docid
stringlengths 3
10
| title
stringlengths 1
182
| text
stringlengths 1
31.2k
|
---|---|---|
665#25 | ประเทศเยอรมนี | เยอรมนีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปจากทางตอนเหนือถึงทางตอนใต้ โดยมีทั้งที่ราบทางตอนเหนือและเทือกเขาทางตอนใต้ เอยรมนียังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แร่เหล็ก, ถ่านหิน, โพแทช, ไม้, ลิกไนต์, ยูเรเนียม, ทองแดง, ก๊าซธรรมชาติ, เกลือ, นิกเกิล, พื้นที่เพาะปลูกและน้ำ[20] |
665#26 | ประเทศเยอรมนี | ประเทศเยอรมนีไม่มีฤดูแล้งและฤดูหนาวจะมีอากาศที่เย็นถึงหนาวจัดและฤดูร้อนจะมีความอบอุ่นโดยอุณหภูมิจะไม่เกิน 30 ° C |
665#27 | ประเทศเยอรมนี | ในปี 2008 อาณาเขตของประเทศเยอรมนีสามารถแบ่งสภาพพื้นดินได้โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทำกิน (34%) ป่าไม้ (30.1%) ทุ่งหญ้าถาวร 11.8%[22]พืชและสัตว์ในเยอรมนีส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์ในยุโรปกลางโดยต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เบิร์ช, โอ๊กและต้นไม้ผลัดใบอื่น ๆ ที่พบตามพื้นก็จะเป็น มอสส์, เฟิร์น, คอร์นฟลาวเวอร์, เห็ดรา สัตว์ป่าก็จะเป็น กวาง, หมูป่า, แพะภูเขา, หมาจิ้งจอกแดง, แบดเจอร์ยุโรป,กระต่ายป่าและอาจมีบีเวอร์บริเวณชายแดนประเทศโปแลนด์ด้วย[23]:ซึ่งคอร์นฟลาวเวอร์สีฟ้าเคยเป็นดอกไม้ประจำชาติด้วย[24] |
665#28 | ประเทศเยอรมนี | การรวมประเทศในปี 1990 นั้น เสมือนเป็นการผนวกประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก ดังนั้นระบบระเบียบการปกครองทั้งหมดในประเทศเยอรมนีใหม่นี้ จึงยึดเอาระบบระเบียบเดิมของเยอรมนีตะวันตกมาทั้งหมด กฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีเรียกว่า กรุนด์เกเซ็ทท์ (Grundgesetz) หรือแปลอย่างตรงตัวได้ว่า "กฎหมายพื้นฐาน" ถูกบัญญัติขึ้นในปี 1949 เพื่อใช้เป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีตะวันตก การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับเสียงอย่างน้อยสองในสามจากที่ประชุมร่วมสองสภาและ อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, การแยกใช้อำนาจ, โครงสร้างสหพันธ์ และสิทธิในการต่อต้านความพยายามล้มล้างมิอาจถูกแก้ไขได้ |
665#29 | ประเทศเยอรมนี | ประเทศเยอรมนีประกอบด้วยสิบหก รัฐ ([Bundesland บุนเดสลันด์]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) ในจำนวนนี้ เบอร์ลินและฮัมบวร์ค มีสถานะเป็นนครรัฐ ([Stadtstaaten ชตัดท์ชตาเทิน]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) ในขณะที่ เบรเมิน เป็นรัฐที่ประกอบด้วยสองนครรัฐคือเบรเมินและเบรเมอร์ฮาเฟิน ในขณะที่อีกสิบสามรัฐที่เหลือ มีสถานะเป็นรัฐเฉพาะถิ่น ([Flächenländer แฟลเชินแลนเดอร์]error: {{lang-xx}}: text has italic markup (help)) ทุกรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง สามารถตรากฎหมายและจัดเก็บภาษีเองตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ฯ |
665#30 | ประเทศเยอรมนี | ตำแหน่งประธานาธิบดี (Bundespräsident) เป็นตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ได้รับเลือกจากที่ประชุมสหพันธ์ (Bundesversammlung) ซึ่งประกอบสมาชิกของ Bundestag และตัวแทนของแต่รัฐต่างๆ ในจำนวนเท่ากัน ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหพันธ์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือฟรังโก-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (German: Bundeskanzler; English: Chancellor) เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร หัวหน้ารัฐบาลคนปัจจุบันคือ อังเกลา แมร์เคิล |
665#31 | ประเทศเยอรมนี | ประเทศเยอรมนีมีกระทรวงอยู่ทั้งหมด 14 กระทรวง ได้แก่ |
665#32 | ประเทศเยอรมนี | อำนาจนิติบัญญัติเป็นของรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วย สภาผู้แทนราษฎร (Bundestag) ทำหน้าที่เป็นสภาล่าง มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และ สภาผู้แทนรัฐ (Bundesrat) เป็นสภาตัวแทนรัฐทั้งสิบหกของสหพันธ์ ทำหน้าที่เป็นสภาสูง |
665#33 | ประเทศเยอรมนี | ระบบพรรคการเมืองของเยอรมนีมีเพียงสองพรรคการเมืองหลักคือพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) และพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี (SPD) โดยจนถึงปัจจุบันนายกรัฐมนตรีมาจากเพียงสองพรรคนี้ อย่างไรก็ตาม ก็มีพรรคที่เล็กกว่าซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างพรรคประชาธิปไตยเสรี (FDP) และกลุ่มพันธมิตร 90/กรีน (Bündnis 90/Die Grünen) ซึ่งมักเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสม |
665#34 | ประเทศเยอรมนี | ประเทศเยอรมนีกับประเทศฝรั่งเศส มีบทบาทเป็นผู้นำของสหภาพยุโรป และกำลังมุ่งหน้าสู่การรวมการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศสมาชิก มาขึ้นกับสหภาพยุโรปมากขึ้น |
665#35 | ประเทศเยอรมนี | หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2ในยุคนาซีเยอรมนี เยอรมนีพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการทหารของประเทศอื่นมากนัก พฤติกรรมนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2542 เมื่อเยอรมนีตัดสินใจส่งทหารเข้าร่วมสงครามโคโซโว เยอรมนีและฝรั่งเศสยังเป็นประเทศหลักที่คัดค้านการรุกรานประเทศอิรักของสหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ. 2546 |
665#36 | ประเทศเยอรมนี | ปัจจุบัน เยอรมนีกำลังพยายามเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น อินเดีย และบราซิล |
665#37 | ประเทศเยอรมนี | บุนเดซเวร์เป็นชื่อของกองทัพของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีกองทัพของเยอรมนี และมีการแบ่งเป็น3เหล่าคือ แฮร์ (กองทัพบกและกองทัพพิเศษ KSK) ,มารีน (กองทัพเรือ), ลูฟวอฟ์ (กองทัพอากาศ) มีงบประมาณมากเป็นอันดับ9ของโลก[27]ในปี 2015งบประมาณกองทัพของเยอรมนีอยู่ที่ 32.9 พันล้านยูโรซึ่งคิดเป็น 1.2% ของ GDP ของประเทศ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของนาโต้ 2%[28] |
665#38 | ประเทศเยอรมนี | ในปี 2015บุนเดสแวร์มีกองกำลังทหารถึง178,000 นายและมีทหารอาสาอีก9,500 นาย[29]และในปี2001 เยอรมนียังมีการส่งทหารออกไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศด้วยซึ่งเป็นทหารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย[30][31] โดยทหารผู้หญิงนั้นมีประมาณ19,000คนที่ประจำการอยู่ในกองทัพ และในปี 2014 ได้มีการอ้างอิงจากSIPRIว่าประเทศเยอรมนีมีการส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศมากเป็นอันดับ4ของโลก[32] |
665#39 | ประเทศเยอรมนี | แต่ถ้าหากไม่มีสงครรามหรือการก่อการร้ายบุนเดสแวร์จะได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ปกป้องนายกรัฐมยตรีหรือบุคคลสำคัญ[33] |
