Dataset Viewer
Auto-converted to Parquet
id
stringlengths
4
7
url
stringlengths
66
309
title
stringlengths
4
31
text
stringlengths
307
4.49k
9708
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99
การเงิน
การเงิน เป็นการศึกษาและกำหนดวิธีการที่ บุคคล, หน่วยงานธุรกิจการค้า และองค์การต่าง ๆ จะจัดหา, แบ่งสรร และใช้ทรัพยากรเงิน โดยมีการคำนึงถึงความเสี่ยงต่าง ๆ อันอาจจะเกิดผลกระทบกับโครงการได้ คำว่า การเงิน จะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้: การศึกษาเกี่ยวกับเงินตราและสินทรัพย์ต่าง ๆ การบริหารจัดการสินทรัพย์หรือการลงทุน การประเมินและการจัดการความเสี่ยง หัวข้อเกี่ยวกับการเงิน ตลาดการเงิน การเงินธุรกิจ การเงินส่วนบุคคล วิศวกรรมการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ ตัวอย่างแนวคิดพื้นฐานทางการเงิน กิจการที่มีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่ายสามารถนำรายได้ส่วนเกินนั้นไปให้กู้ยืมหรือลงทุนได้ ในทางกลับกันกิจการที่มีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่ายก็สามารถเพิ่มทุนได้โดยการกู้ยืม หรือ ออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ ผู้ให้กู้และผู้ต้องการกู้สามารถพบกันได้ผ่านทางธนาคาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน โดยที่ผู้กู้ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้ได้รับ ซึ่งธนาคารจะได้รับรายได้จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนี้ ตัวอย่างหนึ่งในเรื่องการเงินธุรกิจ เช่น การจัดจำหน่ายหุ้นของกิจการให้แก่นักลงทุนสถาบัน เช่น วาณิชธนกิจซึ่งจะทำการเสนอขายหุ้นต่อให้กับสาธารณชน โดยที่หุ้นถือเป็นตราสารทุนที่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์ความเป็นเจ้าของกิจการตามสัดส่วนของหุ้นที่มีอยู่ กิจการจะนำเงินที่ได้จากการขายหุ้นไปลงทุนเพื่อขยายกิจการต่อไป การเงิน
14480
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5
ภาษี
ภาษี () เป็นเงินหรือทรัพย์สิน ที่เรียกเก็บจากประชาชนโดยองค์กรรัฐบาล เพื่อนำไปเป็นทุนในการใช้จ่ายของรัฐบาล และรายจ่ายสาธารณะต่างๆ และเป็นภาระหน้าที่สำหรับพลเมืองที่จะต้องเสียภาษีอากรในประเทศไทย และมีบทลงโทษสำหรับผู้หลีกเลี่ยงภาษี วัตถุประสงค์หลักของภาษี คือ เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายสาธารณะ เช่น การก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน การให้บริการด้านสาธารณสุข การศึกษา ความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชน รวมถึงระบบคุ้มครองทางสังคม ( การเกษียณอายุ สวัสดิการ การว่างงาน ความทุพพลภาพ ) ฯลฯ ประวัติ สมัยโบราณและสมัยโบราณ รูปแบบภาษีที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ค้นพบหลักฐาน มาจากยุคเมโสโปเตเมียโบราณและอียิปต์โบราณ โดยหลุมฝังศพของราชวงศ์ทางตอนใต้ของอียิปต์ ค้นพบว่ามีการพบแผ่นจารึกที่มีสัญลักษณ์ คล้ายอักษรอียิปต์โบราณ ซึ่งมีรายการผ้าลินินและน้ำมันที่ส่งไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่กษัตริย์ Skorpion ซึ่งการถวายบรรณาการเป็นรูปแบบการเสียภาษีรูปแบบหนึ่ง โดยแผ่นจารึกนี้มีอายุที่วัดค่า C-14 ได้คือ ตั้งแต่ 3300 ถึง 3200 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยกรีกโบราณ ระบบภาษีสำหรับชาวกรีกไม่ว่าจะเป็นพลเมืองกรีกหรือคนต่างด้าวที่มีถิ่นพำนักอาศัยในนครรัฐ สามารถทำงานบริการสาธารณะที่จัดตั้งขึ้นโดยนครรัฐ โดยสามารถเสนอบริการแก่นครรัฐกรีกได้ตามฐานะ โดยอาจเป็นการบริการอะไรก็ได้ ตั้งแต่นักแสดง นักดนตรีข้างถนน ไปจนถึงการสร้างเรือรบ ซึ่งจัดเป็นการเสียภาษีรูปแบบหนึ่ง และนอกจากนี้ ยังมีภาษีทรัพย์สินพิเศษในช่วงสงครามที่เรียกว่า Eisphora ในศตวรรษที่ 5 และ 4 ก่อนคริสต์ศักราช ในอัตราภาษี 1% ของทรัพย์สินทั้งหมด ในสาธารณรัฐโรมันภาษีเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ ในช่วง 200-150 ปีก่อนคริสตกาล ภาษีของประชาชนคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้ของรัฐทั้งหมด ภาษีในจังหวัดประมาณ 20% และรายได้ภาษีอื่นๆ ประมาณ 7% โดยขนาดของภาษีขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจของสงคราม เมื่อสาธารณรัฐโรมันสามารถพิชิตมาซิโดเนียและปล้นสะดม ชนเผ่าเอพิรุสในปี 167 ก่อนคริสตกาล สาธารณรัฐโรมันได้รับรายได้จำนวนมาก จนชาวโรมันได้รับการยกเว้นภาษีนานถึง 143 ปี จนเปลี่ยนผ่านยุคสาธารณรัฐโรมันสู่จักรวรรดิโรมัน ในยุคถัดมา มีการอธิบายไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิลด้วย ในปฐมกาล 47:24 โยเซฟบอกผู้คนว่า: "จากพืชผลนั้นเจ้าจงถวายหนึ่งในห้าแก่ฟาโรห์ สี่ในห้านั้นเจ้าจงมีไว้สำหรับเมล็ดพันธุ์และอาหารสำหรับตัวเจ้า ครัวเรือนและลูก ๆ ของเจ้า" ซึ่งตีความว่า ผลผลิต 20% ต้องส่งแก่กษัตริย์อียิปต์ อีก 80% เก็บไว้ ยุคกรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1763 - พ.ศ. 1893) ภาษียุคนั้นเรียกว่า จังกอบ หรือ ขนอน เป็นภาษีผ่านด่าน โดยมีลักษณะการเก็บ คือ มีของผ่านด่าน 10 ชิ้นชักออก 1 ชิ้น (อัตราภาษี 10%) โดยเป็นการเก็บจากการขายสัตว์หรือสินค้าที่นำไปขายที่ต่างๆ หรือนำเข้ามา และการเก็บนั้นมิได้เก็บเป็นเงินตราเสมอไป หรืออาจเก็บเป็นสิ่งของแทนตัวเงิน หรือเก็บตามขนาดพื้นที่ขนาดหรือความยาวของเรือ ยุคกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - พ.