Dataset Viewer
Auto-converted to Parquet
id
stringclasses
7 values
url
stringclasses
7 values
title
stringclasses
7 values
text
stringclasses
7 values
11153
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2
กฎหมายอาญา
กฎหมายอาญา เป็นประชุมกฎหมายที่สัมพันธ์กับอาชญากรรม โดยห้ามความประพฤติที่รัฐมองว่าคุกคาม หรือเป็นภัยต่อทรัพย์สิน สุขภาพ ความปลอดภัยและศีลธรรมของประชาชน กฎหมายอาญาส่วนใหญ่สร้างขึ้นเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร ซึ่งตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติ กฎหมายอาญามีบทลงโทษและการทำให้กลับคืนดีซึ่งประชาชนผู้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว กฎหมายอาญาต่างจากกฎหมายแพ่ง ซึ่งเน้นการระงับข้อพิพาทและการใช้ค่าสินไหมทดแทน มากกว่าการลงโทษหรือการทำให้กลับคืนดี วัตถุประสงค์ กฎหมายอาญามีความพิเศษจากผลลัพธ์ที่อาจรุนแรงหรือบทลงโทษที่ละเว้นการปฏิบัติตามหลักกฎหมายอาญา อาชญากรรมทุกประเภทมีองค์ประกอบแห่งความผิดอาญา โทษทางอาญามีทั้งโทษประหารชีวิต ซึ่งบางเขตอำนาจศาลใช้บังคับสำหรับอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด, การลงโทษทางกาย เช่น การเฆี่ยน แม้ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกห้ามการลงโทษลักษณะนี้แล้ว, การกักขังในเรือนจำหรือคุกในสภาพต่าง ๆ ซึ่งอาจมีการแยกขังเดี่ยว ส่วนระยะเวลานั้นอาจมีตั้งแต่ 1 วันไปจนถึงตลอดชีวิต, การคุมความประพฤติ เช่น การกักให้อยู่แต่ในบ้าน (house arrest) และผู้ต้องโทษอาจถูกบังคับให้ปฏิบัติตามแนวทางอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยตัวโดยมีการคุมประพฤติ , ปรับ , และริบทรัพย์เป็นเงินหรือทรัพย์สิน มีการยอมรับวัตถุประสงค์ 5 ประการสำหรับการบังคับใช้กฎหมายอาญาโดยการลงโทษ ได้แก่ การตอบแทน การป้องปราม การหมดความสามารถ การทำให้กลับคืนดีและการคืนสภาพ เขตอำนาจศาลต่าง ๆ ให้น้ำหนักแก่คุณค่าต่างกันไป การตอบแทน (retribution): มองว่าอาชญากรสมควรถูกลงโทษในทางใดทางหนึ่ง เป็นเป้าหมายที่มองกันแพร่หลายมากที่สุด อาชญากรใช้ข้อได้เปรียบอย่างไม่เหมาะสม หรือก่อความเสียหายอย่างอยุติธรรมต่อผู้อื่น ดังนั้นกฎหมายอาญาจึงต้องทำให้อาชญากรได้รับผลเสียอันไม่น่าพึงประสงค์เพื่อให้ "สมดุลกัน" ในทำนองเดียวกัน ประชาชนยอมรับต่อกฎหมายเพื่อให้ได้รับสิทธิในการไม่ถูกฆ่า และหากมีประชาชนฝ่าฝืนกฎหมายข้อนี้ ถือว่าพวกเขายอมสละสิทธิที่กฎหมายมอบให้ ดังนั้นบุคคลที่ฆ่าผู้อื่นจึงอาจถูกประหารชีวิตด้วย ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมี "การรักษาสมดุล" การป้องปราม (deterrence): การป้องปรามปัจเจกมุ่งต่อผู้กระทำความผิดคนใดคนหนึ่ง เป้าหมายคือการกำหนดบทลงโทษให้หนักเพียงพอเพื่อให้ประชาชนไม่คิดกระทำความผิด การป้องปรามทั่วไปมุ่งต่อสังคมทั้งหมด การหมดความสามารถ (incapacitation): ออกแบบมาเพื่อกันอาชญากรจากสังคมเพื่อให้ปลอดภัยจากการกระทำความผิด โทษอาจมีทั้งจำคุก ประหารชีวิตหรือเนรเทศ การทำให้กลับคืนดี (rehabilitation): มุ่งแปลงสภาพผู้กระทำความผิดให้กลับเป็นสมาชิกของสังคมที่มีคุณค่า เป้าหมายหลักคือป้องกันการกระทำความผิดซ้ำโดยการจูงใจผู้กระทำความผิดว่าการกระทำของเขาผิด การคืนสภาพ (restoration): ตามทฤษฎีการลงโทษที่เน้นผู้เสียหาย เป้าหมายคือการใช้อำนาจรัฐแก้ไขความเสียหายใด ๆ ที่ผู้กระทำความผิดกระทำต่อผู้เสียหาย ประเภทของความผิด ความผิดทางอาญามี 2 ประเภทคือ ความผิดในตัวเอง () คือความผิดที่คนทั่วไปเห็นชัดเจนว่าเป็นความผิดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ความผิดเพราะกฎหมายห้าม () คือความผิดที่เกิดจากการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิด โดยอาจมิได้เกี่ยวกับศีลธรรมเลย ซึ่งหากกล่าวถึงทฤษฎีกฎหมายสามยุค ความผิดเพราะกฎหมายห้ามอยู่ในยุคกฎหมายเทคนิค ลักษณะของการทำความผิดทางอาญา กฎหมายอาญากระทำความผิดไว้ 3 ประเภทคือ ความผิดโดยการกระทำ ความผิดโดยการงดเว้นการกระทำ ความผิดโดยการละเว้นการกระทำ สภาพบังคับของกฎหมายอาญา โทษทางอาญา เป็นสภาพบังคับหลักทางอาญาที่สามารถใช้ได้กับการกระทำที่เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอื่นด้วย ดุลยพินิจในการลงโทษ ที่ศาลจะลงโทษผู้กระทำความผิดหนักเบาเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับทฤษฎีซึ่งเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการลงโทษ ซึ่งแยกได้ 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีเด็ดขาด การลงโทษ คือ การตอบแทนแก้แค้นการกระทำผิด การลงโทษหนักเบาย่อมเป็นไปตามความร้ายแรงของความผิด และทฤษฎีสัมพันธ์ การลงโทษมีประโยชน์คือ เพื่อให้สังคมปลอดภัย โทษจึงทำหน้าที่ห้ามไม่ให้คนกระทำความผิด และในกรณีกระทำความผิดไปแล้ว โทษมีความจำเป็นเพื่อปรับปรุงให้ผู้กระทำความผิดนั้นกลับตัวกลับใจแก้ไขการกระทำผิดที่เคยเกิดขึ้นและสามารถกลับเข้าสู่สังคมอย่างเดิม กฎหมายอาญาบางส่วน องค์ประกอบแห่งความผิดอาญา กฎหมายอาญาโดยทั่วไปห้ามการกระทำที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นการพิสูจน์ความผิดอาญาจึงอาศัยการพิสูจน์การกระทำบางอย่าง นักวิชาการระบุว่าเป็นข้อกำหนดการกระทำอันจะเป็นความผิดอาญา (actus reus) ความผิดอาญาบางอย่าง โดยเฉพาะความผิดในข้อบังคับสมัยใหม่ไม่ต้องมีการพิสูจน์การกระทำ เรียก ความผิดความรับผิดโดยสิ้นเชิง (strict liability) เช่น การขับขี่ยานพานหะโดยมีแอลกอฮอลในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ดี เนื่องจากโทษอาญาอาจรุนแรง ผู้พิพากษาในระบบคอมมอนลอว์จึงมองหาการพิสูจน์เจตนาร้าย (mens rea) ด้วย สำหรับความผิดอาญาที่กำหนดทั้งการกระทำอันจะเป็นความผิดอาญาและเจตนาร้ายนั้น ผู้พิพากษาสรุปว่าองค์ประกอบทั้งสองจะต้องเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน ไม่ใช่เกิดขึ้นติดต่อกันตามวาระกัน ดูเพิ่ม ศาลอาญา อ้างอิง กฎหมายอาญา
11501
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%87
กฎหมายแพ่ง
กฎหมายแพ่ง () เป็นกฎหมายที่วางระเบียบความเกี่ยวพันระหว่างบุคคลเกี่ยวกับสถานภาพ สิทธิ และหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมาย เช่น กฎหมายว่าด้วยนิติกรรม เอกเทศสัญญา ทรัพย์สิน ครอบครัว มรดก แต่งงาน กฎหมายแพ่ง
28599
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%8D
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายกลุ่มหนึ่งที่ว่าด้วยการจัดองค์กรของรัฐและการใช้อำนาจรัฐ ส่วน รัฐธรรมนูญ ที่หมายถึง กฎหมายสูงสุดของรัฐเป็นรายฉบับ ๆ ไป เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" และไม่เรียก "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" (เรียก "รัฐธรรมนูญ" เฉย ๆ) กฎหมายรัฐธรรมนูญ