665#40 | ประเทศเยอรมนี | บทบาทของบุนเดสแวร์ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีว่าใช้ในการปกป้องและป้องกันเท่านั้น แต่หลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลางในปี 1994 ว่าการปกป้องนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การปกป้องอาณาเขตและดินแดนของประเทศเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปฏิกิริยาหรือวิกฤติความขัดแย้งจากต่างประเทศหรือที่อื่นๆบนโลกที่อาจกว้างขึ้นจนอาจมีผลต่อความมั่นคงของประเทศเยอรมนีได้ ในเดือนมกราคมปี 2015 กองทัพเยอรมันมีกองกำลังประจำการอยู่ในต่างประเทศประมาณ 2,370นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาความสงบระหว่างประเทศรวมถึงกองกำลังของบุนเดสแวร์เช่น ในกองทัพนาโต้ที่ปฏิบัติภารกิจในประเทศอิรัก, ประเทศอัฟกานิสถานและประเทศอุซเบกิสถานจำนวน 850 นาย และทหารเยอรมันในประเทศโคโซโว 670 นาย และกองกำลังร่วมด้วย UNIFIL ในประเทศเลบานอน 120 นาย[34] |
665#41 | ประเทศเยอรมนี | จนในปี2011 การรับราชการทหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ชายที่มีอายุ 18 ปีและมีหน้าที่รับราชการทหารเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นทหารสามารถเลือกเป็น Zivildienst (การบริการประชาชน) เป็นเวลา 6เดือนได้ หรืออาจเป็นทหารอาสา 6 ปี หรือการบริการฉุกเฉินเช่นแผนกดับเพลิงหรือกาชาด[35][36] |
665#42 | ประเทศเยอรมนี | ครีกซมารีเนอ (กองทัพเรือ) |
665#43 | ประเทศเยอรมนี | ประเทศเยอรมนีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นอันดับสี่ของโลกถัดจากสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น เยอรมนียังเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญคืออัตราการจ้างงาน |
665#44 | ประเทศเยอรมนี | บริษัทในเยอรมันที่มีธุรกิจไปทั่วโลก อย่างเช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ปอร์เช่ โฟล์กสวาเกน เอาดี้ มายบัค ซีเมนส์ อลิอันซ์ เป็นต้น มีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ 8 แห่งโดยมี ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก |
665#45 | ประเทศเยอรมนี | ตั้งแต่ประวัติของอุตสาหกรรมในประเทศเยอรมนีได้รับการควบคุมให้ผู้ริเริ่มและผู้รับผลประโยชน์ของเศรษฐกิจทั่วโลกมากกว่าที่เคย เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปี ค.ศ. 2002 ถึง ค.ศ. 2008 และได้ทำการค้าตลาดร่วมกับจีนในปี 2009 และปัจจุบันผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองและสร้างดุลการค้าใหญ่ ภาคบริการในรอบ 70% ของ GDP รวมอุตสาหกรรม 29.1%, 0.9% และภาคการเกษตร ผลิตภัณฑ์ของประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่อยู่ในด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ |
665#46 | ประเทศเยอรมนี | ถนน 650,000 กิโลเมตร ราง 41,315 กิโลเมตร ลำน้ำและชายฝั่ง 7,500 กิโลเมตร ท่าอากาศยาน 58 ท่า ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร ระยะทาง 41,315 กิโลเมตร ติดระบบรถไฟฟ้า 19,857 กิโลเมตร ผู้โดยสาร 19,500 ล้านเที่ยว สินค้า 415.4 ล้านตันต่อปี รถจักร 7,734 คัน รถ DMU (ดีเซลราง) และ EMU (รถไฟฟ้าราง) 15,762 คัน |
665#47 | ประเทศเยอรมนี | เยอรมนีเป็นศูนย์กลางการคมนาคมการขนส่งในทวีปยุโรปเนื่องจากตั้งอยู่ตรงกลางของทวีป[37]เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปตะวันตกเส้นทางและเครือข่ายถนนของเยอรมนีนั้นเรียกได้ว่าเป็นประเทศในกลุ่มที่มีเส้นทางคมนาคมที่หนาแน่นที่สุดในโลก[38]มีมอเตอร์เวย์ออโตบาห์นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและเป็นที่ทราบกันดีว่าถนนเส้นนี้ไม่มีการจำกัดความเร็ว[39] |
665#48 | ประเทศเยอรมนี | เยอรมนีได้มีการจัดตั้งเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ชื่ออินเตอร์ซิตี-เอกซ์เพรสซึ่งจะวิ่งผ่านเมืองสำคัญ ๆ ในเยอรมันและในประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆด้วยความเร็วประมาณ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง [40]ทางรถไฟของเยอรมันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีเงินสนับสนุนมากถึง 17 พันล้านยูโรในปี 2014.[41] |
665#49 | ประเทศเยอรมนี | ท่าอากาศยานของประเทศเยอรมนีที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ตและท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิกและมีสายการบินที่ใหญ่ที่สุดคือลุฟต์ฮันซาและยังมีสนามบินอื่นๆอีกด้วยเช่นท่าอากาศยานเบอร์ลินเชอเนอเฟ็ลท์และท่าอากาศยานฮัมบวร์ค[42]และยังมีท่าเรือฮัมบวร์คที่เป็นท่าเรือที่คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีและใหญ่เป็นอันดับ17ของโลก[43] |
665#50 | ประเทศเยอรมนี | เยอรมนีมีนักวิจัยที่โดดเด่นในสาขาวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 103 รางวัล เช่น ผลงานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และมักซ์ พลังค์ ถือเป็นรากฐานสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่ และได้ถูกพัฒนาต่อมาโดยผลงานของแวร์เนอร์ ไฮเซนแบร์ก แฮร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์ โยเซฟ ฟอน เฟราน์โฮเฟอร์ กาเบรียล ดานีล ฟาเรนไฮต์ และวิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกนผู้ค้นพบรังสีเอกซ์ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1901 นักวิศวกรรมการบินอวกาศชื่อ แวร์นเนอร์ ฟอน เบราน์ ผู้พัฒนาจรวดในยุคแรกและต่อมาเป็นสมาชิกสำคัญของนาซาและพัฒนาจรวด Saturn V Moon ซึ่งปูทางสำหรับความสำเร็จของโครงการอะพอลโล งานของ Heinrich Rudolf Hertz ในด้านรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาโทรคมนาคมสมัยใหม่ ผ่านการก่อสร้างห้องปฏิบัติการแรกที่มหาวิทยาลัยซิกใน 1879 ของเขา, Wilhelm Wundt เป็นเครดิตกับสถานประกอบการของจิตวิทยาเป็นอิสระเชิงประจักษ์ วิทยาศาสตร์ Alexander von Humboldt ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ explorer เป็นพื้นฐานเพื่อชีวภูมิศาสตร์ |
665#51 | ประเทศเยอรมนี | การนำเข้าและส่งออกของเยอรมนีในปี 2553 จัดว่าอยู่ในทิศทางที่ดี มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเข้า มีมูลค่ารวมมากกว่า 800,000 ล้านยูโร ส่วนการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 950,000 ล้านยูโร โดยในจำนวนนี้ 95% ส่งออกไปยังตลาดยุโรป และกว่า 11% ส่งออกไปยังตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 5.5%ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ ในช่วงปี 2552-2553 อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีปรับตัวดีขึ้นมาก เนื่องจากการสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน โดยในปี 2553 เยอรมนีส่งออกรถเพิ่มขึ้น 24% และการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 12% |