ศ. 2310) การจัดเก็บภาษีอากร โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบเก็บคือ กรมคลัง ในระบบจตุสดมภ์ (ระบบการปกครองส่วนกลางภายในกรุงศรีอยุธยาสมัยอยุธยาตอนต้น) มี 4 ประเภท คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา จังกอบ คือ ภาษีผ่านด่าน ที่เรียกเก็บจากการชักส่วนสินค้า อากร คือ ภาษีรายได้ ที่เรียกเก็บจากการประกอบอาชีพ หรือ จากทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น อากรไร่ อากรที่ดิน อากรสวน ฯลฯ ส่วย มีหลายความหมาย อาจหมายถึง เครื่องราชบรรณาการที่เรียกจากเมืองประเทศราช การริบทรัพย์ และ ส่วยแทนแรงงาน (การส่งเงินหรือส่งของแทนการมาทำงานให้รัฐ) ฤชา คือ ค่าธรรมเนียมที่ทางราชการเรียกเก็บจากราษฎร จากการบริการของรัฐ เช่น ออกโฉนด ฯลฯ ภาพรวม นิยามทางกฎหมายและเศรษฐกิจของภาษีแตกต่างกันตรงที่นักเศรษฐศาสตร์ไม่พิจารณาว่าการเคลื่อนย้ายทรัพยากรหลายอย่างไปยังรัฐบาลเป็นภาษี ตัวอย่างเช่น ทรัพยากรบางอย่างเคลื่อนย้ายไปยังภาครัฐบาลนั้นเทียบได้กับราคา เช่น ค่าเล่าเรียนที่มหาวิทยาลัยของรัฐและค่าธรรมเนียมซึ่งจัดหาให้โดยรัฐบาลท้องถิ่น รัฐบาลยังได้ทรัพยากรมาโดยการผลิตเงิน (เช่น การพิมพ์ธนบัตรและผลิตเหรียญกษาปณ์), ผ่านของกำนัลโดยสมัครใจ (เช่น การอุดหนุนมหาวิทยาลัยและพิพิธภัณฑ์ของรัฐ), โดยการกำหนดบทลงโทษ (เช่น ค่าปรับจราจร), โดยการกู้ยืม และโดยการยึดทรัพย์สิน จากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ภาษีนั้นไม่เกี่ยวกับการลงโทษตามกฎหมาย แต่กระนั้น การบังคับเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากเอกชนไปยังภาครัฐบาลก็ยังเรียกเก็บจากพื้นฐานของเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและโดยไม่อ้างอิงถึงประโยชน์ที่ได้รับโดยเฉพาะ ในระบบการเก็บภาษีสมัยใหม่ ภาษีจะเก็บในรูปตัวเงิน แต่ภาษีอย่างเดียวกัน (in-kind) และแรงงานเกณฑ์ (corvée) เป็นลักษณะของการจัดเก็บภาษีในรัฐและท้องถิ่นโบราณหรือก่อนทุนนิยม วิธีการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายเงินภาษีของรัฐบาลมักเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างมากในการเมืองและเศรษฐศาสตร์ กรมสรรพกรซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เป็นผู้จัดเก็บภาษี หากไม่จ่ายภาษีเต็มจำนวน อาจมีการกำหนดบทลงโทษทางแพ่ง (เช่น การปรับหรือการริบทรัพย์) หรือทางอาญา (เช่น การกักขัง) ต่อปัจเจกบุคคลหรือนิติบุคคลนั้น ดูเพิ่ม ภาษีอากรในประเทศไทย ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ประเทศไทย) ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีคาร์บอน ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีทางอ้อม ภาษีเดี่ยว อดัม สมิธ อ้างอิง การเงิน
34293
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88
การเงินธุรกิจ
การเงินธุรกิจ () เป็นการศึกษาการจัดการทางการเงิน และการตัดสินใจทางการเงินของบริษัท เช่น การวิเคราะห์ผลตอบแทนของโครงการเพื่อตัดสินใจลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าต้นทุนเงินทุน การวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการ การจัดหาเงินทุนเพื่อให้บริษัทมีโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มมูลค่าของบริษัท และ ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น การศึกษาจะแบ่งออกเป็นระยะสั้นและระยะยาว ในระยะยาวจะศึกษาว่าควรลงทุนในโครงการใด ควรใช้แหล่งเงินทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้นหรือการกู้ยืม และควรจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือไม่ และเมื่อไร ส่วนในระยะสั้นนั้นจะศึกษาเกี่ยวกับการบริหารเงินทุนหมุนเวียนอันได้แก่ สินทรัพย์หมุนเวียน และ หนี้สินหมุนเวียนไม่ให้มากหรือน้อยเกินไป เพื่อให้การดำเนินงานปรกติของกิจการไม่สะดุด การตัดสินใจลงทุน ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อใช้ในโครงการลงทุนต่าง ๆ ของกิจการ ทำให้ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ ประเมินมูลค่าของแต่ละโครงการตามขนาดและกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต การประเมินมูลค่าของโครงการ โดยทั่วไปแล้วมูลค่าของโครงการจะคำนวณโดยใช้กระแสเงินสดคิดลด ตัวอย่างเช่นการหามูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการ โดยต้องทำการประเมินกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต แล้วทำการคิดลดเพื่อหามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดเหล่านั้น ผลรวมของมูลค่าปัจจุบันทั้งหมดคือ มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการ ดูเพิ่ม การจัดการความเสี่ยง การเงิน
34296
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%84
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค เป็นการวิเคราะห์หลักทรัพย์ หรือดัชนีราคาหลักทรัพย์ โดยอาศัยข้อมูลในอดีต เช่น รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของราคา ปริมาณการซื้อขาย เพื่อนำมาประเมินแนวโน้มในอนาคต โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลทางการเงินของบริษัท เช่น งบดุล, งบกำไรขาดทุน และ งบกระแสเงินสด ส่วนใหญ่นิยมใช้แผนภูมิเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคใช้ไม่ได้กับตลาดมีประสิทธิภาพ เนื่องจากราคาจะสะท้อนข้อมูลข่าวสารและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถคาดการณ์แนวโน้มได้ ประวัติ การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคเกิดจากการสังเกตตลาดเงินมาเป็นเวลากว่าร้อยปี คาดว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เก่าแก่ที่สุดคือการใช้แผนภูมิแท่งเทียนโดยพ่อค้าชาวญี่ปุ่นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งยังเป็นที่นิยมอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน ต่อมา ชาร์ลส์ ดาว ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทดาวโจนส์ และ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ได้พัฒนาทฤษฎีดาว ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และถือเป็นจุดเปลี่ยนเข้าสู่ยุคการวิเคราะห์ทางเทคนิคสมัยใหม่ ทำให้เขาได้รับการการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยทฤษฎีดาว จะพยายามวิเคราะห์กราฟราคาหุ้น ทองคำ ค่าเงิน ฯลฯ โดยพิจารณาลักษณะการสวิงของราคาว่ามีการทำจุดสูงสุดใหม่หรือจุดต่ำสุดใหม่หรือไม่ (New High, New Low) ซึ่งการที่จะทราบว่า เกิดจุดสูงสุดหรือต่ำสุดหรือยัง นักวิเคราะห์จะรอให้เกิดการกลับตัวที่ชัดเจนในสวิงนั้นๆ ของราคาก่อน จึงจะนับเป็นจุด New High หรือ Low ปัจจุบันเครื่องมือในการวิเคราะห์และทฤษฏีใหม่ ๆ ได้ถูกคิดค้น และ พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ การเงิน การวิเคราะห์ทางเทคนิค
