเป็นผู้มีความประสงค์ดีต่อเพื่อนมนุษย์ ส่วน “นัยน์ตาปีศาจ” เป็นทัศนคติตรงกันข้าม ผู้ที่เป็นเจ้าของ “นัยน์ตาปีศาจ” นอกจากจะเป็นผู้ที่มีแต่ความทุกข์และจะมีความทุกข์ทรมานเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี แต่จะมีความสุขเมื่อเห็นผู้ใดประสบเคราะห์ ผู้ที่มีบุคลิกดังกล่าวเป็นอันตรายต่อความบริสุทธิ์ของจริยธรรมของคนทั่วไป นี่คือทัศนคติโดยทั่วไปของศาสนายูดาห์เกี่ยวกับ “นัยน์ตาปีศาจ” ผู้ที่มีความเชื่อในคาบาลาห์หรือตำนานความเชื่อเรื่องลึกลับของยิวเชื่อว่าการใช้ด้ายแดงจะช่วยกันภัยจาก “นัยน์ตาปีศาจ” และกล่าวกันว่าการเห็นด้ายแดงตัดกับสีผิวก็ควรจะเป็นเครื่องเตือนเกี่ยวกับบทเรียนของเรเชล และสนับสนุนให้เราประพฤติตัวในวิถีทางที่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#14", "text": "ในบริเวณภูมิภาคอีเจียน และอื่นๆ ที่ผู้มีตาสีอ่อนน้อย ก็เป็นที่เชื่อกันว่าผู้ที่มีตาสีเขียวเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจไม่ว่าจะโดยการจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม ความเชื่อนี้อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่ผู้คนจากต่างวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นกับความเชื่อดังกล่าว เช่นผู้คนจากทางเหนือของยุโรป อาจจะปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับประเพณีท้องถิ่นในการจ้องมองหรือการชมความงามของเด็ก ฉะนั้นในกรีซและตุรกีเครื่องรางที่ใช้ในการต่อต้านอำนาจของนัยน์ตาปีศาจจึงเป็นตาสีฟ้า", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#6", "text": "ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจในสมัยโบราณมีพื้นฐานมาจากหลักฐานของแหล่งข้อมูลเช่น อริสโตฟานีส, เอเธเนียส และ พลูทาร์ค และยังมีผู้คาดกันว่าโสกราตีสเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ และผู้ติดตามและผู้ชื่นชมในตัวโสกราตีสต่างก็หลงเสน่ห์จากการจ้องมองอย่างเอาจริงเอาจังของโสกราตีส ลูกศิษย์ของโสกราตีสเรียกกันว่า “Blepedaimones” ที่แปลว่าการมองอย่างดีมอน (demon) ไม่ใช้เพราะเป็นผู้ที่ถูกสิงหรือมีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ แต่เพราะถูกสงสัยว่าเป็นผู้ที่ตกอยู่ภายใต้การสะกดจิตและอันตรายจากการชักจูงของโสกราตีส", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#29", "text": "อินเดีย “นัยน์ตาปีศาจ” ที่เรียกว่า “drishtidosham” (แปลตรงตัวว่า “ตาแช่ง”) หรือ “nazar” เป็นตาที่ถอดจาก “Aarti” กระบวนการถอดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แล้วแต่ผู้ถูกถอด ถ้าเป็นการถอด “นัยน์ตาปีศาจ” ของมนุษย์ก็จะมีการทำพิธีไฟศักดิ์สิทธิ์บนถาดตามประเพณีฮินดู โดยการวนถาดหน้าผู้นั้นเพื่อดึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นออกจากผู้นั้น บางครั้งผู้ถูกแก้มนต์ก็อาจจะต้องถ่มน้ำลายลงบนกองพริกบนถาด แล้วเอาไปโยนเข้ากองไฟ ถ้ามีควันขึ้นมามากผู้นั้นก็จะถูกเย้ยหยันและจะไม่มีใครจ้องด้วยนัยน์ตาปีศาจได้ แต่ถ้าไม่มีควัน ผู้นั้นก็จะปลอดจาก “นัยน์ตาปีศาจ” แต่ถ้าเป็นยานพาหนะก็จะใช้มะนาวแทนพริก โดยให้รถแล่นทับมะนาวจนแตกเละ แล้วเอามะนาวลูกใหม่แขวนไว้กับพริกเพื่อกัน “นัยน์ตาปีศาจ” ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต การแขวนดังกล่าวอาจจะพบในร้านค้าหรือบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ที่มักจะแขวนกันตรงประตู เจ้าของร้านชาวอินเดียบางคนก็อาจจะเผากระดาษหนังสือพิมพ์แล้วโบกเวียนก่อนที่จะปิดร้านกลับบ้าน", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#8", "text": "ความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจในสมัยโบราณก็ต่างกันออกไปตามแต่ภูมิภาคและยุคสมัย และความกลัวนัยน์ตาปีศาจก็รุนแรงไม่เท่าเทียมกันไปทุกมุมเมืองในจักรวรรดิโรมัน บางท้องที่ก็อาจจมีความหวาดกลัวที่สูงกว่าท้องที่อื่น ในสมัยดรมันไม่แต่บุคคลเท่านั้นที่เชื่อกันว่าอาจจะเป็นผู้มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ และ อาจจะเป็นกลุ่มชนทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรชาวพอนทัส หรือ ซิทเธียที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มชนที่มีอำนาจในการใช้นัยน์ตาปีศาจ", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#5", "text": "หลักฐานทางลายลักษณ์อักษรและหลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าความเชื่อในเรื่องนัยน์ตาปีศาจทางตะวันออกของบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนดำเนินมาเป็นเวลาหลายพันปี ที่เริ่มด้วย เฮซิโอด, คาลลิมาคัส, เพลโต, ดิโอโดรัส ซิคัลลัส, ธีโอคริตัส, พลูทาร์ค, พลินิ และ ออลัส เกลลิอัส ในงานเขียน “\"Envy and the Greeks\"” () ที่เขียนในปี ค.ศ. 1978) ปีเตอร์ วอลค็อทกล่าวถึงงานอ้างอิงกว่าร้อยชิ้นของนักประพันธ์ผู้เขียนงานเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจ การศึกษางานอ้างอิงเหล่านี้เพื่อทำการเขียนเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจก็ยิ่งทำให้มองเห็นภาพที่ขาดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนจากมุมมองของตำนานพื้นบ้าน, เทววิทยา, คลาสสิก หรือ มานุษยวิทยา ขณะการเขียนจากแนวต่างๆ เหล่านี้มักจะอ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน แต่กระนั้นแหล่งข้อมูลแต่ละแหล่งก็จะมีมุมมองของความเข้าใจนัยน์ตาปีศาจที่ต่างกันออกไป ที่ว่าเป็นความเชื่อที่ว่าบุคคลบางคนมีตาที่มีอำนาจในการก่อให้เกิดความเจ็บป่วยหรือความตายแก่ผู้ที่ถูกจ้องมองได้ไม่ว่าจะโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" } ]
[ { "docid": "307962#3", "text": "ความเชื่อเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจในรูปแบบหนึ่งกล่าวว่า ผู้หนึ่งตามปกติแล้วจะมิได้เป็นผู้มีความประสงค์ร้ายต่อผู้ใดอาจจะมีอำนาจในการทำร้ายผู้ใหญ่, เด็ก, สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของได้โดยเพียงแต่จ้องด้วยความอิจฉา คำว่า “Evil” อาจจะเป็นคำที่ทำให้เข้าใจผิดในบริบทนี้ เพราะเป็นคำที่มีนัยยะว่าบุคคลดังกล่าวจงใจที่จะ “แช่ง” ผู้โชคร้าย ความเข้าใจในความคิดเกี่ยวกับ “evil eye” ให้ดีขึ้นอาจจะมาจากคำภาษาอังกฤษสำหรับการจ้องมองด้วยนัยน์ตาปีศาจที่เรียกว่า “overlooking” ที่เป็นนัยยะว่าเป็นการจ้องอย่างจงใจเป็นเวลานานกว่าเหตุต่อสิ่งที่ประสงค์จะจ้องไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์เลี้ยง หรือ สิ่งของ", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#1", "text": "ความเชื่อดังกล่าวทำให้วัฒนธรรมหลายวัฒนธรรมพยายามหาทางป้องกันก่อนที่จะเกิดสิ่งที่เลวร้ายขึ้น ความคิดและความสำคัญของนัยน์ตาปีศาจก็แตกต่างกันออกไปเป็นอันมากระหว่างวัฒนธรรมต่างๆ ความเชื่อนี้ปรากฏหลายครั้งในบทแปลของพันธสัญญาเดิม และแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางในบรรดาอารยธรรมของกลุ่มชนต่าง ๆ ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน กรีซคลาสสิกอาจจะเรียนรู้จากอียิปต์โบราณ และต่อมาก็ผ่านความเชื่อนี้ต่อไปยังโรมันโบราณ", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#2", "text": "แนวความเชื่อบางอย่างเกี่ยวกับนัยน์ตาปีศาจเชื่อว่าคนบางคนสามารถนำอันตรายมายังผู้อื่นได้ด้วยการจ้องด้วยตาที่มีเวทมนตร์ที่ประสงค์ร้าย แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นการจ้องด้วยความอิจฉา และความรุนแรงของอันตรายต่อผู้ที่ถูกจ้องก็ต่างกันออกไป ในบางวัฒนธรรมก็กล่าวว่าผู้ถูกจ้องจะประสบกับโชคร้าย หรือในกรณีอื่นก็เชื่อว่าการจ้องจะทำให้ผู้ถูกจ้องป่วย และบางครั้งอาจจะมีอาการหนักถึงเสียชีวิตได้ ในวัฒนธรรมเกือบทุกวัฒนธรรมเหยื่อของเวทมนตร์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าจะเป็นเด็กหรือทารก เพราะเด็กมักจะได้รับการเยินยอสรรเสริญจากคนแปลกหน้า หรือ จากสตรีที่ไม่มีบุตร แอแลน ดันด์สศาสตราจารย์สาขาวิชาตำนานพื้นบ้านแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ผู้ทำการศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อนี้ในวัฒนธรรมต่างๆ และพบว่ามีพื้นฐานร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งที่ว่าการแก้เคล็ดจะเกี่ยวกับการทำให้ชื้น และ การป้องกันจากภัยของการถูกมนต์ขลังของนัยน์ตาปีศาจ ที่ทำได้ด้วยปลาในบางวัฒนธรรมมีความเกี่ยวโยงกับปลาจะเปียกอยู่ตลอดเวลา ดันด์สข้อสังเกตตังกล่าวใน “\"Wet and Dry: The Evil Eye\"”", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" }, { "docid": "307962#41", "text": "ในปี ค.ศ. 1946 นักมายากลเฮนรี กามาชีตีพิมพ์หนังสือชื่อ “\"Terrors of the Evil Eye Exposed!\"” (เผยความกลัว “นัยน์ตาปีศาจ”!) ที่บอกวิธีป้องกันตนเองจาก “นัยน์ตาปีศาจ” งานเขียนของกามาชีเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “นัยน์ตาปีศาจ” แก่นักปฏิบัติวูดูแอฟริกันอเมริกันทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา", "title": "นัยน์ตาปีศาจ" } ]
2104
โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ก่อตั้งขึ้นเมื่อใด?