665#52 | ประเทศเยอรมนี | ในปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนนักศึกษาทั้งหมด ประมาณ 12.6 ล้านคน ที่ประเทศมีครูอาจารย์ทั้งหมด ประมาณ 780,000 คน ตามที่โรงเรียนสถานศึกษากว่า 52,000 แห่งในเยอรมัน การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6 18 ปี รวมการศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับแบบเต็มเวลานี้อย่างน้อย 9 ปี (ในบางรัฐ 10 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงาน ซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมันมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี เมื่อนักเรียนอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทด้วยกัน Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป วิชาที่สอน ได้แก่ ภาษาเยอรมัน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ สังคมวิทยา ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และวิชาแนะนำวิชาชีพ เวลาเรียน 6 ปี หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป (Secondary General School) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ (Grammar School) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะ ที่ต้องเรียนเต็มเวลา ประมาณ 40% ของผู้จบโรงเรียนมัธยมจะได้ประกาศนียบัตรแบบนี้ Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11 13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา (Course) ที่ถนัด เพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากจบเกรด 13 แล้ว Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภท เข้าด้วยกันภายใต้การบริหารหนึ่งเดียว นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5 ถึง เกรด 10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7 บางกลุ่มวิชาจะมีการแบ่งการเรียนออกเป็นกว่า 11 ระดับ แล้วแต่ความยากง่าย |
665#53 | ประเทศเยอรมนี | ประชากรในเยอรมนีกระจายตัวอยู่ แตกต่างกันมากในแต่ละภูมิภาคนั่นคือประมาณหนึ่งในสามของประชากรได้แก่ประมาณ 25 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ใน 82 เมืองใหญ่ ส่วนอีก 50.5 ล้านคนอยู่ในชุมชนและเมืองที่มีประชากรระหว่าง 2,000 ถึง 100,000 คน นอกจากนั้นอีกประมาณ 6.4 ล้านคน อาศัยอยู่ในย่านที่มีประชากรไม่เกิน 2,000 คน บริเวณผู้อพยพเข้าในเบอร์ลิน ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่การรวมประเทศเยอรมนี มีประชากรมากกว่า 4.3 ล้านคน ในเขตอุตสาหกรรมริมแม่น้ำไรน์ และรัวร์ ที่ซึ่งเมืองต่าง ๆ มักเหลื่อมล้ำเข้าหากัน เพราะไม่มีเส้นขีดคั่นอย่างชัดเจนนั้นมีประชากรมากว่า 11 ล้านคน กล่าวคือ 1,100 คนต่อตารางกิโลเมตร |
665#54 | ประเทศเยอรมนี | ภูมิภาคอันมีประชากรหนาแน่นดังกล่าวนี้แตกต่างจากอาณาบริเวณที่มีประชากรเบาบางมาก อาทิเช่น บริเวณอันกว้างใหญ่ของรัฐมาร์ค บรันเดนบวร์ก และเมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเฟิร์น |
665#55 | ประเทศเยอรมนี | กล่าวโดยสรุปแล้ว นับได้ว่าเยอรมนีซึ่งมีประชากรหนาแน่นถึง 230 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นมากแห่งหนึ่งในยุโรป แต่ก็มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างบริเวณสหพันธ์ดั้งเดิม กับบริเวณอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน กล่าวคือในรัฐใหม่ของสหพันธ์ฯ และเบอร์ลินตะวันออกมีประชากรหนาแน่นถึง 140 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่รัฐของสหพันธ์ฯ เดิม มีประชากรหนาแน่นถึง 267 คนต่อตารางกิโลเมตร |
665#56 | ประเทศเยอรมนี | เยอรมัน 91.5% ตุรกี 2.4% อื่นๆ 6.1% (ประกอบไปด้วยชาวกรีก อิตาลี โปแลนด์ รัสเซีย เซิร์บและโคเอเชีย เป็นกลุ่มใหญ่) |
665#57 | ประเทศเยอรมนี | คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ 34% คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 34% มุสลิม 3.7% ศาสนาอื่นๆแยกกระจัดกระจายออกไปและอื่นๆ 28.3% |
665#58 | ประเทศเยอรมนี | ฟุตบอลเป็นกีฬาที่คนเยอรมันนิยมมากที่สุด โดยได้แชมป์โลกถึง 4 สมัย |
665#59 | ประเทศเยอรมนี | ประเทศเยอรมันมี นักดนตรี คีตกวีทางดนตรี นักประพันธ์ดนตรี ที่มีชื่อเสียงระดับสากลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน, โยฮัน เซบัสทีอัน บัค, โยฮันเนิส บรามส์, ริชชาร์ท วากเนอร์, จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล, โรแบร์ท ชูมัน, เฟลิคส์ เม็นเดิลส์โซน, คาร์ล ออร์ฟ เป็นต้น |
665#60 | ประเทศเยอรมนี | ปัจจุบันเยอรมนีเป็นตลาดดนตรีที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของยุโรป และอันดับ 4 ของโลก[44] ดนตรีเยอรมันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง ศตวรรษที่ 20-21 อาทิเช่น วงสกอร์เปียนส์ กับ วงรัมสไตน์ วงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดในระดับโลก, โทคิโอโฮเทล เป็นวงป็อปร็อกที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งในเยอรมัน เป็นต้น |
665#61 | ประเทศเยอรมนี | อาหารเยอรมันแตกต่างจากพื้นที่สู่พื้นที่ เช่น ในภาคใต้ของบาวาเรียและ Swabia ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการปรุงอาหารตามแบบสวิสเซอร์แลนด์และออสเตรีย หมูและไก่เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่นิยมบริโภค ในเยอรมนีหมูเป็นที่นิยมมากที่สุด ตลอดทุกภาคเนื้อมักจะรับประทานในรูปแบบไส้กรอก มากกว่า 1500 ชนิดของไส้กรอกที่ผลิตในประเทศเยอรมนี อาหารอินทรีย์ได้รับส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.0% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก พูดภาษาเยอรมันเป็นที่นิยมมีความหมาย:"รับประทานอาหารเช้าเช่นจักรพรรดิ กลางวันเช่นกษัตริย์ และอาหารเย็นเหมือนขอทาน" อาหารเช้ามักประกอบด้วยขนมปังก้อนเล็ก (Brötchen) ทาแยมหรือน้ำผึ้ง หรือทานกับเนื้อเย็นและชีส บางครั้งมีไข่ต้ม ธัญพืชหรือ Muesli กับนมหรือโยเกิร์ต กว่า 300 ชนิดของขนมปังมีจำหน่ายในร้านเบเกอรี่ทั่วประเทศ ผู้อพยพจากหลายประเทศมาสู่เยอรมนีได้นำอาหารนานาชาติมากมายมาเผยแพร่จนทำให้เกิดนิสัยการกินรายวัน เช่นอาหารอิตาเลียนพิซซ่าและพาสต้า อาหารตุรกีและอาหรับชอบ Döner และ Falafel โดยเฉพาะในเมืองใหญ่นอกจากร้านอาหารพื้นเมืองแล้ว ยังมีร้านอาหารนานาชาติแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารจีน กรีก อินเดีย ไทย ญี่ปุ่นและอาหารเอเชียอื่น ๆ ได้รับความนิยมในทศวรรษที่ผ่านมา |
665#62 | ประเทศเยอรมนี | แม้ว่าไวน์จะเป็นที่นิยมในหลายประเทศ แต่ประเทศเยอรมนีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประจำชาติคือเบียร์ แม้คนเยอรมันจะบริโภคเบียร์ต่อคนจะลดลง แต่ปริมาณการบริโภคเบียร์ 127 ลิตรต่อปีต่อคนในเยอรมนีก็ยังคงเป็นตัวเลขสูงที่สุดในโลก ชนิดของเบียร์ในเยอรมันได้แก่ Alt, Bock, Dunkel, Kölsch, เลเกอร์, Malzbier, Pils และ Weizenbier จากการสำรวจ 18 ประเทศตะวันตกที่บริโภคเครื่องคิดเป็นต่อหัวมากที่สุด เยอรมนีอยู่ในอันดับ 14 สำหรับเครื่องดื่มทั่วไป ในขณะที่มาเป็นอันดับสามในการบริโภคน้ำผลไม้ นอกจากนั้น น้ำแร่อัดลมและ Schorle (ผสมกับน้ำผลไม้) ก็เป็นที่นิยมเช่นกันในเยอรมนี |
665#63 | ประเทศเยอรมนี | จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ (in English) |
665#64 | ประเทศเยอรมนี | ภาษาเยอรมัน อาหารเยอรมัน ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี |
665#65 | ประเทศเยอรมนี | from the BBC News – รวมสื่อเกี่ยวกับประเทศเยอรมนีในหลากหลายภาษา Wikimedia Atlas of Germany – Germany's international broadcaster at UCB Libraries GovPubs at Curlie – by the German Federal Foreign Office – Federal Statistical Office Germany Geographic data related to at OpenStreetMap from International Futures |
665#66 | ประเทศเยอรมนี | หมวดหมู่:ประเทศในระบบซีวิลลอว์ ย หมวดหมู่:รัฐและดินแดนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2414 |