28606
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8
กฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายระหว่างประเทศ () หมายถึง กฎ กฎเกณฑ์ และข้อตกลงที่เกิดขึ้นจากความตกลง หรือการแสดงเจตนาเข้าผูกพันของรัฐตั้งแต่สองรัฐขึ้นไป หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ และมักใช้เป็นหลักในการพิจารณาข้อพิพาทระหว่างประเทศ สนธิสัญญา เป็นกฎหมายระหว่างประเทศ ที่มีแบบแผนชัดเจน ถูกร่างขึ้นเป็นเอกสารข้อตกลง ซึ่งมีผลผูกพันกับรัฐในระดับต่าง ๆ มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของกฎหมายนั้น ๆ และมีการลงโดยผู้แทนของรัฐ รวมถึงการให้สัตยาบันโดยรัฐสภาของรัฐที่ลงนาม จึงจะถือว่ากฎหมายนั้น มีผลผูกมัดอย่างแท้จริง จารีตประเพณีระหว่างประเทศ จารีตประเพณีระหว่างประเทศเป็นบ่อเกิดหลักของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างหนึ่ง ซึ่งยึดหลักการแห่งจารีตประเพณี คณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่างประเทศระบุว่ารูปแบบของหลักฐานของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ได้แก่ สนธิสัญญา คำวินิจฉัยของศาลระดับชาติและนานาชาติ กฎหมายระดับชาติ ความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายระดับชาติ หนังสือโต้ตอบทางทูต และการปฏิบัติขององค์การระหว่างประเทศ อ้างอิง เดโช สวนานนท์, พจนานุกรมศัพท์การเมือง, พ.ศ. 2545, หน้า 6 Encyclopædia Britannica 2001 กฎหมายระหว่างประเทศ
28607
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99
กฎหมายมหาชน
กฎหมายมหาชน () คือ กฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลกับรัฐ หรือความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันเองซึ่งเกี่ยวพันโดยตรงถึงสังคม อาจแบ่งเป็นกฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง กฎหมายภาษี กฎหมายอาญา และกฎหมายวิธีพิจารณาคดี ส่วนกฎหมายที่ว่าเฉพาะด้วยความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันนั้นเรียก กฎหมายเอกชน กฎหมายมหาชนนั้นว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ไม่สมดุลและไม่เท่าเทียมกัน กล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งมีสถานะสูงกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น รัฐที่มีอำนาจกำหนดเกี่ยวกับสิทธิของปัจเจกบุคคล แต่ด้วยผลของหลักนิติธรรม การกำหนดดังกล่าวจะต้องเป็นไปภายในขอบเขตของกฎหมาย (secundum et intra legem) และรัฐจะต้องเคารพกฎหมาย ราษฎรที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ทางปกครองก็อาจร้องขอต่อศาลให้ทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าว การแบ่งแยกกฎหมายออกเป็นฝ่ายมหาชนและเอกชนนั้นย้อนหลังไปได้ถึงสมัยกฎหมายโรมัน ประเทศที่ใช้กฎหมายระบบซีวิลลอว์จัดการแบ่งแยกดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 และนับแต่นั้น แนวคิดเรื่องการแบ่งแยกก็แพร่ไปสู่ประเทศคอมมอนลอว์ด้วย ขอบเขตของกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนอาจทับซ้อนกันได้ในบางกรณี