34359
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99
คณิตศาสตร์การเงิน
วิศวกรรมการเงิน เป็นสาขาหนึ่งของพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ที่ศึกษาทางด้านการเงิน โดยอาศัยเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์ โดยธรรมชาติแล้วจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเศรษฐศาสตร์การเงิน แต่วิศวกรรมการเงินนั้นแคบกว่าและมีลักษณะเป็นนามธรรมมากกว่า วิศวกรรมการเงิน จะใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์โดยเฉพาะเครื่องมือทางสถิติ ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเงิน และ ประเมินมูลค่าของตราสารทางการเงิน เช่น ตราสารอนุพันธ์ หัวข้อต่าง ๆ ในเรื่องวิศวกรรมการเงิน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเรื่องการเงิน ความน่าจะเป็น (Probability) การแจกแจงความน่าจะเป็น (Probability distribution) การแจกแจงแบบเบอร์นูลี (Bernoulli distribution) การแจกแจงแบบทวินาม (Binomial distribution) การแจกแจงปัวซง (Poisson distribution) การแจกแจงปรกติ (Normal distribution) การแจกแจงล็อกปรกติ (Log-normal distribution) การแจกแจงไคกำลังสอง (Chi-square distribution) การแจกแจงที (Student's t distribution) การแจกแจงเอฟ (F distribution) ค่าคาดหวัง (Expected value) มูลค่าความเสี่ยง (Value at Risk : VaR) สโทแคสติกแคลคูลัส (Stochastic calculus) การเคลื่อนที่แบบบราวเนียน (Brownian motion) การแยกแบบโซเลสกี้ (Cholesky decomposition) สมการถดถอย (Regression analysis) วิธีมอนติคาร์โล (Monte Carlo method) สมการเชิงอนุพันธ์ย่อย (Partial differential equations) ค่าความผันผวน (Volatility) แบบจำลอง ARCH (ARCH model) แบบจำลอง GARCH (GARCH model) การประเมินราคาตราสารอนุพันธ์ สัญญาฟิวเจอร์ส (Futures contract) ตราสารสิทธิ หรือ ออปชัน (Option) แบบจำลองทวินาม (Binomial model) แบบจำลองแบล็กโชลส์ (Black-Scholes model) ค่าความผันผวนโดยนัย (Implied volatility) ตราสารอนุพันธ์บนอัตราดอกเบี้ย (Interest rate derivatives) คณิตศาสตร์ประยุกต์ การเงิน
34385
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5
งบดุล
งบดุล เป็นงบการเงินแสดงฐานะของกิจการ ณ วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี (วันสิ้นงวดบัญชี) โดยจัดทำขึ้นทุกๆ รอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ เช่น 3 เดือน, 6 เดือน, 1 ปี งบดุลแสดงความสัมพันธ์ของทรัพย์สิน หนี้สินและส่วนของเจ้าของ สมการบัญชี (Accounting Equation) สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของเจ้าของ ปัจจุบัน กรมสรรพากรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำหนดให้บริษัทจัดทะเบียนใช้ "งบแสดงฐานะการเงิน" (statement of financial position) แทนการใช้งบดุล รวมถึงหน่วยงานราชการด้วย โครงสร้างของงบดุล โครงสร้างของงบดุลโดยทั่วไปจะแยกแสดงรายการต่างๆ ดังนี้ สินทรัพย์ จะแสดงรายการเรียงลำดับจากสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุดไปยังสภาพคล่องต่ำสุด หนี้สิน จะแสดงรายการเรียงลำดับจากหนี้สินที่ครบกำหนดชำระคืนก่อนไปยังหนี้สินระยะยาว ส่วนของผู้ถือหุ้น จะแสดงรายการเรียงลำดับจากทุนเรือนหุ้น ส่วนเกินมูลค่าหุ้น และ กำไรสะสม ตัวอย่างงบดุลของบริษัทมหาชนโดยทั่วไป บริษัท กขค จำกัด (มหาชน) งบดุล (หรือแสดงฐานะการเงิน) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25XX สินทรัพย์ สินทรัพย์หมุนเวียน เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ลูกหนี้การค้า - สุทธิ สินค้าคงเหลือ - สุทธิ สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ๆ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เงินให้กู้ยืมระยะยาวแก่กิจการที่เกี่ยวข้องกัน เงินลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วม ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ - สุทธิ ค่าความนิยม สินทรัพย์ไม่มีตัวตน สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่น ๆ รวมสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น หนี้สินหมุนเวียน เงินเบิกเกินบัญชีและเงินกู้ยืมจากธนาคารและสถาบันการเงิน เจ้าหนี้การค้า ส่วนของเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระในหนึ่งปี เงินกู้ยืมระยะสั้นจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน หนี้สินหมุนเวียนอื่น ๆ หนี้สินไม่หมุนเวียน เงินกู้ยืมระยะยาวจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน เงินกู้ยืมระยะยาว - สุทธิ หนี้สินไม่หมุนเวียนอื่น ๆ รวมหนี้สิน ส่วนของผู้ถือหุ้น ทุนเรือนหุ้น ส่วนเกินมูลค่าหุ้น กำไรสะสม ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย รวมส่วนของผู้ถือหุ้น รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น ตัวอย่างวิธีการสร้างงบดุล 1.1 นายนัท ลงทุนเปิดบริษัทใหม่โดยใช้ชื่อว่า บริษัท ซื่อตรง จำกัด