667#0 | มานุษยวิทยา | มานุษยวิทยา () คือ วิชาที่เกี่ยวกับมนุษย์ มานุษยวิทยา เกิดจาก วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ |
667#1 | มานุษยวิทยา | ศึกษากำเนิดและวิวัฒนาการของเผ่าพันธุ์มนุษย์ กลุ่มวัฒนธรรม รวมถึงสังคมมนุษย์ ในขั้นพัฒนาการของสังคมด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างทางสังคม ระบบความเชื่อ องค์กรและสถาบันทางการเมือง ประเพณีและพิธีกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ อุดมการณ์ จารีตประเพณี และกฎหมาย บนรากฐานทางเศรษฐกิจ ทั้งที่สอดคล้องต้องกัน และขัดแย้งกัน ทั้งที่ตกผลึกแล้ว หรืออยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน
"นักมานุษยวิทยากายภาพ" ศึกษาความเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์และรูปร่างของมนุษย์และความเป็นมาของวัฒนธรรมและสังคมที่เกี่ยวข้อง : จัดประเภทเผ่าพันธุ์และพัฒนาการทางเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่มาต่างๆ เช่น บันทึกทางประวัติศาสตร์ โบราณสถานและโบราณวัตถุ ชาติพันธุ์วรรณนา และประสบการณ์ทางวิชาการต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการเปรียบเทียบลักษณะรูปร่างของมนุษย์ในสมัยดึกดำบรรพ์ที่ยังคงมีซากเหลืออยู่กับกลุ่มเผ่าพันธุ์มนุษย์ในปัจจุบัน อาจเชี่ยวชาญในการศึกษาวัฒนธรรมของมนุษยชาติในสมัยดึกดำบรรพ์และวัฒนธรรมของมนุษย์ในสมัยที่เจริญแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของสังคมที่สืบเนื่องมาแต่โบราณกาล รวมทั้งการสังเกตเกี่ยวกับความเป็นมาของวัฒนธรรม เช่น พิธีการทางศาสนา วรรณคดี งานฝีมือ และความเป็นมาของสังคม อาจเชี่ยวชาญในเรื่องรูปร่างของมนุษย์ชาติ มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์ ชีววิทยาของประชากรมนุษย์ และการสืบพันธุ์ อาจเชี่ยวชาญทางด้านภาษาของมนุษยชาติตามสาขาวัฒนธรรมที่สำคัญๆ อาจเชี่ยวชาญทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษยชาติเฉพาะเรื่องที่สำคัญ |
667#2 | มานุษยวิทยา | การผลิตบัณฑิตในระดับปริญญาตรี ทางมานุษยวิทยาในประเทศไทยมีมากว่า 30 ปี แต่ส่วนใหญ่จะผลิตร่วมกันกับสาขาสังคมวิทยา โดยได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มีเพียงมหาวิทยาลัยศิลปากรเท่านั้น ที่ผลิตบัณฑิตทางมานุษยวิทยาโดยตรง นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็เป็นเพียงสองมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ที่ชื่อปริญญาเป็น สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาบัณฑิต และวิทยาศาสตรบัณฑิต (สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา)ตามลำดับ อาจกล่าวได้ว่า สาขามานุษยวิทยา ไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าใดนัก หากเปรียบกับสาขาย่อยต่าง ๆ ในทางสังคมศาสตร์ มีเพียงมหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนเพียงแห่งเดียว ที่จัดการเรียนการสอนทางด้านมานุษยวิทยา |
667#3 | มานุษยวิทยา | คณะมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ |
669#0 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (English: Thammasat University; อักษรย่อ: มธ. – TU) เป็นมหาวิทยาลัยแห่งที่สองของประเทศไทย ก่อตั้งในชื่อ "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง" (English: The University of Moral and Political Sciences; อักษรย่อ: ม.ธ.ก. – UMPS) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นตลาดวิชา เพื่อการศึกษาด้านกฎหมายและการเมือง สำหรับประชาชนทั่วไป ต่อมาใน พ.ศ. 2495 รัฐบาลเปลี่ยนเป็นชื่อปัจจุบัน นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีอายุเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย และมีประวัติศาสตร์ผูกพันกับพัฒนาการทางการเมือง และความเป็นไปของชาติ ตลอดจนเรื่องของรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย[1] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519[2] มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีผู้ประสาสน์การและอธิการบดีมาแล้ว 23 คน อธิการบดีคนปัจจุบันคือ รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ และนายกสภามหาวิทยาลัย คือ ศาสตราจารย์พิเศษนรนิติ เศรษฐบุตร วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ราชกิจจานุเบกษาได้ลงประกาศ "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2558" ซึ่งได้มีผลให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีสภาพเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐในอีก 30 วันต่อมา[3] |
669#1 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | มหาวิทยาลัยเป็นสมาชิกของเครือข่าย LAOTSE[4] ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยในเอเชียและยุโรป ตามกรอบความร่วมมืออาเซม รวมทั้งเป็นสมาชิกของเครือข่ายสถาบันการศึกษาและวิจัยในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMSARN) [5] อีกด้วย |
669#2 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประกอบไปด้วย 19 คณะ 4 วิทยาลัย1 สถาบัน 1 สำนักวิชา จำนวนหลักสูตรทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 297 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 139 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 6 หลักสูตร ปริญญาตรีควบปริญญาโท 4 หลักสูตร ปริญญาโท 118 หลักสูตร และปริญญาเอก 34 หลักสูตร จัดการศึกษาทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำ (ข้อมูล พ.ศ. 2557-2558[6]) นอกจากนี้ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ จาก กระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ. 2552 อีกด้วย |
669#3 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | การปฏิวัติสยาม เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 [1][7] และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวรแล้วในเดือนธันวาคม ถัดจากนั้นได้เพียง 13 วัน ตามรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี, ครั้งที่ 6 วันที่ 23 ธันวาคม 2475 หม่อมเจ้าวรรณไวทยากร ก็ทรงเสนอให้คณะรัฐมนตรีจัดตั้งโรงเรียนการเมืองชั้นสูง แต่หากทว่าเพราะหม่อมเจ้าวรรณไวทยากรเป็นเจ้านายพระองค์เดียวที่ใกล้ชิดกับคณะราษฎรและใกล้ชิดกับราชสำนัก จึงทำให้แม้จะทรงพยายามเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎรแต่ก็ทรงไม่ได้ความยอมรับหรือความไว้วางใจอย่างเต็มที่ เพราะปรากฏว่ารัฐบาลรีบขัดขวางสนอและตัดหน้าที่เรื่องการเมืองและประวัติศาสตร์ออกไป ให้ทรงงานเฉพาะเรื่องการแปลเท่านั้น |
669#4 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ก่อให้เกิด มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง เนื่องจากในคำประกาศของคณะราษฎร ระบุว่า การที่ราษฎรยังถูกดูหมิ่นว่ายังโง่อยู่ ไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตยนั้น “เป็นเพราะขาดการศึกษา ที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่”[8] เป็นผลให้ในหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ประการที่ 6 ระบุว่า “จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร”[8] สถาบันศึกษาแบบใหม่ ที่เปิดกว้างให้ประชาชนชาวสยาม ได้รับการศึกษาชั้นสูง โดยเฉพาะที่จะรองรับการปกครองบ้านเมืองที่เปลี่ยนไป จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีควบคู่ไปกับการปฏิวัติ |