ทำให้มีความพยายามที่จะเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับรากฐานของกฎหมายทั้งสองกลุ่มมาตลอด คำนิยาม อัลเปียน นักปราชญ์สมัยโรมันยุคคลาสสิค อธิบายว่าเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสาธารณรัฐโรมัน ส่วนเอกชนเกี่ยวกับประโยชน์ของเอกชนแต่ละคน ศาสตราจารย์มอริส ดูแวร์แซ่ แห่งมหาวิทยาลัยปารีส อธิบายว่า มหาชนได้แก่ กฎหมายที่กล่าวถึงกฎเกณท์ทั้งหลายของกฎหมายเกี่ยวกับสถานะและอำนาจผู้ปกครอง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ปกครอง กับผู้อยู่ใต้ปกครอง ศาสตราจารย์อองเดร เดอ โรบาแตร์ อธิบายว่ากฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายวางกฎเกณท์แก่สาธารณบุคคล อันได้แก่รัฐ องค์การปกรอง และรวมตลอดถึงนิติบุคลตามกฎหมายมหาชน อ้างอิง ดูเพิ่ม กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (กฎหมายมหาชนระหว่างประเทศ) กฎหมายมหาชน
157908
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1
กฎหมายสิ่งแวดล้อม
กฎหมายสิ่งแวดล้อม () คือ กฎหมายประเภทหนึ่ง มักตราขึ้นเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นหลัก เนื้อหาครอบคลุมการป้องกัน และเยียวยาความเสื่อมโทรมแห่งสุขภาพทั้งของมนุษย์และอมนุษย์ และมักคาบเกี่ยวกับกฎหมายจารีตประเพณี สนธิสัญญา ข้อตกลง พันธกรณี กฎระเบียบ และนโยบาย ฯลฯ หลากชนิด กฎหมายสิ่งแวดล้อมของบางประเภทอาจกำหนดคุณภาพสิ่งแวดล้อม และจำกัดเงื่อนไขในการดำเนินกิจการบางประเภทของมนุษย์ เช่น กำหนดปริมาณของภาวะมลพิษที่จะให้มีได้ หรือกำหนดให้ต้องมีการวางแผนและการตรวจสอบกิจการบางอย่าง เป็นต้น นโยบายของรัฐ เป็นต้นว่า มาตรการกันไว้ดีกว่าแก้ (precautionary principles) การมีส่วนร่วมของประชาชน การจัดตั้งศาลสิ่งแวดล้อม และมาตรการใครทำคนนั้นจ่าย (polluter pay principles) ล้วนเป็นลักษณะหนึ่งของกฎหมายสิ่งแวดล้อม ได้มีการริเริ่มจะให้มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมขึ้นเป็นครั้งแรกในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมประมาณช่วง พ.ศ. 2403 อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่านานาประเทศในโลกจะได้ตรากฎหมายสิ่งแวดล้อมขึ้น แต่กลไกแห่งกฎหมายดังกล่าวก็มักไม่ประสบผล และในปัจจุบัน กฎหมายสิ่งแวดล้อมก็ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือหนึ่งในการโฆษณาและส่งเสริมกลไกการพัฒนาอย่างยั่งยืน การปฏิรูปกฎหมายสิ่งแวดล้อมในขณะนี้ เป็นไปเพื่อพัฒนามาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมที่ใช้มาตรการบังคับและควบคุม (command and control) ซึ่งผู้คนมักไม่พึงใจนัก ผลส่วนหนึ่งที่ได้จากการปฏิรูปดังกล่าว เป็นต้นว่า การจัดเก็บภาษีสิ่งแวดล้อม การวางมาตรฐานบางอย่าง เช่น ไอเอสโอ 14001 อ้างอิง Menell, P.S. (ed), Environmental Law (Ashgate Publishing, Burlington, 2003). Croci, E. (ed), The Handbook of Environmental Voluntary Agreements (Springer, New York, 2005). Freeman, J. and Kolstad, C.D. (eds), Moving to Markets in Environmental Regulation (Oxford University Press, New York, 2006). Richardson, B.J. and S. Wood (eds), Environmental Law for Sustainability (Hart Publishing, Oxford, 2006) Saxe, D., "Environmental Offences: Corporate Responsibility and Executive Liability" (Canada Law Book, Aurora, 1990). ดูเพิ่ม การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม กฎหมายสิ่งแวดล้อม สังคมศาสตร์สิ่งแวดล้อม