เพื่อทำธุรกิจร้านกาแฟและเบเกอรี่ โดยนำเงินสด 2,000,000 บาท ไปเปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้เป็นเงินทุนเริ่มแรก รายการนี้มีผลกระทบกับงบดุลดังนี้ สินทรัพย์ เงินในบัญชีธนาคาร 2,000,000 ส่วนของผู้ถือหุ้น เงินทุน 2,000,000 1.2 จากนั้นได้ซื้ออาคารพาณิชย์ราคา 1,000,000 บาท โดยวางเงินดาวน์ 20% ที่เหลือผ่อนกับธนาคารเป็นเวลา 10 ปี สินทรัพย์ เงินในบัญชีธนาคาร 1,800,000 อาคาร 1,000,000 หนี้สิน เงินกู้ธนาคาร 800,000 ส่วนของผู้ถือหุ้น เงินทุน 2,000,000 1.3 ซื้อเครื่องต้มกาแฟ เครื่องอบขนมปัง และอุปกรณ์ตกแต่งร้าน เป็นเงิน 500,000 บาท สินทรัพย์ เงินในบัญชีธนาคาร 1,300,000 อาคาร 1,000,000 อุปกรณ์ 500,000 หนี้สิน เงินกู้ธนาคาร 800,000 ส่วนของผู้ถือหุ้น เงินทุน 2,000,000 1.4 ซื้อวัตถุดิบ เช่น เมล็ดกาแฟ นมสด แป้งขนมปัง น้ำตาล เป็นเงิน 100,000 บาท โดยได้รับเครดิต 30 วัน สินทรัพย์ เงินในบัญชีธนาคาร 1,300,000 อาคาร 1,000,000 อุปกรณ์ 500,000 สินค้าคงเหลือ 100,000 หนี้สิน เงินกู้ธนาคาร 800,000 เจ้าหนี้การค้า 100,000 ส่วนของผู้ถือหุ้น เงินทุน 2,000,000 1.5 นำรายการทั้งหมดมาจัดเรียงใหม่จะได้งบดุลดังนี้ บริษัท ซื่อตรง จำกัด งบดุล ณ วันที่ ..... สินทรัพย์ สินทรัพย์หมุนเวียน เงินในบัญชีธนาคาร 1,300,000 สินค้าคงเหลือ 100,000 สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ 1,500,000 ----------------------------------- รวมสินทรัพย์ 2,900,000 =================================== หนี้สิน หนี้สินหมุนเวียน เจ้าหนี้การค้า 100,000 หนี้สินไม่หมุนเวียน เงินกู้ธนาคาร 800,000 ส่วนของผู้ถือหุ้น เงินทุน 2,000,000 ----------------------------------- รวมหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น 2,900,000 =================================== ดูเพิ่ม งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด การเงิน คำศัพท์บัญชี
34419
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99
งบกำไรขาดทุน
งบกำไรขาดทุน เป็นงบการเงินที่แสดงผลการดำเนินงานของกิจการในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น รอบปีบัญชี โดยจะแสดงรายได้ ค่าใช้จ่าย และ กำไรหรือขาดทุนสุทธิ ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่าผลกำไรหรือขาดทุนของกิจการนั้นมาส่วนใด เพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน และ คาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต โครงสร้างของงบกำไรขาดทุน งบกำไรขาดทุนแบบชั้นเดียว งบกำไรขาดทุนแบบชั้นเดียวจะแยกแสดงรายได้และค่าใช้จ่าย จากนั้นจึงค่อยนำรายได้ทั้งหมดหักด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดทีเดียว แสดงเป็นกำไรหรือขาดทุนสุทธิในบรรทัดสุดท้าย ข้อดีของวิธีนี้คือง่าย แต่บางทีเราอาจต้องการดูความสามารถในการทำกำไรอย่างอื่นของกิจการนอกเหนือจากกำไรสุทธิเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างงบกำไรขาดทุนแบบชั้นเดียว บริษัท กขค จำกัด (มหาชน) งบกำไรขาดทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25XX รายได้ รายได้จากการขาย รายได้อื่น ค่าใช้จ่าย ต้นทุนขาย ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ กำไร หรือ ขาดทุนสุทธิ งบกำไรขาดทุนแบบหลายชั้น งบกำไรขาดทุนแบบหลายชั้นจะแสดงรายได้จากการขายหักด้วยค่าใช้จ่ายเป็นชั้น ๆ ซึ่งจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากกว่าเนื่องจากแยกผลจากการดำเนินงานปรกติ และ ไม่ปรกติของกิจการ ทำให้ประเมินความสามารถในการทำกำไรของกิจการได้ดีกว่า ตัวอย่างงบกำไรขาดทุนแบบหลายชั้น บริษัท กขค จำกัด (มหาชน) งบกำไรขาดทุน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 25XX รายได้ : รายได้จากการขาย รายได้อื่น รวมรายได้ ค่าใช้จ่าย : หัก ต้นทุนขาย กำไรขั้นต้น หัก ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร กำไรจากการดำเนินงาน บวก รายได้อื่น หัก ค่าใช้จ่ายอื่น กำไรก่อนหักภาษีเงินได้ หัก ภาษีเงินได้ กำไร หรือ ขาดทุนสุทธิ ดูเพิ่ม งบดุล งบกระแสเงินสด งบแสดงส่วนของผู้ถือหุ้น การเงิน
34437
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99
งบการเงิน
งบการเงิน เป็นรายงานทางบัญชีที่แสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ การเปลี่ยนแปลงของเงินสดและส่วนของผู้ถือหุ้น ในรอบปีบัญชีที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการตัดสินใจด้านการเงิน โดยทั่วไปงบการเงินจะประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน งบแสดงส่วนของผู้ถือหุ้น งบกระแสเงินสด หมายเหตุประกอบงบการเงิน ประโยชน์ของงบการเงิน ผู้บริหารของบริษัทจะใช้ข้อมูลในงบการเงินมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนปรับปรุงผลการดำเนินงานให้ดีขึ้น ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะใช้งบการเงินในการวิเคราะห์ความเสี่ยง และความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยก่อนการตัดสินใจให้กู้ บริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะต้องเปิดเผยงบการเงินต่อสาธารณชนทุกไตรมาส และ ทุกปีบัญชี โดยนักลงทุนจะนำข้อมูลในงบการเงินมาหาอัตราส่วนทางการเงินเพื่อวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจลงทุน การเงิน การบัญชี
35928
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99
อัตราส่วนทางการเงิน