669#5 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ด้วยเหตุนี้ จึงมีการตราพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง พุทธศักราช 2476 ขึ้นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ปีเดียวกัน[9] โดยมีใจความสำคัญว่า |
669#6 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | จากนั้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก เสด็จในพิธีเปิดมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ณ ที่ตั้งเดิมของโรงเรียนกฎหมาย ริมถนนราชดำเนิน เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา[1][10][11] โดยศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ กล่าวในโอกาสก่อตั้งมหาวิทยาลัยว่า |
669#7 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ในช่วงเวลา 2 ปีแรก (พ.ศ. 2477–2479) การเรียนการสอนของ ม.ธ.ก. ยังคงดำเนินอยู่ที่ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าภิภพลีลา[1] ต่อมาเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2478 ม.ธ.ก.ขอซื้อที่ดินบริเวณท่าพระจันทร์ ซึ่งเดิมเป็นที่ของทหาร และปรับปรุงอาคารเดิม พร้อมทั้งสร้างตึกโดม โดยทุนซึ่งใช้จัดซื้อที่ดิน รวมทั้งการก่อสร้าง ได้มาจากเงินที่ ม.ธ.ก.เก็บจากค่าสมัครและค่าเล่าเรียน นอกจากนี้ ม.ธ.ก.ยังจัดตั้งสถาบันการเงินขึ้น สำหรับให้นักศึกษาวิชาการบัญชี ใช้เป็นสถานที่ฝึกงานคือ ธนาคารแห่งเอเชียเพื่ออุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารเอเชีย และปัจจุบันคือธนาคารยูโอบี) และเมื่อ พ.ศ. 2481 ม.ธ.ก. ก่อตั้งโรงเรียนเตรียมปริญญา มีหลักสูตร 2 ปี เพื่อรับผู้ประสงค์จะเข้าเรียนต่อที่ ม.ธ.ก.โดยตรง โรงเรียนเตรียมปริญญา มีหลักสูตรการสอน หนักไปทางภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และวิชาทางสังคม เช่น ปรัชญา วิชาเทคโนโลยี ดนตรี พิมพ์ดีด และชวเลข เป็นต้น แต่ยกเลิกไปใน พ.ศ. 2490 |
669#8 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับผลกระทบโดยตรง[12] ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การ ต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ รัฐบาลนำคำว่า “การเมือง” ออกจากชื่อมหาวิทยาลัย เหลือเพียง “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”[13] พร้อมทั้งยกเลิกตำแหน่งผู้ประศาสน์การ โดยใช้ชื่อตำแหน่งว่าอธิการบดีแทน[1] หลักสูตรการศึกษาธรรมศาสตรบัณฑิต เปลี่ยนแปลงเป็นคณะนิติศาสตร์, พาณิชยศาสตร์และการบัญชี, รัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ความเป็นตลาดวิชาหมดไปตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2495[13] |
669#9 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | พ.ศ. 2518 ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีในขณะนั้น เห็นควรขยายการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ในระดับปริญญาบัณฑิตเพิ่มขึ้น พื้นที่เดิมบริเวณท่าพระจันทร์ ไม่เพียงพอต่อการขยายตัวทางวิชาการ และการพัฒนา มหาวิทยาลัยจึงเจรจาขอแลกเปลี่ยนที่ดิน กับบริเวณนิคมอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการขยายตัวของมหาวิทยาลัย เรียกว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นอกจากนี้ ยังขยายไปที่ศูนย์ลำปาง และศูนย์พัทยาด้วย |
669#10 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังคงดำเนินการเรียนการสอน และมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง โดยหลักสูตรปริญญาตรีภาคปกติทั้งหมด และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มวิทยาศาสตร์ จัดการเรียนการสอนที่ศูนย์รังสิต และหลักสูตรบัณฑิตศึกษากลุ่มสังคมศาสตร์ โครงการนานาชาติ และโครงการพิเศษ จัดการเรียนการสอนที่ท่าพระจันทร์[14] |
669#11 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ [15] ส่งผลทำให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือตรงกับวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558 |
669#12 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ธรรมจักร เป็นตราประจำมหาวิทยาลัย[16] โดยตราธรรมจักรนี้มี 12 แฉก อันหมายถึง อริยสัจ 4 ซึ่งวนอยู่ในญาณ 3 คือ สัจจญาณ กิจจญาณ และ กตญาณ และมีพานรัฐธรรมนูญอยู่ตรงกลาง อันหมายถึงการยึดมั่นและรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย[17] เพลงประจำมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ทำนองมอญดูดาว) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยเพลงแรก ประพันธ์โดยขุนวิจิตรมาตรา เมื่อ พ.ศ. 2478[18] สีเหลืองแดง เป็นสีประจำมหาวิทยาลัย ดังปรากฏในเนื้อเพลง "เพลงประจำมหาวิทยาลัย" (มอญดูดาว) ที่ว่า "เหลืองของเราคือธรรมประจำจิต แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้" มีความหมายถึง ความสำนึกในความเป็นธรรมและความเสียสละเพื่อสังคม นับเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยมาตั้งแต่ปีแรกของการก่อตั้ง คือ พ.ศ. 2477[18] เพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ (ยูงทอง) เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน[19] โดยในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2504 ได้มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ขณะเสด็จมาทรงดนตรี ณ เวทีลีลาศ สวนอัมพร ภายในพระราชวังดุสิต พระองค์รับสั่งว่าจะทรงพระราชนิพนธ์เพลงประจำมหาวิทยาลัยพระราชทานให้แก่นักศึกษาธรรมศาสตร์ |
669#13 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | จนวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินพร้อมสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ มาทรงดนตรี ณ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทรงบรรเลงทำนองเพลงที่จะพระราชทานให้เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยด้วย[20] โดยเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ลำดับที่ 36 มีนายจำนงราชกิจ (จรัล บุณยรัตพันธุ์) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง และยกร่างโดยหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช |
669#14 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | หางนกยูงฝรั่ง เป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงปลูกไว้บริเวณหน้าหอประชุมใหญ่จำนวน 5 ต้น เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2506 เวลา 14:30 นาฬิกา พร้อมกับพระราชทานให้เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[21] ดอกมีสีเหลือง–แดง สัมพันธ์กับสีประจำมหาวิทยาลัย |
669#15 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | อนึ่ง ประชาคมธรรมศาสตร์มักเรียกเพลงพระราชนิพนธ์ธรรมศาสตร์ และต้นหางนกยูงฝรั่งว่า ยูงทอง[22][23] ซึ่งเป็นสัญลักษณ์อันเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความเชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์และพระราชกรณียกิจโดยตรง รวมทั้งพิธีพระราชทานปริญญาบัตรด้วย[24] |
