|
Book,Page,LineNumber,Text
|
|
12,0034,001,เป็นที่พึ่งด้วยอำนาจแห่งความเลื่อมใส ท่านจงไปเสีย อย่ามาทำลายลัทธิ
|
|
12,0034,002,ของพราหมณ์เลย ดังนี้.
|
|
12,0034,003,บทว่า <B>ได้ตรัสพระดำรัสนี้</B> ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า
|
|
12,0034,004,เมื่อพวกพราหมณ์เหล่านี้ต่างวิวาทกันเป็นเสียงเดียวอยู่อย่างนี้ กถานี้จักไม่
|
|
12,0034,005,ถึงที่สุดได้ เอาเถอะ เราจะทำให้พวกเขาเงียบเสียงแล้วพูดกับโสณทัณฑ-
|
|
12,0034,006,พราหมณ์เท่านั้น ดังนี้แล้วจึงได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า <B>สเจ โข ตุมฺหากํ</B>
|
|
12,0034,007,เป็นต้น. บทว่า <B>เป็นไปกับด้วยธรรม</B> คือเป็นไปด้วยเหตุ. บทว่า <B>มี
|
|
12,0034,008,วรรณะเสมอเหมือนกัน</B> คือ เสมอกันโดยความเป็นผู้เหมือนกัน ยกเว้นความ
|
|
12,0034,009,เป็นผู้เสมอกันโดยเอกเทศ อธิบายว่า เสมอกันโดยอาการทั้งปวง. บทว่า <B>เรา
|
|
12,0034,010,รู้จักมารดาและบิดาของเขา</B> คือเขาจักไม่รู้จักมารดาและบิดาของน้องสาว
|
|
12,0034,011,ได้อย่างไร เขากล่าวหมายถึงการแสดงลำดับสกุลต่างหาก. บทว่า <B>พึงกล่าว
|
|
12,0034,012,เท็จบ้าง</B> คือพึงกล่าวคำเท็จที่ตัดรอนประโยชน์. บทว่า <B>วรรณะจักทำอะไรได้</B>
|
|
12,0034,013,คือ เมื่อคุณความดีภายใน ไม่มีอยู่ วรรณะจักทำอะไรได้ อธิบายว่า เขาจัก
|
|
12,0034,014,สามารถรักษาความเป็นพราหมณ์ของเขาไว้ได้อย่างไร. แม้ถ้าจะพึงมีอีก เมื่อ
|
|
12,0034,015,พราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในปกติศีล องค์อื่นๆ ก็ยังความเป็นพราหมณ์ให้สำเร็จได้
|
|
12,0034,016,เพราะศีลอย่างเดียวก็ให้สำเร็จเป็นพราหมณ์ได้อย่างนี้ ก็ครั้นปกติศีลนั้น
|
|
12,0034,017,ของเขาไม่มี ความเป็นพราหมณ์ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น องค์ทั้งหลายมีวรรณะ
|
|
12,0034,018,เป็นต้นเป็นสิ่งงมงาย.
|
|
12,0034,019,ก็พราหมณ์ทั้งหลาย ได้ยินคำนี้แล้ว ได้เป็นผู้นิ่งเสีย ด้วยคิดว่า
|
|
12,0034,020,อาจารย์กล่าวถูกต้องและพวกเรากล่าวโทษโดยหาเหตุมิได้. ลำดับนั้น พระ
|
|
12,0034,021,ผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อพราหมณ์กล่าวเฉลยปัญหาแล้ว เพื่อจะทรงทดลองเขา
|
|
12,0034,022,ว่า ก็ในข้อนี้เขาจักสามารถเพื่อจะยืนยันหรือไม่สามารถ จึงได้ตรัสพระ
|
|
12,0034,023,ดำรัสว่า <B>อิเมสํ ปน พฺราหฺมณ</B> เป็นต้น.
|
|
|