อัตราส่วนทางการเงิน (financial ratio) เป็นการนำตัวเลขที่อยู่ในงบการเงินมาหาอัตราส่วนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับกิจการอื่น หรือ เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต ช่วยให้ผู้วิเคราะห์ประเมินผลการดำเนินงาน แนวโน้ม และความเสี่ยงของกิจการได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างอัตราส่วนทางการเงิน อัตราส่วนสภาพคล่อง อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (current ratio) อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (quick ratio) อัตราส่วนเงินสด (cash ratio) อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (receivable turnover) ระยะเวลาเก็บหนี้ (collection period) อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ (inventory turnover) ระยะเวลาขายสินค้า (holding period) วงจรเงินสด (cash conversion cycle) อัตราส่วนประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์ อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (total asset turnover) อัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (net fixed asset turnover) อัตราหมุนเวียนของส่วนของผู้ถือหุ้น (equity turnover) อัตราส่วนความสามารถในการทำกำไร อัตรากำไรขั้นต้น (gross profit margin) อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (operating profit margin) อัตรากำไรสุทธิ (net profit margin) อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ทั้งหมด (return on assets : ROA) อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (return on equity : ROE) อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (debt to asset ratio) อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (debt to equity ratio) อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (interest coverage ratio) ดูเพิ่ม การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน การเงิน
51992
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99
หุ้น
ในตลาดทางการเงิน หุ้น เป็นหน่วยที่ใช้กับกองทุนรวม ห้างหุ้นส่วนจำกัด และความไว้วางใจในการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของหุ้นในบริษัทเป็นผู้ถือหุ้น(หรือหุ้นส่วน)ของบริษัท หุ้นเป็นหน่วยทุนที่แบ่งแยกไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์การเป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างบริษัทและผู้ถือหุ้น ค่าที่เป็นตัวเงินของหุ้นคือมูลค่าที่ตราไว้ และทั้งหมดของมูลค่าที่ตราไว้ของหุ้นที่ออกแสดงให้เห็นถึงทุนของบริษัท ซึ่งอาจจะไม่สะท้อนมูลค่าตลาดของหุ้นเหล่านั้น รายได้ที่ได้รับจากการเป็นเจ้าของหุ้นคือเงินปันผล กระบวนการของการสั่งซื้อและขายหุ้นมักจะเกี่ยวข้องกับการผ่านนายหน้าซื้อขายหุ้น(โบรกเกอร์) ในฐานะที่เป็นคนกลาง หุ้นมีหลายประเภท เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นโบนัส หุ้นที่ถูกต้อง และหุ้นแผนทางเลือกหุ้นลูกจ้าง อ้างอิง หุ้น คำศัพท์เศรษฐศาสตร์ การเงินธุรกิจ
99458
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B5
การบัญชี
การบัญชี หมายถึง กระบวนการจัดการในส่วนของบันทึกรายการทางการค้า ได้แก่ การเขียนบันทึกรายการทางการค้า การจำแนกแยกประเภทหมวดหมู่ทางการค้า การสรุปผลการดำเนินงาน รวมไปถึงการวิเคราะห์และการแปลความหมายข้อมูลของนักบัญชี ประวัติการบัญชี การบัญชีเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสุเมเรียนในดินแดนเมโสโปเตเมีย ในช่วงแรกๆก็เป็นแค่การเก็บข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณผลผลิตทางการเกษตร กับมูลค่าเหล่านั้น ส่วนวิชาการบัญชีที่มีพื้นฐานเหมือนกับระบบคณิตศาสตร์ (ระบบบัญชีคู่ ซึ่งหมายถึงการบันทึกข้อมูลทางด้านการเงินโดยมีการบันทึกทั้งด้านบวก (เดบิต หรืออาจเรียกว่าการบันทึกบัญชีทางด้านซ้าย) กับ ด้านลบ (เครดิต หรืออาจเรียกว่าการบันทึกบัญชีทางด้านขวา) โดยที่การบันทึกแต่ละครั้งจะต้องมียอดรวมด้านบวกรวมกับด้านลบเป็นศูนย์) เกิดขึ้นในประเทศอิตาลีก่อนปี ค.ศ. 1543 โดย ได้พิมพ์หนังสือชื่อว่า Vennice ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับการบันทึกบัญชี โดยพื้นฐานของการบัญชีทั้งหมดมาจากสมการว่า "สินทรัพย์=หนี้สิน+ทุน" ส่วนรายได้และค่าใช้จ่ายถือเป็นส่วนหนึ่งของทุน วัตถุประสงค์ของการจัดทำบัญชี เพื่อเป็นการบันทึกเหตุการณ์ทางการค้า เพื่อให้เจ้าของกิจการได้ทราบว่าช่วงเวลานั้น ๆ มีสินทรัพย์ หนี้สินและส่วนของเจ้าของ อยู่เป็นจำนวนเท่าใดและอย่างไร เพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งประกอบการตัดสินใจในการลงทุนของนักธุรกิจและประกอบการตัดสินใจในการบริหารของเจ้าของกิจการ เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตและการสูญหายของสินทรัพย์ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับของกฎหมาย เพื่อเป็นเครื่องมือนำมาใช้ในการคำนวณภาษีที่จะต้องจ่ายแก่รัฐ ขอบเขตของงานบัญชี สำหรับขอบเขตของงานบัญชีนั้น เราสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ การบัญชีการเงิน (Financial Accounting) - เป็นการบัญชีที่จัดทำโดยบันทึกตามมาตรฐานการบัญชีหรือหลักการบัญชีที่รับรองกันทั่วไป ได้แก่ งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด นโยบายการบัญชีและหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพื่อรายงานต่อบุคคลภายนอกกิจการอาทิ นักลงทุน เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น หน่วยงานราชการ ลูกจ้าง การบัญชีเพื่อการจัดการ (Managerial Accounting) - เป็นการจัดทำเพื่อรวบรวมข้อมูลเสนอต่อผู้ใช้ข้อมูลที่เป็นบุคคลภายในกิจการ ได้แก่ กรรมการบริหาร ผู้จัดการ หัวหน้าฝ่าย หัวหน้าแผนก ฯลฯ เพื่อใช้ในการวางแผน และควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลนั้นส่วนหนึ่งมาจากการทำบัญชี รวมกับข้อมูลอื่นๆทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน เช่น จำนวนชั่วโมงการทำงาน จำนวนหน่วยของวัตถุดิบ เป็นต้น รายงานทางการบัญชีเพื่อการจัดการมีได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริหาร อ้างอิง ศรีสุดา ธีรยา"ลักษณะข้อมูลทางการบัญชี". การบัญชีเพื่อการจัดการ Managerial Accounting. ปทุมธานี, 2555 ดูเพิ่ม งบดุล งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด โปรแกรมบัญชี การบัญชี การเงิน บัญชีการเงิน