669#16 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" เป็นวลีอมตะของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วาทะสำคัญนี้มีต้นเค้ามาจาก มองนักศึกษา มธก. ผ่านแว่นขาว บทความของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย[25] ซึ่งสะท้อนชัดหลักการของประชาคมธรรมศาสตร์ นับแต่มหาวิทยาลัยนี้กำเนิดขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2477 ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย เสรีภาพ และความเสมอภาคทางการศึกษา[18] โดยปัจจุบันเปรียบเสมือนคำขวัญอย่างไม่เป็นทางการของมหาวิทยาลัย และประชาคมธรรมศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าวาทะดังกล่าวนี้อธิบายความหมายของจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ได้อย่างดีที่สุด[25] |
669#17 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | สัญลักษณ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็คือ ตึกโดม คำว่า "ลูกแม่โดม" หมายถึง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[26] |
669#18 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | นับแต่สถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีผู้ประศาสน์การและอธิการบดีดังนี้[27] |
669#19 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | แต่เดิมเมื่อเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองนั้น ในระดับปริญญาตรีมีเปิดสอนเพียงหลักสูตรเดียวคือ "ธรรมศาสตร์บัณฑิต" (ธ.บ.) ซึ่งเน้นวิชากฎหมาย รวมถึงกฎหมายที่เป็นเรื่องใหม่ในขณะนั้นคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ[1] และมีวิชารัฐศาสตร์และวิชาเศรษฐศาสตร์แทรกอยู่ด้วย[12][28] ส่วนในระดับปริญญาโทนั้นมีแยกสามแขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และต่อมาได้มีหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชีซึ่งเทียบเท่าปริญญาโท และในระดับระดับปริญญาเอกมีสี่แขนงคือ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการทูต แต่ใน พ.ศ. 2492 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิตก็ได้ถูกยกเลิกไป และเปลี่ยนเป็นหลักสูตรปริญญาตรีเฉพาะทางในสาขาต่าง ๆ แทน ตาม “ข้อบังคับเพิ่มเติมว่าด้วยการแบ่งแยกการศึกษาเป็น 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ และกำหนดสมัยการศึกษาและการสอบไล่ พ.ศ. 2492”[12] |
669#20 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ปัจจุบันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดการศึกษาครอบคลุมทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ประกอบไปด้วย 19 คณะ 4 วิทยาลัย1 สถาบัน 1 สำนักวิชา จำนวนหลักสูตรทุกระดับจำนวนทั้งสิ้น 256 หลักสูตร เป็นระดับปริญญาตรี 111 หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิต 8 หลักสูตร ปริญญาตรีควบปริญญาโท 4 หลักสูตร ปริญญาโท 99 หลักสูตร และปริญญาเอก 34 หลักสูตร จัดการศึกษาทั้งภาคกลางวันและภาคค่ำ (ข้อมูล พ.ศ. 2550[6]) |
669#21 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | คณะนิติศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี คณะรัฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะศิลปกรรมศาสตร์ วิทยาลัยนวัตกรรม วิทยาลัยสหวิทยาการ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ |
669#22 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง |
669#23 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | คณะแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ วิทยาลัยโลกคดีศึกษา |
669#24 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | นอกจากนี้ยังมีหลายหน่วยงานที่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษา อาทิ สถาบันภาษา, กองกิจการนักศึกษา เป็นต้น |
669#25 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | นอกจาก วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นวิทยาลัยนานาชาติของมหาวิทยาลัยแล้ว[29][30] คณะต่าง ๆ ได้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนนานาชาติสำหรับนักศึกษาทั้งชาวไทยและต่างประเทศหลายหลักสูตรด้วยกัน โดยคณะที่เปิดหลักสูตรในลักษณะดังกล่าว ได้แก่ คณะนิติศาสตร์, คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี, คณะรัฐศาสตร์, คณะเศรษฐศาสตร์, คณะศิลปศาสตร์, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, คณะวิศวกรรมศาสตร์, สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร, คณะสาธารณสุขศาสตร์ และวิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ |
669#26 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | วิทยาลัยนวัตกรรม วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ |
669#27 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | หน่วยงานอื่น โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ สำนักงานบริหารทรัพย์สินและกีฬา สำนักงานศิษย์เก่าสัมพันธ์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาคมธรรมศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ หน่วยงานบริการวิชาการ สำนักหอสมุด สำนักงานทะเบียนนักศึกษา สำนักเสริมศึกษาและบริการสังคม สำนักทรัพย์สินทางปัญญาและบ่มเพาะวิสาหกิจ สถาบันประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม |
669#28 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีหน่วยงานวิจัยในศาสตร์สาขาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ |
669#29 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | สถาบันภาษา สถาบันไทยคดีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา สถาบันทรัพยากรมนุษย์ สถาบันสัญญา ธรรมศักดิ์ฯ ศูนย์ออสเตรเลียศึกษา ศูนย์ศึกษาความร่วมมือระหว่างประเทศ (ศูนย์เอเปค) |
669#30 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ศูนย์ศึกษารัสเซียและเครือรัฐเอกราช |
669#31 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่สนับสนุนหน่วยงานวิจัย ได้แก่ |
669#32 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดตั้งสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรียกโดยย่อว่า "สว.มธ." โดยมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Thammasat University Research and Consultancy Institute" หรือ "TU-RAC" ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการให้บริการด้านการบริหารงานวิจัยและทำวิจัยในนามมหาวิทยาลัย โดยมีการบริหารงานที่คล่องตัวนอกระบบราชการ ทั้งนี้ สถาบันถือเป็นหน่วยงานของมหาวิทยาลัยเพียงหน่วยงานเดียวที่สามารถให้บริการการวิจัย ให้คำปรึกษา และฝึกอบรมสัมมนา เป็นต้น[31] สำนักงานบริหารการวิจัย ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักงานอธิการบดี โดยจัดตั้งขึ้นตามมติสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมพ.ศ. 2551 เป็นหน่วยงานรองรับการดำเนินงานทางด้านบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การบังคับบัญชาของรองอธิการบดีฝ่ายวิจัยที่ได้รับมอบหมายจากอธิการบดีให้เป็นผู้บริหารงานทางด้านการวิจัยผ่านคณะกรรมการบริหารงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ดำเนินการตามเป้าประสงค์ของมหาวิทยาลัยในการมุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย (Research University) โดยมีงานในสังกัดที่มีขอบเขตภาระงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 2 งานดังนี้คือ งานวางแผนและบริหารงานวิจัย และงานส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัย[32] โดยมีศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการให้บริการงานวิจัยทางวิชาการดังต่อไปนี้[33] |
