Book,Page,LineNumber,Text
06,0010,001,บทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ได้แก่ ปัจจยาการ. จริง ปัจจยาการท่าน
06,0010,002,เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า อาศัยกันและกัน ยังธรรม
06,0010,003,ที่สืบเนื่องกันให้เกิดขึ้น. ความสังเขปในบทว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ นี้ เท่านี้.
06,0010,004,ส่วนความพิสดาร ผู้ปรารถนาวินิจฉัยที่พร้อมมูลด้วยอาการทั้งปวง พึงถือเอา
06,0010,005,จากวิสุทธิมรรค และมหาปกรณ์.
06,0010,006,บทว่า อนุโลมปฏิโลมํ มีวิเคราะห์ว่า ตามลำดับด้วย ทวนลำดับ
06,0010,007,ด้วย ชื่อว่าทั้งตามลำดับทั้งทวนลำดับ. ผู้ศึกษาพึงเห็นความในบทอย่างนี้แล
06,0010,008,ว่า ในอนุโลมและปฏิโลมทั้ง ๒ นั้น ปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้น ที่ท่านกล่าว
06,0010,009,โดยนัยว่า อวิชิชาปจฺจยา สงฺขารา ดังนี้ เรียกว่า อนุโลม เพราะทำกิจที่ตน
06,0010,010,พึงทำปัจจยาการนั้นนั่นเอง ที่ท่านกล่าวโดยนัยเป็นต้นว่า อวิชฺชาย เตฺวว
06,0010,011,อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ดังนี้ เมื่อดับเพราะนิโรธ คือไม่
06,0010,012,เกิดขึ้นย่อมไม่ทำกิจนั้น เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ปฏิโลม เพราะไม่ทำกิจนั้น.
06,0010,013,อีกอย่างหนึ่ง ปัจจยาการที่กล่าวแล้ว ตามนัยก่อนนั่นแล เป็นไปตาม
06,0010,014,ประพฤติเหตุ นอกนี้เป็นไปย้อนประพฤติเหตุ. ก็แลความเป็นอนุโลมและปฎิโลม
06,0010,015,ในปัจจยาการนี้ ยังไม่ต้องด้วยเนื้อความอื่นจากนี้ เพราะท่านมิได้กล่าวตั้งแต่
06,0010,016,ต้นจนปลายและตั้งแต่ปลายจนถึงต้น.
06,0010,017,บทว่า มนสากาสิ ตัดบทว่า มนสิ อกาสิ แปลว่า ได้ทำในพระหฤทัย
06,0010,018,ในอนุโลมและปฏิโลมทั้ง ๒ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำในพระหฤทัย
06,0010,019,ด้วยอนุโลมด้วยประการใด เพื่อแสดงประการนี้ก่อนพระธรรมสังคาหกาจารย์
06,0010,020,จึงกล่าวคำว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น. ในคำนั้นผู้ศึกษาพึงทราบ
06,0010,021,ความในทั้งปวงโดยนัยนี้ว่า อวิชฺชานี้ด้วย เป็นปัจจัยด้วย เพราะฉะนั้น ชื่อ