185457
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99
จิตวิทยาการเงิน
จิตวิทยาการเงิน (Behavioral Finance) เป็นการศึกษาผลทางจิตวิทยาของมนุษย์ (Behavioral Biases) ที่มีต่อการตัดสินใจทางการเงิน และผลกระทบต่อเนื่องที่มีต่อราคาหลักทรัพย์และตลาดทุน ทำให้ราคาหลักทรัพย์และตลาดทุนเบี่ยงเบนไปจากราคาที่สมเหตุสมผล (Rationality) ตัวอย่างของ Behavioral Biases Anchoring and adjustment Availability heuristic Conservatism bias Disjunction effect Disposition effect Endowment effect Framing Herding Gamblers fallacy Loss aversion Mental Accounting Money Illusion Overreaction Representativeness heuristic Self-attribution bias Herding behavior Herding behavior เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเลียนแบบพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถอธิบายด้วยหลักจิตวิทยาได้ 2 ประการ คือ ทุกคนต้องการเป็นที่ยอมรับในสังคม การตัดสินใจจึงอิงกับคนส่วนใหญ่ อีกประการหนึ่งบุคคลอานไม่มีข้อมูลเพียงพอในการต้ดสินใจ จึงอาศัยข้อมูลที่คนส่วนมากมี แม้ว่าข้อมูลที่คนส่วนมากรู้อาจไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องเสมอไป ตัวอย่าง: internet bubble, dotcom herding เป็นต้น Overconfidence Overconfidence investment เป็นการลงทุนที่นักลงทุนมองโลกในแง่ดีเกินไป หรือประเมินความสามารถของตนไว้สูงเกินไป ทั้งในแง่ของการเลือกหุ้น หรือการเข้าออกได้ถูกจังหวะ ซึ่งนักลงทุนที่มีลักษณะนี้จะมีการซื้อขายหลักทรัพย์บ่อยมากกว่านักลงทุนที่มีความมั่นใจน้อยกว่า ซึ่งโดยมากแล้วการลงทุนที่ชนะตลาดเป็นไปได้ยากในระยะยาวหลอ อ้างอิง Behavioral Finance fa:مالیه
258374
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%20%28%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%29
ชอร์ต (การเงิน)
ชอร์ต () ในทางการเงิน หมายถึง การลงทุนในลักษณะที่นักลงทุนจะได้กำไรหากมูลค่าของสินทรัพย์ลดลง ตรงกันข้ามกับ "ลอง" ที่นักลงทุนจะได้กำไรหากมูลค่าของสินทรัพย์สูงขึ้น การชอร์ตมีหลายวิธี ซึ่งวิธีการพื้นฐานที่สุดคือการยืมสินทรัพย์ (มักเป็นหลักทรัพย์ เช่น หุ้น หรือพันธบัตร) และขายในทันที จากนั้นนักลงทุนจะซื้อหลักทรัพย์ประเภทเดียวกันในจำนวนเดียวกันเพื่อส่งคืนให้กับผู้ให้ยืม หากราคาลดลงระหว่างการขายครั้งแรกและการซื้อคืนหลักทรัพย์ นักลงทุนจะทำกำไรได้จากส่วนต่างนี้ ในทางกลับกัน หากราคาสูงขึ้นนักลงทุนจะต้องแบกรับผลขาดทุน โดยปกติผู้ขายชอร์ตจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการยืมหลักทรัพย์ (เรียกเก็บในอัตราเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไป คล้ายกับการจ่ายดอกเบี้ย) และคืนเงินให้กับผู้ให้ยืมสำหรับผลตอบแทนเป็นเงินสดที่ผู้ให้ยืมจะได้รับ หากหลักทรัพย์ไม่ถูกยืมออก เช่น เงินปันผลใด ๆ ที่จะต้องจ่ายให้กับผู้ให้ยืมหากพวกเขายังคงเป็นผู้ถือหุ้นที่พวกเขาให้ยืมไป แนวคิด การชอร์ตด้วยหลักทรัพย์ที่ยืม หากต้องการทำกำไรจากการลดลงของราคาหลักทรัพย์ ผู้ขายชอร์ตสามารถยืมหลักทรัพย์และขายได้ โดยคาดหวังว่าจะมีราคาถูกกว่าเมื่อซื้อคืนในอนาคต การซื้อหลักทรัพย์ที่ถูกขายชอร์ตเรียกว่า "การคืนหุ้นหลังขายชอร์ต" ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลาก่อนที่หลักทรัพย์จะถึงกำหนดส่งคืน เมื่อปิดสัญญาแล้วผู้ขายชอร์ตจะไม่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นหรือลงของราคาหลักทรัพย์ในภายหลัง เนื่องจากถือหลักทรัพย์ซึ่งจะส่งคืนให้กับผู้ให้ยืมอยู่แล้ว กระบวนการนี้ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่า หลักทรัพย์ (หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ถูกขายชอร์ต) สามารถทดแทนกันได้ ดังนั้นนักลงทุนจึง "ยืม" หลักทรัพย์ในความหมายเดียวกับเงินสดที่ยืมมาโดยที่เงินสดที่ยืมสามารถใช้ได้อย่างอิสระ และสามารถคืนเป็นธนบัตรหรือเหรียญต่าง ๆ ให้กับผู้ให้ยืมได้ ตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่ว่า คนหนึ่งยืมจักรยานโดยที่จะต้องคืนจักรยานคันเดิม ไม่ใช่จักรยานคันใหม่ที่เป็นรุ่นเดียวกัน ในทางทฤษฎี ราคาของหุ้นมีไม่จำกัด ความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นของผู้ขายชอร์ตจึงมีไม่จำกัดในทางทฤษฎีด้วย ตัวอย่างการขายชอร์ตที่ทำกำไรได้ หุ้นบริษัท ACME มีราคาปัจจุบันที่ 10 บาทต่อหุ้น ผู้ขายชอร์ตยืมหุ้น ACME จากผู้ให้ยืม 100 หุ้น และขายทันทีในราคารวม 1,000 บาท ต่อมา ราคาหุ้นตกลงมาที่ 8 บาทต่อหุ้น ผู้ขายชอร์ตซื้อหุ้น ACME 100 หุ้นในราคา 800 บาท ผู้ขายชอร์ตคืนหุ้นให้กับผู้ให้ยืม ซึ่งจะต้องยอมรับการคืนหุ้นจำนวนเดียวกันกับที่ให้ยืม แม้ว่ามูลค่าของหุ้นจะลดลงก็ตาม ผู้ขายชอร์ตเก็บกำไรส่วนต่าง 200 บาท จากราคาที่ผู้ขายชอร์ตขายหุ้นที่ยืมมา และราคาที่ผู้ขายชอร์ตซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่า (หักลบกับค่าธรรมเนียมการยืมที่จ่ายให้กับผู้ให้ยืม) ตัวอย่างการขายชอร์ตที่ขาดทุน หุ้นบริษัท ACME มีราคาปัจจุบันที่ 10 บาทต่อหุ้น ผู้ขายชอร์ตยืมหุ้น ACME จากผู้ให้ยืม 100 หุ้น และขายทันทีในราคารวม 1,000 บาท ต่อมา ราคาหุ้นขึ้นมาที่ 25 บาทต่อหุ้น ผู้ขายชอร์ตจะต้องคืนหุ้นและถูกบังคับให้ซื้อหุ้น ACME 100 หุ้นของ ราคา 2,500 บาท ผู้ขายชอร์ตคืนหุ้นให้กับผู้ให้ยืม ซึ่งยอมรับการคืนหุ้นจำนวนเดียวกันกับที่ให้ยืม ผู้ขายชอร์ตเสียส่วนต่าง 1,500 บาท จากราคาที่ผู้ขายชอร์ตขายหุ้นที่ยืมมา และราคาที่ผู้ขายชอร์ตซื้อหุ้นในราคาที่สูงกว่า (บวกค่าธรรมเนียมการยืมที่จ่ายให้กับผู้ให้ยืม) การเงิน