669#33 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิจัยโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการใช้ประโยชน์จากพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าในงานวิศวกรรม ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวัสดุศาสตร์ การก่อสร้าง และเทคโนโลยีการบำรุงรักษา ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านเภสัชวิทยาและชีววิทยาระดับโมเลกุลของโรคมาลาเรียและมะเร็งท่อน้ำดี ศูนย์แห่งความเป็นทางวิชาการด้านการออกแบบและพัฒนาต้นแบบทางวิศวกรรมอย่างสร้างสรรค์ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิด |
669#34 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านสารสนเทศอัจฉริยะ เทคโนโลยีเสียงพูดและภาษา และนวัตกรรมด้านบริการ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านระบาดวิทยาประยุกต์ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านตัวเร่งปฏิกิริยาเคมีและการดูดซับด้านสิ่งแวดล้อม ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านการจัดการการปฏิบัติการและสารสนเทศ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านสมุนไพรและสารธรรมชาติในการรักษาโรคในช่องปาก ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวิศวกรรมและสมรรถนะของวัสดุ ศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางวิชาการด้านวัสดุและเทคโนโลยีพลาสมา |
669#35 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | นอกจากนี้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ใน พ.ศ. 2553 โดยโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติและส่งเสริมการวิจัยในอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ซึ่งเป็นโครงการเร่งด่วนของรัฐบาล มีระยะเวลา 3 ปีงบประมาณ (พ.ศ. 2553–2555) อยู่ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. 2555 (โครงการ SP2) ที่จะทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านการทำวิจัยของมหาวิทยาลัยไทย ส่งผลโดยตรงต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และรองรับแผนพัฒนาประเทศเป็นศูนย์กลางการศึกษา (Education Hub) ของภูมิภาค ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 9 มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาตินั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ มีต้นทุนทางบุคลากรสูง เพราะฉะนั้นจึงมุ่งใช้ศักยภาพของบุคลากรในเรื่องที่เป็นประโยชน์ เช่น ในเรื่องของการวิจัย โดยส่งเสริมให้สร้างผลงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ตอบสนองต่อสังคม และมีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ในระดับนานาชาติมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการทำวิจัยให้เป็นพื้นฐานให้แก่การเรียนการสอนระดับปริญญาตรี รวมถึงการผลิตทรัพยากรบุคคลในระดับที่สูงกว่าปริญญาตรีในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการใช้นวัตกรรมที่เกิดจากความมีอิสระทางความคิด ตลอดจนมีอิสระในการบริหารจัดการภายใน และมีศักยภาพของสถาบันอุดมศึกษาที่จะสามารถวางทิศทางได้ จึงมีเอกลักษณ์ความเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติได้อย่างชัดเจน[34] |
669#36 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ใน พ.ศ. 2549 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยของประเทศไทยใน "โครงการฐานข้อมูลออนไลน์เพื่อประเมินศักยภาพของมหาวิทยาลัยไทย"[35]โดยในภาพรวมผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยกลุ่มดัชนีชี้วัดด้านการวิจัยและกลุ่มดัชนีชี้วัดตามด้านการเรียนการสอน ซึ่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 6 ในด้านการเรียนการสอนของประเทศไทย และเป็นอันดับ 8 ในด้านการวิจัยของประเทศไทย[36] |
669#37 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ประเมินคุณภาพผลงานวิจัยเชิงวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสถาบันอุดมศึกษา ผลปรากฏว่าในการการประเมินครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2553) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล, ภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีโยธา, ภาควิชาวิศวกรรมระบบการผลิต, และภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร และในการประเมินครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2554) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการประเมินในระดับดีมากในสาขาวิชาวิศวกรรมและเทคโนโลยีโยธา, สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกลและระบบการผลิต, สาขาวิชาเทคโนโลยีการสื่อสาร, สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ และโครงการบัณฑิตศึกษา สาขาชีวเวชศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[37][38] |
669#38 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | นอกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดยหน่วยงานในประเทศไทยแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดอันดับมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีเกณฑ์การจัดอันดับและการให้คะแนนที่แตกต่างกัน ได้แก่ |
669#39 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | Nature Index ซึ่งจัดโดยวารสารในเครือ Nature Publishing Group ซึ่งเป็นวารสารทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงชั้นนำของโลก โดยการนับจำนวนบทความที่ตีพิมพ์ต่อปีในวารสารที่ในเครือ Nature Publishing Group สำหรับปี 2016 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 26 ของประเทศไทย [39][40] |
669#40 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | แควกเควเรลลี ไซมอนด์ส หรือ QS จัดอันดับมหาวิทยาลัยในสองส่วน คือ การจัดอันดับเป็นระดับโลก(QS World University Rankings) และระดับทวีปเอเชีย(QS University Rankings: Asia) มีระเบียบวิธีจัดอันดับ ดังนี้ |
669#41 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ชื่อเสียงทางวิชาการ (30 เปอร์เซนต์) เป้าหมายของตัวชี้วัดนี้เพื่อจะบอกว่ามหาวิทยาลัยใดมีชื่อเสียงในในระดับนานาชาติ การสำรวจผู้จ้างงาน (20 เปอร์เซนต์) อัตราส่วนของคณะต่อนักศึกษา (15 เปอร์เซนต์) วัดจากอัตราส่วนของบุคลากรทางการศึกษาต่อจำนวนนักศึกษา และการติดต่อและให้การสนับสนุนของบุคลากรที่มีต่อนักศึกษา การอ้างอิงในรายงาน (10 เปอร์เซนต์) และผลงานของคณะ (10 เปอร์เซนต์) เป็นการรวมทั้งงานที่อ้างอิงใน scopusและ การตีพิมพ์ผลงานโดยคณะนั้นๆเอง บุคลากรระดับดุษฎีบัณฑิต (5 เปอร์เซนต์) สัดส่วนคณะที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) และนักศึกษาต่างชาติ (2.5 เปอร์เซนต์) สัดส่วนของรับนักศึกษาและเปลี่ยนที่เข้ามาศึกษา (2.5 เปอร์เซนต์) และการส่งนักศึกษาออกไปแลกเปลี่ยน (2.5 เปอร์เซนต์)[41] |