[ { "docid": "60265#1", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ประกาศจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2535 โดยเป็นโรงเรียน 1 ใน 9 โรงเรียนที่กระทรวงศึกษาธิการ จัดตั้งเพื่อเฉลิมพระเกียรติในมหามงคลสมัยที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมมายุ 60 พรรษา ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถว่า \"นวมินทราชินูทิศ\" และโดยที่กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้อยู่ในความดูแลของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในระยะเริ่มแรก กระทรวงศึกษาธิการจึงให้เติมต่อท้ายชื่อ ว่า \"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา\" และได้รับมอบหมายให้คุณหญิงลักขณา แสงสนิท ผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในขณะนั้นเป็นผู้ประสานการจัดตั้งและดูแล โดยมีนายอมรรัตน์ ปิ่นเงิน เป็นผู้บริหารคนแรก", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#3", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชาสถาปนาขึ้นเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระชนมายุครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2535 ซึ่งกรมสามัญศึกษาพิจารณาที่ดินบริจาคของพัฒน์ กังสานนท์ เมื่อวันที่ 12-13 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เพื่อจัดตั้งเป็นโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติในวโรสกาสดังกล่าว และได้มอบหมายการควบคุมการก่อสร้างโรงเรียนแก่คุณหญิงลักขณา แสงสนิท ผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)ในขณะนั้น และใช้ชื่อโรงเรียนในระยะแรกว่า \"โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๓\" ต่อมา เมื่อได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า \"นวมินทราชินูทิศ\" แล้ว จึงเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น \"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา\" และมีประกาศจัดตั้งโรงเรียนโดยกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2535", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#0", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา เป็นโรงเรียนในโครงการเฉลิมพระเกียรติ ในกลุ่มโรงเรียน 9 นวมินทราชินูทิศ และเป็นโรงเรียนในเครือบดินทรเดชา แห่งที่ 3 เมื่อวันที่ 12-13 ตุลาคม พ.ศ. 2534 กรมสามัญศึกษาได้พิจารณาดำเนินการรับที่ดินไว้จัดตั้งเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในปี พ.ศ. 2535 กรมสามัญศึกษาได้มอบหมายให้โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นผู้ประสานงานจัดตั้งโรงเรียนในโครงการ 1 ใน 9 โรงเรียน โดยใช้ที่ดินบริจาคของคุณย่าพัฒน์ กังสานนท์ในซอยลาดพร้าว 69 จำนวน 5 ไร่ และใช้ชื่อโรงเรียนว่า \"\"โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๓\"\"", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" } ]
[ { "docid": "60265#7", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ พร้อมกันนี้ พระองค์ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อโรงเรียนมัธยมศึกษาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ว่า \"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ\" และเนื่องจากในระยะเริ่มต้นของการก่อตั้งโรงเรียนนั้น กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้มอบหมายให้โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นผู้ประสานงานการจัดตั้งโรงเรียน ดังนั้น โรงเรียนนวมินทราชินูทิศแห่งนี้ จึงลงท้ายชื่อโรงเรียนว่า \"บดินทรเดชา\" โดยความหมายของชื่อโรงเรียนนั้น สามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่\nดังนั้น นาม \"นวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา\" จึงมีความหมายว่า โรงเรียนสาขาบดินทรเดชา ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อถวายแด่พระราชินีแห่งพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#17", "text": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา และธนาคารออมสิน จัดตั้งขึ้นธนาคารโรงเรียนขึ้นเพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จักออมเงิน โดยนักเรียนเป็นผู้ดำเนินการรับฝาก-ถอนเอง โดยดำเนินการในช่วงพักกลางวัน ทำให้นักเรียนที่ทำหน้าที่คณะกรรมการ ได้รู้จักกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ โดยเปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 ปัจจุบัน (31 มกราคม 2549) มียอดบัญชีกว่า 1,376 บัญชี", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#23", "text": "กลุ่มโรงเรียน 9 นวมินทราชินูทิศ จัดกิจกรรมเดินเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสมหามงคลทรงครองสิริราชย์สมบัติครบ 60 ปี เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ณ บริเวณพุทธมณฑล ตำบลศาลายา จังหวัดนครปฐม โดยนายพีรพันธุ์ พาลสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการในสมัยนั้น ให้เกียรติเป็นประธาน \nโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ได้รับคัดเลือกรับรางวัลโรงเรียนดีเด่น ประจำปีการศึกษา 2539 ของกรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้รับเกียรติบัตร \"ร้านอาหารสะอาดในสถาบันการศึกษา\" จากกรมอนามัยสิ่งแวดล้อม สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร เมื่อ 8 ธันวาคม 2542 ได้รับยกย่องว่าเป็นโรงเรียนสีขาว จากกรมสามัญศึกษา,ได้รับการรับรองการบริหารงานระบบคุณภาพ ISO 9002 จากสำนักรับรองคุณภาพ (สรร.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย เมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นต้น นอกจากนี้ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ได้รับคัดเลือกจากท่านรัฐมนตรีสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ให้เป็นตัวแทนประเทศ ในการจัดแสดงโขนตอนยกรบ และระบำสี่ภาคมีดนตรีไทยร่วมบรรเลงเพลงประกอบ เพื่อแสดงที่ศูนย์ประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 เนื่องในโอกาสการประชุมนานาชาติ เรื่องโรคเอดส์ครั้งที่ 15", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "99645#5", "text": "วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ประกาศจัดตั้งโรงเรียนรัฐบาล เป็นโครงการโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้รับพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อโรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ว่า \"โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ\" โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห สิงหเสนี) ๓ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา นับแต่บัดนั้น\nต่อมาได้มีมีนักเรียนที่ต้องการเข้ามาเรียนโรงเรียนในเครือบดินทรเดชาเพิ่มมากขึ้น กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศจัดตั้งโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ๔ ในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2538 จากการประสานงานของงานของ พลเอกวิโรจน์ แสงสนิท (อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด) และคุณหญิงลักขณา แสงสนิท (อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนบดินทรเดชา ( สิงห์ สิงหเสนี )) ผู้ก่อตั้งและผู้อุปการะโรงเรียน", "title": "กลุ่มโรงเรียนบดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#5", "text": "ในปี พ.ศ. 2540 โรงเรียนได้จัดสร้างเรือนธรรมกาญจนาภิเษกซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน \"พระพุทธพรนวมินทรราชินีถวาย\" พระพุทธรูปประจำโรงเรียน และรูปเหมือนเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) และใช้เป็นสถานที่จัดการอบรมกิจกรรมด้านจริยธรรมอย่างต่อเนื่อง และได้เปิด \"สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ\" ในปีเดียวกัน", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#4", "text": "ในระยะแรกโรงเรียนได้ใช้สถานที่ทำการเรียนการสอน ณ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) โดยมีคณาจารย์ของโรงเรียนเองและโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในการสอน และเปิดรับนักเรียนครั้งแรกในปีการศึกษา 2535 ต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2536 โรงเรียนได้รับงบประมาณจากกระทรวงศึกษาธิการเป็นเงิน 95 ล้านบาท จัดสร้างอาคารเรียนแบบพิเศษ 9 ชั้น และอาคารอเนกประสงค์ 4 ชั้น ณ สถานที่ตั้งปัจจุบันของโรงเรียน และได้ย้ายมาทำการเรียนการสอน ณ สถานทีตั้งปัจจุบันในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2537", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#6", "text": "ปัจจุบัน โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ ทำการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตั้งแต่ปีที่ 1 - 6 พร้อมด้วยนักเรียนในหลักสูตรภาษาอังกฤษ นักเรียนในโครงการความสามารถพิเศษด้านต่าง ๆ และโรงเรียนได้บรรจุหลักสูตรท้องถิ้น \"หลักสูตรกษัตริย์นักพัฒนาและเจ้าพระยาบดินทรเดชา ( สิงห์ สิงหเสนี )\" แก่นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 รวมถึงมีการประกันคุณภาพเพื่อดำเนินการเป็นไปตามระบบสากล", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" }, { "docid": "60265#22", "text": "เป็นกิจกรรมกีฬาที่จัดขึ้นเพื่อสร้างความสามัคคีระหว่างโรงเรียนในเครือบดินทรเดชา โดยหมุนเวียนเป็นเจ้าภาพ ซึ่งโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ได้เป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬา 5 บดินทรครั้งที่ 3 ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2548 ณ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ", "title": "โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา" } ]
2109
ใครเป็นผู้ค้นพบจุลินทรีย์?
[ { "docid": "3794#4", "text": "แม้ว่าโดยทั่วไปมักจะถือว่า หลุยส์ ปาสเตอร์ และโรเบิร์ต คอค เป็นผู้ริเริ่มสาขาจุลชีววิทยา แต่ผลงานของพวกเขาก็ยังไม่สามารถอธิบายความแตกต่างของจุลินทรีย์ชนิดต่างๆ ได้อย่างถูกต้องนัก เพราะพวกเขามุ่งศึกษาเฉพาะจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์เท่านั้น ผู้ที่ถือได้ว่าริเริ่มสาขาวิชาจุลชีววิทยาทั่วไปอย่างแท้จริง คือ มาร์ตินุส ไบเจอริงค์ และเซลเก ไวโนแกลดสกี พวกเขาได้ทำให้ขอบเขตการศึกษาจุลชีววิทยากว้างขวางออกไป ไบเจอริงค์มีผลงานสำคัญทางด้านจุลชีววิทยา 2 ผลงาน คือ การค้นพบไวรัส และการพัฒนาวิธีเพาะเชื้อแบบเอนริช ผลงานการศึกษาไวรัสโรคลายด่างในยาสูบของเขาได้เป็นรากฐานของสาขาไวรัสวิทยา และการเพาะเชื้อแบบเอนริชมีบทบาทสำคัญต่อวงการจุลชีววิทยา โดยทำให้สามารถเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ที่ยังไม่เคยเพาะเลี้ยงได้ ส่วนไวโนแกลดสกี เป็นคนแรกที่คิดค้นแนวคิดเกี่ยวกับเคมีของดิน ซึ่งแสดงให้เห็นกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดินที่เป็นกระบวนการทางเคมี และทำให้เขาค้นพบแบคทีเรียที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้", "title": "จุลชีววิทยา" }, { "docid": "34394#1", "text": "ปาสเตอร์เป็นผู้แถลงว่าการเน่าและการหมักเกิดจากเชื้อโรคหรือจุลินทรีย์ ปาสเตอร์ได้ค้นพบปรากฏการณ์นี้ในระหว่างการศึกษาว่าเหตุใดเหล้าองุ่นจึงเสียรสขณะบ่ม แต่เมื่อนำเหล้าองุ่นไปอุ่นให้ร้อนแล้วจึงป้องกันไม่เหล้าองุ่นกลายเป็นน้ำส้มสายชูได้ ซึ่งการกระทำลักษณะนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นการฆ่าเชื้อวิธีปาสเตอร์ (Pasteurization) การค้นพบนี้ทำให้สาขาวิชาจุลชีววิทยาโดดเด่นก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว", "title": "หลุยส์ ปาสเตอร์" }, { "docid": "3794#1", "text": "แบคทีเรียถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดย แอนโทนี แวน ลีเวนฮุค ในปี 1676 (พ.ศ. 2219) โดยใช้กล้องจุลทรรศน์เลนส์เดียวที่เขาออกแบบเองส่องจนพบ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักจุลชีววิทยาคนแรกของโลก", "title": "จุลชีววิทยา" } ]