356023
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89
เงินกู้
เงินกู้ หมายถึง การที่ผู้กู้ได้ไปขอกู้เงินจำนวนหนึ่งกับผู้ให้กู้ และมีการทำสัญญากำหนดระยะเวลาที่จะชำระหนี้อย่างแน่นอน โดยจะตกลงว่าจะผ่อนชำระเป็นงวดๆหรือจ่ายเต็มจำนวนเลยก็ได้ ซื่งผู้ให้กู้จะสามารถคิดดอกเบี้ยได้ตามอัตราที่ตกลงกัน จำนวนเงินที่ให้กู้จะมากมายเท่าใดนั้นจะขึ้นอยู่กับหลักทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน หรือถ้าหากไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็จะมีการคิดดอกเบี้ยค่อนข้างสูง เพราะมีความเสี่ยงสูง อย่างไรก็ตาม การกู้เงินมีทั้งการกู้ในระบบธนาคารและนอกระบบธนาคาร ซึ่งหากกู้ในระบบของธนาคารจะมีเพดานอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด เช่น การกู้โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันจะคิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดได้ไม่เกิน 15% ต่อปี ในส่วนการปล่อยกู้ของธนาคารยังต้องเป็นไปตามระเบียบที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด เงินกู้นอกระบบ เป็นรูปแบบการกู้เงินที่ไม่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่ได้เป็นสถาบันทางการเงิน มักดำเนินการโดยเอกชน โดยมีรูปแบบการปล่อยสินเชื่อที่ง่ายและรวดเร็ว ขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติน้อย ดอกเบี้ยลอยตัว และ ถูกคุกคาม เป็นต้น ปัจจุบันการกำกับดูแลเงินกู้นอกระบบ มีหน่วยงาน สำนักนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้กำกับดูแลอยู่ โดยผู้ประกอบการที่เคยประกอบอาชีพปล่อยกู้นอกระบบ สามารถลงทะเบียนเป็น สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ หรือ สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ค้ำประกันเงินกู้ การค้ำประกันเงินกู้ในด้านการเงินเป็นสัญญาโดยฝ่ายหนึ่ง (ผู้ค้ำประกัน) สัญญาที่จะรับภาระหนี้แทนของผู้กู้หากผู้กู้ผิดนัด โดยการค้ำประกันสามารถจำกัดบางส่วนของหนี้ หรือรับผิดชอบทั้งหมดก็ได้ และเมื่อมีการทำสัญญาที่มีการค้ำประกันเกิดขึ้น เจ้าหนี้จะมีสิทธิเรียกร้อง หรือฟ้องให้คนค้ำประกันรับผิดชอบหนี้แทนได้ สินเชื่อเงินด่วน สินเชื่อเงินด่วน () เป็นชื่อเรียกสินเชื่อที่มีการให้เงินในทันที หลังจากการสมัครโดยใช้เวลาอนุมัติพิจารณาที่สั้น และมีการโอนเงินเข้าบัญชีที่รวดเร็ว จึงเป็นนิยามของคำว่า เงินด่วน โดยบุคคลหรือองค์กรที่ให้สินเชื่อประเภทนี้ มักใช้คำโฆษณาสินเชื่อว่า สมัครง่าย อนุมัติไว โอนทันที โดยสินเชื่อเงินด่วน สามารถเป็นทั้งเงินกู้ในระบบหรือเงินกู้นอกระบบ โดยชี้วัดที่ผู้ให้กู้ว่าเป็นหน่วยงานธุรกิจการเงินที่ได้รับอนุญาตจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กระทรวงการคลัง (ประเทศไทย) หรือไม่ อ้างอิง การเงิน คำศัพท์การธนาคาร
374150
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C
ตราสารเอ็นวีดีอาร์
ตราสารเอ็นวีดีอาร์ เอ็นวีดีอาร์หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจัดตั้งขึ้น ซึ่งคือ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (Thai NVDR Company Limited) เอ็นวีดีอาร์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนโดยอัตโนมัติ (Automatic List) วัตถุประสงค์หลักของเอ็นวีดีอาร์ คือเพื่อกระตุ้นการลงทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดหลักทรัพย์และเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนชาวต่างประเทศ โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางการเงิน เช่น เงินปันผล และสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียน แต่ผู้ถือเอ็นวีดีอาร์จะไม่มีสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมของบริษัทจดทะเบียน (Non-Voting Rights) อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเอ็นวีดีอาร์จะออกมาเพื่อส่งเสริมการลงทุนของผู้ลงทุนชาวต่างประเทศ แต่ผู้ลงทุนไทยก็สามารถลงทุนในเอ็นวีดีอาร์ได้ หลักทรัพย์อ้างอิง หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ ใบสำคัญแสดงสิทธิ ใบแสดงสิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ อ้างอิง การเงิน ตราสารทางการเงิน
379024
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94
การควบคุมตลาด
ในทางการเงิน การควบคุมตลาดคือการซื้อหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ชนิดใดชนิดหนึ่งเพื่อที่จะให้ราคาถูกแทรกแซง ส่วนใหญ่ในศัพท์ทางธุรกิจทั่วไป บริษัทที่ถูกเรียกว่าทำการควบคุมตลาดมักมีส่วนแบ่งตลาดสูงมาก ผู้ควบคุมตลาดคาดหวังว่าจะมีอำนาจควบคุมอุปทานของสินค้ามากเพียงพอที่จะตั้งราคาสินค้านั้น ๆ ได้ การควบคุมตลาดนี้สามารถทำได้โดยกลไกหลายแบบ วิธีที่ตรงที่สุดคือการกว้านซื้อสินค้าเป็นจำนวนมากที่มีอยู่ในตลาดและกักตุนสินค้าไว้ ในกรณีของตลาดซื้อขายล่วงหน้า ผู้ควบคุมตลาดอาจจะซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสินค้านั้น ๆ จำนวนมากแล้วขายทำกำไรหลังจากราคาเพิ่มสูงขึ้นแล้ว การเงิน โครงสร้างตลาดและการกำหนดราคา
391505
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89
รายได้
