Book,Page,LineNumber,Text 31,0033,001,

อรรถกถาเอกาภิญญาสูตร

31,0033,002,สูตรที่ ๔. พึงทราบความคละปนกันโดยวิปัสสนาด้วยคำว่า ตโต 31,0033,003,มุทุตเรหิ. คือ อินทรีย์ทั้ง ๕ อย่างที่สมบูรณ์แล้ว ก็ย่อมชื่อว่าวิปัสสนินทรีย์ 31,0033,004,ของอรหัตมรรค. ที่อ่อนกว่านั้น ก็เป็นของอันตราปรินิพพายี ฯลฯ ชื่อว่า 31,0033,005,เป็นวิปัสสนินทรีย์ ของอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี. แม้ในฐานะนี้ ก็พึงชักเอาแต่ 31,0033,006,ความเจือปนกันทั้งห้าอย่างที่ตั้งอยู่ในอรหัตมรรคออกตามนัยก่อนเหมือนกัน. 31,0033,007,และในที่นี้ต้องชักเอาความเจือปนห้าอย่างออกมาเหมือนที่ตั้งอยู่ในสกทาคามิ 31,0033,008,มรรค ต้องชักเอาความเจือปนสามอย่างออกมาตามนัยก่อนนั่นแหละ. ก็วิปัส- 31,0033,009,สนินทรีย์แห่งโสดาปัตติมรรคอ่อนกว่าวิปัสสนินทรีย์ของสกทาคามิมรรค และ 31,0033,010,วิปัสสนินทรีย์ของมรรคของเอกพีชีเป็นต้น ก็อ่อนกว่าวิปัสสนินทรีย์เหล่านั้น 31,0033,011,ของโสดาปัตติมรรค. และก็พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เอกพีชี มีพืชเดียว 31,0033,012,นี้ต่อไป บุคคลใดได้เป็นพระโสดาบันแล้ว ละเพียงอัตภาพเดียวเท่านั้น แล้ว 31,0033,013,สำเร็จเป็นพระอรหันต์ บุคคลนี้ ชื่อ เอกพีชี. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า 31,0033,014,ตรัสไว้ว่า 31,0033,015,ก็แล เอกพีชีบุคคล เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะ 31,0033,016,สังโยชน์ ๓ หมดไปอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นพระโสดาบัน ซึ่งไม่มีความตกต่ำ 31,0033,017,เป็นธรรมดา เที่ยงแท้ มุ่งหน้าแต่จะตรัสรู้ ท่องเที่ยวไปสู่ภพมนุษย์อีกครั้งเดียว 31,0033,018,เท่านั้นแล้ว ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า เอกพีชี. 31,0033,019,ส่วนบุคคลใด ท่องเที่ยวไปสองสามภพแล้ว จึงจะทำที่สุดทุกข์ได้ 31,0033,020,บุคคลนี้ ชื่อโกลังโกละ ผู้ออกจากตระกูลไปสู่ตระกูล. สมดังที่พระผู้มี 31,0033,021,พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า