[ { "docid": "3813#0", "text": "จุลินทรีย์, จุลชีพ, จุลชีวัน หรือ จุลชีวิน () เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจึงจำเป็นต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ ได้แก่ แบคทีเรีย อาร์เคีย รา และ ยีสต์ เป็นต้น เราสามารถพบจุลินทรีย์ได้ทุกสภาวะแวดล้อม แม้แต่ในสภาวะแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ไม่ได้ แต่จุลินทรีย์บางชนิดสามารถปรับตัวอาศัยอยู่ได้ เช่น ในน้ำพุร้อนบริเวณภูเขาไฟใต้ทะเลลึก หรือภูเขาไฟธรรมดา ใต้มหาสมุทรที่มีความกดดันของน้ำสูงๆ ในน้ำแข็งที่มีอุณหภูมิเย็นจัด บริเวณที่มีสภาพความเป็นกรดด่างสูง หรือแม้กระทั่งในบริเวณที่ไม่มีออกซิเจนส่วนใหญ่หมายถึงสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว หรือหลายๆเซลล์ (เช่น เชื้อรา)", "title": "จุลินทรีย์" }, { "docid": "951032#1", "text": "เอ็ดมันด์ เคิร์สช์ นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ผู้โจมตีศาสนามาโดยตลอดเนื่องจากเคยสูญเสียแม่จากการรับใช้ศาสนา พบปะกับบิชอปบัลเด็สปิโน, รับไบโคเวสและอิหม่ามอัล-ฟาเดิล ผู้นำศาสนาคนสำคัญที่อารามมอนต์เซร์รัต เพื่อหารือเรื่องการค้นพบครั้งสำคัญของเขา แต่การพบปะดังกล่าวจบลงด้วยคำขู่จากบิชอปบัลเด็สปิโนว่าจะขัดขวางการเผยแพร่การค้นพบของเขา", "title": "ออริจิน" }, { "docid": "33948#5", "text": "และจากอิทธิพลของการวิจัยเกี่ยวกับ probiotic ของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียชั้นนำระดับรางวัลโนเบลอย่าง Ilya Ilyich Mechnikov เป็นแรงบันดาลใจให้มิโนรุตั้งใจที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับจุลินทรีย์กรดนม ซึ่ง Mechnikov ได้ค้นพบว่าเป็นจุลินทรีย์ที่ช่วยต่อสู้และทำลายจุลินทรีย์ที่ไม่ดีในลำไส้ของมนุษย์ โดยมิโนรุได้ทำการการคัดเลือกสายพันธุ์ที่เชื่อว่าดีเลิศ และนำเอาจุลินทรีย์ที่ว่านั้นออกมาเพาะเลี้ยงให้แข็งแรง และผลิตเป็นเครื่องดื่มให้ผู้คนดื่มมันกลับไปสู่ลำไส้ เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง", "title": "มิโนรุ ชิโรตะ" }, { "docid": "822259#1", "text": "ต่อมาแวกส์มันกลับไปทำงานที่ภาควิชาชีวเคมีและจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยรัตเจอส์ ที่นั่นทีมของเขาค้นพบยาปฏิชีวนะหลายชนิด เช่น สเตรปโตมัยซิน, นีโอมัยซิน, แด็กทิโนมัยซิน, แคนซิซิดิน โดยเฉพาะสเตรปโตมัยซินและนีโอมัยซินที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อหลายชนิด สเตรปโตมัยซินเป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ใช้รักษาวัณโรค ในปี ค.ศ. 1942 แวกส์มันคิดคำว่า \"antibiotic\" เพื่อใช้อธิบายสารที่ได้จากเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถต้านการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ชนิดอื่นได้ ในปี ค.ศ. 1951 เขาจัดตั้งมูลนิธิด้านจุลชีววิทยาและจัดตั้งสถาบันจุลชีววิทยาแวกส์มัน ปีต่อมาแวกส์มันได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาหรือการแพทย์สำหรับการค้นพบสเตรปโตมัยซิน โดยได้รับการประท้วงจากอัลเบิร์ต ชวาตซ์ ผู้ร่วมค้นพบแต่ไม่ได้รับรางวัลด้วย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการรางวัลโนเบลแจ้งว่าชวาตซ์ในตอนนั้นเป็นเพียงผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการ ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานโดดเด่น ปัญหาการเป็นผู้ค้นพบสเตรปโตมัยซินระหว่างแวกส์มันและชวาตซ์นำไปสู่การฟ้องร้องในเวลาต่อมา แวกส์มันยอมตกลงกับชวาตซ์ โดยให้ค่าชดเชยต่าง ๆ และสิทธิ์เป็นผู้ร่วมค้นพบสเตรปโตมัยซินแก่ชวาตซ์", "title": "เซลมัน แวกส์มัน" }, { "docid": "686167#5", "text": "วิทยาศาสตร์ด้านอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพด้านอาหารก้าวหน้าไปรวมถึงการค้นพบของเอนไซม์ทั้งหลายและบทบาทของพวกมันในการหมักและการย่อยอาหาร การค้นพบนี้ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นต่อไปของเอนไซม์ เอนไซม์ในอุตสาหกรรมทั่วไปจะใช้สารที่สกัดพืชและจากสัตว์ แต่พวกมันถูกแทนที่ในภายหลังโดยเอนไซม์จากจุลินทรีย์ ตัวอย่างหนึ่งคือการใช้ chymosin (เอนไซม์ย่อยโปรตืนที่พบในกระเพาะสัตว์ทำให้นมจับต้วเป็นก้อน) ในการผลิตเนยแข็ง โดยทั่วไปเนยแข็งมักจะถูกทำขึ้นโดยการใช้เอนไซม์ที่สกัดจากเยื่อบุกระเพาะอาหารของวัว นักวิทยาศาสตร์เริ่มใช้ chymosin แบบ recombinant ที่จะทำให้เกิดการแข็งตัวของนมทำให้ได้นมข้นเนยแข็ง () การผลิตเอนไซม์อาหารโดยการใช้เอนไซม์จุลินทรีย์เป็นการประยุกต์ครั้งแรกของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมในการผลิตอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพด้านอาหารได้เติบโตขึ้นไปรวมถึงการโคลนพืชและสัตว์เช่นเดียวกับการพัฒนาขั้นต่อไปของอาหารดัดแปรพันธุกรรมในหลายปีที่ผ่านมา", "title": "อาหารดัดแปรพันธุกรรม" }, { "docid": "359807#0", "text": "อโกรแบคทีเรียม () จัดเป็นจุลินทรีย์ประเภทแบคทีเรียแกรมลบอาศัยอยู่ในดิน ถูกค้นพบโดย Nicholas Davidson เป็นแบคทีเรียที่นิยมใช้ในการถ่ายโอนยีนในพืช \"Agrobacterium tumefaciens\" จัดเป็นสายพันธุ์ที่นิยมใช้ศึกษาในการถ่ายยีนเข้าสู่พืชโดยนำยีนที่สนใจถ่ายเข้าสู่จีโนมพืชด้วยเทคนิคทางพันธุวิศวกรรม เพื่อใช้ในการปรับปรุงพันธุ์พืช", "title": "อโกรแบคทีเรียม" }, { "docid": "56489#0", "text": "พาสเจอร์ไรซ์ คือกระบวนการทำลายเชื้อแบคทีเรียบางชนิด โดยผู้คิดค้นวิธีการนี้คือ หลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เขาสังเกตว่าไวน์ผลไม้ก่อนที่จะจำหน่ายบางส่วนนั้นมีรสชาติเปรี้ยวเนื่องจากกิจกรรมของจุลินทรีย์บางชนิด เขาจึงนำไวน์ดังกล่าวไปผ่านความร้อน 50 - 55 องศาเซลเซียส พบว่าไวน์กลับมามีรสชาติไม่เปรี้ยว เขาจึงสันนิษฐานว่า รสเปรี้ยวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสาเหตุมาจากอุปกรณ์ที่ใช้หมักไวน์มีการปนเปื้อนจุลินทรีย์ หลักการนี้จึงนำมาใช้ในขั้นตอนการผลิตนมในปัจจุบัน เรียกว่า กระบวนการพลาสเจอร์ไรเซชันในที่สุด", "title": "พาสเจอร์ไรซ์" }, { "docid": "513359#0", "text": "แมรี ลีกคี (6 กุมภาพันธ์ 1913 – 9 ธันวาคม 1996) เป็นนักโบราณคดีและนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์กะโหลก \"Proconsul\" ชิ้นแรก \"Proconsul\" เป็นวานรที่สูญพันธุ์ไปแล้วที่ปัจจุบันเชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ และยังค้นพบกะโหลก \"Zinjanthropus\" ทนทานที่โอลดูไวยอร์ช (Olduvai Gorge) ในงานอาชีพส่วนใหญ่ของเธอ เธอทำงานร่วมกับสามี หลุยส์ ลีกคี ในโอลดูไวยอร์ช ขุดค้นเครื่องมือและซากดึกดำบรรพ์ของโฮมินินโบราณ เธอพัฒนาระบบการจำแนกเครื่องมือหินซึ่งพบที่โอลดูไว เธอยังค้นพบรอยเท้าเลโตลี (Laetoli) ในปี 1960 เธอเป็นผู้อำนวยการการขุดค้นที่โอลดูไวและภายหลังได้เข้าควบคุม โดยตั้งเจ้าหน้าที่ของเธอเอง หลังสามีของเธอเสียชีวิต เธอเป็นนักมานุษยวิทยาดึกดำบรรพ์ชั้นนำ และฝึกบุตรชาย ริชาร์ด ในสาขานี้", "title": "แมรี ลีกคี" } ]
2111
รักกันสนั่นเมือง ออกอากาศทางช่องใด ?
[ { "docid": "779992#0", "text": "รักกันสนั่นเมือง เป็นรายการโทรทัศน์ลำดับที่ 4 ที่ผลิตโดย บริษัท ทริปเปิ้ล ทู จำกัด ต่อจากรายการ แสบคูณสอง จารบีสีชมพู และ จารบีปีเสือ ซึ่งออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2542 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ออกอากาศทุกคืนวันอาทิตย์ เวลา 22.00 - 23.00 น. โดยในยุคแรกเปิดโอกาสให้เฉพาะคู่สามีภรรยามาแข่งขันในรายการ ต่อมาเปลี่ยนเป็นคู่ของพี่-น้อง เพื่อน แม่-ลูกหรือพ่อ-ลูก จากทางบ้านสมัครเข้ามาในรายการ และวันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 ได้มีการปรับรูปแบบเกมและฉากใหม่ โดยใช้ชื่อว่า รักกันสนั่นเมือง คนยักษ์ ได้เพิ่มพิธีกรอีกคนคือ โน๊ต เชิญยิ้ม และยุติการออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2544ในส่วนของเกมการแข่งขันในรายการรักกันสนั่นเมืองนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ยุคด้วยกัน คือรักกันสนั่นเมือง (มีนาคม 2542 - กรกฎาคม 2544) และรักกันสนั่นเมือง คนยักษ์ (กรกฎาคม 2544 - กันยายน 2544) ดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ โดยในแต่ละยุคได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเกมในรายการอยู่เรื่อยๆ", "title": "รักกันสนั่นเมือง" } ]
[ { "docid": "779992#11", "text": "ในรายการรักกันสนั่นเมืองตั้งแต่เทปแรกจนถึงเทปสุดท้าย มีการจับชิ้นส่วนชิงโชคของผู้โชคดีทางบ้านร่วมกับผู้สนับสนุนหลักในรายการอยู่เป็นประจำ โดยในยุคที่สบู่ลักส์เป็นผู้สนับสนุนหลักใช้ชื่อแคมเปญว่า ผิวสวย รวยสนั่น โดยให้ผู้เข้าแข่งขันไปจับชิ้นส่วนของทางบ้าน ผู้โชคดีจากทางบ้านจะได้รับทองคำหนัก 1 บาท เป็นประจำทุกสัปดาห์ ต่อมาในปี 2543 ที่เครื่องสำอางคิวท์เพรสเป็นผู้สนับสนุนหลัก ได้ใช้ชื่อแคมเปญนี้ว่า สวยแล้วลุ้นกันสนั่นเมือง โดยผู้โชคดีทางบ้านจะได้รับทองคำหนัก 1 บาทเช่นเดิมแต่มีการแจกรางวัลใหญ่ในเทปวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เป็นทองคำหนัก 5 บาทจำนวน 5 รางวัล และรถยนต์ Honda City Type Z จำนวน 1 คัน ต่อมาในปี 2544 ที่ผลิตภัณฑ์สบู่นกแก้วเป็นผู้สนับสนุนหลัก ได้ใช้ชื่อแคมเปญว่า นกแก้วแจกทองสนั่นเมือง โดยผู้โชคดีทางบ้านจะได้รับทองคำหนัก 1 บาทเช่นเดิมแต่เพิ่มเป็น 3 รางวัลต่อสัปดาห์ และมีการแจกรางวัลใหญ่ในวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เป็นทองคำหนัก 5 บาทจำนวน 2 รางวัล ทองคำหนัก 10 บาทจำนวน 1 รางวัล และทองคำหนัก 20 บาทจำนวน 1 รางวัล และมีพิธีมอบรางวัลในเทปวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2544 ตรงกับช่วงที่รายการรักกันสนั่นเมือง คนยักษ์ออกอากาศพอดี และในรายการรักกันสนั่นเมือง คนยักษ์ สบู่นกแก้วยังคงเป็นผู้สนับสนุนหลักเช่นเดิม แต่เปลี่ยนชื่อแคมเปญใหม่เป็น ลุ้นได้ทองหรือครองเงินแสนทุกสัปดาห์ โดยผู้โชคดีทางบ้านจะได้รับทองคำหนัก 1 บาทเช่นเดิมแต่ลดลงเป็น 2 รางวัลต่อสัปดาห์ และเพิ่มกติกาการลุ้นโชคใหม่อีกทางหนึ่ง คือ ผู้เข้าแข่งขันจะจับชิ้นส่วนมา 1 ชิ้นส่วนโดยผู้โชคดีจะได้รับทองไปก่อน 1 บาท ผู้เข้าแข่งขันที่จับได้ผู้โชคดีคนใดถ้าเข้ารอบแล้วทำ Jackpot แตกได้สำเร็จจะได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 