670357
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2
กฎหมายไทย
กฎหมายไทยเป็นแบบซีวิลลอว์ แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากคอมมอนลอว์ (ดูระบบกฎหมายโลก) บ่อเกิดแห่งกฎหมาย ราชอาณาจักรรัตนโกสินทร์และสี่ราชอาณาจักรก่อนหน้าซึ่งนับตามแบบ ที่เรียกรวม ๆ ว่าสยามนั้น มีรัฐธรรมนูญซึ่งมิได้จัดทำประมวลกฎหมายเป็นส่วนใหญ่จนปี 2475 ในคำปรารถถึงประมวลกฎหมายอาญาซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2451 และมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 กันยายน พระมหากษัตริย์ตรัสว่า "ในสมัยโบราณ พระมหากษัตริย์แห่งชาติสยามปกครองราษฎรของพระองค์ด้วยกฎหมายซึ่งเดิมมาจากมนูธรรมศาสตร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นกฎหมายที่ใช้ทั่วไปในหมู่ชาวอินเดียและประเทศเพื่อนบ้าน" บ่อเกิดหลักของกฎหมายไทยมีดังนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายอื่นจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญที่ใช้ฉบับปัจจุบันมิได้ พระราชบัญญัติและบทกฎหมาย ซึ่งหลายฉบับสร้างและแก้ไขเพิ่มเติม เช่น กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายที่ดิน ประมวลรัษฎากร กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายแพ่งแผนกคดีเมือง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล กฎหมายแรงงาน และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม เป็นต้น ฐานเกี่ยวกับการศาลในประเทศไทยไม่ผูกพัน ศาลไม่ถูกผูกพันให้ยึดคำวินิจฉัยของศาลเอง ศาลระดับล่างไม่ถูกผูกพันให้ยึดบรรทัดฐานที่ศาลระดับสูงกว่ากำหนด ทว่า กฎหมายไทยได้รับอิทธิพลจากบรรทัดฐานคอมมอนลอว์ ฉะนั้น ศาลจึงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคำวินิจฉัยก่อน ๆ หรือคำวินิจฉัยของศาลระดับสูงกว่า ศาลฎีกาจัดพิมพ์คำวินิจฉัยของศาลเอง เรียก "คำพิพากษาศาลฎีกา" ซึ่งมักใช้เป็นอำนาจชั้นรองและกำหนดเลขตามปีที่ออก ศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ กฎหมายแพ่ง ในปัจจุบัน กฎหมายแพ่งและกฎหมายพาณิชย์ของประเทศไทย ได้บัญญัติรวมเป็นกฎหมายฉบับเดียวกัน เรียกชื่อว่า "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" แบ่งออกเป็น 6 บรรพ คือ บรรพ 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป บรรพ 2 ว่าด้วยหนี้ บรรพ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน บรรพ 5 ว่าด้วยครอบครัวและบรรพ 6 ว่าด้วยมรดก เหตุที่ประเทศไทยมีการจัดทำประมวลกฎหมายโดยการนำเอากฎหมายแพ่งมารวมกับกฎหมายพาณิชย์เป็นฉบับเดียวคล้ายกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ โดยไม่ได้แยกเป็นประมวลกฎหมายแพ่งเล่มหนึ่งและประมวลกฎหมายพาณิชย์อีกเล่มหนึ่งดังเช่นประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เพราะการค้าพาณิชย์ในขณะที่ร่างกฎหมายยังไม่เจริญก้าวหน้า อีกทั้ง หลักทั่วไปบางอย่างในกฎหมายแพ่งก็สามารถนำไปใช้กับกฎหมายพาณิชย์ได้ ความจำเป็นที่จะต้องแยกกฎหมายพาณิชย์ออกจากกฎหมายแพ่งโดยจัด กฎหมายมหาชน รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศไทยซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐสภาออก รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ศาลรัฐธรรมนูญมีเขตอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดความชอบต่อรัฐธรรมนูญ (constitutionality) ของพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา ร่างกฎหมาย การแต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการของรัฐ และประเด็นเกี่ยวกับพรรคการเมือง กฎหมายอาญา ความผิดอาญาระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ตลอดจนบทกฎหมายอื่นอีกมาก มีการวางเค้าโครงวิธีพิจารณาความอาญาในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีบทกฎหมายหลายฉบับว่าด้วยความผิดอาญาเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 นิยามยาเสพติด จำแนกเป็นประเภท ให้รายละเอียดความผิดและวางกรอบการลงโทษ การลงโทษสำหรับการผลิต นำเข้าหรือส่งออกยาเสพติดอยู่ในมาตรา 65–102 ซึ่งรวมโทษปรับ จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต กฎหมายยาเสพติดอื่นมีพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 กฎหมายอาญาไทยมีบทลงโทษ 5 สถาน ได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยเป็นมาตราที่มีการใช้กฎหมายผิดหลัก เช่น ในคำพิพากษาฎีกาที่ 6374/2556 ขัดต่อหลักกฎหมายอาญา "ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ โดยไม่มีกฎหมาย" และข้อห้ามใช้กฎหมายโดยเทียบเคียง กฎหมายปกครอง คดีปกครองอย่างการพิจารณาทบทวนในศาลอยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลปกครอง ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 เขตอำนาจของศาลมีการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมายของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐ (เช่น เกินอำนาจ แย้งกันกับกฎหมาย ไม่สุจริต เป็นต้น) ละเลยหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าอย่างไม่มีเหตุผลอันสมควร การละเมิดหรือความรับผิดอื่นของหน่วยงานของรัฐ สัญญาทางปกครอง สั่งให้บุคคลกระทำบางสิ่งหรือคำสั่งห้ามหรือคุ้มครองชั่วคราว กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง การตรวจลงตรา (visa) และกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองมีในพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และการแก้ไขเพิ่มเติม สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของตำรวจเป็นผู้ปฏิบัติกฎหมาย ขณะที่คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยสั่งการอย่างให้หรือเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ การบังคับใช้กฎหมาย ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้อำนาจทหารกักขังบุคคลได้โดยไม่ตั้งข้อหาหรือการพิจารณาคดีไม่เกินเจ็ดวัน นอกจากนี้ ยังมีประกาศ คสช. ให้อำนาจทหารยศร้อยโทขึ้นไปมีอำนาจของตำรวจในคดีอาญา 27 ชนิด กระบวนการยุติธรรม ดูเพิ่ม บัตรประจำตัวประชาชนไทย กฎหมายแรงงานไทย อ้างอิง

No dataset card yet

Downloads last month
10

Collection including ZombitX64/Law-Thai-wikipedia