รายได้ ในทางธุรกิจ คือรายรับที่บริษัทได้มาจากการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจตามปกติวิสัย อันเป็นผลจากการขายสินค้าและบริการให้กับลูกค้า ในหลายประเทศเช่นสหราชอาณาจักร เรียกรายได้ว่า ผลประกอบการ บริษัทบางบริษัทมีรายได้เป็นดอกเบี้ย เงินปันผล หรือค่าสิทธิ ที่จ่ายโดยบริษัทอื่น รายได้อาจหมายถึงรายรับทางธุรกิจโดยทั่วไป หรือหมายถึงจำนวนเงินที่ได้รับ (ในหน่วยเงินตรา) ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตัวอย่างเช่น "บริษัท ก มีรายได้ 42 ล้านบาทในปีที่แล้ว" กำไรหรือเงินได้สุทธิโดยทั่วไปหมายถึง รายได้ทั้งหมดหักด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดในช่วงเวลาที่กำหนด ในทางการบัญชี รายได้มักถูกอ้างถึงเป็นบรรทัดแรกสุดในรายการงบกำไรขาดทุน ซึ่งแย้งกับบรรทัดสุดท้ายคือกำไรหรือเงินได้สุทธิ สำหรับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร รายได้ประจำปีอาจเรียกว่า รายได้มวลรวม รายได้นี้มาจากการบริจาคโดยบุคคลและองค์กรต่าง ๆ การสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐบาล รายรับจากกิจกรรมที่เกี่ยวกับพันธกิจขององค์กร และรายรับจากกิจกรรมการระดมทุน ค่าบำรุงสมาชิก และการลงทุนการเงินเช่นการถือหุ้นของบริษัทอื่น รายได้ที่องค์กรได้รับมักอยู่ในรูปแบบเงินสดหรือสิ่งเทียบเท่าเงินสด รายได้จากการขายก็มีความหมายตรงตัวคือรายได้ที่มาจากการขายสินค้าและบริการภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง นอกจากนี้รายได้จากภาษีอากรก็เป็นรายรับที่รัฐบาลได้มาจากผู้เสียภาษีอากร อ้างอิง การบัญชี เศรษฐศาสตร์จุลภาค รายรับ รายได้
545220
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99
การวิเคราะห์แบบแท่งเทียนญี่ปุ่น
เทคนิคการวิเคราะห์แบบแท่งเทียนญี่ปุ่น ()เป็นวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิควิธีหนึ่ง ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยมีประวัติย้อนหลังยาวนานมากกว่า 200 ปี นาย มุเนฮิสะ ฮอมมะ เป็นผู้พัฒนาคิดค้นแผนภูมิจากการศึกษาวิเคราะห์จิตวิทยาของคนในการซื้อขาย และกำหนดราคาข้าว ฮอมมะได้เขียนไว้ในหนังสือ 2 เล่ม ชื่อ ซากาตะ เฮนโซ (SAKATA HENSO) และ โซบะ ซาไออิ โน เดน(SOBA SAIN NO DEN) ซึ่ง มร.สตีฟ นิสออน ได้นำไปแพร่หลายอย่างมากทางประเทศตะวันตก เมื่อประมาณเวลา 10 ปีผ่านไป ราวปี พ.ศ. 2525 กลุ่มประเทศตะวันตกทั้งหลายได้เห็นความมีประสิทธิภาพ กระทั่งเกิดความเชื่อมั่น จึงได้นำไปใช้วิเคราะห์ตลาดหุ้น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า และตลาดออปชั่น เครื่องมือตัวนี้ได้มีบุคคลนำเข้ามาวิเคราะห์หุ้นในตลาดหุ้นไทย เมื่อ พ.ศ. 2530 รูปแบบการวิเคราะห์แบบแท่งเทียนญี่ปุ่น เป็นรูปแบบที่ประกอบขึ้นจากราคาเปิด ราคาปิด ราคาต่ำสุด และราคาสูงสุด และวิธีการวิเคราะห์หรือความหมายที่ได้จะง่ายและชัดเจน แผนภูมิแบบแท่งเทียนนี้ มีอยู่มากกว่า 50 แบบ ด้วยรูปแบบที่บอกถึงการเปลี่ยนทิศทางใหม่ ที่มีความหมาย(MAJOR REVERSAL PATTERN) การเงิน การค้า
1042752
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%93
งบประมาณ
งบประมาณ คือการวางแผนการเงินในช่วงเวลาที่กำหนดชัดเจน โดยมากแล้วคือหนึ่งปี งบประมาณอาจรวมถึง ปริมาณแผนการขาย และรายได้, ปริมาณทรัพย์สิน, ค่าใช้จ่าย, สินทรัพย์, หนี้สินและกระแสเงินสด โดยที่บริษัท รัฐบาล ครอบครัว และองค์กรต่าง ๆ จะใช้งบประมาณเพื่อแสดงแผนกลยุทธ์ของกิจกรรมหรือผลให้สามารถวัดได้ อ้างอิง การเงิน
1279653
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A
เงินกู้นอกระบบ
เงินกู้นอกระบบ () คือ บุคคลหรือนิติบุคคลที่เสนอเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันในอัตราดอกเบี้ยสูงแก่บุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือทางการเงินอย่างสิ้นหวัง พวกเขามักกำหนดเป้าหมายไปยังบุคคลที่อยู่ในกลุ่มอ่อนแอทางด้านการเงิน เช่น ผู้ที่มีประวัติเครดิตไม่ดีหรือมีรายได้น้อย ซึ่งอาจมีปัญหาในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม คนปล่อยเงินกู้มักจะใช้การคุกคามและการข่มขู่เพื่อเรียกเก็บเงินจากเงินกู้ และอาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ค่าปรับ หรืออัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป ลักษณะเงินกู้นอกระบบ เงินกู้นอกระบบเป็นเงินกู้ที่มีเจ้าหนี้ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ส่วนมากเงินกู้นอกระบบจะมีแหล่งที่มาจาก ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรู้จัก เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ร้านค้า รวมไปถึง นายทุนในพื้นที่ รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นออนไลน์ โดยมีการตกลงทำสัญญาที่อนุมัติง่ายกว่าเงินกู้ในระบบ รวมถึงอาจมีดอกเบี้ยที่สูงกว่ากฏหมายกำหนดที่ร้อยละ 15 ต่อปี และใช้กลฉ้อฉลว่าเป็นการกู้ยืมที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือมีการเก็บค่าธรรมเนียม ค่าปรับที่นอกเหนือจากดอกเบี้ย โดยถือว่าเป็นกลฉ้อฉล ที่ใช้หลบเลี่ยงอำพราง แต่ผู้กู้ก็ยอมเสียดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่เจ้าหนี้ในอัตราที่สูง โดยผู้กู้และผู้ให้กู้ต้องร่วมมือสมยอมกันเพื่อหลีกเลี่ยงบทบัญญัติของกฎหมาย ข้อแตกต่างเงินกู้นอกระบบกับเงินกู้ในระบบ กฏหมายที่ใช้ควบคุม พระราชบัญญัติห้ามเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติห้ามเก็บดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 บังคับใช้กับบุคคลทั่วไป ไม่ได้บังคับใช้กับธุรกิจการเงิน จึงทำให้ธนาคารพาณิชย์ และ ธุรกิจการเงินอื่นๆ สามารถคิดอัตตราดอกเบี้ยได้เกินร้อยละ 15 ต่อปี เพราะมีประกาศจาก ธปท. และ กระทรวงการคลัง (ประเทศไทย) รองรับให้คิดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมได้ตามรูปแบบธุรกิจการเงินแต่ละประเภท อ้างอิง การเงิน เศรษฐศาสตร์

No dataset card yet

Downloads last month
7

Collection including ZombitX64/Business-Finance-Management-wikipedia