100,000 บาท ให้กับผู้แข่งขันและผู้โชคดีจากทางบ้านที่มาจากการจับชิ้นส่วนของผู้สนับสนุนหลักที่ผู้ชมทางบ้านส่งมาร่วมสนุกนั่นเอง แต่ถ้า Jackpot ไม่แตกในช่วงสิ้นปีจะมีการแจกรางวัลใหญ่เป็นทองคำหนัก 5 บาทจำนวน 2 รางวัล ทองคำหนัก 10 บาทจำนวน 1 รางวัล และทองคำหนัก 20 บาทจำนวน 1 รางวัลเช่นเดียวกับในช่วงเดือนกรกฎาคม 2544 แต่รายการยุติการออกอากาศกลางคันในเดือนกันยายน 2544 จึงได้ย้ายช่วงการจับชิ้นส่วนของผู้โชคดีทางบ้านนี้ไปไว้ในรายการเกมพันหน้า ที่ออกอากาศทางช่อง 7 ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2544 แทน", "title": "รักกันสนั่นเมือง" }, { "docid": "779992#1", "text": "ช่วงนี้คือช่วง คำตอบง่ายๆของการถ่ายภาพ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ออกอากาศก่อนรอบรักต้องเลือก ในยุคที่ฟิล์มสีโกดัก แม็กซ์ เป็นผู้สนับสนุนหลักในช่วงรักต้องเลือก เป็นละครซิตคอมสั้น ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ของตัวละครหลักคือ กิ๊ก พนักงานดูแลร้านโกดัก ที่มักพบลูกค้ากวนประสาทประจำที่ร้านโกดัก EXPRESS แต่จะลงท้ายด้วยการหักมุม", "title": "รักกันสนั่นเมือง" }, { "docid": "779992#13", "text": "ในเทปวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2543 ทางรายการได้ให้ผู้ชมทางบ้านตอบคำถามเพื่อชิงรางวัลเป็นเงินรางวัล 10,000 บาท จำนวน 1 รางวัล โดยทางรายการจะถามคำถามก่อนเริ่มเกม รักต้องเลือก ให้ผู้ชมทางบ้านโทรเข้ามาภายในวันพฤหัสบดีเวลาตอนเที่ยง แล้วโทรเข้ามาว่าจะโหวตข้อไหน ถ้าโหวตข้อใดข้อหนึ่งสูงที่สุด ทางรายการจะจับสุ่มผู้ที่โหวตเข้ามาในรายการ และได้รับเงินรางวัล 10,000 บาทไป", "title": "รักกันสนั่นเมือง" }, { "docid": "813294#0", "text": "สูตรรักชุลมุน (ชื่อเดิม:รักสามรส) เป็นละคร ซิทคอม ของไทยจาก เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ นำแสดงโดย สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว, วรรณรท สนธิไชย, จริญญา ศิริมงคลสกุล, และ กันติชา ชุมมะ ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20.00 - 20.30 น. ทาง ช่องวัน เริ่มตอนแรกวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559 และออกอากาศเป็นตอนสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560 โดยละครเรื่องนี้นับเป็นละครเรื่องแรกของ แก้ว จริญญา หรือ แก้ว เฟย์ ฟาง แก้ว ภายหลังจากหมดสัญญาจากต้นสังกัดเก่าอย่าง อาร์เอส และ ติช่า กันติชา หรือ ติช่า เดอะเฟซ และตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน เป็นต้นไป กับช่วงเวลาใหม่ขยับเวลามาเร็วขึ้นกว่าเดิมเละเพิ่มเวลาเป็น 19.45 - 20.30 น. ในช่วง วันขำดี คอเมดี้ทุ่มสี่สิบห้า และซิทคอมเรื่องนี้ก็ขยับเวลาออกอากาศมาเร็วกว่าเดิมและเพิ่มเวลาเป็น 19.15 - 20.00 น. เป็นต้นไป เริ่ม 1 มิถุนายน 2560 และเวลา 19.10 - 19.55 น. เริ่ม 1 กรกฎาคมนี้ และตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป ปรับเวลาการออกอากาศใหม่เป็นเวลา 19.00 - 20.00 น.\n=เค้าโครงเรื่อง=\nเรื่องราวความรักสุดชุลมุนของ โป้ง (บี้ สุกฤษฎิ์) เชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์แต่ปากจัดที่เพิ่งจะอกหักทำให้เขาได้พบกับ 3 สาว 3 สไตล์ที่เพิ่งจะอกหักเช่นกันซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในห้องของเขาเนื่องจากถูก อ้น (ณัฏฐพงษ์ ชาติพงษ์) เพื่อนของโป้งหลอกให้ทำสัญญาเช่าห้องและโกงเงินไปประกอบไปด้วย ขิง (แก้ว จริญญา) สาวห้าวสุดแซ่บ , โซดา (ติช่า กันติชา) สาวเปรี้ยวเข็ดฟันและ ลูกตาล (วิว วรรณรท) สาวหวานแสนเรียบร้อยสุดท้ายสาวใดจะสามารถพิชิตใจเชฟหนุ่มเจ้าเสน่ห์ได้สำเร็จ\n=ตัวละคร=", "title": "สูตรรักชุลมุน" }, { "docid": "779992#7", "text": "ในรอบสุดท้าย (Jackpot) ของรายการรักกันสนั่นเมืองในเดือนมีนาคม 2542 - ธันวาคม 2543 คู่ที่เข้ารอบมาถึงรอบสุดท้าย ต้องตอบคำถามที่คู่ของคุณได้ตอบออกมาก่อนล่วงหน้าแล้ว โดยจะมี 1 คำถามกับอีก 5 คำตอบ ตอบถูก 1 คำตอบ ได้เปิดแผ่นป้ายเพื่อสะสมเงินรางวัล 1 แผ่นป้าย แต่ถ้าตอบผิดจะไม่ได้เปิดป้ายสะสมเงินรางวัลแต่อย่างใดและเกมจะค่อยๆยุติลง โดยมีแผ่นป้ายของผู้สนับสนุนรายการ 12 แผ่นป้าย แบ่งเป็น 10,000 อยู่ 6 แผ่นป้ายหมายถึงได้เงินรางวัลแผ่นป้ายละ 10,000 บาท และ 5,000 อีก 6 แผ่นป้ายหมายถึงได้เงินรางวัลแผ่นป้ายละ 5,000 บาท (ผู้สนับสนุนหลักในการชิงโชค คือ ลักส์บิวตี้และครีมอาบน้ำลักส์ ต่อมาเป็นเครื่องสำอางคิวท์เพรส) ถ้าตอบถูก5ครั้ง แล้วเปิดเจอ 10000 5 ป้ายรับ50000แต่ในบางครั้งพิธีกรจะเปิดเพิ่มเพื่อแถมเงินรางวัลให้กับผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งในยุคนี้มีผู้ทำ Jackpot แตกคู่เดียว", "title": "รักกันสนั่นเมือง" }, { "docid": "567706#0", "text": "รักจัดเต็ม เป็นละครซิตคอม ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ออกอากาศตอนแรกวันที่ 18 สิงหาคม 2556 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 23.30 น. - 00.30 น. และตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557 เป็นต้นไปทางสถานีได้ปรับเปลี่ยนวันออกอากาศใหม่ทุกวันพุธออกอากาศสัปดาห์เว้นสัปดาห์สลับกับบันทึกกรรม แต่ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ได้ย้ายวันออกอากาศมาเป็นทุกคืนวันอังคาร เวลา 23.20 น. โดยออกอากาศหลังรายการ ข่าว 3 มิติ สร้างโดยบริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ ร่วมเขียนบทโทรทัศน์และสร้างสรรค์โดย ณัฐพจน์ พจน์จำเนียร/วารุณี ครองภิญโญ/สุขพัฒน์ โล่ห์วัชรินทร์/นภัค ไตรเจริญเดช และ ปั้นให้เป๊ะ และตอนจบของละครซิทคอมเรื่องนี้ก็ได้ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2558", "title": "รักจัดเต็ม" }, { "docid": "524276#0", "text": "รักข้ามเส้น เป็นละครของทางไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นละครแนวคอมเมดี้ ดราม่า ออกอากาศทุกวันจันทร์ - ศุกร์ เริ่ม 21 มีนาคม 2556 เป็นต้นไป เวลา 18.45 - 20.00 น. ก่อนข่าวในพระราชสำนัก นำแสดงโดย เอกพงศ์ จงเกษกรณ์, พัชรินทร์ จัดกระบวนพล, ศรัณย์ แก้วจินดา, การัญชิดา คุ้มสุวรรณ บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย ฐา-นวดี สถิตยุทธการ กำกับการแสดงโดย ชูศักดิ์ สุธีรธรรมhttp://drama.kapook.com/view58193.html", "title": "รักข้ามเส้น" }, { "docid": "779992#2", "text": "ในรอบนี้คือรอบ รักต้องเลือก (ผู้สนับสนุนในรอบนี้ คือ ครีมเทียมคอฟฟี่เมด ต่อมาเป็นฟิล์มสีโกดัก แม็กซ์ อาหารสุนัขเพดดีกรีและรองเท้าแอดด้า (ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2544 - 10 มิถุนายน 2544 ไม่มีผู้สนับสนุนหลัก แต่เป็นผู้สนับสนุนประจำแท่นทั้ง 3)) ผู้แข่งขันต้องตอบคำถามให้ถูก โดยที่ผู้ที่นั่งอีกท่านจะเป็นคนเฉลยคำตอบอยู่แล้ว แล้วผู้แข่งขันอีกคนต้องตอบให้ได้ว่า คู่ของคุณตอบว่าอะไร ถ้าตอบถูกได้ 1 คะแนนสะสม ถ้าตอบผิดก็ไม่ได้คะแนน โดยจะมีคำถามทั้งหมด 6 รอบ โดยในรอบนี้จะมีผู้เข้ารอบ 2 คู่ คู่ตกรอบ 1 คู่ คู่ไหนได้คะแนนน้อยที่สุดจะต้องตกรอบและได้รับรางวัล 20,000 บาทกลับบ้านไป (ผู้สนับสนุนเงินรางวัล คือ เรนโบว์ฮอลิเดย์ ต่อมาเป็นเอฟวีนิว ทัวร์ และชุดเครื่องนอนโตโต้) และยังมีบัตรรับประทานอาหารภัตตาคารบุฟเฟ่ต์ญี่ปุ่นโออิชิมูลค่า 1,000 บาท แต่ต่อมาลดเหลือเพียงเงินรางวัล 20,000 บาทเท่านั้น", "title": "รักกันสนั่นเมือง" }, { "docid": "779992#10", "text": "ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2544 ถูกปรับเปลี่ยนจากการเปิดแผ่นป้ายสะสมเงินรางวัลมาเป็นหมุนวงล้อเสี่ยงโชคแทน โดยคู่ที่เข้ารอบมาถึงรอบสุดท้าย ต้องเป่ายิ้งฉุบแข่งกับพิธีกร โดยการหมุนวงล้อ ในการเล่นเกมนี้ ผู้เข้าแข่งขันมีสิทธิเลือกฝั่งหรือเปลี่ยนฝั่งได้ ถ้าผลออกมาชนะได้เงินสะสม 10,000 บาท แต่ถ้าผลออกมาเสมอได้ 5,000 บาท แต่ถ้าผลออกมาแพ้จะไม่ได้เงินรางวัลสะสมแต่อย่างใด (ผู้สนับสนุนหลักในการชิงโชค คือ สบู่นกแก้ว) แต่ถ้าคู่แข่งขันสามารถเป่ายิ้งฉุบชนะพิธีกรทั้งหมด 6 รอบ จะได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท โดยจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 100,000 บาท ให้กับผู้แข่งขันและผู้โชคดีจากทางบ้านที่มาจากการจับชิ้นส่วนของผู้สนับสนุนหลักที่ผู้ชมทางบ้านส่งมาร่วมสนุกนั่นเอง แต่ในบางครั้งพิธีกรจะให้หมุนวงล้ออีกครั้ง กำหนดตำแหน่งวงล้อของพิธีกร หรือมีเงื่อนไขพิเศษเพื่อแถมเงินรางวัลให้กับผู้เข้าแข่งขัน (เช่นหากชนะ ตามกติกาได้เงินรางวัลสะสม 10,000 บาท พิธีกรอาจจะแถมให้เพิ่มเป็น 20,000 บาท) อย่างไรก็ดี ในยุคนี้ถือเป็นยุคแรกและยุคเดียวที่ไม่มี Jackpot แตกเลย โดยมีสถิติการแจกเงินรางวัลให้กับผู้แข่งขันสูงสุด 55,000 บาท (โดยการแถมเงินรางวัล)", "title": "รักกันสนั่นเมือง" } ]
2112
แอบถายโรคถ้ำมองเป็นอาการป่วยทางจิตใช่หรือไม่?
[ { "docid": "773798#6", "text": "ทฤษฎีที่มีน้อยนิดเกี่ยวกับเหตุของความชอบแบบนี้มาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์\nซึ่งเสนอว่า ความชอบแอบดูมีเหตุจากความล้มเหลวในช่วงวัยเด็กที่จะยอมรับความวิตกกังวลในการสูญเสียความเป็นชาย (castration anxiety) และดังนั้นโดยผลที่สืบเนื่องกัน จึงมีเหตุจากความล้มเหลวที่จะพยายามเป็นเหมือนกับพ่อ (คือถ้าเด็ก \"ยอมรับความวิตกกังวล\" ก็จะพยายามเลิกความรู้สึกทางเพศที่มีต่อแม่ แล้วใช้พ่อเป็นตัวอย่างทำตามให้เป็นเหมือนพ่อ)", "title": "โรคถ้ำมอง" }, { "docid": "773798#4", "text": "สมาคมจิตเวชอเมริกัน (American Psychiatric Association) ได้จัดหมวดหมู่รูปแบบจินตนาการ ความอยาก และพฤติกรรมแบบถ้ำมองว่าเป็นโรคกามวิปริตใน\"คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต\" (DSM-IV) ถ้าบุคคลนั้นประพฤติตามความอยาก หรือว่าความอยากและจินตนาการทางเพศเช่นนั้น ทำให้เกิดความทุกข์และความขัดข้องในความสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างสำคัญ\nในคู่มือสากลคือ ICD-10 นี้จัดเป็นความผิดปกติเกี่ยวกับความชอบใจทางเพศ (disorder of sexual preference)\nDSM-IV นิยาม voyeurism ว่าเป็นการดู \"คนที่ไม่สงสัย ปกติเป็นคนแปลกหน้า ที่เปลือย หรือกำลังถอดเสื้อผ้า หรือกำลังมีกิจกรรมทางเพศ\"\nแต่ว่าการวินิจฉัยเช่นนี้ จะไม่ให้ต่อบุคคลที่เกิดอารมณ์ทางเพศปกติ โดยเพียงแต่เห็นความเปลือยหรือกิจกรรมทางเพศเท่านั้น\nคือ จะได้วินิจฉัยเช่นนี้ อาการดังกล่าวต้องเกิดเป็นเวลากว่า 6 เดือน และบุคคลนั้นต้องมีอายุเกินกว่า 18 ปี", "title": "โรคถ้ำมอง" }, { "docid": "773798#13", "text": "งานวิจัยแสดงว่า โดยเหมือนกับโรคกามวิปริตอื่น ๆ การแอบดูสามัญในชายมากกว่าในหญิง\nแต่ก็มีงานวิจัยที่พบว่า ทั้งชายและหญิงรายงานว่าตนมีโอกาสที่จะแอบดูพอ ๆ กัน\nแต่ความแตกต่างระหว่างเพศจะสูงกว่าถ้าให้โอกาสการแอบดูจริง ๆ\nถึงกระนั้น โดยเปรียบเทียบแล้ว มีงานวิจัยน้อยมากในเรื่องการแอบดูในผู้หญิง จึงมีข้อมูลน้อยมาก\nและกรณีศึกษาหนึ่งจากบรรดางานศึกษาที่น้อยนิดเป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงที่เป็นโรคจิตเภทด้วย\nซึ่งจำกัดการแสดงนัยทั่วไปในกลุ่มประชากรทั่วไป", "title": "โรคถ้ำมอง" } ]
