Book,Page,LineNumber,Text 04,0022,001,บทว่า สมฺปชานมุสาวาเท ได้แก่ ในเพราะการพูดเท็จทั้งที่รู้ตัว 04,0022,002,แล้วและกำลังรู้. 04,0022,003,บทว่า วิสํวาทนปุเรกฺขารสฺส ได้แก่ ผู้พูดทำจิตที่คิดจะพูดให้ 04,0022,004,คลาดเคลื่อนไว้เป็นเบื้องหน้า. 04,0022,005,เจตนายังคำพูดอันนับเนื่องในมิจฉาวาจาให้ตั้งขึ้น ชื่อว่า วาจา. 04,0022,006,ท่านแสดงเสียงอันตั้งขึ้นด้วยเจตนานั้น ด้วยคำว่า คิรา. 04,0022,007,ทางแห่งถ้อยคำ ชื่อว่า พยบถ. ก็วาจานั่นแล ท่านเรียกว่า พยบถ 04,0022,008,เพราะเป็นแนวทางแม้ของชนเหล่าอื่น ผู้ถึงทิฏฐานุคติ. 04,0022,009,การเปล่งวาจาที่มีความเข้าใจกันว่าคำพูด ชื่อว่า วจีเภท. วาจามี 04,0022,010,ชนิดต่าง ๆ กันนั่นเอง ท่านเรียกอย่างนี้ (ว่าวจีเภท). 04,0022,011,วจีวิญญัตติ ชื่อว่า วิญญัตติที่เป็นไปทางวาจา. ด้วยอาการอย่างนั้น 04,0022,012,"ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ด้วยบทแรก ท่านพระอุบาลีกล่าวเพียงเจตนาล้วน, ด้วย" 04,0022,013,๓ บทท่ามกลาง กล่าวเจตนาที่ประกอบด้วยเสียงซึ่งตั้งขึ้นด้วยเจตนานั้น. ด้วย 04,0022,014,บทเดียวสุดท้าย กล่าวเจตนาที่ประกอบด้วยวิญญัตติ. 04,0022,015,โวหาร (คำพูด) ของเหล่าชนผู้ไม่ใช่พระอริยเจ้า คือเหล่าพาลปุถุชน 04,0022,016,ชื่อว่า อนริยโวหาร. 04,0022,017,พระอุบาลีเถระ. ครั้นแสดงสัมปชานมุสาวาทอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อ 04,0022,018,จะแสดงลักษณะแห่งอนริยโวหาร ที่นับเป็นสัมปชานมุสาวาท ซึ่งกล่าวไว้ใน 04,0022,019,ที่สุด จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อทิฏฺ€ํ นาม ดังนี้. 04,0022,020,

[อรรถาธิบายอนริยโวหาร ๘ อย่าง]

04,0022,021,ในคำว่า อทิฏฺ€ํ เป็นต้นนั้น บัณฑิตพึงทราบอรรถโดยนัยนี้ว่า 04,0022,022,ถ้อยคำ หรือ เจตนาเป็นเหตุยังถ้อยคำนั้นให้ตั้งขึ้น ของภิกษุผู้กล่าวเรื่องที่ตน 04,0022,023,ไม่เห็นอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าเห็น ชื่อว่า อนริยโวหารอย่างหนึ่ง.