Book,Page,LineNumber,Text
46,0034,001,(ของดอกปทุมเหล่านั้น) หล่นลงก็ปรากฏแก่ภิกษุนั้นดุจตกลงไปในเหว ส่วน
46,0034,002,ยอดของดอกปทุมที่ทิ้งไว้บนบก เหี่ยวแห้งไปแล้ว ปรากฏดุจถูกไฟไหม้
46,0034,003,ครั้งนั้น เมื่อภิกษุนั้นเพ่งพินิจธรรมทั้งปวงตามกระแสแห่งธรรมนั้นอยู่. ภพ
46,0034,004,ทั้งสามก็ปรากฏเป็นสภาพหาที่พึ่งพิงไม่ได้ ประดุจเรือนถูกไฟไหม้ ฉะนั้น.
46,0034,005,ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งที่ประทับอยู่ในพระคันธกุฎีนั่นเอง
46,0034,006,ก็ทรงแผ่รัศมีแห่งพระสรีระไปเบื้องบนพระภิกษุนั้น และพระรัศมีนั้นก็ท่วมทับ
46,0034,007,ใบหน้าของภิกษุนั้นเต็มที่ ลำดับนั้น ท่านนึกรำพึงอยู่ว่า นี้อะไรกัน ได้เห็น
46,0034,008,พระผู้มีพระภาคเจ้าราวกะว่าเสด็จมาประทับยืนอยู่ใกล้ จึงได้ลุกขึ้นจากอาสนะ
46,0034,009,ประคองอัญชลี.
46,0034,010,ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความสบายของพระภิกษุนั้น
46,0034,011,เมื่อจะทรงแสดงธรรมจึงได้ตรัสโอภาสคาถานี้ ว่า โย ราคมุทจฺฉิกา อเสสํ
46,0034,012,เป็นต้น.
46,0034,013,ในคาถานั้น ที่ชื่อว่าราคะ ก็ด้วยอำนาจแห่งความรัญจวน. คำว่า
46,0034,014,ราคะนี้ เป็นชื่อแห่งราคะ คือ กามคุณ ๕.
46,0034,015,บทว่า อุทจฺฉิกา ได้แก่ ย่อมตัด คือหัก ได้แก่ ทำให้พินาศ. จริงอยู่
46,0034,016,นักประพันธ์ทั้งหลาย ย่อมปรารถนาคำที่เป็นวัตตมานาวิภัตติว่า ฉินฺทติ แม้
46,0034,017,สำหรับคำทั้งหลายที่เป็นอดีตกาล.
46,0034,018,บทว่า อเสสํ ได้แก่ไม่มีส่วนเหลือ (คือหมดสิ้นทั้งอนุสัย).
46,0034,019,สองบทว่า ภึสปุปฺผํว สโรรุหํ ความว่า ราวกะว่า ดอกบัวนี้งอก
46,0034,020,ขึ้นแล้วในสระ.