[ { "docid": "773798#0", "text": "แอบถายโรคถ้ำมอง\n() หรือ ความชอบแอบดู หรือ การแอบดู เป็นความสนใจหรือข้อประพฤติทางเพศที่จะแอบดูคนอื่นทำการในที่ลับ เช่นถอดเสื้อผ้า มีกิจกรรมทางเพศ หรือการอื่น ๆ ที่ปกติพิจารณาว่าเป็นเรื่องควรทำเป็นการส่วนตัว\nคนแอบดูปกติจะไม่ทำอะไรโดยตรงกับบุคคลที่เป็นเป้า ผู้บ่อยครั้งจะไม่รู้ว่ากำลังถูกแอบดู จุดสำคัญของการแอบดูก็คือการเห็น แต่อาจจะรวมการแอบถ่ายรูปหรือวิดีโอ", "title": "โรคถ้ำมอง" }, { "docid": "773798#20", "text": "สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกายืนยันโดยอาศัยข้อมูลจากผู้ทำผิดทางเพศแบบรุนแรงว่า บุคคลบางคนที่ทำอาชญากรรมแบบเป็นเหตุรำคาญ (เช่น การแอบดู) มีความโน้มเอียงที่จะทำอาชญากรรมรุนแรงประเภทอื่น ๆ\nนักวิจัยของสำนักงานเสนอว่า คนแอบดูมีโอกาสมากกว่าที่จะมีลักษณะที่สามัญ แต่ไม่ใช่ทั่วไป ในบรรดาบุคคลผู้ทำผิดทางเพศ ที่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากที่จะจับเหยื่อหรือสร้างรูปของเหยื่อ\nผู้จะวางแผนอย่างเป็นระบบในการเลือกและเตรียมอุปกรณ์\nและบ่อยครั้งให้ความใส่ใจกับรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน", "title": "โรคถ้ำมอง" }, { "docid": "773798#16", "text": "โดยประวัติแล้ว มีการบำบัดการแอบดูหลายวิธี\nรวมทั้ง จิตวิเคราะห์ จิตบำบัดกลุ่ม (group psychotherapy) และ aversion therapy ซึ่งล้วนแต่มีผลสำเร็จที่จำกัด\nมีหลักฐานด้วยว่า สื่อลามกอนาจารสามารถใช้ช่วยบำบัดการแอบดู\nโดยเป็นหลักฐานสำหรับไอเดียว่า ประเทศที่มีการตรวจพิจารณาสื่อลามกอนาจารมีระดับการแอบดูสูง\nนอกจากนั้นแล้ว การเปลี่ยนการแอบดู ไปเป็นการดูสื่อลามกอนาจารที่โจ่งแจ้ง คือดูรูปเปลือยในนิตยสารเพลย์บอย ได้ใช้เป็นการบำบัดอย่างสำเร็จผลมาแล้ว\nงานวิจัยเหล่านี้แสดงว่า สื่อลามกอนาจารสามารถใช้เป็นตัวสนองความต้องการจะแอบดูโดยไม่ต้องทำผิดกฎหมาย", "title": "โรคถ้ำมอง" }, { "docid": "851187#4", "text": "อาการมักเหมือนเป็นอาการทางจิตทำให้ยากต่อการวินิจฉัย เป็นผลให้หลายคนไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ อาการมักมีความต้องการทางการแพทย์มากขึ้นเมื่อโรคพัฒนา ผู้ป่วยมักมี ความพบพร่องทางภูมิคุ้มกัน หายใจเร็วกว่าปกติ กล้ามเนื้อเสียการประสานงานจากสมองน้อย (cerebellar ataxia) อัมพฤกษ์ครึ่งซีก ไม่รู้สึกตัว หรือ โรคคาทาโทเนีย (catatonia) ผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการการรักษาในห้อง ICU เพื่อคงการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และ ความดัน การเสียความรู้สึกของซีกหนึ่งของร่างกายอาจเป็นอาการหนึ่ง เอกลักษณ์หนึ่งของโรคสมองอักเสบจากแอนติบอดีต่อตัวรับ NMDA คือการที่ผู้ป่วยอาจมีอาการที่กล่าวมาหลายอาการ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักแสดงตั้งแต่ 4 อาการขึ้นไป หลายคนแสดงหกถึงเจ็ดอาการขณะโรคพัฒนา", "title": "สมองอักเสบจากแอนติบอดีต่อตัวรับ NMDA" }, { "docid": "172653#5", "text": "ผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะสูญเสียความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวทางกายภาพของตน โดยเกิดภาวะสูญเสียการประสานกันของท่าเดิน (unsteady gait) มีอาการพูดไม่เป็นความ (dysarthria) และอาการตากระตุก (nystagmus) นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยนอกเหนือจากดังกล่าว เช่น อาการสั่น (tremor) ภาวะซึมเศร้า (depression) ภาวะหดเกร็งของกล้ามเนื้อ (spasticity) และโรคนอนไม่หลับ (sleep disorders) อนึ่ง การค้นคว้าอื่น ๆ ยังระบุว่า อาจมีโรคดังต่อไปนี้แทรกซ้อนขึ้นมาในระหว่างการป่วยได้ เช่น ภาวะกระดูกสันหลังโกงคด (kyphoscoliosis) ภาวะนิ้วเท้างุ้ม (hammer toe) ภาวะส่วนโค้งเท้าสูงขึ้น (high arches) หรือโรคหัวใจ (heart disease)", "title": "โรคกล้ามเนื้อเสียการประสานงานจากสมองน้อยและไขสันหลัง" }, { "docid": "371909#7", "text": "อาการทางจิตที่มีการรายงานได้แก่ วิตกกังวล ซึมเศร้า ไม่แสดงอารมณ์ เห็นแก่ตัว (egocentric) ก้าวร้าว และย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งอาการย้ำคิดย้ำทำนี้อาจนำไปสู่อาการเสพติดอื่นๆ เช่น ติดเหล้า ติดการพนัน และติดเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังมีรายงานถึงการไม่สามารถสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังมีความรู้สึกทางลบอยู่อีกด้วย ความชุกของอาการเหล่านี้มีความแตกต่างกันมากระหว่างการศึกษาวิจัยแต่ละครั้ง โดยรวมแล้วประมาณว่ามีความชุกตลอดชีวิตของความผิดปกติทางจิตอยู่ที่ 33-76% สำหรับผู้ป่วยหลายคนและบางครอบครัวอาการทางจิตเหล่านี้เป็นหนึ่งในอาการที่ส่งผลมากที่สุด มักมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และบ่อยครั้งเป็นสาเหตุของการที่ทำให้ไม่สามารถออกจากบ้านหรือสถานพยาบาลได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยยังมีความคิดฆ่าตัวตายและการลงมือกระทำการฆ่าตัวตายมากกว่าคนทั่วไปอีกด้วย", "title": "โรคฮันติงตัน" }, { "docid": "986651#1", "text": "ผู้บ่วยโรคนี้จะมีอาการหายใจลำบาก, ไอ, มีเสมหะสีดำ, เหนื่อยง่าย, เจ็บหน้าอก, มีไข้ และมีภาวะผิวคล้ำเขียวเนื่องจากขาดออกซิเจน บ่อยครั้งที่แพทย์มักวินิจฉัยผู้ป่วยโรคนี้ผิดพลาดว่าเป็นปอดบวมน้ำ, ปอดบวม และวัณโรค โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง เมื่อเป็นแล้วไม่มีทางรักษาให้หายได้ ทำได้แค่บรรเทาอาการเท่านั้น ดังนั้นจึงควรป้องกันตัวโดยการสวมหน้ากากกรองฝุ่นในที่ทำงานที่มีฝุ่นหินมาก การพรมน้ำในที่ทำงานก็มีส่วนช่วยได้เช่นกัน", "title": "โรคฝุ่นหินจับปอด" } ]
2119
ความหมายของธงชาติไทยคืออะไร?
[ { "docid": "8855#0", "text": "ธงชาติไทย หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธงไตรรงค์ มีลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้สีหลักในธง 3 สี คือ สีแดง สีขาว และสีน้ำเงินขาบ ภายในแบ่งเป็นแถบ 5 แถบ แถบในสุดสีน้ำเงิน ถัดมาด้านนอกทั้งด้านบนและล่างเป็นสีขาวและสีแดงตามลำดับ แถบสีน้ำเงินมีขนาดใหญ่กว่าแถบสีอื่นเป็น 2 เท่า ความหมายสำคัญของธงไตรรงค์นั้นหมายถึงสถาบันหลักทั้งสามของประเทศไทย คือ ชาติ (สีแดง) ศาสนา (สีขาว) และพระมหากษัตริย์ (สีน้ำเงิน) สีทั้งสามนี้เองคือที่มาของการเรียกชื่อธงนี้ว่าธงไตรรงค์ (ไตร = สาม, รงค์ = สี)", "title": "ธงชาติไทย" } ]
[ { "docid": "8855#18", "text": "ในมาตรา 5 (1) แห่งพระราชบัญญัติธง พุทธศักราช 2522 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติธงฉบับที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้กล่าวถึงลักษณะธงชาติไว้ดังนี้\nประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2560 กำหนดค่าสีมาตรฐานของธง และได้กำหนดค่าซีแล็บ ดี 65 (รวมทั้งค่า RGB, HEX, และ CMYK) ดังนี้ :\nในพระราชนิพนธ์ \"\" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ภายใต้พระนามแฝง \"วรรณะสมิต\" ตีพิมพ์ในนิตยสารดุสิตสมิต ฉบับพิเศษ สำหรับเปนที่ระฦกในงานเฉลิมพระชนมพรรษา เล่มที่ 1 พ.ศ. 2461 หน้า 42 ได้นิยามความหมายของธงไตรรงค์ไว้ว่า \nสีแดง หมายถึง เลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งพระรัตนตรัยและธรรมะอันเป็นหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา สีน้ำเงิน หมายถึง สีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์ แม้นิยามดังกล่าวจะไม่ใช่คำอธิบายที่ทรงประกาศให้ใช้อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งสามสิ่งนี้คืออุดมการณ์รัฐที่พระองค์ทรงปลูกฝัง เพื่อให้คนไทยเกิดสำนึกความเป็นชาตินิยมมาตลอดรัชสมัยของพระองค์", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "8855#35", "text": "โดยทั่วไปแล้ว การกำหนดธงอย่างอื่นที่ความหมายถึงชาติของประเทศต่าง ๆ ล้วนมีการดัดแปลงลักษณะมาจากธงชาติเกือบธงหมด เช่น ธงราชนาวีของกองทัพเรือไทย ซึ่งตามพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 นับเป็นธงที่มีความหมายถึงชาติเช่นเดียวกับธงชาติไทย มีลักษณะเป็นธงไตรรงค์ ตรงกลางเป็นรูปช้างเผือก ทรงเครื่องยืนแท่นมีรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นอยู่ตรงกลางในวงกลมสีแดง ปลายขอบวงกลมสีแดงนั้นจดกับขอบแถบสีแดงพอดีทั้งสองด้าน ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของกองทัพเรือไทยนั้น ถือว่าธงนี้พัฒนามาจากธงแดงและธงเรือหลวงของสยามในสมัยต่าง ๆ ก่อนที่จะมีลักษณะที่แตกต่างจากธงชาติไปเล็กน้อยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2434 เป็นต้นมา แบบธงที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้กำหนดให้ใช้พร้อมกับธงไตรงค์ซึ่งเป็นธงชาติเมื่อ พ.ศ. 2460 แม้ธงฉาน ซึ่งเป็นธงในราชการทหารที่ใช้สำหรับชักที่หัวเรือรบและใช้เป็นเครื่องหมายของเรือพระที่นั่งและเรือหลวง ก็มีพื้นเป็นธงไตรรงค์เช่นกัน แต่ว่าได้เพิ่มตราสมอสอดวงจักรภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ ซึ่งเป็นเครื่องหมายราชการของกองทัพเรือไว้ เพื่อให้ต่างจากธงชาติอย่างชัดเจน", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "8855#31", "text": "สำหรับการเคารพธงชาติของทหารนั้น เมื่อมีการชักธงชาติขึ้นและลง นายทหารสัญญาบัตรทุกนาย ให้แสดงความเคารพโดยการยืนตรงทำวันทยาหัตถ์ ไม่ว่าจะอยู่ในแถวหรือนอกแถว ส่วนนายทหารประทวนและพลทหาร ให้ทำวันทยาหัตถ์ขณะยืนอยู่นอกแถวทหารเท่านั้น หากอยู่ในแถวทหาร ให้ใช้ท่าตรง ส่วนแถวทหารที่มีอาวุธ นายทหารผู้ควบคุมแถวจะสั่งแสดงความเคารพโดยการทำวันทยาวุธ และสั่งเรียบอาวุธเมื่อธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาเรียบร้อยแล้ว\nพิธีกร เมื่ออยู่ในแถวเคารพธงชาติ สวดมนต์ สงบนิ่ง ให้ก้าวออกไป 1 ก้าว สั่งแล้วให้ถอยกลับเข้าที่", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "314088#1", "text": "ความหมายของสีธงทั้งสามได้แก่ สีเขียวหมายถึงแผ่นดินและความหวังต่ออนาคต สีเหลืองหมายถึงสันติภาพและความรัก และสีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็ง สำหรับดวงตราแผ่นดินในธงชาติบ่งบอกถึงนัยยะของความหลากหลายและความเป็นเอกภาพของประเทศในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ สีฟ้าหมายถึงสันติภาพ เฉลวรูปดาวหมายถึงความหลากหลายและความเป็นเอกภาพ รัศมีเปล่งจากดาวซึ่งเป็นรัศมีดวงอาทิตย์หมายถึงความเจริญรุ่งเรือง", "title": "ธงชาติเอธิโอเปีย" }, { "docid": "8855#30", "text": "การเคารพธงชาติในปัจจุบันได้ยึดถือหลักการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการใช้ การชัก หรือการแสดงธงชาติ และธงของต่างประเทศ ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2529 กล่าวคือ เมื่อมีการชักธงชาติขึ้นและลง ให้แสดงความเคารพโดยการยืนตรง หันไปทางเสาธง อาคาร หรือสถานที่ที่มีการชักธงชาติขึ้นและลง จนกว่าจะเสร็จการ ในกรณีที่ได้ยินเพลงชาติหรือสัญญาณการชักธงชาติ จะเห็นหรือไม่เห็นการชักธงชาติก็ตาม ให้แสดงความเคารพโดยหยุดนิ่งในอาการสำรวม จนกว่าการชักธงชาติหรือเสียงเพลงชาติ หรือสัญญาณการชักธงชาติจะสิ้นสุดลง", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "8855#4", "text": "ปกติคนต่างชาติที่ล่องมาทางเรือจะไปอยุธยา ต้องผ่านเจ้าพระยา ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเกิดที่ป้อมวิไชยเยนทร์ หรือป้อมฝรั่ง