669#42 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 3 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 101 ของเอเชีย[42] |
669#43 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ชื่อเสียงทางวิชาการ จากการสำรวจมหาวิทยาลัยทั่วโลก ผลของการสำรวจคัดกรองจาก สาขาที่ได้รับการตอบรับว่ามีความเป็นเลิศโดยมหาวิทยาลัยสามารถส่งสาขาให้ได้รับการคัดเลือกตั้งแต่ 2 สาขาขึ้นไป โดยจะมีผู้เลือกตอบรับเพียงหนึ่งสาขาจากที่มหาวิทยาลัยเลือกมา การสำรวจผู้ว่าจ้าง เป็นการสำรวจในลักษณะคล้ายกับในด้านชื่อเสียงทางวิชาการแต่จะไม่แบ่งเป็นคณะหรือสาขาวิชา โดยนายจ้างจะได้รับการถามให้ระบุ 10 สถาบันภายในประเทศ และ 30 สถาบันต่างประเทศที่จะเลือกรับลูกจ้างที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันนั้น ๆ รวมถึงคุณสมบัติสำคัญที่ต้องการ 2 ข้อ งานวิจัยที่อ้างต่อ 1 ชิ้นรายงาน โดยข้อมูลที่อ้างอิงจะนำมาจาก Scopus ในระยะ 5 ปี H-index ซึ่งคือการชี้วัดจากทั้งผลผลิต และ อิทธิพลจากการตีพิมพ์ผลงานทั้งจากนักวิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ |
669#44 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการจัดให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 4 ของประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 601-650 ของโลก[43] |
669#45 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | น้ำหนักการชี้วัด การแบ่งคะแนนจะต่างกันในแต่ละสาขาวิชา เช่น ทางด้านการแพทย์ ซึ่งเป็นสาขาที่มีอัตราการเผยแพร่งานวิจัยสูง การวัดการอ้างอิงและh-index ก็จะคิดเป็น 25 เปอร์เซนต์ สำหรับแต่ละมหาวิทยาลัย ในทางกลับกันสาขาที่มีการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการที่น้อยกว่า เช่น สาขาประวัติศาสตร์ จะคิดเป็นร้อยละที่ต่ำกว่าคือ 15 เปอร์เซนต์ จากคะแนนทั้งหมด ในขณะเดียวกันสาขาศิลปะและการออกแบบ ซึ่งมีผลงานตีพิมพ์น้อยก็จะใช้วิธีการวัดจากผู้ว่าจ้างและการสำรวจด้านวิชาการ[44] |
669#46 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | อันดับมหาวิทยาลัยโดย SCImago Institutions Ranking หรือ SIR ซึ่งเป็นการจัดอันดับสถาบันที่มีผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ ซึ่งจะไม่ใด้นับเฉพาะมหาวิทยาลัย แต่จะนับสถาบันเฉพาะทางด้วย เช่น สถาบันเทคโนโลยี วิทยาลัย โรงพยาบาล ในปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 634 ของโลก และเป็นอันดับ 20 ของประเทศไทย [45] |
669#47 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | อันดับที่จัดโดย University Ranking by Academic Performance หรือ URAP ปี พ.ศ. 2558 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นอันดับ 9 ของประเทศไทย และอันดับ 1370 ของโลก[46] โดยมีพื้นฐานทางด้านวิชาการตรงตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คุณภาพและปริมาณของบทความตีพิมพ์ทางวิชาการ บทความวิจัย การเผยแพร่ และการอ้างอิง |
669#48 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | เป็นการจัดอันดับคุณภาพการจ้างงานของบัณฑิต โดยพิจารณาจาก ชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของผู้จ้างงาน ผลผลิตของบัณฑิต อัตราการจ้างงานบัณฑิต เป็นต้น มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทยและอยู่ในช่วงอันดับ 301 - 500 ของโลก[47] |
669#49 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | เป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยสีเขียวที่จัดโดยมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการเป็นมหาวิทยาลัยยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยสีเขียวอันดับ 8 ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และเป็นอันดับที่ 73 ของโลก[48] |
669#50 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของเว็บโอเมตริกซ์ ประจำปี พ.ศ. 2559 จัดทำขึ้นเพื่อแสดงความตั้งใจของสถาบันต่าง ๆ ในการเผยแพร่ความรู้สู่เว็บ และเป็นความริเริ่มเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงความรู้อย่างเปิดกว้าง (Open Access) ทั่วโลก อันดับ Webometrics จะบอกถึงปริมาณและคุณภาพของสิ่งตีพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ของสถาบัน โดยพิจารณาจากจำนวน Link ที่เชื่อมโยงเข้าสู่เว็บนั้น ๆ จากเว็บภายนอกโดยวัดจากการสืบค้นด้วยSearch Engine และนับจำนวนเอกสารตีพิมพ์ออนไลน์ในกลุ่มของไฟล์ .pdf .ps .ppt และ .doc และจำนวนเอกสารที่มีการอ้างอิง (Citation) แบบออนไลน์ผ่านกูเกิลสกอลาร์ (Google Scholar) โดยจะจัดอันดับปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ เดือนมกราคม และ เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุดการจัดอันดับรอบที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2559 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 8 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 899 ของโลก[49] |
669#51 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | การจัดอันดับของ 4 International Colleges & Universities หรือ 4ICU เป็นการจัดอันดับความนิยมของเว็บไซต์มหาวิทยาลัย ในปี 2016 ได้รับการจัดอันดับความนิยมเว็บไซต์เป็นอันดับที่ 11 ของประเทศไทย และอยู่ในอันดับที่ 1166 ของโลก[50] |
669#52 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีศูนย์กลางบริหารอยู่ที่ท่าพระจันทร์ กรุงเทพมหานคร และมีศูนย์ในภูมิภาคอีก 5 ศูนย์ |
669#53 | มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ | ตั้งอยู่เลขที่ 2 ถนนพระจันทร์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าพระจันทร์ ในเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพมหานคร ในเริ่มแรกแห่งการสถาปนา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้จัดการเรียนการสอนที่ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิม (เพราะบุคลากรตลอดจนทรัพย์สินของโรงเรียนกฎหมายไม่ได้เปลี่ยนแปลง หลังจากรอการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัย จึงโอนมาเป็นของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทั้งหมด) เป็นเวลา 2 ปี แล้วจึงซื้อที่ดินจากกรมทหารซึ่งเป็นคลังแสงเดิม แล้วจึงย้ายมาอยู่บริเวณท่าพระจันทร์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและสนามหลวง มีเนื้อที่ 49 ไร่ เป็นศูนย์แรกของมหาวิทยาลัยตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เดิมบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวังหน้า (พระราชวังบวรสถานมงคล) |
Subsets and Splits
No community queries yet
The top public SQL queries from the community will appear here once available.