tripitaka-mbu / 04 /040023.csv
uisp's picture
add data
3c90236
Book,Page,LineNumber,Text
04,0023,001,อีกนัยหนึ่ง บัณฑิตพึงทราบสันนิษฐาน ในคำว่า <B>อทิฏฺ€ํ ทิฏฺ€ํ</B>
04,0023,002,"<B>เม</B> เป็นต้นนี้ว่า อารมณ์ที่ตนไม่ได้รับด้วยอำนาจแห่งจักษุชื่อว่า ไม่เห็น,"
04,0023,003,"ที่ไม่ได้รับด้วยอำนาจแห่งโสตะ ชื่อว่า ไม่ได้ยิน, ที่ไม่ได้รับ ทำให้ดุจเนื่อง"
04,0023,004,เป็นอันเดียวกันกับอินทรีย์ ๓ ด้วยอำนาจแห่งฆานินทรีย์เป็นต้น ชื่อว่า
04,0023,005,"ไม่ทราบ, ที่วิญญาณล้วน ๆ อย่างเดียว นอกจากอินทรีย์ ๕ ไม่ได้รับ ชื่อว่า"
04,0023,006,ไม่รู้.
04,0023,007,แต่ในพระบาลี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนาโดยนัยอันปรากฏชัด
04,0023,008,ทีเดียวอย่างนี้ว่า ที่ชื่อว่า ไม่เห็น คือ ไม่เห็นด้วยตา ฉะนี้แล.
04,0023,009,ก็บรรดาอารมณ์ที่ได้เห็นเป็นต้น ที่ตนเองก็ดี คนอื่นก็ดี เห็นแล้ว
04,0023,010,ชื่อว่า ทิฏฐะทั้งนั้น. อารมณ์ที่ชื่อว่า สุตะ มุตะ และวิญญาตะก็อย่างนี้ นี้
04,0023,011,เป็นบรรยายหนึ่ง. ส่วนอีกบรรยายหนึ่ง อารมณ์ใดที่ตนเห็นเอง อารมณ์นั้น
04,0023,012,จัดเป็นทิฎฐะแท้. ในสุตะเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนั้น. ก็อารมณ์ใดที่คนอื่นเห็น
04,0023,013,อารมณ์นั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานะแห่งอารมณ์ที่ตนได้ยิน. แม้อารมณ์มีสุตะ
04,0023,014,เป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้.
04,0023,015,บัดนี้ พระอุบาลีเถระ เมื่อจะยกอาบัติขึ้นแสดงด้วยอำนาจแห่งอนริย-
04,0023,016,โวหารเหล่านั้น จึงกล่าวคำว่า <B>ตีหากาเรหิ</B> เป็นต้น . บัณฑิตพึงทราบ-
04,0023,017,เนื้อความแห่งคำว่า <B>ตีหากาเรหิ</B> เป็นต้นนั้น โดยนัยดังที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว
04,0023,018,ในวรรณนาบาลีจตุตถปาราชิก มีอาทิอย่างนี้ว่า ภิกษุกล่าวสัมปชานมุสาวาทว่า
04,0023,019,ข้าพเจ้าบรรลุปฐมฌาน ต้องอาบัติปาราชิกโดยอาการ ๓ ดังนี้นั่นแล. จริงอยู่
04,0023,020,ในบาลีจตุตถปาราชิกนั้น ท่านกล่าวไว้เพียงคำว่า <B>ป€มํ ฌานํ สมาปชฺชึ.</B>
04,0023,021,"ข้าพเจ้าบรรลุปฐมฌานแล้ว อย่างเดียว, ในสิกขาบทนี้ กล่าวไว้ว่า <B>อทิฏฺ€ํ</B>"
04,0023,022,<B>ทิฏฺ€ํ เม</B> ไม่เห็นพูดว่า ข้าพเจ้าเห็น ดังนี้. และในบาลีจตุตถปาราชิกนั้น