เพราะพระยาวิชเยนทร์ เกณฑ์แรงงานฝรั่งมาสร้างไว้ ปัจจุบันคือ ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ตั้งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ ปกติเรือสินค้าสำคัญ เรือที่มากับราชทูตที่จะผ่านต้องมีธรรมเนียมประเพณีคือ ชักธงประเทศของเขาบนเรือ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่า มาถึงแล้ว เมื่อเรือฝรั่งเศสชักธงชาติของตัวเองขึ้น ฝ่ายสยามยิงสลุตคำนับตามธรรมเนียม ซึ่งขณะเดียวกันสยามเองต้องชักธงขึ้นด้วย เพื่อตอบกลับว่า ยินดีต้อนรับ แต่ตอนนั้นทหารประจำป้อมวิไชยเยนทร์ไม่เคยพบประเพณีแบบนี้ และสยามไม่มีธงสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นธงชาติมาก่อน จึงคว้าผ้าที่วางอยู่แถวนั้น ซึ่งดันหยิบธงชาติฮอลันดาชักขึ้นเสาแบบส่งเดช เมื่อทหารฝรั่งเศสเห็นก็ตกใจไม่ยอมชักธงและไม่ยอมยิงสลุต จนกว่าจะเปลี่ยน เพราะการที่ได้ชักเอาธงชาติฮอลันดา (ปัจจุบันคือประเทศเนเธอร์แลนด์) ซึ่งในขณะนั้นฝรั่งเศสกับฮอลันดาเป็นศัตรูกัน) ฝ่ายไทยได้แก้ปัญหาโดยชักผ้าสีแดงขึ้นแทนธงชาติฮอลันดา ฝรั่งเศสจึงยอมยิงสลุตคำนับตอบ เหตุการณ์ดังกล่าวจึงถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ธงชาติไทย โดยทหารสยามประจำป้อมก็เปลี่ยนเป็นผ้าสีแดงที่หาได้ในตอนนั้น และต้นกำเนิดธงก็เริ่มขึ้น นับจากนั้น ธงที่ใช้ไม่ว่าจะใช้บนเรือหลวง เรือราษฎร ใช้บนป้อมประจำการก็ล้วนเป็นสีแดง", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "8855#27", "text": "การประดับธงชาติไทยคู่หรือร่วมกับธงอื่นยกเว้นธงพระอิสริยยศ โดยหลักแล้วธงชาติไทยจะต้องอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำว่าธงอื่น ๆ และโดยปกติให้จัดธงชาติอยู่ที่เสาธงแรกด้านขวา (เมื่อมองดูออกมาจากภายใน หรือจุดของสถานที่ที่ใช้ชัก แสดง หรือประดับธงเป็นหลัก) ถ้าหากเป็นการประดับในงานพิธีซึ่งมีแท่นหรือมีที่สำหรับประธาน ธงชาติจะต้องอยู่ทางขวามือเสมอ ในกรณีที่ประดับกับธงอื่นซึ่งรวมกันแล้วได้จำนวนเป็นเลขคี่ ธงชาติไทยจะต้องอยู่ตรงกลาง ถ้ารวมกันแล้วเป็นเลขคู่ ธงชาติไทยต้องอยู่กลางขวา หลักการเช่นนี้อนุโลมใช้กับการประดับธงชาติไทยคู่กับธงต่างประเทศด้วย เว้นแต่ว่าจะข้อตกลงระหว่างประเทศกำหนดไปเป็นอย่างอื่น ก็ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นเป็นกรณีไป", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "8855#12", "text": "ธงชาติแบบใหม่นี้ได้อวดโฉมต่อสายตาชาวโลกครั้งแรกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งกองทหารอาสาของไทยได้ใช้เชิญไปเป็นธงไชยเฉลิมพลประจำหน่วย อย่างไรก็ตาม ธงไตรรงค์ที่สร้างขึ้นสำหรับกองทหารอาสาในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นไม่ใช่ลักษณะอย่างธงไตรรงค์ตามที่กำหนดให้ใช้ในปัจจุบันและโดยทั่วไป แต่มีการเพิ่มรูปสัญลักษณ์พิเศษลงในธงด้วย โดยด้านหน้าธงนั้นเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนแท่นในวงกลมพื้นสีแดง ลักษณะอย่างเดียวกับธงราชนาวีไทย (ทั้งนี้กำหนดแบบใหม่ให้ใช้พร้อมกันในคราวประกาศเปลี่ยนธงชาติด้วย) ด้านหลังเป็นตราพระปรมาภิไธยย่อ ร.ร. ๖ สีขาบ ภายใต้พระมหามงกุฎเปล่งรัศมีสีเหลืองในวงกลมพื้นสีแดง ที่แถบสีแดงทั้งแถบบนแถบล่างทั้งสองด้านจารึกพุทธชัยมงคลคาถาบทแรก (ภาษาบาลี) เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่กองทหารอาสาของไทยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชนิพนธ์แก้ไขในตอนท้ายจาก \"ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ\" (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน) เป็น \"ตนฺเตชสา ภวตุ เม ชยสิทฺธินิจฺจํ\" (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยชนะจงมีแก่ข้าพเจ้าเสมอ)", "title": "ธงชาติไทย" }, { "docid": "8855#14", "text": "หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 รัฐบาลต่าง ๆ ยังคงรับรองฐานะของธงไตรรงค์ให้เป็นธงชาติของประเทศสยามต่อไป โดยมีการตราพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2479 เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์ และหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศในปี พ.ศ. 2482 ส่งผลให้รัฐบาลประกาศเปลี่ยนชื่อธงชาติสยามเสียใหม่เป็น \"ธงชาติไทย\" ตามไปด้วย แต่ก็ยังคงประกาศให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทยเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์ ซึ่งพระราชบัญญัติธงทั้งสองฉบับนี้ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงถ้อยความบรรยายลักษณะธงชาติในพระราชบัญญัติธงใหม่ให้ชัดเจนขึ้น แต่ยังคงรูปแบบธงตามที่ได้บัญญัติไว้ครั้งแรกในพระราชบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติธง พุทธศักราช 2460 ไว้เช่นเดิม", "title": "ธงชาติไทย" } ]
2122
ทฤษฎีความน่าจะเป็น ถูกค้นพบโดยใคร ?
[ { "docid": "5501#0", "text": "สัจพจน์ของความน่าจะเป็น () ถูกเสนอเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1936 โดยคอลโมโกรอฟ นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย ในทฤษฎีความน่าจะเป็นทางคณิตศาสตร์ ความน่าจะเป็นถูกนิยามด้วยฟังก์ชัน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกๆ ฟังก์ชันจะสามารถแปลความหมายเป็นฟังก์ชันของความน่าจะเป็นได้ทั้งหมด สัจพจน์ของความน่าจะเป็นจึงถูกนิยามมาเพื่อกำหนดว่าฟังก์ชันใดสามารถที่จะแปลความหมายในเชิงความน่าจะเป็นได้ กล่าวโดยสรุป ฟังก์ชันความน่าจะเป็น ก็คือ ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ที่มีคุณสมบัติตรงกับที่สัจพจน์คอลโมโกรอฟกำหนดไว้ทุกข้อ ในทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ สัจพจน์ของความน่าจะเป็นถูกเสนอ โดยบรูโน เด ฟิเนตติ นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียนและริชาร์ด คอกซ์ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน เด ฟิเนตติเสนอสัจพจน์โดยมีแนวคิดมาจากเกมส์การพนัน ส่วนคอกซ์เสนอสัจพจน์ของเขาโดยมีแนวคิดมาจากการขยายความสามารถของตรรกศาสตร์แบบอริสโตเติล สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ \"ในทางปฏิบัติโดยทั่วไปแล้ว\" สัจพจน์ของคอลโมโกรอฟ, เด ฟิเนตติ และคอกซ์ จะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน (ทั้งๆ ที่ทั้งสามท่านมีแนวคิดเริ่มต้นต่างกันโดยสิ้นเชิง)", "title": "สัจพจน์ของความน่าจะเป็น" }, { "docid": "5444#1", "text": "ถ้าจะกล่าวอย่างไม่เป็นทางการ, ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์แปลความหมายของคำว่า \"ความน่าจะเป็น\" เป็น \"ความเชื่อมั่นส่วนบุคคลในเหตุการณ์หนึ่ง ๆ\" ซึ่งต่างจากทฤษฎีความน่าจะเป็นของคอลโมโกรอฟ (ที่มักถูกเรียกว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่) ที่มักแปลความหมายของความน่าจะเป็น (โดยต้องแปลควบคู่ไปกับการทดลองเสมอ) ดังนี้ \"ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ A คือ อัตราส่วนของจำนวนครั้งของเหตุการณ์ A ที่ทดลองสำเร็จเทียบกับจำนวนครั้งที่ทดลองทั้งหมด\" จุดแตกต่างสำคัญระหว่างทฤษฎีทั้งสองประเภทมีดังนี้", "title": "ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์" }, { "docid": "5444#6", "text": "ผู้บุกเบิกทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ คือ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์, เลโอนาร์ด ซาเวจ, แฟรงค์ แรมซีย์, รูดอร์ฟ คาร์นาพ โดยนักทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์ที่โด่งดังในยุคคลาสสิก (1930-1960) ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็คือ เดนนิส ลินด์ลีย์. เจนส์ให้ข้อสังเกตไว้ว่าผู้สนับสนุนทฤษฎีแบบเบย์ที่มีชื่อเสียงมักเป็นบุคคลจากสาขาอื่นที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเขา และคอกซ์ที่เป็นนักฟิสิกส์, เซอร์ แฮโรลด์ เจฟฟรีย์ที่เป็นนักธรณีวิทยา, เคนส์ที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ หรือ คาร์นาพที่เป็นนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบุคคลเหล่านี้ต้องการนำทฤษฎีความน่าจะเป็นไปใช้งานจริง และต่างก็พบว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงความถี่ไม่กว้างขวางพอที่จะเอาไปใช้จริงได้ อีกทั้งสถิติเชิงความถี่ก็ไม่น่าเชื่อถือ และสมเหตุสมผลพอ บุคคลเหล่านี้จึงต้องพัฒนาทฤษฎีความน่าจะเป็นที่สามารถนำไปใช้ได้จริงขึ้นมา และต่างก็ค้นพบแนวทางเดียวกันซึ่งก็คือสิ่งที่ลาปลาสได้แสดงไว้แล้วเมื่อราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19", "title": "ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์" }, { "docid": "4781#1", "text": "คอลโมโกรอฟเสมือนเป็นบิดาของ ทฤษฎีความน่าจะเป็นสมัยใหม่ (บางครั้งเรียกว่าทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์) เนื่องจากได้ปูรากฐานของทฤษฎีความน่าจะเป็นใหม่ทั้งหมด ด้วยสัจพจน์ที่เรียบง่ายเพียงไม่กี่ข้อ. โดยงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นเชิงคณิตศาสตร์ในปัจจุบัน (คนละประเภทกับงานวิจัยด้านทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์) มีรากฐานทั้งหมดอยู่บนสัจพจน์คอลโมโกรอฟนี้", "title": "อันเดรย์ คอลโมโกรอฟ" } ]
[ { "docid": "5501#14", "text": "แม้ว่าคณิตศาสตร์ของความน่าจะเป็นจะถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่มานานตั้งแต่ ปิแยร์ แฟร์มาต์ แบลส์ ปาลกาล จนถึง ปิแยร์ ซิมง ลาปลัสก็ตาม นักคณิตศาสตร์เหล่านี้ไม่ได้กำหนดโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ของความน่าจะเป็นอย่างเคร่งครัด คล้ายกับกรณีออกัสติน หลุยส์ โคชี่ได้นิยามแคลคูลัสของไอแซก นิวตัน กับ กอทท์ฟรีด ไลบ์นิซอย่างเคร่งครัดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 นั่นเอง", "title": "สัจพจน์ของความน่าจะเป็น" }, { "docid": "5501#2", "text": "นักคณิตศาสตร์หลายท่านมอง \"ทฤษฎีความน่าจะเป็น\" เป็นสาขาย่อยของทฤษฎีการวัด (measure theory). นั่นคือ มอง ความน่าจะเป็น เป็นปริมาณ (แบบนามธรรม) ชนิดหนึ่งที่สามารถวัดได้ในบริบทของทฤษฎีการวัด. ข้อดีของการใช้ทฤษฎีการวัดในการอธิบายทฤษฎีความน่าจะเป็น คือ เรามีทฤษฎีการวัดทั้งในเซตจำกัดและเซตอนันต์. ดังนั้นนักคณิตศาสตร์จึงสามารถขยายทฤษฎีความน่าจะเป็นให้กว้างขึ้น ครอบคลุมไปถึงกรณีที่โดเมนของฟังก์ชันความน่าจะเป็นเป็นเซตอนันต์ได้ทันที โดยอ้างอิงจากทฤษฎีบทที่มีอยู่แล้วในทฤษฎีการวัด.", "title": "สัจพจน์ของความน่าจะเป็น" }, { "docid": "84088#3", "text": "ครอปเซอร์เคิล ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษ ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากการค้นพบของชัตเติลวูดกับบอนด์และเฟอร์แล้ว มันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎีอุกกาบาตและทฤษฎีพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก ในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆเมืองวอร์มินสเตอร์(Warminster) ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น \nในทศวรรษนี้เอง ด๊อกเตอร์ เทอร์เรนซ์ มีเดน(Terrence Meaden) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยครอปเซอร์เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ", "title": "วงธัญพืช" }, { "docid": "559368#0", "text": "ความน่าจะเป็นเท่ากัน () คือมโนทัศน์ทางปรัชญาในทฤษฎีความน่าจะเป็น ที่ยอมให้กำหนดความน่าจะเป็นปริมาณเท่า ๆ กันแก่ผลที่จะออกมา เมื่อผลเหล่านั้นได้ถูกพิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้เท่ากัน (equipossibility) ในการรับรู้บางสิ่ง บทบัญญัติอันเป็นที่รู้จักดีที่สุดของกฎดังกล่าวคือ หลักแห่งความไม่แตกต่าง (principle of indifference) ของลาปลัส ซึ่งกล่าวไว้ว่า \"เราไม่มีสารสนเทศอื่นใดนอกเหนือไปจาก\" เหตุการณ์ไม่เกิดร่วมจำนวน \"N\" เหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้ เราจึงจัดการกำหนดความน่าจะเป็นของแต่ละเหตุการณ์เป็น การกำหนดความน่าจะเป็นแบบอัตวิสัยนี้ใช้เฉพาะในบางสถานการณ์อย่างเช่นการกลิ้งลูกเต๋าหรือการออกสลากกินแบ่ง เนื่องจากการทดลองเหล่านี้สนับสนุนโครงสร้างสมมาตร และสถานะความรู้ของผู้กำหนดจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงโดยชัดแจ้งภายใต้สมมาตรนี้", "title": "ความน่าจะเป็นเท่ากัน" }, { "docid": "5443#1", "text": "มโนทัศน์เหล่านี้มาจากการแปลงคณิตศาสตร์เชิงสัจพจน์ในทฤษฎีความน่าจะเป็น ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในขอบเขตการศึกษาต่าง ๆ เช่น คณิตศาสตร์ สถิติศาสตร์ การเงิน การพนัน วิทยาศาสตร์ ปัญญาประดิษฐ์/การเรียนรู้ของเครื่อง และปรัชญา เพื่อร่างข้อสรุปเกี่ยวกับความถี่ที่คาดหวังของเหตุการณ์ต่าง ๆ เป็นอาทิ ทฤษฎีความน่าจะเป็นก็ยังนำมาใช้เพื่ออธิบายกลไกรากฐานและความสม่ำเสมอของระบบซับซ้อน", "title": "ความน่าจะเป็น" }, { "docid": "114096#4", "text": "ข้อสมมุติของฝ่ายธรรมชาตินิยมที่เน้นวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์ได้ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางคนโดยเฉพาะสาขาการวิจัยเชิงสังเกตตั้งคำถามว่าจริง ๆ แล้วเหตุผลขั้นอันติมะ (ultimate) หรือต้นตอแห่งการมีอยู่ของจักรวาลจะอธิบายด้วยคำตอบทางวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อ \"หลักการแห่งเหตุผลอันเพียงพอ\" (principle of sufficient reason) ดูเหมือนจะบ่งชี้ไปได้ว่าน่าจะมีคำตอบเช่นว่านี้ได้ แต่คำอธิบายที่น่าพอใจทางวิทยาศาสตร์จะได้มาจากการสอบสวนเชิงวิทยาศาสตร์หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ต้องโต้เถียงกันได้มาก การตรวจสอบทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลด้วยวิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบจำลองทางกายภาพที่มีอยู่เดิมย่อมต้องพบกับความท้าทายมากพอควร ตัวอย่างเช่นสมการที่ใช้พัฒนาแบบจำลองของต้นตอที่มาในตัวมันเองแล้วก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าจักรวาลเกิดขึ้นมาได้อย่างไร", "title": "ทฤษฎีการกำเนิดจักรวาล" }, { "docid": "5444#3", "text": "ชื่อเรียก \"แบบเบย์\" เพิ่งจะมาใช้ในราวปี ค.ศ. 1950 โดยมีต้นกำเนิดมาจากชื่อของ โทมัส เบย์ ผู้ซึ่งเสนอทฤษฎีบทของเบย์เป็นคนแรก (เท่าที่ทราบในประวัติศาสตร์) ในเวลาถัดมาปีแยร์-ซีมง ลาปลาสได้เสนอทฤษฎีบทของเบย์เช่นกัน โดยในขณะนั้นลาปลาสไม่ทราบว่ามีงานของเบย์อยู่ ทฤษฎีบทของเบย์ในแบบของลาปลาสถูกนำไปใช้งานอย่างกว้างขวางชนิดที่ตัวของเบย์เองก็อาจคาดไม่ถึง (ทั้งนี้เนื่องจากการแปลความหมายของ \"ความน่าจะเป็น\" ของลาปลาสนั้นกว้างมากอย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ในบทนำ) โดยลาปลาสได้นำไปในประยุกต์ใช้ในปัญหาของกลศาสตร์, ดาราศาสตร์, สถิติการแพทย์ (medical statistics) หรือแม้แต่ นิติศาสตร์", "title": "ทฤษฎีความน่าจะเป็นแบบเบย์" } ]
2124
ใครเป็นผู้ปั้นประติมากรรม "The Thinker"?
[ { "docid": "220200#0", "text": "คนครุ่นคิด (; ) เป็นประติมากรรมที่สร้างโดย\"โอกุสต์ รอแด็ง\" ประติมากรชาวฝรั่งเศส ที่ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์รอแด็ง กรุงปารีส ในประเทศฝรั่งเศส", "title": "คนครุ่นคิด (รอแด็ง)" } ]
[ { "docid": "220200#2", "text": "ประติมากรรม \"คนครุ่นคิด\" เดิมชื่อ \"กวี\" เป็นงานที่จ้างโดยพิพิธภัณฑ์ศิลปะตกแต่ง (Musée des Arts Décoratifs) ในกรุงปารีสเพื่อเป็นรูปปั้นสำหรับประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์ รอแด็งได้รับแรงบันดาลใจจากไตรภูมิดันเตของดันเต อาลีกีเอรี และตั้งชื่อประตูว่า \"ประตูนรก\" ประติมากรรมแต่ละชิ้นเป็นตัวแทนชองตัวละครจากมหากาพย์ เดิม \"คนครุ่นคิด\" ตั้งใจจะให้เป็นดันเต อาลีกีเอรี หน้า \"ประตูนรก\" ครุ่นคิดถึงมหากาพย์ ในประมากรรมชิ้นสุดท้าย รูปปั้นเล็กนั่งอยู่เหนือประตูคิดถึงชะตาของผู้อยู่ข้างใต้ ประติมากรรมเป็นรูปเปลือยเพราะรอแด็งต้องการสร้างผู้ที่มีลักษณะเป็นวีรบุรุษทำนองเดียวกับมีเกลันเจโล ที่แสดงให้เห็นทั้งด้านสติปัญญาที่เกิดขึ้นจากความยำเกรงในพระเจ้าและความสามารถทางกวีนิพนธ์", "title": "คนครุ่นคิด (รอแด็ง)" }, { "docid": "180328#3", "text": "ผู้แต่งคัมภีร์ฎีกา เราเรียกว่า พระฎีกาจารย์ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ทรงความรู้ความสามารถมากไม่น้อยไปกว่าพระอรรถกถาจารย์ เพราะนอกจากพระฎีกาจารย์จะต้องสามารถทรงจำ และเข้าใจพระไตรปิฎกอย่างแตกฉานเพื่อนำมาเขียนอธิบายได้แล้ว ยังจะต้องแตกฉานในคัมภีร์อรรถกถาและคัณฐีต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังจะต้องมีความชำนาญในไวยากรณ์ทั้งบาลีและสันสกฤต ในคัมภีร์สัททาวิเสสต่าง ๆ, รอบรู้ศัพท์และรูปวิเคระห์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี, ฉลาดในการแต่งคัมภีร์ให้สละสลวย ไพเราะ มีลำดับกฎเกณฑ์ ตามหลักอลังการะ, ต้องมีความสามารถในการแต่งคัมภีร์ตรงตามหลักฉันท์อินเดียซึ่งมีอยู่นับร้อยแบบ, และเข้าใจกรรมฐานจนถึงพระอรหันต์แตกฉานเชี่ยวชาญในข้อปฏิบัติเป็นอย่างดี", "title": "ฎีกา (คัมภีร์)" }, { "docid": "951252#0", "text": "The Producer นักปั้นมือทอง เป็นรายการเรียลลิตี้โชว์แข่งขันทำดนตรีของ 4 โปรดิวเซอร์ชั้นนำแห่งวงการดนตรีไทย ได้แก่ ฟอร์ด - สบชัย ไกรยูรเสน, หนึ่ง - จักรวาล เสาธงยุติธรรม, แมว - จิรศักดิ์ ปานพุ่ม และ เพชร สหรัตน์ เพื่อค้นหาสุดยอดโปรดิวเซอร์ของประเทศไทย ผลิตโดย บริษัท เซ้นส์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 18:20 น. - 19:50 น. ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ดำเนินรายการโดย เอ - วราวุธ เจนธนากุล", "title": "The Producer นักปั้นมือทอง" }, { "docid": "928823#0", "text": "The Collector คนประกอบผี เป็นละครชุด ในโครงการพิเศษของแอปพลิเคชัน ไลน์ทีวี โดยบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ผลิตโดย ภาพดีทวีสุข สร้างเรื่องและเขียนบทโดย เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ และวาสุเทพ เกตุเพ็ชร์ โดยเป็นเรื่องราวคดีฆาตกรรมหั่นศพปริศนา และคดีคนหายที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน และยังรอวันไขคำตอบ ออกอากาศให้ชมทุกวันพุธเวลา 20.00 น. ทางแอปพลิเคชัน ไลน์ทีวี เริ่มออกอากาศ วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561", "title": "The Collector คนประกอบผี" }, { "docid": "44304#0", "text": "ประติมากรรม () เป็นงานศิลปะแสดงออกด้วยการปั้น แกะสลัก หล่อ และการจัดองค์ประกอบความงามอื่น ลงบนสื่อต่างๆ เช่น ไม้ หิน โลหะ สัมฤทธิ์ ฯลฯ เพื่อให้เกิดรูปทรง 3 มิติ มีความลึกหรือนูนหนา สามารถสื่อถึงสิ่งต่างๆ สภาพสังคม วัฒนธรรม รวมถึงจิตใจของมนุษย์โดยชิ้นงาน ผ่านการสร้างของประติมากร ประติมากรรมเป็นแขนงหนึ่งของทัศนศิลป์ ผู้ทำงานประติมากรรม มักเรียกว่า ประติมากร", "title": "ประติมากรรม" }, { "docid": "928823#1", "text": "The Collector คนประกอบผี เป็นผลงานการผลิตของภาพดีทวีสุข สตูดิโอรายการโทรทัศน์ในเครือจีดีเอช ห้าห้าเก้า โดยเกิดขึ้นจากไอเดียของ เอก เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ นักวาดการ์ตูนและผู้กำกับภาพยนตร์ในเครือจีดีเอช ที่มีไอเดียในการนำเสนอปีศาจที่มีชื่อว่า \"The Collector\" ซึ่งเป็นปีศาจแนวใหม่ที่เน้นการฆ่าคน พอได้ไอเดียโดยสังเขปบวกกับภาพดีทวีสุขได้รับข้อเสนอในการพัฒนาซีรีส์จาก ไลน์ ประเทศไทย ทางทีมผู้สร้างจึงได้พัฒนาซีรีส์เรื่องนี้ขึ้น", "title": "The Collector คนประกอบผี" }, { "docid": "25681#2", "text": "แม้ว่ารอแด็งจะถือกันว่าเป็นผู้ที่มีส่วนริเริ่มการประติมากรรมสมัยใหม่ แต่ความจริงแล้วรอแด็งมิได้มีความตั้งใจจะปฏิรูปศิลปะแบบที่ทำกันมา รอแด็งได้รับการศึกษาจากสถาบันวิจิตรศิลป์แห่งฝรั่งเศส (Académie des beaux-arts) การสร้างงานก็เป็นไปตามวิธีช่างอย่างที่เรียนมาเพื่อที่จะได้เป็นที่ยอมรับกันทางสถาบัน ในการสร้างงานประติมากรรมรอแด็งมีความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความซับซ้อนและความปั่นป่วนภายในเนื้อดินที่ปั้น", "title": "โอกุสต์ รอแด็ง" }, { "docid": "951252#3", "text": "ศิลปินที่ผ่านเข้ารอบทั้ง 8 คนมีสิทธิ์เลือกว่าจะอยู่กับโปรดิวเซอร์คนใดจาก 2 คนที่เหลือ โดยผู้ที่ได้คะแนนโหวตจาก 500 คะแนนในรอบรองชนะเลิศสูงสุดจะมีสิทธิ์เลือกก่อน และผู้ที่ได้คะแนนโหวตรองลงมาจะมีสิทธิ์เลือกเป็นลำดับต่อมา โดย และถ้าลูกทีมของโปรดิวเซอร์คนใดคนหนึ่งมีจำนวนครบแล้ว ศิลปินที่ยังไม่ได้เลือกทั้งหมดจะถูกตัดเข้าไปอยู่กับโปรดิวเซอร์อีกคนโดยอัตโนมัติ", "title": "The Producer นักปั้นมือทอง" }, { "docid": "173997#0", "text": "ผู้ช่วยศาสตราจารย์ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง (6 มิถุนายน พ.ศ. 2500 — ) เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพเหมือนจริง ซูเปอร์เรียลลิสม์ สำเร็จการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาประยุกต์ศิลปศึกษา คณะมัณฑนศิลป์ จากมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยผลงานส่วนใหญ่ของเขาใช้เทคนิคสีอะคริลิค ถ่ายทอดผลงานที่เหมือนจริงอย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบันเป็นอาจารย์ภาควิชาประยุกต์ศิลปศึกษา คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร", "title": "ไพรวัลย์ ดาเกลี้ยง" }, { "docid": "620849#7", "text": "วันที่ 10 พฤษภาคม 2557 ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นกรรมการประเมินความดีความชอบเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนของคณะ เปิดเผยว่ากิตติศักดิ์ได้ยื่นผลงานดังกล่าวเพื่อใช้ประเมินความดีความชอบของตน และเสนอผลงานนี้ในการประชุมระหว่างประเทศด้วย เมื่อคณะกรรมการประเมินความดีความชอบสังเกตเห็นความผิดปรกติ กิตติศักดิ์ชี้แจงว่าเป็นความผิดพลาดของผู้ช่วย เป็นความรีบร้อนไม่ทันระวัง และเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค แต่ประสิทธิ์เห็นว่าฟังไม่ขึ้น เพราะมีการแก้ข้อความเดิมหลายส่วนชนิดที่ถ้ารีบร้อนคงทำไม่ได้และผู้ช่วยคงไม่กล้าทำ นอกจากนี้กิตติศักดิ์ยังชี้แจงว่าที่ทำไปนั้นเพราะต้องการเผยแพร่ผลงานของศาสตราจารย์ชเลชลีม แต่ประสิทธิ์ตั้งคำถามว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดจึงแก้ชื่อศาสตราจารย์ชเลชลีมมาเป็นชื่อตน อย่างไรก็ดีคณะไม่ได้ดำเนินการอย่างไรกับกรณีนี้", "title": "กิตติศักดิ์ ปรกติ" } ]
2125
โครงการก่อสร้างกล้องโทรทรรศน์อวกาศเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.ใด?
