tripitaka-mbu / 05 /050045.csv
uisp's picture
add data
3c90236
Book,Page,LineNumber,Text
05,0045,001,แต่เมื่อพวกตุลาการ ฟังถ้อยแถลงของคนทั้ง ๒ ฝ่ายที่แถลงให้การไป
05,0045,002,โดยประการอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำการตัดสินแล้ว คดีเป็นอันถึงที่สุด. ในคดี
05,0045,003,ที่ถึงที่สุดนั้น ภิกษุณีจะชนะคดีก็ตาม แพ้ก็ตาม เป็นสังฆาทิเสส.
05,0045,004,แต่ถ้าว่า อธิกรณ์ที่ดำเนินเป็นคดีกันแล้ว เป็นเรื่องที่พวกตุลาการเคย
05,0045,005,ได้ทราบมาก่อน ถ้าพวกตุลาการเหล่านั้น พอเห็นภิกษุณีและผู้ก่อคดี จึง
05,0045,006,กล่าวว่า ไม่มีกิจที่จะต้องสอบสวนพวกท่าน พวกเรารู้เรื่องนี้ แล้วจึงตัดสิน
05,0045,007,ให้เสียเองทีเดียว. แม้ในคดีถึงที่สุดเห็นปานนี้ก็ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุณี.
05,0045,008,สังฆาทิเสสนี้ มีการต้องแต่แรกทำ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า <B>ปฐมาปัต-
05,0045,009,ตกะ.</B> ความว่า พึงต้องในขณะที่ล่วงละเมิดนั่นเอง. ซึ่งสังฆาทิเสสนั้น มีอัน
05,0045,010,อาบัติขณะแรกทำ. แต่ในบทภาชนะ เพื่อแสดงแต่เพียงความประสงค์ พระผู้มี
05,0045,011,พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ต้องอาบัติพร้อมกับการล่วงวัตถุ โดยไม่ต้องสวดสมนุ-
05,0045,012,ภาส.
05,0045,013,ก็ในคำนี้ มีใจความดังต่อไปนี้ :- ภิกษุณีต้องอาบัติพร้อมกับการ
05,0045,014,ล่วงละเมิดวัตถุ ไม่ใช่ในเวลาสวดสมนุภาสครั้งที่ ๓ สังฆาทิเสสนี้ชื่อว่า
05,0045,015,<B>ปฐมาปัตติกะ </B>เพราะจะพึงต้องพร้อมกับการล่วงละเมิดวัตถุ ตั้งแต่แรก
05,0045,016,ทีเดียวแล.
05,0045,017,สังฆาทิเสสนี้ ชื่อว่า <B>นิสสารณียะ</B> เพราะอรรถว่า ขับออกจากหมู่
05,0045,018,ภิกษุณี. ซึ่งสังฆาทิเสสมีการขับออกจากหมู่นั้น. แต่ในบทภาชนะ เพื่อแสดง
05,0045,019,แต่เพียงความประสงค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า <B>สงฺฆมฺหา นิสฺสารียติ.</B>
05,0045,020,ในบทว่า <B>นิสฺสารณียํ</B> นั้น บัณฑิตพึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ภิกษุณีต้อง
05,0045,021,สังฆาทิเสสใด ถูกขับไล่ออกจากหมู่ สังฆาทิเสสนั้นชื่อว่า <B>นิสสารณียะ</B>.
05,0045,022,จริงอยู่ ธรรม คือ อาบัตินั้นใครจะขับออกจากหมู่ไม่ได้เลย แต่ภิกษุณีถูก
05,0045,023,ธรรมนั้นขับออกไป เพราะฉะนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่า <B>นิสสารณียะ</B> ด้วย
05,0045,024,อรรถว่า ขับออก.