[ { "docid": "154005#2", "text": "โครงการก่อสร้างกล้องโทรทรรศน์อวกาศเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 กล้องฮับเบิลได้รับอนุมัติทุนสร้างในช่วงปี ค.ศ. 1970 แต่เริ่มสร้างได้ในปี ค.ศ. 1983 การสร้างกล้องฮับเบิลเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องด้วยปัญหาด้านงบประมาณ ปัญหาด้านเทคนิค และจากอุบัติเหตุกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ กล้องได้ขึ้นสู่อวกาศในปี ค.ศ. 1990 แต่หลังจากที่มีการส่งกล้องฮับเบิลขึ้นสู่อวกาศไม่นานก็พบว่ากระจกหลักมีความคลาดทรงกลมอันเกิดจากปัญหาการควบคุมคุณภาพในการผลิต ทำให้ภาพถ่ายที่ได้สูญเสียคุณภาพไปอย่างมาก ภายหลังจากการซ่อมแซมในปี ค.ศ. 1993 กล้องก็กลับมามีคุณภาพเหมือนดังที่ตั้งใจไว้ และกลายเป็นเครื่องมือในการวิจัยที่สำคัญและเป็นเสมือนฝ่ายประชาสัมพันธ์ของวงการดาราศาสตร์", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "197123#2", "text": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล คือ กล้องโทรทรรศน์ในวงโคจรของโลกที่กระสวยอวกาศดิสคัฟเวอรีนำส่งขึ้นสู่วงโคจร เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1990 ตั้งชื่อตามนักดาราศาสตร์ชาวอเมริกันชื่อ เอ็ดวิน ฮับเบิล กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลไม่ได้เป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศตัวแรกของโลก แต่มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การ ศึกษาดาราศาสตร์ที่ทำให้นักดาราศาสตร์ค้นพบปรากฏการณ์สำคัญต่าง ๆ อย่างมากมาย กล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลเกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างองค์การนาซาและองค์การ อวกาศยุโรป\nการที่กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลลอยอยู่นอกชั้นบรรยากาศของโลกทำ ให้มันมีข้อได้เปรียบเหนือกว่ากล้องโทรทรรศน์ที่อยู่บนพื้นโลก นั่นคือภาพไม่ถูกรบกวนจากชั้นบรรยากาศ ไม่มีแสงพื้นหลังท้องฟ้า และสามารถสังเกตการณ์คลื่นอัลตราไวโอเลตได้โดยไม่ถูกรบกวนจากชั้นโอโซนบนโลก ตัวอย่างเช่น ภาพอวกาศห้วงลึกมากของฮับเบิลที่ถ่ายจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล คือภาพถ่ายวัตถุในช่วงคลื่นที่ตามองเห็นที่อยู่ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีมา\nโครงการก่อสร้างกล้องโทรทรรศน์อวกาศเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 กล้องฮับเบิลได้รับอนุมัติทุนสร้างในช่วงปี ค.ศ. 1970 แต่เริ่มสร้างได้ในปี ค.ศ. 1983 การสร้างกล้องฮับเบิลเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องด้วยปัญหาด้านงบประมาณ ปัญหาด้านเทคนิค และจากอุบัติเหตุกระสวยอวกาศแชลเลนเจอร์ กล้องได้ขึ้นสู่อวกาศในปี ค.ศ. 1990 แต่หลังจากที่มีการส่งกล้องฮับเบิลขึ้นสู่อวกาศไม่นานก็พบว่ากระจกหลักมี ความคลาดทรงกลมอัน เกิดจากปัญหาการควบคุมคุณภาพในการผลิต ทำให้ภาพถ่ายที่ได้สูญเสียคุณภาพไปอย่างมาก ภายหลังจากการซ่อมแซมในปี ค.ศ. 1993 กล้องก็กลับมามีคุณภาพเหมือนดังที่ตั้งใจไว้ และกลายเป็นเครื่องมือในการวิจัยที่สำคัญและเป็นเสมือนฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของวงการดาราศาสตร์", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศ" } ]
[ { "docid": "122351#1", "text": "กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่นี่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ยาว 305 เมตร เป็นกล้องโทรทรรศน์เดี่ยวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างขึ้นมา โครงการก่อสร้างเริ่มต้นนำเสนอตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 โดยศาสตราจารย์ วิลเลียมส์ อี. กอร์ดอน แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ เพื่อที่จะใช้ศึกษาบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ของโลก แต่ได้ขยายขอบเขตของโครงการออกไป การก่อสร้างเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 เริ่มเปิดใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506", "title": "หอดูดาวอาเรซีโบ" }, { "docid": "154005#10", "text": "ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของโครงการ OAO ทำให้นักดาราศาสตร์เห็นพ้องให้การสร้างกล้องโทรทรรศน์อวกาศเป็นเป้าหมายหลักของวงการดาราศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1970 นาซาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด โดยชุดแรกทำการกำหนดรายละเอียดทางวิศวกรรมและอีกชุดหนึ่งทำการกำหนดเป้าหมายของโครงการนี้ หลังจากที่ได้มีการศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อุปสรรคต่อไปของนาซาก็คือการหางบประมาณซึ่งมากกว่ากล้องโทรทรรศน์ใด ๆ บนโลกเคยใช้ รัฐสภาสหรัฐตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับข้อเสนอโครงการและบังคับให้ตัดงบประมาณในขั้นวางแผนซึ่งประกอบด้วยการศึกษาอุปกรณ์ของกล้องโทรทรรศน์อย่างละเอียดมาก ค.ศ. 1974 ประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด ดำเนินนโยบายตัดรายจ่ายสาธารณะ ส่งผลให้รัฐสภาตัดงบประมาณทั้งหมดสำหรับโครงการนี้", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "201424#0", "text": "กล้องโทรทรรศน์วิลเลียม เฮอร์เชล (; WHT) เริ่มกำเนิดขึ้นในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 เมื่อเริ่มมีการออกแบบหอดูดาวอังโกล-ออสเตรเลียน สมาคมดาราศาสตร์อังกฤษเห็นว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีกล้องโทรทรรศน์สำหรับการเปรียบเทียบกำลังในเขตซีกโลกเหนือ การวางแผนก่อสร้างเริ่มในปี 1974 แต่เมื่อถึงปี 1979 โครงการก็เกือบถูกยกเลิกไปเนื่องจากงบประมาณที่บานปลายไปมาก มีการออกแบบใหม่เพื่อลดค่าใช้จ่ายลง และกลุ่มนักดาราศาสตร์ชาวดัตช์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการด้วย 20% ทำให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อได้ในปี 1981 ปีนั้นเป็นปีเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปี การค้นพบดาวยูเรนัสของวิลเลียม เฮอร์เชล กล้องโทรทรรศน์นี้จึงได้ชื่อว่า \"วิลเลียม เฮอร์เชล\" เพื่อเป็นเกียรติ กล้องนี้เป็นสมาชิกหนึ่งในบรรดากลุ่มกล้องโทรทรรศน์ไอแซก นิวตัน ด้วย", "title": "กล้องโทรทรรศน์วิลเลียม เฮอร์เชล" }, { "docid": "154005#16", "text": "บริษัทเพอร์กินเอลเมอร์เริ่มสร้างกระจกที่จะใช้ในกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลใน ค.ศ. 1979 ด้วยแก้วที่มีอัตราการขยายตัวต่ำมาก มันประกอบด้วยแก้วที่มีความหนาหนึ่งนิ้วจำนวนสองแผ่นประกบโครงข่ายรูปรังผึ้งเพื่อลดน้ำหนักของกระจกให้น้อยที่สุด บริษัททำการขัดกระจกจนถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1981 รายงานของนาซาตั้งคำถามถึงโครงสร้างการจัดการของบริษัท การขัดกระจกเลื่อนไปและเริ่มใช้เงินมากกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ นาซายกเลิกการสร้างกระจกสำรองเพื่อประหยัดงบประมาณและเลื่อนวันส่งกล้องโทรทรรศน์ไปเป็นเดือนตุลาคม ค.ศ. 1984 กระจกก่อสร้างเสร็จเมื่อปลายปี ค.ศ. 1981 และเคลือบด้วยอะลูมิเนียมหนา 65 นาโนเมตรเพื่อสะท้อนแสงและแมกนีเซียมฟลูออไรด์หนา 25 นาโนเมตรเพื่อป้องกันผิวกระจก", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "277475#0", "text": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชล () เป็นกล้องโทรทรรศน์อวกาศขององค์การอวกาศยุโรป ริเริ่มโครงการตั้งแต่ ค.ศ. 1982 ด้วยความร่วมมือของบรรดานักวิทยาศาสตร์ในยุโรป ชื่อโครงการตั้งขึ้นในเวลาต่อมาตามชื่อของ เซอร์ วิลเลียม เฮอร์เชล นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบสเปกตรัมอินฟราเรด และเป็นผู้ค้นพบดาวยูเรนัส", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศเฮอร์เชล" }, { "docid": "956590#0", "text": "กล้องโทรทรรศน์วิทยุแห่งชาติ เป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีขนาด 40 เมตร สร้างขึ้นที่ประเทศเยอรมนี และจะนำไปติดตั้งที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ มีกำหนดเปิดใช้งานในปีพ.ศ. 2564 อยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ สร้างขึ้นด้วยงบประมาณ 448 ล้านบาท (เฉพาะตัวกล้อง)", "title": "กล้องโทรทรรศน์วิทยุแห่งชาติ (ไทย)" }, { "docid": "124028#1", "text": "กล้องโทรทรรศน์วิทยุกล้องแรกสร้างโดย คาร์ล แจนสกี นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน เมื่อปี พ.ศ. 2474 ซึ่งเขาพบว่า \"สัญญาณรบกวน\" ที่บันทึกได้เป็นสัญญาณจากทางช้างเผือก ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีการทดลองสร้างกล้องโทรทรรศน์วิทยุหลายแห่ง ส่วนมากในประเทศออสเตรเลียและอังกฤษ และได้รับความสนใจทั้งในสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น", "title": "กล้องโทรทรรศน์วิทยุ" }, { "docid": "154005#6", "text": "ประวัติศาสตร์ของกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลสามารถย้อนไปได้ตั้งแต่ ค.ศ. 1946 เมื่อนักดาราศาสตร์ชื่อ ไลแมน สปิตเซอร์ เขียนรายงานว่าด้วย \"ข้อได้เปรียบของการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์จากนอกโลก\" เขากล่าวถึงข้อได้เปรียบสองประการของการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์จากอวกาศซึ่งกล้องโทรทรรศน์บนโลกไม่สามารถทำได้ ข้อได้เปรียบประการแรกคือความคมชัดเชิงมุมจะถูกจำกัดโดยการเลี้ยวเบนเท่านั้น มันจะไม่ถูกรบกวนโดยชั้นบรรยากาศของโลกซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เราเห็นดวงดาวกะพริบระยิบระยับบนท้องฟ้า กล้องโทรทรรศน์ในเวลานั้นมีความคมชัดเชิงมุมอยู่ที่ 0.5–1.0 พิลิปดา ข้อได้เปรียบประการที่สองคือกล้องโทรทรรศน์ในอวกาศสามารถสำรวจคลื่นอินฟราเรดและคลื่นอัลตราไวโอเลตได้ ซึ่งคลื่นสองคลื่นนี้ถูกชั้นบรรยากาศของโลกดูดซับไว้อย่างมาก", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" }, { "docid": "154005#28", "text": "ต้นปี ค.ศ. 1986 เหตุการณ์กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ระเบิดทำให้โครงการอวกาศของสหรัฐฯ ต้องหยุดชะงัก กระสวยอวกาศทั้งหมดถูกยกเลิกการใช้งานชั่วคราว ทำให้กำหนดการส่งกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลต้องเลื่อนไปอีกหลายปี กล้องโทรทรรศน์และอุปกรณ์ทั้งหมดต้องถูกเก็บในห้องสะอาดจนกว่าจะมีแผนกำหนดส่งอีกครั้ง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของโครงการนี้ถีบตัวสูงขึ้นไปยิ่งกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกัน บรรดาวิศวกรก็ถือโอกาสนี้ทำการทดสอบเพิ่มเติม เปลี่ยนแบตเตอรี่ และปรับปรุงอุปกรณ์บางส่วนให้ดียิ่งขึ้นไปด้วย", "title": "กล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล" } ]